แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ธรรมชาติของการประจักษ์รู้
ฟังธรรมกันในตอนเช้าของวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 เป็นช่วงเข้าสู่ฤดูฝน ฝนก็ตกทุกวันก็เป็นธรรมชาติ เราอยู่กับธรรมชาติอยู่กับสิ่งต่างๆ แต่จริงๆ แล้ว การปฏิบัติธรรมก็คืออยู่กับตัวเอง เห็นตัวเอง รู้ตัวเอง
คำว่าการปฏิบัติธรรม คือการที่กำหนดรู้สึก นอกจากคำว่าเห็นตัวเอง รู้ตัวเอง ยังรู้ลึกเข้าไปสู่ความรู้ตัว คือรู้กายในกาย คำว่ากายในกายคือเป็นการรู้อาการที่อยู่ในกาย เป็นหลักของมหาสติปัฏฐาน 4
“กายานุปัสสนา ดูกายในกาย” “เวทนานุปัสสนา ดูเวทนาในเวทนา” “จิตตานุปัสสนา ดูจิตในจิต” “ธรรมมานุปัสสนา ดูธรรมในธรรม” ก็เป็นลักษณะของการดู แต่ฐานแรกๆ คือกายานุปัสสนาคือดูกายในกาย
เพราะฉะนั้นคำว่าดูกายในกาย คือดูอาการที่อยู่ในกาย ธรรมชาติของชีวิตเราจะมีอาการ พูดถึงอาการคือพูดถึงความรู้สึก พอดูความรู้สึกอยู่ในกาย เป็นลักษณะที่เรารู้สึกก็คือใจ ดูกายดูใจนั้นแหละ ที่เราเรียกว่ารู้อยู่กับตัวเอง ดูตัวเอง คือดูกายในกาย ก็คือรู้สึก
เพราะฉะนั้นคำว่าปฏิบัติธรรมในสายงานการเจริญสติ หรือในรูปแบบของหลวงปู่เทียน จิตฺตสุโภ คือการรู้สึกตัว ในการปฏิบัติคือการว่ารู้สึกตัว เป็นลักษณะของการรู้กายในกาย คือรู้ รู้สึกถึงอาการต่างๆ คือรู้ขณะเคลื่อนไหว
ใกล้เข้ามาอีกก็คือดูขณะตรงไหนมันเคลื่อน ใกล้เข้ามาอีกคือเจตนาในการเคลื่อน เช่นเราพลิกมือ คว่ำมือ ยกมือ เจตนาเป็นจุดเป็นที่เป็นทาง เพื่อจะได้สัมผัสแบบต่อเนื่อง แบบเป็นลูกโซ่
เพราะถ้าเราดูโดยธรรมชาติดูอาการกายในกาย แต่อาการกายในกายก็มีทุกส่วน ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามันก็จะมีอาการ คือเราก็เห็นอาการที่เกิดกับร่างกาย ที่เป็นอาการที่ปรากฏขึ้น หรือที่เราเห็นชัด
แต่ด้วยการที่จะมีเจตนาในการกระทำแบบต่อเนื่อง หรือมีความชัดเจน หรือเป็นลักษณะเป็นลูกโซ่ ก็จะมีการกำหนดเป็นที่เป็นทาง หรือเป็นจุดหมาย เช่น เราพลิกมือเราก็รู้ที่การพลิกมือ เราเดินจงกรมเราก็รู้ที่การเดินเท้าสัมผัส เป็นลักษณะให้เห็นในส่วนที่เราเจตนา
แต่ส่วนต่างๆ ทุกส่วนของร่างกายเกิดเราก็ชำเลืองดู กลับมาหาจุดที่เรามีเจตนา ให้สัมผัสเพื่อให้ต่อเนื่อง ให้เป็นลูกโซ่ ก็เลยเป็นลักษณะรู้ทุกส่วน แต่เวลาไม่มีส่วนอื่นที่ปรากฏเราก็กลับมารู้เป็นจุด เป็นที่เป็นทาง เป็นลักษณะของการรู้ประจักษ์
รู้ประจักษ์หมายถึง รู้แบบอาการ เห็นอาการ คำว่าเห็นคือสัมผัส สัมผัสรู้ คือรู้สึกนั่นแหละ คำว่าเห็นก็อาจจะไปคิดเห็น หรือไปเหมือนกับว่าตาเห็น ที่จริงแล้วก็เป็นตาแต่เป็นตาใจ แต่คือความรู้ตัวที่เป็นอาการที่อยู่ภายในใจ หรือภายในความรู้สึก
คือเป็นลักษณะของธรรมชาติที่มันมีอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของคนเรามีมาตั้งแต่เกิดแล้ว เพียงแต่ว่าเราไม่โยงใย ไม่ฟื้นฟู หรือไม่ทำให้ปรากฏขึ้นมาเป็นจุด เป็นลักษณะประจักษ์ เป็นลักษณะที่เป็นความต่อเนื่อง
พอเรามาปฏิบัติธรรม เราจึงมาฟื้นฟูตรงความรู้ตัวนี้ให้ปรากฏขึ้นอยู่เสมอ ให้ต่อเนื่อง หรือให้ติดต่อกันเป็นลูกโซ่ คือเอาใจใส่ในการที่จะกลับมารู้สึกตัวนี้ จะเป็นลักษณะรู้ประจักษ์ ที่เราเรียกว่ารู้ประจักษ์แจ้ง
คือสิ่งที่มันเป็นอาการ ถ้าเราไม่ใส่ใจหรือไม่มีเจตนาหรือไม่มีใครแนะนำ บางทีเราไม่สนใจ มันเป็นเหมือนสิ่งที่อยู่ใกล้ๆ แต่ก่อนเราก็ไม่สนใจ ที่เราได้ยินคำว่าเหมือนหญ้าปากคอก
หญ้าปากคอกก็คือมันอยู่ใกล้ๆ คอก คอกวัวคอกควายจะมีหญ้าขึ้นงามเพราะมันได้ฝุ่นจากมูลวัวมูลควายเป็นฝุ่น แต่วัวควายมันก็จะไม่ค่อยกินหญ้าปากคอก พอปล่อยออกไปมันก็จะไปกินหญ้าสั้นๆ ตามทุ่งนา
เพราะฉะนั้นตัวที่อยู่ใกล้ๆ เรา ความรู้สึกตัวนี่ก็เหมือนกัน ส่วนมากคนไม่ค่อยดู เราก็จะไปคิดหา คิดว่า คิดเห็น หรือคาดคะเน หรือได้ยินมาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ภพอย่างนี้ชาติอย่างนี้ เป็นลักษณะไปรู้จักรู้จำมา
แล้วก็เอามาขบคิด หรือเอามาร้อยเรียงให้เป็นประโยค ให้เป็นเรื่องเป็นราว เบาโล่งโปร่งอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็เลยกลายเป็นว่ารู้นอกจากส่วนที่เป็นภายใน คือเอาความคิดไปดู เหมือนกับเอาความคิดเป็นตัวตัดสิน หรือเป็นตัวเดินหน้าทำให้เกิดปัญญา
แต่พอมาปฏิบัติในรูปแบบการเจริญสติแบบหลวงปู่เทียนเรา เป็นลักษณะให้เกิดหลัก เกิดฐาน เกิดที่ตั้งจากภายใน แล้วจะอาศัยตัวที่เกิดจากความรู้ตัว หรือตัวที่เกิดจากฐานสัมผัสรู้ภายในขยายขอบเขตการรู้การเห็น ออกไปสู่การดูเข้าไปในจิตโดยตรง
คือไม่ได้ไปคิดหาว่าอยู่ตรงไหน หรือมีลักษณะอย่างไร แต่สัมผัสรู้ แม้จะเป็นความคิดก็เป็นธรรมชาติอีกส่วนหนึ่งที่ธรรมชาติต้องคิด แต่ว่าการประจักษ์รู้นี้เป็นธรรมชาติอีกส่วนหนึ่ง ฉะนั้นจะแยกกัน แม้แต่ความคิดกับความรู้สึก
ในการปฏิบัติธรรมในการเจริญสติของเรา จึงรู้แบบพื้นๆ หรือรู้แบบที่มันเป็นใกล้ๆ ตัวเรา ถ้าพูดไปแล้วก็คืออยู่ในตัวเรา
ไม่ได้ไปค้นหาจากแหล่งนอก ไม่ได้ไปบอกไปจำ หรือไปเอาว่าอาจารย์นั้นพูดอย่างนี้ อาจารย์นี้พูดอย่างนี้ ตำราที่จะเราจะเอามาปรุงมาแต่งมาคิด มันเป็นลักษณะรู้แบบความคิด มันจะวิ่งเลาะด้านนอกด้วยเหตุด้วยผล
แต่การรู้ประจักษ์แบบด้านใน มันจะแสดงเป็นลักษณะ ให้เราเห็นสิ่งที่ผุดขึ้นมาโดยธรรมชาติ
เช่น เห็นความคิดมันผุดขึ้นมา เห็นอาการหรือความเป็นสภาวะ สภาวะธรรม ความดีใจเสียใจ ความหงุดหงิด ความรำคาญ ความวิตก ความกังวล ความเศร้าหมอง ความขุ่นมัว แม้แต่ความรักความชังก็เกิดขึ้นจากภายใน เกิดขึ้นจากการที่เรียกว่าเป็นสัญชาตญาณ เป็นความคิด หรือเป็นอารมณ์
แต่การรู้แบบ “รู้สึก” มันจะเข้าไป “เห็น” พวกนี้ ทีนี้คำว่า “เห็นแล้ว ไม่เข้าไปเป็น” ที่เห็นแล้วมันจะรู้จักว่า เกิดตรงนี้แล้วมันจะเป็นอย่างนี้ อันนี้เกิดขึ้นแล้วจะเป็นอย่างนี้ เขาเรียก “รู้เห็นตามความเป็นจริง”
เกิดอาการอย่างนี้เราเรียกว่าโกรธ เกิดอาการอย่างนี้เราเรียกว่าหงุดหงิด เกิดอาการอย่างนี้เราเรียกว่ารำคาญ หรืออาการอย่างนี้เราเรียกว่าปกติ มันก็จะเป็นลักษณะเห็นประจักษ์ หรือเห็นแจ้งตามความเป็นจริง
เราก็รู้ไปเล็กๆ น้อยๆ ขณะๆ ไปอย่างนี้ แต่เวลามันโตขึ้นๆ คือมันจะรวบรวม มันจะรวมเป็นลักษณะความมีพลัง การที่เราเล็กๆ น้อยๆ รู้ขณะๆ ปัจจุบัน รู้จักฐานตื้นๆ ไปสู่ความเป็นผู้รู้แบบลึกๆ เป็นผู้รู้แบบประจักษ์
มันจะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป หรือเป็นลักษณะเส้นทางที่จะทำให้เกิดพลัง เกิดพลังจะเป็นลักษณะไปแก้ไขสิ่งที่เป็นอารมณ์ สิ่งที่เป็นความรู้สึกนึกคิด หรือสิ่งที่ทำให้จิตเราไม่เป็นปกติเป็นธรรม มันจะไปแก้หรือมันจะรู้จักเลือก
มันจะรู้จักคือมันจะมีปัญญา เขาเรียกญาณ ปัญญาตัวนี้มันเป็นปัญญาที่เป็นญาณ ไม่ใช่ปัญญาแบบนึกคิดจากภายนอก ไม่ใช่ปัญญาแบบรู้จัก รู้จำ แต่มันเป็นปัญญาแบบ รู้แจ้ง รู้จริง คือมันรู้จากการรวบรวมของสติปัฏฐาน ของการฝึกหัดการเคลื่อนไหว การกำหนดสติรู้สึกตัว
แต่มันจะรวบรวมไปเป็นญาณ คือหยั่งรู้ พออะไรเกิดขึ้นแล้วมันจะมีญาณเกิดขึ้น หยั่งรู้ รู้แล้วไม่ไหลไปกับสิ่งนั้น รู้แล้วไม่เข้าไปถูกครอบงำ หรือรู้แล้วรู้จักสลัดออก สลัดให้หลุด สลัดคืน กลับมาที่ตัวเป็นกลางๆ จิตสว่างสงบ เป็นจิตว่างๆ เป็นจิตที่มันเป็นปกติ คือมันเลือกได้ มันเห็นแจ้ง
การปฏิบัติธรรม มันเห็น มันเป็น มันมี คือไม่ใช่คาดคิด ไม่ใช่คาดคะเน ไม่ใช่เอาเหตุเอาผลมาแยกมาแยะมารวมกัน แล้วก็จะเป็นลักษณะไปแก้ปัญหาของจิต ไม่ใช่อย่างนั้น
แต่มันจะเป็นลักษณะ “เห็น” จิตที่มันเกิดในสิ่งเกี่ยวข้อง หรือในสิ่งที่มาปรุงแต่งจิต มันจะเห็นจากด้านใน หรือเห็นจากตัวจิตเลย มันไม่ใช่ไปเอาเหตุเอาผลข้างนอกมาเป็นตัวแก้ด้านใน
แต่มันเป็นตัวเอาสิ่งที่เป็นญาณปัญญาจากด้านใน ที่เห็นแล้วก็หลุดพ้น เห็นแล้วก็ไปประจักษ์แจ้ง เห็นแล้วก็ไม่เข้าไปเป็น เห็นแล้วก็รู้จักจำรู้จักถอย มันอยู่ที่สติปัญญาแล้ว
ถ้าใครมีสติปัญญาลึกมันก็จะละเอียดเข้าไป ถึงกับเกิดปุ๊บเห็นปั๊บ สามารถปรับทันที ไม่ต้องรอให้มันลากจิตลากใจของเราไปยาวๆ มันจะตัดสินทันทีว่า อ๋อ..อันนี้ไม่เป็นธรรม อันนี้ไม่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ อันนี้ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นปกติ
คือเป็นประสบการณ์มันจะรู้ทันทีว่า เส้นทางนี้ไปทางนี้ ลักษณะนี้จะเป็นไปอย่างนี้ เพราะปฏิบัติบ่อยๆ เห็นบ่อยๆ หรือว่ารู้ประจักษ์ตามความเป็นจริง มันก็จะเกิดเป็นญาณ หรือเกิดเป็นความชำนาญ หรือเกิดเป็นรู้แบบการเห็นตามที่มันเป็น
แล้วเราก็จะมีปัญญาในการที่จะให้จิตของเราอยู่ตรงไหน ให้จิตของเราตั้งอยู่ในสภาวะอย่างไร จิตถึงจะเรียกว่าเป็นปกติ เพราะฉะนั้นเราดูจิตเห็นจิต ก็เป็นลักษณะของการรู้ประจักษ์ จากสิ่งที่เป็นความรู้สึกตัวเล็กๆ นั่นแหละ แต่มันจะมีพลังไปเพิ่มไปเห็นสิ่งที่มันเป็นธรรมชาติของจิต
สภาวะอาการต่างๆ ที่เราเรียกว่าโลภ โกรธ หลงก็ดี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือสิ่งที่มันจะแสดงออกทางกาย ทางวาจา ทางใจ ล้วนมาจากสิ่งที่ประกอบเรียกว่าเป็นผลที่จะรวมในการที่จะกระทำไปสู่กรรม
เขาเรียกว่าตั้งแต่พวกกิเลส ตัณหา อุปทาน กรรม มันก็จะเป็นลักษณะไปสู่การกระทำ กระทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แล้วถ้ากระทำไปแล้วมันมีผล เขาเรียกว่าเป็นผลจากการกระทำ ที่ภาษาเราเรียกว่าวิบาก คือผลต่อจากกรรม จึงเรียกว่ากิเลส ตัณหา อุปทาน กรรม แล้วก็วิบาก
แต่การปฏิบัติธรรมนี้จะเห็น เห็นสิ่งที่เป็นกิเลส เห็นสิ่งที่เป็นตัณหา เห็นสิ่งที่เป็นอุปทาน เห็นสิ่งที่เป็นกรรม แล้วสิ่งที่จะนำต่อการกระทำ กระทำด้วยกาย กระทำด้วยวาจา กระทำด้วยใจ มันจะมีผลอย่างไร จะเป็นลักษณะเป็นไปอย่างไร จึงต้องมีการรู้ รู้จากความรู้ตัว
เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติ เบื้องต้นเราก็ต้องรู้จักว่าสิ่งนี้เกิดจากการทำความรู้สึก การปฏิบัติสัมผัสรู้ แล้วส่วนปัญญาญาณ หรือปัญญาที่มันจะไปแก้ไขสภาวะจิต คือเฝ้าดูอาการที่เป็นความรู้สึก แล้วมันจะไปเห็นสิ่งที่เป็นการ เกิด ดับ หรืออาการที่มันแสดง เขาจึงเรียกว่าปัญญาเกิด
แล้วมันก็จะลึกเข้าไป ละเอียดเข้าไป ในที่สุดเราก็อยู่ในเส้นทางธรรมไปตั้งแต่ต้น ไปท่ามกลาง แล้วก็ไปสู่ความเป็นที่สุด ที่สุดของทุกข์ ทุกข์ที่มันเกิด เกิดจากอุปทาน เกิดจากใจขุ่นมัวเศร้าหมอง มันจะแก้ได้ทันที ท่านจึงเรียกว่าทำที่สุดแห่งทุกข์
ที่เราสวดกันในทำวัตรว่า “ทำไฉนการทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ที่จะเกิดขึ้นหรือจะทำให้ดับไป ทำไฉนการทำที่สุดแห่งกองทุกข์ถึงจะปรากฏชัดแก่เราได้” เป็นลักษณะเราจะทำอย่างไร ก็คือต้องมาปฏิบัติที่ความรู้ตัว หรือสติ เป็นฐาน เป็นที่ตั้ง.