แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
พัฒนาการปรับเข้าสู่ศูนย์กลาง
วันที่ 2 มิถุนายน 2568 เป็นการทำวัตรเช้าของแต่ละวันของการอยู่ในสถานที่ปฏิบัติก็จะเป็นลักษณะนี้ คือทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น หลังจากทำวัตรแล้วก็จะเป็นการฟังธรรม
เป็นธรรมเนียมสายหลวงปู่เทียนเรา หลังจากทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นก็จะเป็นการให้ธรรมะ หรือให้ข้อคิดเตือนจิตสะกิดใจ หรือเป็นการให้หลักของการปฏิบัติ เป็นลักษณะนี้ส่วนมากของแต่ละสำนัก
เพราะฉะนั้นเช้าๆ ที่วัดทับมิ่งขวัญเราก็มีเวลาไม่มาก เพราะเราจะแบ่งเวลาการทำกิจวัตรอย่างอื่น เช่นการบิณฑบาต การบิณฑบาตก็เป็นการบิณตามปกติ ไปตั้งแต่ช่วงตีห้าครึ่งตีห้ายี่สิบประมาณนี้ ฉะนั้นก็ดีแล้วเราได้มาปฏิบัติธรรมกัน
มาเจริญสติ เจริญแปลว่าทำให้มาก ทำให้มี ทำให้เป็น เรียกว่าเจริญ เมื่อเราเจริญก็คือการสร้างสติ การสร้างคือการเคลื่อนไหว แล้วก็กำหนดความรู้สึกในขณะเราเคลื่อน เราไหว เรารู้ตัว การรู้แล้วคือ “รู้แล้วก็วาง”
การที่เรารู้แล้วก็วาง คือไม่ไปคิดแยกแยะ ไม่ไปคิดวิพากษ์วิจารณ์ในความรู้ของแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น เพราะว่าการที่เราไม่ไปแยกแยะ ก็เพราะเราต้องการดูแบบต่อเนื่อง
เหมือนกับดูอิริยาบทนี้ แล้วก็ดูอิริยาบถต่อไป คือแค่รู้แล้วก็ผ่าน แค่รู้แล้วก็ผ่าน เพื่อที่จะได้ดูเป็นปัจจุบัน “ดูเป็นขณะๆ ให้ติดต่อกันเป็นลูกโซ่”
เมื่อเราปฏิบัติเราก็เคลื่อนไหว เคลื่อนไหวแต่ละก้าวคือเหมือนลูกโซ่แต่ละข้อมาต่อกัน เคลื่อนไหวแต่ละก้าวทางซ้ายทางขวา หรือเรายกมือเคลื่อนไหว ยกมือขึ้น ยกมือเข้า เอามือออก เป็นเหมือนลูกโซ่แต่ละข้อมาต่อกัน
ท่านจึงบอกว่าให้ทำติดต่อกันเป็นลูกโซ่ จึงไม่มีการไปอธิบายในหลักตัวรู้นั้นที่กำลังรู้อยู่ ท่านเรียกว่าไปไม่แยกแยะ ไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อเราจะได้ดูเป็นปัจจุบันไปเรื่อยๆ เหมือนกับให้ทันปัจจุบัน
ถ้าเราไปแยกแยะ เราก็จะมัวแต่คาอยู่กับการแยกแยะหรือความคิด เราก็จะไม่ทันก้าวต่อไป คือไม่ได้สัมผัส ไม่รู้ขณะกำลังสัมผัส ท่านจึงให้เราดูลักษณะปัจจุบันไป แต่การดูก็เป็นลักษณะการดูที่ไม่เคร่งเครียด ไม่จริงจัง หรือไม่ไปเพ่งไปจ้อง ไม่ไปเหมือนกับว่าเน้นอะไรมาก ดูแล้วผ่าน
ดูแล้วผ่าน เหมือนกับว่าสักแต่ว่ารู้ เหมือนกับรู้บ้างไม่รู้บ้าง ไม่รู้แบบไปจดจ้องหรือไปจริงจัง ว่านี้คือความรู้สึก นี้คือสติอะไร เราก็ไม่ได้ไปแยกแยะ
ไม่ได้ไปแยกแยะดูว่าอันนี้เป็นโลภะ อันนี้เป็นโทสะ อันนี้เป็นโมหะ อันนี้เป็นอะไรพวกนี้ คือเราพยายามที่จะให้เป็นหนึ่ง หรือเป็นลักษณะให้เรา อยู่กับการตื่นรู้
เพราะฉะนั้นคำว่าตื่นรู้ คือรู้กับสิ่งที่กำลังเกิด ตื่นแล้วก็รู้ เราก็เลยต้องการให้รู้แบบตื่น คือรู้แบบเป็นปัจจุบัน คือรู้เบาๆ “รู้แค่รู้ว่ารู้” ไม่ได้ไปแยกแยะ เป็นลักษณะเพื่อให้คุ้นเคย
ทีนี้ถ้าเราปฏิบัติไป ตัวรู้สึกนี้มันจะพัฒนาการของมันเอง เหมือนกับว่ามันก็จะมีการเจริญก้าวหน้าพัฒนาการยกระดับขึ้น เหมือนกับรู้แบบละเอียดขึ้น รู้แบบชัดเจนขึ้น หรือรู้แบบหัดปล่อยวางได้ดีขึ้น
คือจิตใจเราขุ่นมัว จิตใจเราเศร้าหมอง จิตใจเราสับสน มันก็จะเริ่มปรับให้เป็นลักษณะ จิตผ่องใสหรือจิตเบิกบาน หรือความสับสนความคิดที่มันรุมเร้าทางจิต มันก็จะค่อยๆ ปรับให้ใสให้เคลียร์ขึ้นมา เป็นลักษณะอาศัยตัวรู้ตัวที่เรากำลังเคลื่อนไหวนี้เป็นตัวปรับ
เหมือนกับเรามอบหน้าที่ให้สิ่งที่เป็นด้านในเขาปรับด้านใน ความรู้สึกตัวนี้เป็นด้านใน มันเกิดขึ้นจากด้านใน ไม่ใช่เราไปวิ่งหามาจากข้างนอก แต่มันเกิดขึ้นจาก “ตัวกายเราเคลื่อนไหว แล้วใจเราไปรู้ขณะกำลังเคลื่อนไหว”
กำลังยกมือ กำลังเคลื่อนมือ ยกมือขึ้น หรือว่าเก็บมือเข้า เอามือออก เหยียดแขน คู้แขน กำมือ พลิกมือพวกนี้ เรารู้ขณะกำลังไหวอยู่นั้น มันจะเป็นลักษณะปรับจิต เหมือนว่าตัวรู้นั่นแหละเป็นตัวปรับ ปรับจิตที่มันสับสนให้มันสงบ หรือให้มันเป็นจิตที่ไม่มากเรื่อง
ถ้ามากเรื่องเขาเรียกว่าจิตไม่มีสมาธิ คือจิตฟุ้งซ่าน เรื่องนี้ยังไม่จบเรื่องใหม่มาแล้ว หรือเรื่องเก่าค้างคาอยู่ก็ไปปรุงแต่งซับซ้อนกันสลับซับซ้อน เขาเรียกจิตไม่สงบหรือจิตไม่นิ่ง แต่เราฝึกมาเป็นการรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวมันจะปรับ มันจะค่อยๆ ปรับ
เหมือนกับว่าจิตเราอยู่กับเรามานานมันเป็นความคุ้นเคย เราก็ยังไม่มีหลักที่จะไปปรับมันตั้งแต่แรก พอเราจะมาปรับมันก็ต้องดิ้นรน หรือมันจะเอาตัวรอดของมัน มันก็หลบหลีก มันก็มีเหตุผลอะไรของมัน แยกแยะอะไรมากมาย แต่เราก็ไม่ได้ลดละความเพียร คือการทำความรู้สึก
เหมือนกับว่ามันเป็นอย่างนั้นเราก็ไม่ปฏิเสธมัน เพราะธรรมชาติของจิตมันก็ชอบหมุนเวียน ชอบเปลี่ยน ชอบเพ้อ ชอบละเมอ ชอบแยกแยะ ชอบยึด ชอบไปกับสิ่งที่เป็นการเห็นการรู้การเข้าใจอะไรมันมากเรื่อง เขาเรียกจิตยังไม่นิ่ง จิตยังไม่รวมศูนย์ จิตยังไม่เป็นสมาธิ
แต่ถ้าเราฝึกสติ ความรู้ตัว คือรู้สึกอยู่กับการเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ มันก็จะเป็นการปรับ ทีนี้เราก็ปรับไปเรื่อย
การปรับนี้ไม่ใช่ว่าปรับวันเดียวหรือขณะเดียวแล้วมันจะจบ คือเราก้าวย่างแต่ละก้าวของการเป็นอยู่ของชีวิตประจำวัน เราก็เอาไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งเราไม่ได้มีโอกาสที่จะต้องมาอยู่วัดมาอยู่สำนัก มาอยู่กับวิธีการนี้มาตลอด
บางที่เราต้องไปทำงาน หรือไปเกี่ยวข้องกับอิริยาบถอื่นๆ ซึ่งก็เท่าที่กายใจเราไปเกี่ยวข้อง แต่เราก็จะประยุกต์เอาตัวรู้นี้ไปแทรกหรือไปเสริม หรือไปเกี่ยวข้องทุกๆ เรื่อง ทุกๆ ขณะ ที่เป็นการดำเนินไปของชีวิต ของการกระทำหน้าที่ลักษณะนี้
ซึ่งต่อไปก็จะเป็นลักษณะประยุกต์ใช้ ในนอกรูปแบบ ซึ่งไม่ใช่การยกมือ ไม่ใช่การเดินจงกรม แต่มันจะมีตัวคำว่า “ดูใจ” ที่เราใช้คำว่า “รู้สึกตัวดูใจ” ต่อไปบางทีเราไม่ได้ยกมือ เราไม่ได้จงกรม แต่มันจะมีตัวดูใจเกิดขึ้น คือเรารู้จักดูเข้ามาด้านใน
แต่ก่อนพอเราเห็นแล้วเราก็จะวิ่งไปปรุงแต่ง หรือวิ่งไปนึกคิด วิ่งไปกับภายนอก เอาเหตุเอาผล เอาผิดเอาถูก เอาแพ้เอาชนะ แต่พอเรามาดูด้านในเป็น มันจะตีกลับมาดูด้านใน เรากำลังคิดปรุงแต่งอยู่นะ เรากำลังไปติดยึดสิ่งนี้อยู่นะ
หรือเรากำลังเกิดสิ่งที่มันแสดงในใจเรา เราพอใจหรือเราไม่พอใจ เราหงุดหงิด เรารำคาญ มันจะมีตัวดูใจเกิดขึ้น มันจะเห็น เห็นขณะที่มันกำลังแสดง ขณะที่มันกำลังเกิด ก็เป็นเพราะว่าการเจริญสติของเรามันมีผลของการที่จะพัฒนา
จากรู้สึกตัวที่เรากำหนดรู้ในอิริยาบถ ในรูปแบบ ต่อไปมันจะเป็นลักษณะพัฒนา ไปดูอยู่กับการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ หรือในการพูด การทำ หรือการเกี่ยวข้องกับอะไรพวกนี้ มันก็จะเป็นลักษณะ “ดูใจ”
ถ้าใจมันฟูมันแฟบ ใจมันหงุดหงิดรำคาญ มันจะรู้จักปรับเอง ปรับให้มันลงมาที่ศูนย์กลาง คือมันจะมีการพบกันที่ศูนย์กลาง เหมือนกับว่าทุกอย่างต้องมาเจอกัน ต้องมาเริ่มต้นที่ตรงนี้ ฉะนั้นตัวรู้สึกตัวนี้มันจะเป็นตัวตั้ง ตัวตั้งให้เป็นศูนย์กลางให้เรา เหมือนกับว่าตัวเริ่มต้น
เหมือนกับเราขึ้นตาชั่ง พอเราขึ้นชั่งน้ำหนักมันก็จะวิ่งไปเลข 50 60 70 แต่เวลาเราก้าวลงมันจะมาเริ่มต้นให้ที่ศูนย์ ฉะนั้นตัวรู้สึก ตัวใจเรา ก็เหมือนกัน คือเราทำหน้าที่คิดนึกแยกแยะ แล้วมันจะมาเริ่มต้นใหม่ ทีนี้ตัวต่างๆ มันจะมาพบกันที่ศูนย์ คือเริ่มต้นที่ศูนย์ แล้วก็นับหนึ่งใหม่
ฉะนั้นในการที่เราจะมาปรับจิตเรา หรือจิตเราจะเป็นอย่างนั้นได้มันต้องอาศัย “ตัวรู้สึก” เป็นตัวไปเริ่มต้น ตัวรู้สึกนี้จึงเป็นตัวเริ่มต้นให้จิตอยู่เสมอ ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัดนอกวัด หรืออยู่กับการเคลื่อนไหวนอกรูปแบบก็แล้วแต่ แต่มันจะฝึก
เราฝึกเพื่อเกิดความคุ้นเคย ให้มันมาเริ่มต้นให้เรา ทีนี้การเริ่มต้นใหม่อยู่เสมอมันก็จะไม่เอาสิ่งที่มันค้างคาอยู่ในจิตขึ้นมาปรุงมาแต่ง มาแยกมาแยะ หรือเขาเรียกว่า อุปทาน
อุปทานนี้มันฝังอยู่ในจิตเรา เขาเรียกว่าเป็นความยึดมั่น หรือเป็นความที่มันจำได้หมายรู้ในสิ่งที่อยู่ในจิตนั่นแหละมันไปบวกกัน เช่นมันเคยโกรธให้สิ่งนี้ พอมันกระทบมันก็จะโกรธขึ้น เพราะมันมีตัวเก่ามาเสริม
ฉะนั้นตัวสติ มันจะเป็นการเริ่มต้นใหม่ให้เรา คือมันไม่ไปเอาที่มันค้างที่มันยึดออกมาเป็นปัญหามารบกวน มันจะค่อยๆ ปรับเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าปรับทีเดียวจบ บางทีเราปรับไปกับอิริยาบท
ฉะนั้นชีวิตเราหลังจากที่เราเข้ามาปฏิบัติ มันก็จะมีตัวเหมือนตัวช่วย ตัวแปลง ตัวแปร ตัวที่จะปรับอยู่เสมอ ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่ามันปรับ แต่ตัวมันมันทำหน้าที่เหมือนโปรแกรม ตัวรู้สึกมันทำหน้าที่ปรับให้เรา เราไปไหนมาไหนมันก็จะปรับ เขาเรียกว่าพบกันครึ่งทาง หรือเริ่มต้นที่การตั้งต้นชีวิตใหม่ ตั้งต้นจิตใจใหม่
เพราะฉะนั้นในการปฏิบัตินี้มันจะพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จากสติธรรมดาคือสติที่เรามากำหนดรู้ จากรู้สึกต่อไปมันจะพัฒนาให้เป็นหลักของสติปัฏฐาน จากสติปัฏฐานมันก็จะเป็นมหาสติ จากมหาสติมันก็จะแปลงไปอีกเป็นปัญญาเป็นญาณ
หยั่งรู้ แม้แต่ขณะกำลังนึกกำลังคิด หรือจะรู้ว่าเส้นทางนี้จะไปทางไหน ถ้ามันคิดอย่างนี้มันจะไปทางไหน มันเหมือนกับรู้ว่า สิ่งนี้มันจะไปทางผิดทางถูก หรือสิ่งนี้ควรเอามาใส่ใจ หรือไม่ควรที่จะเอามารบกวนจิตอะไร มันก็จะทำได้ด้วย
นอกจากว่ามันจะเป็นตัวช่วยอ่านช่วยแปรช่วยดูแล้ว มันยังเป็นตัวปรับ หรือเป็นตัวไปสร้างพลังให้จิตของเรานี้ทำได้ เมื่อเราไม่ต้องการเราก็สามารถที่จะหยิบออกหักออกหรือยกออกเป็น เรียกว่าเกิดปัญญาขึ้นไปตามลำดับ
ในการทำความรู้สึกตัวนี้จึงมีอานิสงส์มาก เพราะว่ามันจะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น แล้วก็ดีมากจนดีที่สุดเลย ดีที่สุดคือว่ามันไม่ทุกข์เลย ชีวิตจิตใจเราจะไม่ไปทุกข์ไปติดหล่ม ไปอยู่ในวงจรของความเคร่งเครียด ของความหงุดหงิด ของความที่มันไม่เป็นธรรม มันจะรู้จักยกออก
แล้วมันก็จะรู้จักว่า ศูนย์กลางของจิตอยู่ตรงไหน เราไปไหนมาไหนต่อไปมันจะติดตาม มันจะเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เราไปไหนมันก็จะเป็นลักษณะติดตามเราไปด้วย “กายอยู่ไหน ใจก็อยู่นั่น” “ใจอยู่ไหน สติก็อยู่นั่น”
จะทำ จะพูด จะคิด เราไม่ได้ไปคิดหา มันวิ่งมาช่วยเรา มันจะเป็นลักษณะมาช่วยเตือน ช่วยจัดสรร ช่วยจัดระบบระเบียบของจิตเรา จิตที่มันฟุ้งซ่าน จิตที่มันไม่สงบจิต จิตที่มันไปกับสิ่งหรือมีสิ่งมากระทบ นอกจากมันจะช่วยเตือนแล้วมันยังจะช่วยตัด ยังช่วยแก้ไข ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้มันดีขึ้น
เขาเรียกพบกันครึ่งทาง คนไวก็ช้าลงหน่อยหนึ่ง คนช้าก็ไวขึ้นหน่อยหนึ่ง จิตใจมันร้อนก็ปรับลงมา จิตใจเย็นเชื่องช้าเกินไปก็ปรับขึ้นมา จิตใจที่มันไม่สงบก็ปรับลงมา จิตใจที่มันเป็นลักษณะเฉื่อยชามันปรับให้ทันกัน เขาเรียกพบกันครึ่งทาง
เมื่อมันต่างสิ่งต่างปรับ ตัวใจ ตัวความคิด ตัวอารมณ์ ตัวเหตุผล ตัวกระทบ มันก็ปรับมา เป็นลักษณะทันกัน เป็นลักษณะไปด้วยกัน แล้วก็เป็นลักษณะของการที่เราจะทำให้จิตเรานี้ตื่นเบิกบาน จิตที่เคยซบเซาเหงาหงุดหงิดรำคาญง่าย มันก็จะหนักแน่นขึ้น
เหมือนกับว่ามันมีตัวมาช่วย มาช่วยให้มันอยู่ในศูนย์กลาง มันจะทิ้งศูนย์กลางไป มันก็ตีกลับมาให้ เหมือนกับเรามีบ้าน เราไปไหนเราก็กลับมาบ้าน เราไปเที่ยวเราไปธุระเราไปทำงานเราไปประชุม เราก็ต้องกลับบ้าน เขาเรียกมีที่อยู่
จิตเราถ้ามันมีที่อยู่ มันก็จะรู้จักกลับมาตั้งต้น หรือมาหาที่ที่มันได้พักผ่อน ได้ผ่อนคลาย ได้อบอุ่น ได้เป็นความปลอดภัย ได้เป็นลักษณะที่มันเป็นที่เริ่มต้น เราจะทำอะไรต่อไปวันข้างหน้าหรือในอนาคตอะไรพวกนี้ มันจะเป็นที่ให้เราได้มากลั่นกรอง ฉะนั้นตัวสติมันเป็นหลายอย่าง
หลวงปู่เทียนท่านจึงว่า “เหมือนฟ้ากรวมดิน” เหมือนฟ้ากรวมดินคือ เรามองไปทางไหนเหมือนฟ้าจรดดิน เหมือนฟ้ามันโค้งรอบดินเอาไว้รอบโลก เราทำสติตัวเดียวมันไปหลายๆ เรื่อง ไปแก้ด้านใน ด้านคิด ด้านจิต ด้านอารมณ์ด้านอะไร มันปรับ เหมือนฟ้ากรวมดิน เป็นลักษณะนั้น
เราก็คงจะได้ปฏิบัติตามโอกาส มีเวลาเราก็ปฏิบัติไปเรื่อยๆ มีโอกาสแล้วเราก็มาช่วยกันเผยแพร่ในสิ่งที่ดีๆ ให้สิ่งที่เราได้พบไปสู่เพื่อนร่วมโลก ก็จะเป็นอานิสงส์ ท่านเรียกว่าเป็นกำไรชีวิต หลวงปู่เทียนท่านว่า
เพราะฉะนั้นเรามาปฏิบัติดูแล้วก็เห็นอานิสงส์นั้น ถือว่าเป็นหลักคำสอนที่เรามอบความไว้วางใจ แล้วก็จะนำไปปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงธรรม จะได้เอาไปใช้กับชีวิตของเราได้ทุกขณะ.