PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์คำไม ฐิตสีโล
  • ลึกลงสู่ด้านในสู่ความหลุดพ้น 31 พ.ค. 68
ลึกลงสู่ด้านในสู่ความหลุดพ้น 31 พ.ค. 68 รูปภาพ 1
  • Title
    ลึกลงสู่ด้านในสู่ความหลุดพ้น 31 พ.ค. 68
  • เสียง
  • 13922 ลึกลงสู่ด้านในสู่ความหลุดพ้น 31 พ.ค. 68 /aj-kammai/2025-05-31-04-19-15.html
    Click to subscribe
ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์คำไม ฐิตสีโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันเสาร์, 31 พฤษภาคม 2568
วัด/สถานที่บรรยายธรรม
วัดทับมิ่งขวัญ
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ลึกลงสู่ด้านในสู่ความหลุดพ้น

    เป็นการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมเป็นสัจธรรมที่เป็นสิ่งซึ่งเราสัมผัสได้ คือการปฏิบัติธรรมเป็นของจริงหรือว่าสัจธรรม เพราะเป็นสิ่งที่มีการเจริญก้าวหน้า การพัฒนาหรือการทำให้มีความเจริญมีความก้าวหน้าขึ้นได้

    ฉะนั้นเราก็เลยมีการปฏิบัติในอิริยาบถในการเป็นอยู่ ในการเคลื่อนไหว ถ้าเราปฏิบัติสัมผัสกับปัจจุบัน กับความรู้ตัวได้ ก็จะถือว่าการปฏิบัติธรรมของเราอยู่ในเส้นทางที่ต่อเนื่องหรือที่เพิ่ม เพิ่มความมีธรรมะ หรือเข้าถึงธรรม หรือการแนบแน่นได้มากขึ้น

    ในทุกขณะของการเคลื่อนไหว เป็นผู้ดู เป็นผู้เห็น ท่านจึงว่าเป็นการปฏิบัติอยู่ในตัว เหมือนกับในตัวของการเคลื่อนไหว จะเป็นลักษณะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ หรือเป็นลักษณะที่เรียกว่ามีความได้สัมผัสอยู่เป็นปกติ

    การปฏิบัติธรรมคือการที่เราฝึกสติ จนสติมันมีมาก จนมันเข้าไปดูด้านใน หรือเข้าไปแก้ไข เข้าไปจัดระบบระเบียบ เข้าไปจัดความที่ไม่เป็นปกติให้ปกติ คือเข้าไปจัดการแก้ไขด้านในให้เรา เหมือนกับเป็นเครื่องมือ เหมือนกับเป็นอุปกรณ์

    เหมือนกับว่าเราก็ทำหน้าที่ แต่ว่าตัวด้านในเขาก็จัด เขาก็ทำหน้าที่จัดระบบระเบียบจิตใจให้เรา จะให้ความคิดจะให้เหตุผลหรือจะให้อะไรอยู่ระดับไหน เป็นสิ่งซึ่งเรามีการเจริญสติอยู่เสมอ

    แต่ว่าตัวที่จะเป็นตัวสมาธิตัวปัญญามันก็อยู่ด้านใน ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับสติที่เราฝึก เหมือนกับว่าชาร์จไฟ หรือเหมือนกับว่าชาร์จแบตเตอรี่ หรือเหมือนกับว่าชาร์จธรรมะ เข้าไปเพิ่ม เข้าไปขยาย เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเป็นสัจธรรม ก็เลยเป็นการปฏิบัติอยู่ทุกเวลา

    เราทำอะไรหรือว่าที่เกี่ยวข้องกับกายกับใจก็เป็นการปฏิบัติ เราจึงมีการเคลื่อนไหวตามหน้าที่ หรือตามเหตุปัจจัย หรือตามธรรมชาติ ทีนี้สติก็จะพัฒนาการเจริญก้าวหน้า ไปเป็นสมาธิ ไปเป็นปัญญา

    คือในการปฏิบัติธรรมก็ต้องมีความชำนาญตามลำดับตามขั้นตอนเหมือนกัน เหมือนกับว่าพัฒนาการของจิต จากตรงนี้เข้าไปถึงตรงนี้ จากตรงนี้เข้าไปเกี่ยวข้องกับตรงนี้อะไรพวกนี้ จากการที่เราไม่ได้มาเป็นผู้ดูหรือไม่ได้มากำหนดรู้ เราก็จะไม่ได้มองกลับเข้ามา แต่พอเราได้กำหนด ได้มีสติ มันก็จะมอง

    มองกลับเข้ามา เป็นลักษณะของการเพิ่ม หรือเข้าใจ หรือเข้าถึง แล้วก็เพิ่มความลึก ความละเอียด หรือความที่จะเข้าไปแก้ไขได้มากขึ้นได้ละเอียดขึ้น มันก็มีขั้นตอน เขาเรียกมีเส้นทาง เส้นทางคือเส้นทางทางธรรม

    ตามที่หลวงปู่เทียนท่านได้บอกเอาไว้ พอเรามาปฏิบัติแล้วก็เป็นไปตามเส้นทาง เป็นไปตามขั้นตอนของการปฏิบัติเลย คือหลวงปู่เทียนท่านวางเส้นทางของการปฏิบัติไว้อย่างละเอียด หรือไว้อย่างรัดสั้นเหมือนกับว่ากะทัดรัด

    เป็นลักษณะที่มันมีขั้นมีตอนที่ชัดเจน แล้วก็เป็นไปตามหลักของธรรมชาติ เป็นไปตามหลักของเส้นทางธรรม ก็จะเป็นลักษณะที่มันไปตามลำดับ จากรูปนาม ไปหาการดูความคิด ดูปรมัตถ์ มันก็จะเป็นไปตามนั้น

    แล้วก็ไปเห็นสิ่งที่เป็นด้านใน ด้านโลภะ ด้านโทสะ ด้านโมหะ การเห็นก็คือเห็นอยู่บ่อยๆ เห็นอาการที่มันแสดง เห็นอาการที่มันเกิด ก็เป็นการปฏิบัติ

    แต่ในเบื้องต้นของการปฏิบัติที่เรามาสร้าง สร้างความรู้สึก สร้างความรู้ตัว สร้างให้สัมผัสกับอาการ เรียกว่ากายในกาย พอเราสัมผัสอาการกายในกายแล้วก็จะเหมือนกับ ตัวที่อยู่ในกายคือใจ

    กายานุปัสสนาคือเราทำกายในกาย พอเราสร้างตัวที่อยู่ในกาย หรือสัมผัสตัวที่อยู่ในกาย เหมือนกับเป็นลักษณะของการเข้าไปสู่วงใน หรือเข้าไปสู่การดูสิ่งที่อยู่ในหรืออาการที่อยู่ใน เขาเรียกว่าในกาย ในกายก็มีใจ

    ทีนี้ยังมีตัวคำว่าเวทนาในเวทนา คือตัวเวทนาในเวทนาแล้วก็มีตัวจิตในจิตอีก แล้วเข้าไปถึงตัวธรรมในธรรม คือการที่เราเห็นด้านในเข้าไป เป็นลักษณะจากด้านในก็เข้าไปสู่ด้านในอีก

    เวทนาในเวทนาอย่างนี้ เวทนาก็เป็นด้านในอยู่แล้ว ยังมีตัวที่เรียกว่าอยู่ในเวทนาอีก อยู่ในเวทนาก็คือสภาวะอากาศต่างๆ จากเวทนาที่เราสัมผัสขณะกำลังเกิด กำลังมี ก็จะเข้าไปดูในเวทนา ก็จะเข้าไปสู่จิต เมื่อมันอยู่ด้านในมันจะลึกเข้าไป เป็นผู้เห็นจิตแล้ว

    จากการที่เราเห็นกาย แล้วก็เข้าไปเห็นเวทนา แล้วก็เข้าไปเห็นจิต เห็นจิตคือเห็นจิตเห็นใจเรา เห็นจิตเห็นใจเห็นอาการต่างๆ ที่มันเกิดกับจิต ความโกรธ ความโลภ ความหลง พวกนี้เป็นอาการของจิต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

    เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เมื่อเรามีตาในหรือมีตัวอยู่ด้านใน ดูด้านในก็จะเห็นอาการเกิด หรืออาการดับ ท่านเรียกว่าเวทนาก็อยู่ในเวทนานั้นแหละ มีอาการ จิตก็มีอยู่ในจิตนั้นแหละ มีอาการ จนไปถึงเห็นคำว่าเห็นธรรมในธรรม

    เป็นลักษณะของการเห็นของธรรมชาติ โดยเป็นภาพรวมทั้งเห็นกายทั้งเห็นใจ คือเห็นครบถ้วน เห็นเหมือนกับว่าเราอยู่ในที่สูงเรามองมาที่ต่ำ ก็จะเห็นอะไรได้มาก ได้รอบด้าน ไม่มีอะไรมาบัง

    แต่ถ้าเราอยู่ในระดับเดียวกันมันอาจจะมีตัวนี้มาบังตัวนั้นมาบัง เหมือนเรามองอยู่บนพื้นราบก็ต้องมีต้นไม้มีบ้านมีเรือนมีอะไรมาบัง แต่ถ้าเราขึ้นไปที่สูงขึ้นไปบนเขาบนเนินที่มันสูงกว่าที่ราบ มองไปมันก็จะสูงกว่าที่มันบัง ก็จะมองเห็นรอบด้าน

    เพราะฉะนั้นการที่เราเห็นธรรมในธรรม คือเห็นธรรมชาติส่วนที่เป็นเวทนา ส่วนที่เป็นสัญญา สังขาร ส่วนที่เป็นวิญญาณ ส่วนที่เป็นวิญญาณคือการรู้ ตาเห็น หูได้ยิน เขาเรียกวิญญาณ แม้แต่เรารู้สึกตัวก็จะเรียกว่ารู้สึก จะเรียกว่ารับรู้

    รับรู้ด้วยใจ รับรู้ด้วยจิต ก็เป็นญาณเป็นวิญญาณ คือเป็นการรับรู้ทางตาทางหู แม้อายตนะสัมผัส กายสัมผัส ตาเห็นรูปได้เรียกว่าตามีวิญญาณ หูได้ยินเสียงได้เรียกว่าหูมีวิญญาณ ถ้าตาไม่เห็นรูปเขาเรียกตาบอด ตาไม่เห็นภาพเขาเรียกตาไม่มีวิญญาณ

    ฉะนั้นความรู้สึกตัวก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้สึกตัวได้ก็เรียกว่าใจ สัมผัสใจก็มีวิญญาณรับรู้ เพราะฉะนั้นคำว่าวิญญาณแปลว่าการรับรู้ เป็นธรรมชาติที่เรารู้เห็น แต่มันจะมีตัวลึกเข้าไปกว่านั้น เขาเรียกว่าญาณ ญาณปัญญา

    ญาณปัญญาจะแตกต่างกับวิญญาณ ตรงที่ญาณปัญญามันหยั่งรู้เรื่องของจิต เรื่องของกายเรื่องของจิตโดยละเอียด มันจะไปแยกแยะว่า หรือมันจะไปตัดตอน หรือมันจะไปยกสิ่งที่มันจะข้องจะชนจะเข้าไปทิ่มแทงจิต มันยกออกหรือมันป้องกัน หรือมันเป็นลักษณะที่รู้ก่อน รู้เท่ารู้ทัน

    จะเป็นลักษณะที่เรียกว่าเป็นตัวป้องกันจิต หรือเป็นตัวที่จะรู้ในสิ่งที่มันเป็นความละเอียด ความละเอียดของจิต การจะกระทำการหรือไม่กระทำ การจะเกี่ยวข้องด้วยความเป็นธรรม ก็อาศัยญาณปัญญาจะเป็นตัวตัดสิน หรือจะเป็นตัวป้องกัน หรือจะเป็นตัวทำให้จิต หรือทำให้สิ่งที่จะมากระทบหลุดออกไป เพราะมันมีการประกอบ

    ฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมมีการประกอบกันขึ้น ก็มีหลายตัวแต่ว่าเป็นลักษณะอยู่ด้านในนั่นแหละ เหมือนกับเรามีเครื่องยนต์กลไกแล้วมันประกอบ ประกอบหลายอย่างมันถึงเป็นลักษณะที่ใช้งานได้

    เหมือนกับเรามีรถยนต์ รถยนต์ประกอบไปด้วยด้านใน จะเป็นน้ำมันจะเป็นเครื่องยนต์จะเป็นน้ำมันเครื่องหรือจะเป็นสายไฟหรือจะเป็นอะไร พวกนี้ประกอบการขึ้นทั้งนั้น มันมีหัวฉีดมันมีหัวจ่ายมันมีตัวที่จะเป็นลักษณะทำให้มันทำงานได้

    ต้องประกอบแม้แต่นาฬิกา แม้แต่เครื่องใช้ต่างๆ เครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องใช้ทั่วไป มันก็มีการประกอบ แต่การประกอบประกอบโดยมนุษย์ หรือประกอบขึ้นจากผู้ค้นพบจากผู้ได้ทดลองได้มีประสบการณ์ จนออกมาใช้งานได้

    ทีนี้ในจิตในใจของเราก็ประกอบกันมากมาย มีธาตุ มีขันธ์ มีอายตนะ มีความคิด มีอารมณ์ มีเหตุมีผล มีอะไรสารพัดแล้ว มันอยู่ด้านใน

    เพียงแต่ว่าถ้าเราเกิดความเข้าใจ หรือเกิดเขาเรียกว่ามีความชำนาญ หรือที่เรียกว่ามีประสบการณ์ เราก็จะเลือกเอาที่มันใช้งานเฉพาะเรื่องเฉพาะหน้า หรือเราจะซ่อมจะแก้ตรงไหนมันแก้ได้ เป็นลักษณะแต่ละอย่างแต่ละขั้นตอน เขาเรียกมีความชำนาญ

    เหมือนกับช่างแก้เครื่องช่างยนต์พวกนี้ เขาดูเขาชำนาญถ้ารื้อน๊อตรื้อสกรูออกเขาโยนไว้ๆ เลย คือเขาจำได้เขารู้เขามีความชำนาญ เขามีกล่องล้าง แต่ถ้าเราไม่ชำนาญบางทีเราถอดแล้วเราต้องกองนี้อยู่ด้านซ้าย กองนี้อยู่ด้านขวา กองนี้จะเป็นลักษณะไม่ให้หลง บางทีต้องมีตัวเขียนตัวช่วยความจำอีกหลายด้าน บางทีประกอบแล้วยังเกินยังลืม เขาเรียกว่าเป็นลักษณะยังไม่มีประสบการณ์มาก แต่ถ้ามีประสบการณ์มากก็ชำนาญ มันก็จะรู้ขั้นตอน

    ฉะนั้นในการปฏิบัติก็เหมือนกัน ในด้านจิตใจของเรามีสิ่งที่เกิดดับ เกิดเป็นธรรมชาติเกี่ยวข้องกับชีวิตจิตใจ ถ้าเรามีความชำนาญเราก็จะรู้จักที่จะสังเกต รู้จักที่จะเป็นที่ตั้ง รู้จักที่จะประกอบกันขึ้น เป็นลักษณะทำให้จิตของเราทำงานได้ไม่ติดขัด ไม่มีสิ่งที่ยุ่งยาก ไม่เป็นปัญหา เรียกว่าเมื่อจิตได้ฝึกดีแล้ว

    เพราะฉะนั้นในการฝึกสติ จึงลึกเข้าไป ลึกเข้าไปด้านใน เป็นลักษณะเห็น เห็นมาประกอบกับด้านนอก คือด้านในด้านนอกก็ต้องมาประกอบกัน เขาเรียกมีรูป มีนาม มีความคิด มีเหตุมีปัจจัยต่างๆ เป็นลักษณะมีปัญญาญาณเกิด

    ผลสุดท้ายก็คือปัญญาญาณ จากการที่เราดูสิ่งต่างๆ ดูสิ่งที่เป็นลักษณะนามธรรม ซึ่งนามธรรมมีรายละเอียดอยู่ในตัวของมัน ก็มีเหตุ มีปัจจัย มีเส้นทาง

    เพราะฉะนั้นในเส้นทางการปฏิบัติแบบหลวงปู่เทียน ท่านประสบขึ้นมาท่านก็บอกว่า ตรงนี้ไปถึงตรงนี้ อย่างไปถึงขันธ์ ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ ขันธ์แปลว่าถี่ ขันธ์แปลว่ารองรับ ขันธ์แปลว่ากลุ่มก้อน

    ศีลขันธ์ก็เป็นกลุ่มของศีล สมาธิขันธ์ก็เป็นกลุ่มของสมาธิ หรือแม้แต่เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ก็เป็นกลุ่ม กลุ่มของเวทนา กลุ่มของสัญญา กลุ่มของสังขาร กลุ่มของวิญญาณ

    ทีนี้มันจะเป็นลักษณะรู้แบบถี่ คือรู้แบบเป็นลักษณะไม่หลง เป็นลักษณะควบคุมให้อยู่ในความรู้ได้แบบต่อเนื่อง ไม่มีความหลงมาแทรกแซงมารบกวนอะไรมาก ท่านจึงเรียกว่าแปลว่าถี่ แปลว่าเห็นต่อเนื่อง

    เพราะฉะนั้นก็ลึกเข้าไปๆ จนไปถึงปัญญาญาณ ไปถึงอธิ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ท่านเรียกว่าอธิศีลสิกขา สิกขาแปลว่าถลุง สิกขาคือความเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มาเกี่ยวข้องกับจิตเรา จะไปเกี่ยวข้องกับการที่เรียกว่ามันหลุด มันจืด มันจาง หรือมันไม่กระทบ หรือไม่ทิ่มแทง เรียกว่าไม่มาทิ่มแทงจิต.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service