แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ฝึกสติเพื่อให้เข้าถึงชีวิต
เป็นการฟังธรรมหรือฟังเรื่องของการปฏิบัติธรรม คือเรื่องของชีวิตจิตใจเรานี่แหละ เรื่องการปฏิบัติคือเรื่องชีวิต เพราะว่าเราปฏิบัติที่ชีวิต ปฏิบัติที่กายที่ใจของเรา จึงเป็นการเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรมทั้งหมด
คือเรื่องของกาย เรื่องของใจ เรื่องของชีวิต เรื่องของความเป็นอยู่ เรื่องของการดำเนินชีวิต ก็จะปฏิบัติเพื่อให้เราใช้ชีวิตอยู่กับโลก อยู่กับชีวิต อยู่กับการเดินทาง อยู่กับการเป็นอยู่อย่างไม่มีปัญหา อย่างไม่มีทุกข์
คือเป็นหลักของการปฏิบัติก็เพื่อชำระจิต ชำระจิตชำระใจให้ขาวรอบ หรือชำระใจให้ผ่องใส หรือชำระใจให้เป็นธรรม ให้เป็นกลางๆ เขาเรียกว่าเป็นการปฏิบัติต่อชีวิต
การที่เรามีการเจริญสติก็เพื่อให้สติเข้าถึงชีวิต เข้าถึงจิตถึงใจเรา เราปฏิบัติเพื่อไปเอาเป็นอุปกรณ์เข้าไปแก้ เข้าไปปรับ เข้าไปสร้าง เข้าไปเสริม เข้าไปใช้กับชีวิตเราอย่างดีที่สุด หรืออย่างเป็นธรรมที่สุด หรืออย่างถูกต้องที่สุด
ที่เราปฏิบัติเรามีเป้าหมายเพื่อให้เราอยู่กับโลก อยู่กับชีวิต อยู่กับสังคม อยู่กับสิ่งแวดล้อมอย่างไม่มีทุกข์ อย่างไม่มีปัญหา คืออย่างเข้าใจทุกข์ เข้าใจปัญหา เข้าใจชีวิต
การปฏิบัติธรรมก็เลยกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ กับการที่เราจะนำสิ่งที่ดีเข้าไปปรับแก้ หรือเข้าไปเสริม หรือเข้าไปสร้าง หรือเข้าไปเปลี่ยนแปลงชีวิตจิตใจของเรา เป็นการปรับแก้ให้เป็นธรรม เราก็เลยมีการปฏิบัติ มีการเจริญสติ
การเจริญสติคือการใช้ชีวิตกับการรู้สึกตัว การเคลื่อนไหว ที่เราเดินจงกรม ที่เราสร้างจังหวะ ที่เราเคลื่อนไหวอิริยาบถ ก็เพื่อให้สัมผัสกับความรู้ตัว หรือเพื่อให้จิตใจของเราได้มาอยู่กับปัจจุบัน เพื่อจะได้ดูได้เห็น หรือได้ฝึกได้ขัดเกลา ได้ชำระ ได้เข้าถึงเข้าใจนำมาใช้ในระยะยาว
เราฝึกในปัจจุบันเพื่อให้การที่เราเข้าไป เป็น จะได้ใช้ในระยะยาว คือตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ก็ได้ใช้กับการเข้าถึงเข้าใจ หรือการทำให้จิตใจเราผ่องใส จิตใจผ่องใสอยู่เสมออยู่ตลอดเวลา
คือจิตใจที่เศร้าหมองขุ่นมัว หรือจิตใจที่สับสนที่ลังเล ที่ไม่เป็นปกติ เหมือนกับว่าไปติดซ้ายติดขวา ไปติดความคิด ไปติดในอารมณ์ หรือไปติดในสิ่งกระทบ ก็จะต้องชำระให้เป็น หรือให้ถูก หรือให้หมดจด
จะเจออะไรก็ไม่ให้มีปัญหา เจออะไรก็ไม่ให้จิตใจเราไปขุ่นมัวเศร้าหมอง ไม่ให้เกิดความสับสนวุ่นวายในจิต คือให้มันเป็นอยู่ตลอดเวลา ไปไหนมาไหนก็ไปด้วยจิตเบิกบาน จิตผ่องใส จิตเป็นปกติตั้งแต่เช้าจดเย็น
เราก็ต้องทำเพื่อให้ชำระจิตให้ขาวรอบ ชำระจิตของการที่เราจะไปเข้าใจว่าอะไรทำให้จิตขุ่นมัวเศร้ามอง อะไรทำให้จิตหรืออาการอย่างนั้นมันเกิดจากอะไร อาการลักษณะนี้มันเกิดจากอะไร ถ้าเราจะแก้เราแก้ที่ตรงไหน มันจะต้องเข้าใจ
เข้าใจก็คือทำได้ เข้าใจคือรู้เห็นในสิ่งที่มันเป็นสภาวะ หรือในสิ่งที่มันเกี่ยวข้อง เรียกว่าเป็นผู้รู้ เป็นผู้ดู เป็นผู้เห็น แต่ไม่เข้าไปเป็น เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงมีความสำคัญต่อชีวิตของเรา
แต่ถ้าเราจะหาข้อมูลเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตอย่างไม่มีทุกข์ ก็คือการรู้จักปล่อยวาง เรียกว่าการมองจากความเป็นจริงที่เราเข้าไปเป็นทุกข์ เข้าไปสับสนก็เพราะเราไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าคือจะแก้ที่ตรงไหน หรือจะชำระตรงไหน หรือมีเหตุเกิดจากอะไร ก็เป็นไปตามหลักที่ว่า “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค”
ทุกข์แปลว่าทนได้ยาก ทุกข์ก็คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ ความขับแค้นใจ ความสับสนวุ่นวาย เขาว่าเป็น “ทุกโขติณณา ทุกขะปะเรตา เป็นผู้ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว เป็นผู้มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว”
ก็เป็นไปตามที่มันหยั่งเอาแล้ว คือมันเข้าครอบงำจิตของเราเสมอ คำว่าหยั่งเอาแล้ว คือมันเข้าไปครอบอยู่ที่จิต แล้วมันยังไปรอเราอยู่ข้างหน้า ท่านผู้มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า เหมือนกับว่าเดี๋ยวนี้ก็ถูกครอบงำ แล้วมันก็ติดตามเราไปในการเคลื่อนไหว ในการเป็นอยู่ทุกที่
แต่ถ้าเราเข้าใจ เข้าถึง หรือชำระ รู้จัก รู้จริง รู้แจ้ง ลักษณะนั้น มันก็จะเป็นลักษณะทักท้วง ตรวจสอบ เหมือนกับว่า “นี่แน่ะนายช่างปลูกเรือน เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เจ้าจะทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป จิตของเราถึงแล้วซึ่งสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป”
จะเป็นลักษณะทักท้วงว่า นี่แน่นนายช่าง คำว่านายช่างก็คือผู้ที่มาปรุงแต่งจิต ผู้ที่มาครอบงำจิต เราก็จะได้บอกว่า นี่แน่ะนายช่างปลูกเรือน เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว โครงเรือนเราก็รื้อ ยอดเรือนเราก็รื้อ นั่นแหละคือการที่เราเรียกว่าชำระจิตให้ขาวรอบ
การที่เราจะทำให้ใจไม่มีทุกข์ คือไม่ประยุกต์สิ่งต่างๆ เข้ามาทำให้ใจเป็นทุกข์ แต่ที่มันเป็นทุกข์ก็เพราะเราไม่เข้าใจ แล้วเราไปยึดสิ่งต่างๆ มาเป็นของเรา มาเป็นลักษณะ ผิด ถูก ให้จิตของเรา
เป็นลักษณะทำอะไรก็ผิด ทำอะไรก็ถูกลักษณะนั้น คือลักษณะสุดโต่ง ซ้ายขวา สุดโต่งว่าสิ่งนี้ก็ไม่ถูก หรือสิ่งนี้ก็พอใจ แล้วก็มีไม่พอใจ มันก็เลยสุดเหวี่ยงทั้งสองด้าน พอใจก็คือพอใจมาก เสียใจก็เสียใจมาก
เหมือนกับว่าไม่อยู่ในความเป็นกลางๆ จะเป็นลักษณะสุดโต่ง ว่าทำแล้วเมื่อถึงเวลาหนึ่งสิ่งที่เราทำนั่นแหละกลายเป็นว่าไม่ชอบ กลายเป็นว่าชอบ มันก็จะเป็นลักษณะฟูๆ แฟบๆ คือจิตเรามันสุดโต่ง
ทีนี้เราจะทำยังไงมันกลางๆ ถ้ามันอยู่กลางๆ มันจะไม่กระดกแรง มันจะไม่เหวี่ยงแรง มันจะไม่ตีสวิงไปซ้ายไปขวาแรง มันจะเป็นลักษณะที่มันขยับเคลื่อนไหวตามเหตุปัจจัย ตามสภาวะ หรือตามที่มันเป็นไปตามธรรมชาติของชีวิต
ชีวิตเรามีธาตุมีขันธ์ มีตามีหู มีความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ มันก็ต้องมีการเคลื่อนไหว แต่การเคลื่อนไหวนั้นเราไม่เข้าไปเป็นลักษณะสุดโต่ง ไม่เป็นลักษณะเหวี่ยงไปแรงมันก็ตีกลับมาแรง เหมือนกับเราห้อยลูกตุ้มเอาไว้ เราผลักไปมันก็เหวี่ยง ถ้าผลักไปแรงมันก็ตีมาด้านนี้แรง
ทีนี้เราจะทำยังไงให้มองสิ่งต่างๆ ด้วยความเป็นธรรม หรือด้วยความเป็นกลาง หรือด้วยการเข้าใจ ตรงนี้ถึงต้องมีคำว่า “สติ” เข้าไปเกี่ยวข้อง เข้าไปปรับ
ถ้าลำพังเราใช้ความคิด ใช้เหตุใช้ผล ใช้ตัวของเราตัดสินใจ คิดเองเออเองพวกนี้ มันก็จะเป็นเหมือนว่าเราเข้าข้างเรา เราอาจจะไม่ถูกไม่ตรงกลาง อาจจะเป็นลักษณะนั้น ฉะนั้นเราจึงต้องมีเครื่องมือที่สำคัญ คือความรู้ตัว ความรู้สึกตัวเป็นสิ่งซึ่งเราจะต้องได้สัมผัส
ถ้าเราได้สัมผัสความรู้ตัวได้แบบเป็นลักษณะแนบแน่น เป็นลักษณะที่เข้าถึงใจ เป็นลักษณะที่มันประจักษ์แจ้งปรากฏขึ้น ก็จะทำให้การที่จิตของเราเหวี่ยงไปสุดโต่ง มันก็จะเป็นลักษณะที่เรียกว่า รู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้
รู้แล้วว่ามันจะต้องไปทางนี้ รู้แล้วว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้ คือเรารู้เหตุรู้ผล รู้ที่ไปรู้ที่มา การปฏิบัติธรรมก็เพื่อให้มันรู้แบบที่เรียกว่า ทั้งก่อนเกิด และหลังเกิด ขณะกำลังเกิด เรียกว่า รู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ๆ
โบราณท่านจึงว่า “รู้ว่าเสืออย่าเอาเรือไปจอด รู้ว่ามอดอย่าเอาไม้ไปวาง” คือเรารู้ก่อนแล้วว่ามันต้องไป การที่เรามาอยู่กับตัวรู้ดีที่สุด เราต้องการที่จะให้ตัวรู้เป็นเครื่องหมายของจิต เพราะเราเห็นว่าถ้าเราทิ้งตัวรู้เมื่อไหร่แล้วมันจะไปกับอารมณ์ ไปกับสุดโต่ง
เราก็เลยมีลักษณะที่เรียกว่าเข้าใจ เข้าถึง หรือเป็นการที่เราได้รับผล การที่เราเห็นประจักษ์ คือการที่เราใช้ไปกับชีวิต แล้วเราก็รู้ว่าอันไหนเป็นสิ่งที่ควรไม่ควร อันไหนเป็นถูกไม่ถูก อันไหนเป็นธรรมไม่เป็นธรรม พวกนี้เป็นของจริง
ที่เราใช้คือใช้ของจริง คิดอย่างนี้ หรือว่าทำอย่างนี้ หรือว่าอยู่กับตรงนี้ มันก็จะเป็นลักษณะธรรมชาติมันบอก ธรรมชาติมันสอน หรือว่าความเป็นจริงนั่นแหละ
เราจะไม่รู้แค่เหตุผล แต่เราจะรู้ถึงขณะกำลังเกิด เหมือนกับเราเป็นผู้ดู เป็นผู้เข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรงทุกๆ อย่าง เราเป็นผู้สร้าง เราเป็นผู้จัดสรร เราเป็นเจ้าของ หรือเราต้องเป็นผู้บริหารที่เป็
นธรรม มันก็จะเกิดขึ้นได้ ในการปฏิบัติก็คงทำลักษณะนั้น.