แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
การเข้าใจรูปนาม
เป็นวันใหม่ เช้าที่ 14 พฤษภาคม 2568 เป็นวันดี วันดีคืนดีก็ดีทุกวัน เพราะวันเวลาเป็นลักษณะเปลี่ยนแปลง มีมืดมีสว่าง มีเช้ามีสายมีบ่ายมีเย็น แต่ก็ดีอยู่ที่เรามีการได้พบสิ่งดีๆ มีการที่เราเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ
การปฏิบัติเป็นการชำระจิตชำระใจ ชำระสิ่งที่เปรอะเปื้อนในใจของเราได้ เป็นการปฏิบัติเพื่อเขย่าธาตุรู้ หรือเป็นการปลุกธาตุรู้ หรือเป็นการให้มีสติเกิดขึ้น หรือว่าสร้างสติเกิดขึ้น เป็นลักษณะของการปฏิบัติที่ต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เป็นสิ่งที่จะอยู่ประจำชีวิตเราตลอดไป
จากการที่เราปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ก็เพื่อให้เกิดการติดแนบแน่นอยู่กับชีวิต อยู่กับจิตใจเราตลอดไป จึงมีการปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลง เพื่อเปลี่ยนแปลงจิตใจ เพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นธรรมชาติในกายในจิตของเรา เป็นการเปลี่ยนเพื่อให้ดีขึ้น เพื่อให้เป็นการพัฒนาที่ดีขึ้น
คำว่าวิปัสสนา คือ การทำให้ดี ทำให้มี ทำให้เป็น ก็คือเป็นการพัฒนา หรือเป็นการทำวิปัสสนา ให้เกิด ให้มี ให้ดีขึ้น ก็เป็นการปฏิบัติ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติของเราเป็นการเจริญสติ
การเจริญสติ คือกำหนดความรู้ตัว เป็นการปฏิบัติในอิริยาบถที่เราเคลื่อนไหว ทั้งชีวิตคนเรามีการเคลื่อนไหวอยู่แล้วเป็นธรรมชาติ แต่ก่อนที่เรายังไม่มาปฏิบัติเราก็เคลื่อนไหว เราก็ลุกยืนเดินนั่งนอน แต่พอเรามาปฏิบัติเราก็เคลื่อนไหว แต่เติมการเคลื่อนไหวให้มีสติ
แต่ก่อนการเคลื่อนไหวของเราเป็นไปกับสัญชาตญาณ คือมันเป็นธรรมชาติ เกิดมาก็ต้องมีการลุกยืนเดินนั่งนอนคู้เหยียดเคลื่อนไหว เป็นไปตามธรรมชาติที่มีอยู่ในชีวิต แต่พอเรามาปฏิบัติเราจะเคลื่อนไหว แต่ให้เติมสติ เติมสติเข้าไปอยู่กับการเคลื่อนไหว อยู่กับการกำหนดรู้
กำหนดรู้คือ กำหนดความรู้ตัว ความรู้สึก หรือกำหนดรู้อาการที่กำลังเกิดภายใน หรือกำลังเกิดที่เรารู้สึกตัวได้ ในขณะที่เรา เป็น มี หรือขณะที่เราเคลื่อนไหว ก็เลยเป็นการให้รู้ตัว อยู่กับความรู้ตัว อยู่กับการตื่นรู้ จะเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น
การปฏิบัติธรรมก็เพื่อให้ติดต่อกันเป็นลูกโซ่ แรกๆ เราปฏิบัติในรูปแบบ เพราะว่ารูปแบบเป็นตัวเจตนา ทำให้มีความรู้ตัว
ซึ่งการทำในรูปแบบเมื่อมันได้รับข้อมูล หรือได้สัมผัสตื่นรู้อยู่เสมอ มันจะเป็นเตือนความจำ หรือเป็นสัญญา หรือความแนบแน่นอยู่กับชีวิต อยู่กับการสัมผัสรู้ ซึ่งเรากำหนดรู้จากรู้สึกตัว ก็จะเป็นการเชื่อมเข้าสู่การสัมผัสรู้
ด้วยความรับรู้ ด้วยการสัมผัสอยู่กับอาการ อยู่กับการเป็นปัจจุบันในขณะที่เรากำลังเคลื่อนไหว ขณะที่เรากำลังเป็นอยู่ เราก็เลยได้ข้อมูลจากสิ่งที่เกิดตามความเป็นจริง เราเคลื่อนไหวเราก็รู้ตัว พอเรารู้ตัวไปบ่อยๆ เข้า มันก็จะเป็นลักษณะจำได้ว่าความรู้ตัวเป็นลักษณะนี้
หรือการรู้ตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับจิต เข้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิต เข้าไปเกี่ยวข้องกับความเป็นความรู้สึกนึกคิด มันก็จะมีประสบการณ์ พอมีประสบการณ์จากการที่เราได้ลงสนาม หรือลงมือปฏิบัติด้วยตัวเรา ก็จะเกิดความคุ้นเคยหรือเกิดสัญญา สัญญาความจำ สัญญาความที่มันเป็นประสบการณ์เกิดขึ้น
แต่เมื่อเกิดเป็นสมาธิคือ เกิดเป็นจิตตั้งมั่นอยู่กับปัจจจุบันก็ทำจะทำให้จิตของเราตั้งมั่น จะเป็นลักษณะของการมีความรอบคอบ มีการไม่หุนหันพลันแล่น ไม่ลุกลี้ลุกลน ไม่วิ่งไปกับความฟุ้งซ่าน ความหงุดหงิดรำคาญ
มันจะเป็นลักษณะเหมือนกับว่ามีความเป็นปกติ หรือมีความเป็นความสงบเพิ่มมากขึ้น ในแต่ละขณะที่เราเคลื่อนไหว เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมจะต้องมีอย่างนี้ จะต้องเห็นอย่างนี้ เขาเรียกว่าเห็นธรรม
เห็นธรรม รู้ธรรม ไม่ใช่ไปเห็นนอก ไม่ใช่ไปเห็นสิ่งที่อยู่ภายนอก ไม่ใช่ไปเห็นแสงเห็นสี เห็นสิ่งที่มันเป็นลักษณะความนึกคิด
เหมือนกับว่าความรู้ที่เราเคยได้ยินได้ฟัง มันจะไปวิพากษ์วิจารณ์ ไปเอามาทบทวน เอามาต่อเนื่องกับความที่เราปฏิบัติ มันก็เลยกลายเป็นว่าเรารู้ไปอาจจะไม่เป็น เขาเรียกว่าไม่โปร่งใส ไม่ปกติ หรือไม่เป็นจริง บางทีมันไปปรุงแต่งเสริมสร้างขึ้นมา หรือไปจินตนาการคิดว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
แต่จริงๆ พอเรามาปฏิบัติในรูปแบบการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวนี้ เราต้องเห็นสิ่งที่เป็นรูป เห็นสิ่งที่เป็นนาม เห็นสิ่งที่เป็นกายเป็นใจ เห็นสิ่งที่เป็นวัตถุ เป็นปรมัตถ์ เป็นอาการ คือเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นสิ่งที่เป็นสภาวะเป็นอาการ ซึ่งเราก็กลับมาหาความรู้ตัวตื่น
การทำหน้าที่ต่างๆ เราก็ทำหน้าที่ไปตามสมมติ หรือตามที่เราได้บัญญัติ หรือได้กำหนดขึ้นมา พอเราทำหน้าที่ แต่เรามีตัวรู้เติมเข้าไปในขณะของการเคลื่อนไหว จะในรูปแบบหรือนอกรูปแบบก็แล้วแต่
บางทีเรารู้สึกตัวได้ในรูปแบบต่างๆ อาจจะไม่ใช่ในรูปแบบของการเดินจงกรมสร้างจังหวะ แต่เราก็รู้สึกตัวได้ในขณะกำลังทานอาหาร ขณะกำลังเดินไปในที่ต่างๆ หรือขณะกำลังยืนเดินนั่ง มันรู้ตัวได้ ก็ใช่ความรู้สึก ก็ใช่สติ
เป็นความถูกต้องเหมือนในรูปแบบของการทำที่กาย กับนอกรูปแบบที่เราไม่ได้กำหนดตามจังหวะหรือตามการเดินเป็นเดินจงกรม แค่เรากำมือ พลิกมือ กระดิกนิ้วมือ เราก็รู้ตัวได้ ก็เป็นการ เห็น สัมผัสความรู้ มีสติได้
เพราะฉะนั้นในการที่เรารู้ตัวอยู่เสมอ เป็นการปฏิบัติเพื่อให้เราได้กลับมา กลับมาหากายหาใจของเรา หาความเป็นชีวิตจิตใจของเรา ท่านเรียกว่ากลับ กลับมาเริ่มต้นที่ความรู้สึกตัว
ฉะนั้นความรู้สึกตัวมีอยู่ทุกเวลา ตั้งแต่ต่ื่นเราก็มีเลย บางทีเราไม่ได้ไปทำในรูปแบบ แค่เรากระดิกนิ้วมือ แค่เรากำมือพลิกมือ มันก็รู้ตัว เราจะนั่งเฉยๆ แค่กระดิกมือเบาๆ หรือแค่สัมผัสรู้ มันก็คือรู้ตัว มันรู้เหมือนกับรู้อันเดียวกัน
รู้อันใหญ่ๆ รู้อันเล็กๆ รู้แบบสัมผัสด้วยนิ้ว รู้แบบสัมผัสด้วยเดิน รู้แบบสัมผัสด้วยมีสิ่งมากระทบกาย หรือเป็นลมเป็นแดด เป็นร้อนเป็นหนาว มันก็คือความรู้ตัว เพราะฉะนั้นเราจึงเหมือนกับว่าไม่ต้องไปวิ่งดิ้นรนหาอะไรมาก เพราะมันมีอยู่แล้ว มันอยู่กับเรา ใกล้ๆ เรานี้เอง
ความรู้ตัว ความมีสติ จึงเป็นลักษณะของการสัมผัส หรือเห็นประจักษ์ หรือเห็นตามความเป็นจริงอาการที่เกิดขึ้น ถ้ารู้ตัวบ่อยๆ เข้า ถี่ขึ้น เหมือนกับไปไหนมาไหนมันก็ตีกลับมาดูใจ คำว่ารู้ตัวก็เป็นลักษณะเกี่ยวข้องกับการดูใจ คำว่ากลับมารู้สึกตัว คือดูใจ
ดูใจเรียกว่า ดูกายก็เห็นจิต ดูคิดก็เห็นธรรม ดูกรรมก็เห็นนิพพาน ดูอาการก็เห็นปรมัตถ์ ดูอริยสัจก็เห็นความจริง เป็นลักษณะนั้น จะเป็นลักษณะดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม ถ้าดูกรรมคือการกระทำก็จะเห็นนิพพาน
คือเห็นใจที่มันเย็น ที่มันเป็นปกติอยู่ตรงนั้น เขาเรียกว่าเห็นนิพพาน การที่เรารู้ประจักษ์ หรือรู้ตามความเป็นจริงอย่างนี้ มันเป็นลักษณะเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากที่เราสะสมสติปัฏฐาน ที่เราสะสมความรู้ตัว
ความมีการเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ก็เลยเป็นการสะสมสร้างขึ้น สร้างขึ้น แล้วก็เป็นลักษณะที่เรากลับมาอยู่กับปัจจุบันได้อย่างต่อเนื่อง ไปไหนมาไหนมันก็มีเป็นลักษณะที่เรียกว่าธรรมชาติของชีวิตเรา เรามีความรู้สึก หรือมีสติอยู่เสมอ ก็เลยเป็นการใช้ได้
ซึ่งเราเลยมองเห็นตามความเป็นจริง สิ่งที่มันเกิด สิ่งที่มันดับ สิ่งที่มันเป็นสภาวะอาการ ที่มันรู้แบบชัดเจน หรือรู้แบบดูใจ หรือรู้แบบที่เห็นมันเป็นอาการ ก็เป็นปัจจุบันทั้งหมด เรียกว่าตามที่เรารับรู้ได้ แล้วเราก็จะมีหลักมีฐาน
คือการที่เรามีความรู้สึกตัวได้มันจะเป็นฐานเป็นหลัก ให้เรานี้มาที่หลักที่ฐาน มาที่ความเหมือนเป็นที่อยู่ เหมือนเป็นที่ตั้ง เหมือนเป็นหลัก เหมือนเป็นที่ที่จะให้เราได้มาพักผ่อนหย่อนใจ ได้มารับข้อมูลที่เป็นสิ่งที่เป็นภายในภายนอก หรือสิ่งที่เป็นปรมัตถ์เป็นอาการ จะเป็นลักษณะที่มันมีอยู่ ในการเป็นอยู่ในอิริยาบท
ฉะนั้นเราก็เลยมีเป้าหมายเพื่อความเข้าใจ การปฏิบัติธรรมนี้เราทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจ หรือให้เกิดความเห็นตามความเป็นจริง
เราไม่ใช่ไปเห็นแสงเห็นสี ไปเห็นนิมิต ไปให้สิ่งที่อยู่ภายนอก ไม่ใช่ไปเห็นสิ่งที่ล่องลอยมา หรือสิ่งที่เป็นลักษณะที่เป็นนิมิต ไม่ใช่อย่างนั้น คำว่านิมิตเราแปลว่าเครื่องหมาย คือความรู้ตัว เอาความรู้สึกตัวนี้เป็นนิมิต เป็นเครื่องหมาย เป็นลักษณะที่เราสัมผัสรู้ได้
ส่วนการที่ไปรู้ข้างนอก แล้วไปจินตนาการไปนึกไปคิด อันนั้นเป็นอันนี้ มันปรุงแต่ง จิตเรามันอยู่กับความปรุงแต่งมานาน มันฝังอยู่ในใจเรามา มันเป็นลักษณะคุ้นเคย เป็นลักษณะที่ตามสัญชาตญาณด้วย
สัญชาตญาณก็มีการกินการนอนการหลีกภัย พวกนี้มันทำให้เรามีความหวาดกลัว มีความหวาดระแวง มีความวิตก มีความดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด อะไรพวกนี้มันมีมาตั้งแต่เป็นสัญชาตญาณแล้ว มันก็เลยไปสร้าง ไปได้ยิน ไปเห็น ไปได้ฟังมา หรือเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมประเพณี
บางทีมันก็ปลูกฝังมาเหมือนกัน ปลูกฝังเป็นความเชื่อ เอาไปเอามาไปปรุงแต่งเป็นแสงเป็นสีเป็นนิมิตมาเลย เป็นสิ่งที่เรียกว่าไปกับความปรุงแต่ง มันสร้างมาจนเป็นเครือข่าย จนเป็นความมั่นคงในชีวิตเรา มันเคยไหลไปทางนั้นมันก็ไหล
แต่พอเรามาอยู่กับปัจจุบัน สร้างความรู้ตัวให้เป็นปัจจุบัน ให้การรับรู้ตามข้อมูลที่มันยังไม่ไหล ไม่ปรุงไม่แต่ง มันก็จะเป็นลักษณะดึงจิตเรากลับ ดึงจิตเรามาที่ตั้ง เป็นลักษณะนั้น
ฉะนั้นเราก็เลยมีการปฏิบัติ เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริง ที่เป็นความเชื่อหรือเป็นสิ่งที่เป็นไสยศาสตร์มันก็จะเป็นลักษณะค่อยๆ ลบเลือนไป เพราะว่ามันไม่เป็นจริง ไสยะแปลว่าหลับไหล ไสยศาสตร์คือเป็นศาสตร์ที่หลับไหล
เพราะฉะนั้นเราก็เลยกลายเป็นว่า มารู้ที่กาย ที่ความเป็นรูปเป็นนาม ที่ความเป็นอาการ ที่เราอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความมีสติรู้ตัวนี้เป็นหลัก เป็นลักษณะไปฟื้นฟูหรือไปปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่มันเป็นธรรมให้เกิดขึ้น.