PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์คำไม ฐิตสีโล
  • ใจล้างอุปทาน 3 มิ.ย. 68
ใจล้างอุปทาน 3 มิ.ย. 68 รูปภาพ 1
  • Title
    ใจล้างอุปทาน 3 มิ.ย. 68
  • เสียง
  • 13949 ใจล้างอุปทาน 3 มิ.ย. 68 /aj-kammai/3-68-2.html
    Click to subscribe
ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์คำไม ฐิตสีโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันพฤหัสบดี, 05 มิถุนายน 2568
วัด/สถานที่บรรยายธรรม
วัดทับมิ่งขวัญ จ.เลย
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ใจล้างอุปทาน

    เป็นการฟังธรรมกัน เพราะฉะนั้นการที่เรามาปฏิบัติก็คือการเจริญสติ คือทำกำหนดสติให้รู้สึก ให้มีสติรู้ตัว เป็นการฝึกใจเรา คือใจมันอยู่ด้านใน มันเป็นสิ่งซึ่งเป็นกลางๆ หรือเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม

    ทีนี้เราฝึกสติก็เพื่อที่จะให้สติไปฝึกไปถึงไปฝึกที่ใจ แต่ว่าเราจะหาวิธีฝึกเพื่อที่จะให้เข้าไปถึงใจ เราก็เลยได้มีวิธีจากหลวงปู่เทียน หลวงปู่เทียนท่านได้ปฏิบัติธรรม แล้วก็เข้าไปถึงการดูใจ หรือการที่จะไปทำสิ่งที่เป็นการพัฒนา หรือสิ่งที่ทำให้จิตใจเข้าถึงธรรม

    คำว่าเข้าถึงธรรม คือเข้าถึงความเป็นสัจธรรม ที่เป็นจิตที่ปกติ คือจิตธรรมชาติของจิตมันปกติ แต่ว่ามันมีสิ่งซึ่งไปทำให้จิตไม่ปกติ เราก็เลยมาดู การที่เราจะดูหรือแก้ไขถ้าเราไม่มีวิธีการก็จะดูยาก เพราะว่าจิตมันเป็นสิ่งซึ่งมีความละเอียด หรือเป็นสิ่งซึ่งเป็นนามธรรม จึงต้องมีการเจริญ

    เจริญแปลว่าทำบ่อยๆ ทำให้รู้สึกตัว ฉะนั้นจุดสำคัญของการปฏิบัติ คือความรู้ตัว เป็นลักษณะให้ความรู้สึกตัวจัดสรร ให้ความรู้สึกตัวไปทำหน้าที่ในการที่จะไปขัดเกลา การที่จะไปชำระจิต หรือการที่จะทำให้จิตสงบ จิตเป็นปกติก็ต้องอาศัยความรู้ตัว

    ที่เราปฏิบัติกันนี้คือ ฝึกเพื่อให้ได้สัมผัสกับความรู้ตัว คือเป็นลำดับต้นๆ แล้วก็เป็นลักษณะให้เกิดต่อไปต่อเนื่อง เป็นลักษณะให้ติดต่อกัน หรือเป็นการให้เจริญก้าวหน้าจากความรู้ตัวที่เราทำ ฉะนั้นเราก็เลยมีการเคลื่อนไหว

    การเคลื่อนไหวเป็นการกำหนดความรู้ตัว ถ้าอยู่กับความรู้สึกตัวก็คือถูกธรรม หรือถูกต้อง หรือเป็นธรรม แต่ถ้าไม่อยู่กับความรู้สึกตัวมันก็ยังไม่ตรง หรืออาจจะเป็นลักษณะยังไม่แน่นอน เป็นลักษณะยังไม่ตรง

    แต่ด้วยการที่เรียกว่าการฝึกเริ่มไปจากการที่ อาจจะรู้บ้างไม่รู้บ้าง หรืออาจจะรู้ตรงบ้างไม่ตรงบ้าง แต่ทั้งหมดก็เพื่อรวบรวมให้มันตรง หรือเพื่อให้มันเกิดเส้นทางที่เป็นสายตรง จึงต้องมีการปฏิบัติบ่อยๆ

    เหมือนกับว่าอันไหนที่มันไม่ตรง เราก็ยังอยู่ในเส้นทางอยู่ในหลักการ ทำไปทำมาจนกว่ามันจะจัดสรรความเป็นเส้นตรง หรือไปสู่จิตสู่ใจของเราได้ ฉะนั้นเราจึงมีการฝึก ฝึกจากความรู้สึก ฝึกจากการเคลื่อนไหว ฝึกจากกิริยาบถ

    เราเรียกว่า ดูกาย ดูจิต ดูคิด ดูธรรม แต่ถ้าเราไปดูโดยละเอียด บางทีมันก็อยู่ที่ตัวที่จะสู่ความละเอียด คือตัวสติจะไปสู่ความละเอียดเพิ่มมากขึ้นโดยธรรมชาติ เราจึงต้องมาอยู่ที่การสัมผัสรู้ อยู่กับสติอยู่เสมอ

    ส่วนสิ่งที่เป็นสมมุติมันก็มากมาย ในโลกเรามีแต่สมมุติมีแต่สิ่งต่างๆ อยู่แล้ว ก็เลยต้องให้เป็นหลักไว้ก่อน หลักคือกลับมาอยู่กับการเคลื่อนไหว แล้วก็รู้สึกตัว จากการที่เรากำหนดรู้ ต่อไปมันจะเป็นลักษณะของการรู้ รู้แบบกำหนดบ้างไม่ได้กำหนดบ้าง ก็รู้ได้

    หรือความรู้มันจะชัดเจน ไม่ไปหลายเรื่อง มันก็เป็น “เอกัคคตาจิต” คือจิตเรามันไม่ไปหลายเรื่อง ก็จะเป็นลักษณะตรง เป็นสายตรง ฉะนั้นการปฏิบัติธรรม จึงมีผลที่เป็นการเข้าไปสู่เส้นทาง มีประการเดียวนี้แหละ คืออยู่กับความรู้สึกตัว

    ส่วนสิ่งแวดล้อมนั้นเราต้องจัดสรรตามสมมติ หรือจัดสรรไปตามสิ่งที่เป็นหลักคำสอน หลักคำสอนคือการเลิกละสิ่งเสพติด คือการอยู่ในการเคลื่อนไหว อยู่ในกติกาต่างๆ หรืออยู่ในรูปแบบของสมมุติ

    อย่างเราเป็นสมณะเป็นพระก็อยู่ในรูปแบบของความเป็นพระ เราเป็นนักปฏิบัติก็อยู่ในรูปแบบของการเป็นนักปฏิบัติ เราเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นเสนาสนะ หรือสิ่งที่เป็นวัตถุทั้งหลาย พวกนี้มันก็เป็นไปตามสมมติ

    แต่หลักการของการปฏิบัติ จะอยู่ที่ตัวความรู้สึก ตัวความรู้สึกจะเป็นลักษณะเป็นสายตรง เป็นสายตรงของนักปฏิบัติ เราไม่ได้ไปพูดถึงสิ่งต่างๆ มาก

    คือถ้าเราพูดถึงสติแล้วมันก็รวมทั้งหมด เรียกว่ารวมทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา เป็นรวมทั้งหมดก็แล้วกัน เป็นลักษณะที่เรียกว่ามันจบ หรือมันเป็นสิ่งที่เรียกว่าไปตามระบบกลไกของธรรมชาติ เราก็เหมือนกับว่าทำตรงนี้แล้วมันไปเป็นสิ่งต่างๆ

    เหมือนกับเราทานอาหาร เราเรียกว่ามาทานอาหารหรือมาทานข้าว แต่อยู่ในข้าวหรืออยู่ในโต๊ะมันก็มาก เราไม่ได้ไปแยกแยะชื่ออาหาร เพียงแต่บอกว่าทานข้าวก็คือมันมีครบอยู่แล้ว ทั้งกับทั้งแกงทั้งหวานทั้งผักทั้งผลไม้ทั้งอะไรมันก็อยู่ตรงนั้น แต่เราเรียกว่าทานอาหาร

    ฉะนั้นการเจริญสติเราก็เหมือนกัน เราเรียกว่าเจริญสติ แต่จริงๆ สติมันก็มีครบ ทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา ทั้งจิตตะ ทั้งธรรมะ พวกนี้เรียกว่าเป็นไปเพื่อความรู้พร้อม เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ เราจึงกลับมา อยู่กับการปฏิบัติ

    การปฏิบัติเรามีการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวของกาย ซึ่งเป็นลักษณะอาศัยกายที่เราเคลื่อนไหว แต่โดยธรรมชาติของกายมันมีการเคลื่อนไหวอยู่แล้ว มันก็มีการเป็นธรรมชาติ ลุก ยืน เดิน นั่ง นอน คู้ เหยียด เคลื่อนไหว โดยธรรมชาติของกายของใจมันก็เคลื่อน

    แต่ว่าโดยการปฏิบัติธรรมนี้จะมีตัวกำหนด หรือตัวเติมเข้าไปในการเคลื่อนไหวนั้น คือเติมสติ เติมความรู้สึกเข้าไป เป็นลักษณะที่เราเรียกว่า เป็นการให้เกิดสมาธิ เกิดปัญญา

    ถ้าเราเคลื่อนไหวแล้วเราไม่ได้เติมความรู้ตัว หรือไม่ได้เติมสติ คือเป็นการเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณหรือตามธรรมชาติ เป็นธรรมชาติที่เคลื่อนอยู่แล้ว คนทั่วไปก็เคลื่อนไหวอยู่แล้ว ชีวิตทุกชีวิตเคลื่อนไหวอยู่แล้ว

    แต่ที่เป็นพิเศษหรือเป็นวิปัสสนา วิปัสสนาแปลว่า ต่างเก่า ล่วงจากสภาวะเดิม เพราะฉะนั้นที่มันจะต่างเก่าที่มันจะล่วงจากสภาวะเดิม คือการกำหนดสติ ถ้าเรามีความเขาเรียกแม่นยำในสติ มันจะไปได้ไว เพราะตัวที่จะเป็นหลักเป็นตัวเชื่อมเป็นตัวกลางเป็นตัวประสาน ก็คือสติ

    ฉะนั้นเราจึงมาหาว่าการเคลื่อนไหวของเรา การที่เราจะกำหนดรู้ ดูใจดูกายเรา เราจะมาดูว่าความรู้ตัว หรือสติ หรือความเป็นปัจจุบัน หรือให้ใจกับความรู้สึก ให้ใจกับกายมันตรงกัน จึงมีคำอุปมาหรือเปรียบเทียบว่า เหมือนแม่กุญแจกับลูกกุญแจ

    ถ้าแม่กับลูกมันตรงกัน มันก็เปิดกันได้ง่าย คือเราเปิดเราก็ออก แต่ถ้ามันไม่ตรงกันเราเปิดมันไม่ออก เพราะมันไม่ตรงกัน ฉะนั้นเรื่องของกาย เรื่องของจิต เรื่องของสติ เรื่องของการปฏิบัติ ก็ต้องตรงกัน ต้องเป็นอันเดียวกัน เป็นลักษณะที่มันใช้กันได้ มันเปิดกันได้

    มันจะเปิดเข้าไปเห็นภายใน หรือเปิดใจของเราได้ จึงต้องอาศัยฝึก ฝึกจนมันตรงกัน เหมือนกับว่าความเป็นที่สุด ความเป็นที่สุดของทุกข์ คือรู้จักว่าทุกข์มาจากไหน เหตุปัจจัยมาด้วยอะไร แล้วก็จะแก้อย่างไร จะปรับจะดูอย่างไร

    พวกนี้จะต้องเป็นลักษณะที่เรียกว่า มีความตรงกัน มีความที่มันจะหลุดออกจากกัน คือตัวกิเลส ตัวตัณหา ตัวอุปทาน มันติดอยู่กับกาย ติดอยู่กับใจ ติดอยู่กับตัวเรา ซึ่งโดยทั่วไปมันก็จะติดอยู่อย่างนั้น เหมือนว่ามันเป็นสัญชาตญาณ เกิดมามันก็ต้องมีเลยสัญชาตญาณหรือเป็นอย่างนั้น

    แต่ในการปฏิบัติธรรมนี้ จะเป็นลักษณะรู้ลึก รู้ลึกเข้าไปถึงการที่จะทำให้มันหลุดพ้น หรือทำให้มันไม่ต่อกัน หรือทำให้มันไปตัดแก้กัน ไปถึงกัน ทั้งเราใช้คำพูดว่าถึงกัน ทั้งใช้คำพูดว่าแยกกัน ก็เป็นได้ทั้งสองอย่าง บางอย่างก็เพื่อให้สติเข้าไปถึงใจ

    แต่เมื่อสติเข้าไปถึงใจ มันก็แยกพวกที่มันเป็นลักษณะส่วนที่มันไม่เป็นธรรม ส่วนที่มันเป็นสิ่งที่แอบแฝงเข้ามา หรือสิ่งที่มันฝังมันติดแน่นอยู่กับกายกับจิต ซึ่งมันออกยาก เขาเรียกว่าเป็นเหมือนว่า มันติดแล้วมันออกยาก เขาจึงเรียกว่าอุปทาน

    อุปทานท่านจึงเรียกว่า เป็นเหมือนความยึดมั่น หรือเป็นเหมือนยางเหนียว หรือเป็นเหมือนที่สิ่งที่ติดแล้วมันแน่น มันล้างไม่ออก มันดึงไม่ออก มันเปิดไม่ออก มันไม่มีอะไรที่จะไปดึงไปปลดไปเปิด แต่พอเรามาปฏิบัติธรรม เราจะอาศัยตัวสติให้มันไปตรงกัน มันก็จะเป็นลักษณะเปิดกันได้ เหมือนกับว่าหลุดไปได้ หรือเห็นได้ในสิ่งที่มันเป็นอยู่ด้านใน จะเป็นลักษณะอย่างนั้น

    ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมก็เลยกลายเป็นว่าอยู่กับเรื่องเก่านั่นแหละ แต่ว่ามันจะพัฒนาไปสู่เรื่องใหม่ หรือพัฒนาไปสู่ความเจริญก้าวหน้าโดยตัวของมันเอง ท่านจึงเรียกว่าเป็นสูตร

    สูตรที่พระพุทธเจ้าได้ทรงรับรองว่าเป็น “เอกายโน ภิกขเว” คือเป็นหนทางอันเอก หรือเป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้เกิดความหลุดพ้น หรือความรู้แจ้ง หรือความเป็นที่สุดของทุกข์ เราจึงมีการปฏิบัติกันทุกวัน เพราะเราเป็นผู้ที่เขาเรียกว่าแสวงหา เป็นผู้ที่ต้องการค้นหาสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ตั้ง 2,600 ปี

    ถ้าเราจะนับเอาจากวันที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานเป็น 2,568 ปี แต่ถ้านับจากวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็เพิ่มไปอีก 45 ปี เพราะหลังจากที่พระองค์ตรัสรู้แล้วก็มีชีวิตหรือมีการเผยแผ่ต่อมาตั้ง 40 กว่าปี ฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมเราก็เลยว่า 2,600 ปีบ้าง หรือ 2,568 อะไรก็แล้วแต่เราจะนับเอา

    จริงๆ แล้วเป็น 2,000 กว่าปีมาแล้ว แต่เรายังพิสูจน์ได้ หรือยังที่จะค้นหาที่ตัวเราได้ เป็นลักษณะนั้น ซึ่งเรามีศรัทธาหรือลองฝึกฝนอบรม เราจะเห็นความเบา ความโปร่ง ความโล่ง ความเย็น หรือความเป็นปกติเพิ่มมากขึ้น ก็เป็นอานิสงส์ แต่มันก็ลึกเข้าไปกว่านั้นอีก

    ลึกเข้าไปจนเห็นสิ่งที่มันหลุดออกไปจากจิต แต่ก่อนมันเกิดอะไรขึ้นมันก็วิ่งเข้าไปถึงจิต หรือจิตก็จะไปปรุงแต่ง ไปยึดมั่น ไปวิ่งตาม หรือถูกมันครอบงำ ต่อไปจะไปเห็นว่ามันหลุดได้อย่างไร มันเข้าไม่ถึงจิตได้อย่างไร หรือว่าทำให้จิตเราไม่ไปเปรอะเปื้อนได้อย่างไร

    จะมีตัวที่มันเกิดขึ้น ซึ่งเราเรียกว่า ตัวปัญญา ตัวญาณ ตัวที่เป็นอาการที่มันเกิดมันดับ จะเป็นลักษณะเห็นประจักษ์ หรือเกิดประจักษ์ในสิ่งนั้นขึ้นมา หรือเกิดสิ่งนั้นมันเป็น แต่ก่อนมันไม่เคยหลุดแต่มันหลุดไปได้ ถือว่าเกิดการเปลี่ยนแปลง ท่านจึงเรียกว่าเป็นวิปัสสนา หรือการเปลี่ยน

    วิปัสสนาแปลว่า ต่างเก่า ล่วงจากสภาวะเดิม คือมันต่างจากแต่ก่อน หรือมันผ่านล่วงจากสภาวะที่มันเคยเป็นทุกข์ ที่มันเคยติดยึด ที่มันเคยหมกมุ่น ที่มันเคยเป็นอย่างนั้นมัน เหมือนกับว่ามันจืด

    ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วมันจืด เหมือนกับเราเคยทานอาหารอร่อย พอเราเป็นไข้ปุ๊บลงไป เราไปทานมันจะไม่อร่อย เหมือนกับมาแตะลิ้นเผ็ดก็เผ็ดมาก เค็มก็เค็มมาก จนเรียกว่าทานข้าวไม่ได้ แค่ข้ามวันหรือข้ามชั่วโมงถ้าเราไข้เมื่อไหร่มันก็จะเป็นเมื่อนั้น

    ฉะนั้นคำว่าจืด หรือคำว่าเปลี่ยนแปลง มันก็เกิดขึ้นในขณะที่มันเป็นเหมือนยึดมั่น หรือเหมือนเป็นปัญหาอยู่เสมอไป พออีกวันหนึ่งมันเปลี่ยน มันเกิดญาณ เกิดปัญญาขึ้นมา มันก็จะเป็นลักษณะ “ย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง เขาเรียกเป็นทางแห่งพระนิพพาน อันเป็นธรรมหมดจด” ที่เราสวดกัน.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service