แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
เหมือนลูกกุญแจกับแม่กุญแจ
เจริญสติเป็นการปฏิบัติอยู่กับสติ อยู่กับความรู้ตัว อยู่กับปัจจุบัน คือเป็นสิ่งที่ไปกับชีวิตของเรา ไปกับการเคลื่อนไหว ไปกับอิริยาบถ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ไปที่ไหน ทำอะไรก็มีสติไปด้วย
คำว่ามีสติไปด้วยคือมีความรู้สึก ความรู้สึกระลึกรู้ไปด้วยก็ได้ เป็นลักษณะที่เรียกว่า อยู่กับกายอยู่กับจิตของเรา ไปไหนมาไหนเราก็เป็นลักษณะที่เรียกว่า สติแนบแน่นอยู่กับการเป็นอยู่
พอลืมตาขึ้นตื่นขึ้นจากการหลับ เราก็มีตัวรู้เข้าไป วิ่งเข้ามา หรืออยู่กับตัวรู้ได้ เหมือนกับว่าไปไหนมาไหนก็ได้เกี่ยวข้อง ก็ได้มีสติ เป็นการดูภายใน หรือเป็นการดูกายดูจิต รู้สึกตัวไปกับการเคลื่อนไหว รู้สึกตัวไปกับอิริยาบถ รู้สึกตัวไปกับการเป็นผู้ดู เป็นผู้เห็น
คือเป็นการสัมผัสตัวที่เป็นปกติ เหมือนกับว่าเราจะดูว่าจิตเราปกติหรือไม่ปกติ เราก็กลับมาดูที่ตัวเครื่องหมาย หรือตัวที่จะเป็นตัวแทน หรือตัวชี้บอก เป็นตัวบอกว่าเป็นลักษณะไหน เป็นลักษณะที่เรามองเห็นได้
เหมือนกับเราจะดูไฟฟ้า สายนี้มีไฟมั้ย สายนี้มีไฟมั้ยอะไร เขาก็ต้องมีเครื่องวัด เครื่องวัดไฟเป็นเครื่องหมายบอกว่าสายนี้มีไฟสายนี้ไม่มีไฟมันถึงจะมองเห็น ถ้าเราไม่มีตัววัดก็มองไม่ออก ก็มีหลายวิธี แต่ว่าเราจะใช้วิธีไหนที่มันดูได้ง่าย เป็นวิธีต่างๆ ได้หลายวิธี
เพราะฉะนั้นในการดูสติเราก็เหมือนกัน ดูใจเราก็เหมือนกัน ใจเราจะเป็นอย่างไรเราดูผ่านความรู้ตัว ดูผ่านสติ มันจะเป็นลักษณะบอกว่าใจฟู ใจแฟบ ใจปกติ หรือใจอยู่กับกระแสยังไง มันก็จะเป็นเครื่องหมายเป็นนิมิตให้เราเห็น ให้เราได้ทักท้วงตรวจสอบ
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของเราก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่เราทำเป็นปกติอยู่แล้ว การเคลื่อนไหว การกำหนดรู้ การเจริญสติเราก็กำหนดไปเรื่อยๆ เป็นลักษณะนั้น
การเจริญสติ การเจริญภาวนาก็เลยไปกับการสัมผัสรู้ ทีนี้สำคัญตรงที่ว่า เราจะทำอย่างไรมันถึงจะเป็นอย่างนั้นได้ คือทำอย่างไรมันถึงจะแนบแน่นอยู่กับชีวิตจิตใจของเรา
ตัวสติ ตัวรู้สึก ทำอย่างไรมันถึงจะแนบแน่น ถึงจะต่อเนื่อง ถึงจะมองเห็นได้ หรือเอามาใช้ได้ทุกเวลา ในขณะที่เราเคลื่อนไหว ในขณะที่เราทำหน้าที่ต่างๆ เราต้องการให้มีสติอยู่กับความเป็นปกติ หรือเป็นตัวตรวจสอบอยู่เสมอ ทำยังไงถึงจะเป็นอย่างนั้นได้
ที่เราปฏิบัติก็เพื่อให้มันเป็นอย่างที่เรียกว่า ไปด้วยกันเสมอ หรือเป็นอัตโนมัติ หรือแนบแน่นอยู่กับชีวิตจิตใจ เราถึงมีการฝึก มีการเก็บอารมณ์ มีการเจริญสติเพื่อให้มันเป็น การที่มันจะเป็น การที่มันจะมี การที่มันจะตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา มันก็ต้องเป็น
การจะทำให้มันเป็น คือสิ่งที่เราต้องใช้เวลา ใช้โอกาส ใช้ความเพียรในการที่จะเฝ้าดู ก็เลยอยู่ที่ว่าเราจะใช้วิธีการ หรือใช้กุศโลบายยังไงถึงจะเหมาะกับตัวเรา
เราจะใช้เดิน หรือนั่ง หรือกำหนดรู้ไปยังไงกับการดำเนินชีวิต กับการเป็นอยู่อย่างนี้ เราหาจนเรียกว่า ได้ที่ได้ทาง ได้ที่ได้ทางได้ที่ตั้งเอาไว้ ก็เลยกลายเป็นเรื่องของการปฏิบัติ ก็ดีแล้วการเจริญสติทำให้เราอยู่กับปัจจุบัน หรืออยู่กับความเป็นผู้รู้
ซึ่งตัวสตินี้จะเป็นตัวไถ่ถอน หรือเป็นตัวชำระจิต เหมือนกับว่าจิตเราฟู จิตเราแฟบ จิตเราไปติดไปข้อง ไปกับกิเลสตัณหาอุปาทาน พวกจิตที่มันไปเอียงซ้ายเอียงขวา เราก็เลยกลายเป็นว่าต้องมีวิธีการ หรือมีเครื่องช่วย เครื่องตรวจสอบด้วยเครื่องช่วยด้วย
นอกจากตรวจสอบเห็นแล้วก็แก้ไขให้ด้วย ท่านเรียกว่าเป็นทั้งตัวตรวจสอบ เป็นทั้งตัวปลดเปลื้องแก้ไข เป็นทั้งตัวชำระจิต เป็นทั้งตัวปรับให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้น ให้มีความเป็นปกติเกิดขึ้น การเจริญสติก็เป็นลักษณะนั้น เราจึงต้องมีการปฏิบัติ มีการเจริญกันเป็นปกติ
เรามีกิจวัตรคือ มีการปฏิบัติกันเป็นหน้าที่ หรือเป็นสิ่งที่เราทำกันเป็นปกติ การปฏิบัติธรรมบางทีความคิดหรืออารมณ์หรือใจของเรามันก็คุ้นเคยกับการไปกับกระแส ไปกับความคิด ไปกับอารมณ์ ไปกับสิ่งที่มาปรุงแต่ง มันเคยอยู่มันเคยไหลมันเป็นใหญ่ เขาเรียกมันครอบงำจิตเรามานาน
การที่เราจะไถ่ถอน หรือจะชำระจิต หรือจะดึงจิตของเราให้มาอยู่กับความเป็นปกติ ก็เลยต้องมีการเติมตัวรู้สึกเข้าไป คำว่าเติมตัวรู้สึกคือ เติมตัวสติเข้าไป
ยิ่งเราหวั่นไหว ยิ่งเราจิตไม่เข้มแข็ง ยิ่งเราชอบไปกับกระแส ไปกับอารมณ์ความคิดปรุงแต่ง เราถึงต้องมาอยู่กับความรู้สึกตัวให้มาก เพราะความรู้สึกตัวจะเป็นตัวหยุด เหมือนกับว่าเป็นตัวไปกระตุก หรือเป็นตัวไปหยุดให้จิตที่มันกำลังไหล หรือกำลังถูกความคิดครอบงำ กำลังเอียงซ้ายเอียงขวาพวกนี้ ให้มันกลับมาสู่ความเป็นปกติ
ฉะนั้นการที่เรากำหนดรู้ หรือรู้สึกตัวได้แต่ละครั้ง ก็เลยกลายเป็นการแก้ไข กลายเป็นการชำระ หรือกลายเป็นการปรับจิต หรือกลายเป็นหลัก เพื่อที่จะเป็นเครื่องหมายตรวจสอบความเป็นกลาง ความเป็นธรรม หรือความเป็นปกติ
ถ้าเรารู้สึกตัวได้ชัดเจน หรือความรู้สึกตัวมันตรงกัน มันตรงกันคือมันเป็นลักษณะที่เข้ากันพอดี เหมือนกับลูกกุญแจกับแม่กุญแจ ถ้ามันเข้ากันเป็นแม่ลูกเดียวกัน หรือเปิดกันได้มันก็เปิดไม่ยาก เช่นเราบิดหน่อยเดียวมันก็หลุด
แต่ถ้ามันไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงกันมันไม่หลุด มันจะไม่หลุดมันจะไม่กระเด็นออก ถึงแม้มันจะเข้ากันได้ถ้าเราหมุนไปแล้วมันไม่ออก แสดงว่ามันไม่ใช่อันเดียวกัน มันยังไม่ตรงกัน เราก็เลยต้องทำ หาลูกใหม่หาตัวที่มันเข้ากันเปิดกันได้ง่าย เปิดกันได้โดยไม่ต้องไปบิดแรงมันก็ออกได้ ถ้ามันตรงกัน
ฉะนั้นเรื่องกาย เรื่องจิต เรื่องความคิด เรื่องอารมณ์ เรื่องความยึดมั่นอุปทานที่จะเป็นกรรมเป็นวิบาก ถ้ามันตรงกันหรือถ้ามันได้แนวเดียวกัน ตัวรู้สึก ตัวสติ กับตัวใจ กับตัวกายการเคลื่อนไหวมันตรงกัน มันมองหรือมันหลุดกันได้ไม่ยาก
เพราะสิ่งที่มันเป็นการตรงกัน ระหว่างกายระหว่างใจ ระหว่างความรู้สึก หรือสติ มันอยู่ในแนวที่มันตรงกัน มันก็ไป มันก็หลุดออกได้ง่าย เพราะฉะนั้นที่เราทำที่เราหา คือให้มันตรงกัน ตรงกันแล้วมันก็จะเป็นลักษณะแม่ลูกเดียวกัน มันก็เปิดก็ปิดก็ไม่ยุ่งยากอะไร สามารถที่จะปรับแก้หรือปรับจูนหรือจัดสรร
ในการปฏิบัติก็เป็นลักษณะนั้น เราจึงต้องมีการเจริญ เจริญแปลว่าทำให้มาก เจริญคือการเพิ่มความชัดเจน เพิ่มความแม่นยำ เพิ่มความเป็นปัจจุบัน เจริญสติคือทำให้มีสติมาก
เกี่ยวข้องกับคำว่าเจริญสติ คือเกี่ยวข้องกับสติ มันเป็นลักษณะของการหาความเป็นศูนย์กลาง หาความเป็นทางสายกลาง หาความตื่นรู้ หรือการมองเห็นประจักษ์แจ้งในจิตในใจของเรา
การที่เราหาหรือการที่เราสัมผัสรู้เป็นหลัก ตัวรู้ตัวประจักษ์มันจะเป็นหลักเสียบ หรือเป็นหลักปัก หรือเป็นหลักแก้ หรือเป็นหลักจูนให้มันลงตัวกันนั่นแหละ จูนบ่อยๆ บางทีอยู่ในช่วงนี้ อยู่ในแบบนี้ หรืออยู่ในลักษณะนี้
บางทีเราต้องการอยู่แบบยืนเดินนั่งนอน หรือแบบเป็นอิสระ หรือแบบอยู่กับตัวรู้โดยตรง ไม่มีอะไรมารบกวนจิตมาก ก็ต้องเหมือนแต่ละอย่างเป็นการปฏิบัติ เป็นลักษณะการหา หาให้ได้พบ พอพบแล้วก็จะเป็นลักษณะ เห็นแล้ว
เหมือนกับเราหาของที่หล่นหาย หรือหาของเราต้องการหา พอหาเจอแล้วก็คือไม่สงสัย ไม่ลังเล เพราะมันเห็น มันเห็นแล้ว มันได้แล้ว ก็เลยกลายเป็นลักษณะมันตรงกัน หรือมันจูนเข้ากันเป็นแนวเดียวกัน หรือเป็นแม่
ลูก ถ้าเป็นกุญแจคือมันเปิดมันปิดกันได้ เป็นลักษณะนั้น.