{ampz:shareampz}
แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
**(12.43)**
ท่านผู้ฉลาดเหล่านั้นหมั่นเจริญกรรมฐาน
มีความเพียรมั่นอยู่เป็นนิจสิน
บรรลุพระนิพพานอันเป็นสภาวะที่สูงส่ง
อิสระจากกิเลสเครื่องผูกมัด
*(พุทธวจน)*
---
**(12.08)**
ธรรมชาติของคนเราเนี่ยจะมีความรู้สึกอยู่ 3 อย่าง
ที่เป็นความรู้สึกอยู่เสมอๆ ในแต่ละวัน
คือความรู้สึกที่เป็นสุข
ความรู้สึกที่เป็นทุกข์
และก็ความรู้สึกที่ไม่สุขไม่ทุกข์ เฉยๆ กลางๆ
บางทีก็บอกไม่ได้นะ
ว่าตอนนี้นี่เราเป็นสุขหรือเป็นทุกข์กันแน่
นี่แหละ ในแต่ละวันเนี่ย
ก็มีอยู่แค่นี้ ไม่เกินจาก 3 สิ่งนี้ไปได้
พูดถึงความรู้สึกทางด้านจิตใจนะ
เดี๋ยวเป็นสุข เดี๋ยวก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว
ต่อไปก็อาจจะมีความทุกข์เข้ามาแทรก
หรือบางครั้งจิตมันก็เฉยๆ
ไม่รู้มันจะไปทางไหนกันแน่ สุขหรือทุกข์กันแน่
เป็นอยู่แค่นี้ แต่ก็เป็นธรรมดานะ
เพราะว่าคนเราเนี่ย
ก็ต้องวนเวียนอยู่ในความรู้สึกแบบนี้แหละ
พูดถึงเรื่องความรู้สึกที่เป็นสุข
คนทั่วไปก็ดูจะไม่มีปัญหา
จะมีปัญหาก็ต่อเมื่อเราติดสุข ชอบความสุข
เสร็จแล้วเวลาความสุขมันเปลี่ยนแปลงไป
ใจเรามันก็เป็นทุกข์อีกแล้ว
เพราะว่าติดอยู่ในความสุข
ระวังให้ดีนะ
คนที่ติดอยู่ในความสุขมากๆ
สุขจากการกิน สุขจากการนอน สุขจากการท่องเที่ยว
เมื่อเราแสวงหาสิ่งนั้นไม่ได้
เดี๋ยวเราก็ต้องเป็นทุกข์
แต่อีกอาการหนึ่งก็คือ
ความรู้สึกที่เป็นเฉยๆ กลางๆ
บางทีมันก็มีความสุขเหมือนกันนะ
บางคนชอบความสงบนิ่ง เฉยๆ
ไม่อยากไปรับรู้อะไร
บางทีใจก็มีความสุขซ่อนอยู่นั่นเหมือนกัน
แต่ถ้าขาดสติ ขาดความรู้สึกตัวแล้ว
มันก็มีโอกาสที่จะไปเป็นทุกข์ได้เหมือนกัน
อันนี้ดูไม่ค่อยจะมีปัญหา
แต่ปัญหาของมนุษย์ทั่วไป
ก็คือเรื่องของ “ความทุกข์” นี่แหละ
ความทุกข์ไม่มีใครต้องการ
อยากหนี อยากหลุด อยากพ้น
คนที่จะปฏิบัติธรรมหรือไม่ปฏิบัติธรรม
ก็ไม่ค่อยชอบตรงนี้ทั้งนั้น
มีใครชอบความทุกข์บ้าง — ไม่มี
บางทีความทุกข์เนี่ย
มันเป็นประสบการณ์ เป็นครูของเราเลยนะ
แต่ถ้าเราไม่เข้าใจในส่วนนี้
ก็รังเกียจ อันนี้ก็ไม่เป็นไร เป็นเรื่องธรรมดา
ความทุกข์เนี่ยไม่มีใครชอบ
แต่เราก็ไม่สามารถจะหลีกหนีได้
ทีนี้ถ้าหากว่าเรามีสติสักหน่อย
เวลามันเกิดความสุขขึ้นมาทางด้านจิตใจ
เรามีสติ รู้ทัน
ไม่หลงระเริงในความสุขนั้น
เราไม่ห้ามความสุข แต่เรามีสติรู้ไว้
อย่าปล่อยจิตปล่อยใจให้หมกมุ่นอยู่กับความสุข
เรารู้ไว้ แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ฝึกที่จะปล่อยวางความสุขบ้าง
และในขณะเดียวกัน
ถ้าใจเรายังเป็นทุกข์
มีความทุกข์เกิดขึ้นในจิตในใจเรา
เราก็อย่าลืมสติ
เรียกสติมาใช้
ให้รู้เท่าทันในความทุกข์ที่เกิดขึ้นในจิตใจเรา
ให้รู้ทัน
ไม่ต้องไปบังคับ ไม่ต้องไปห้ามมัน
แค่รู้เฉยๆ
พยายามที่จะรักษาจิตใจเราไว้
ให้อยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ให้ได้
จิตเราจะได้เป็นอิสระ
ไม่ไปหมกมุ่นอยู่กับกองกิเลส
มันก็เป็นกิเลสจากเรื่องความสุข
ทุกข์มันก็คือกิเลส
แต่จิตที่มีสติรู้เฉยๆ
จะอยู่เหนือความสุขความทุกข์
จะอยู่เหนืออารมณ์ต่างๆ
ที่มาปรุงแต่งทางด้านจิตใจ
แค่รู้เฉยๆ
อารมณ์ที่มันปรุงกันอยู่นี่
จิตจะเป็นอิสระกว่า
อารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์
ก็จะปรุงแต่งจิตใจไม่ได้
จิตก็จะสบายๆ เป็นอิสระ
แต่เราเลือกไม่ได้
โดยเฉพาะเรื่องของความทุกข์
ไม่มีใครทำให้เรา
คนอื่นทำให้เราเป็นทุกข์ไม่ได้
และในขณะเดียวกัน
ความทุกข์เราก็ไม่ได้ทำขึ้นเอง
ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีเหตุมีปัจจัย
เพราะความหลง
เรียกว่า “อวิชชา” หรือ “โมหะ”
ที่มีในจิตในใจของเรา
จึงเกิดการปรุงแต่งทางด้านจิตใจ
ที่เรียกว่า “สังขาร”
ทำให้ใจเราเป็นทุกข์
ความทุกข์ไม่มีใครทำให้เรา
และเราก็ไม่ได้ทำเอง
เกิดจากความหลง
ศาสนาพุทธปฏิเสธเรื่องสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
ไม่มีตัวตน
มีแต่ธรรมชาติของความหลงเท่านั้น
ถ้าเรายังมีสติรู้ไม่ทันกิเลส
ใจเราเป็นทุกข์อยู่ ก็ไม่เป็นไร
แม้ว่าศาสนาพุทธจะสอนว่า
ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น
ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่
ทุกข์เท่านั้นดับไป
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่มีอะไรตั้งอยู่
ไม่มีอะไรดับไป
นอกจากความทุกข์
เมื่อเวลาที่จิตใจเรามีความทุกข์
อย่างน้อยให้คิดได้ว่า
ความทุกข์นี้กำลังเกิดขึ้นในตัวเรา
ถ้ามันยังไม่ออกจากจิตจากใจ
ก็ไม่เป็นไร
ให้ถือว่าเรากำลังสร้างบารมี
อดทนไว้หน่อย
อดทนกับความทุกข์ให้ได้
ถือว่าเป็นการสร้างบารมี
สร้างความพร้อมที่จะดับทุกข์ในวันข้างหน้า
“บารมี” แปลว่า “ความพร้อม”
ก่อนที่จะบรรลุธรรม
ก่อนที่จะตรัสรู้
ต้องบำเพ็ญเพียรบารมีหลายภพหลายชาติ
มีแต่ความทุกข์ยากลำบาก
แต่อาศัยความเพียร ความอดทน ความไม่ท้อแท้ใจ
จึงกลายเป็นพระพุทธเจ้าได้
พระอริยสาวกก็เช่นเดียวกัน
ทุกรูปต้องอาศัยความเพียร ความขยัน ความอดทน
จึงจะถึงที่สุดแห่งความทุกข์ได้
คุณหมอ คุณครู
ก่อนจะเป็นหมอที่ดี เป็นครูที่ดี
ก็ต้องฝึกฝน สร้างความพร้อม
ความทุกข์ก็เช่นเดียวกัน
ถ้าเราอดทนเพื่อสร้างบารมี
ถือว่าทำในส่วนนี้แล้ว
ถ้าชีวิตกำลังทุกข์
ถือว่ากำลังสร้างบารมี
ถ้าชีวิตกำลังดี
ก็เท่ากับใช้บุญบารมี
การใช้บุญมีวันหมด
แต่การสร้างมีแต่วันเพิ่ม
การสร้างบารมี
ไม่ต้องไปหาที่ไหน
ทำได้ทันทีในปัจจุบันนี้
เพียงแค่มีความเพียร
มีความอดทน
เจริญสติ ฝึกสติ สร้างสติ
รู้ลงไปที่กาย ที่จิต ที่ใจ
กายก็ได้ ใจก็ได้
รู้กายที่กำลังเคลื่อนไหว
รู้ใจที่กำลังคิดนึก
อาศัยความเพียร
เรียกว่า “อาตาปี”
คือเพียรเผากิเลสให้ร้อนทั่ว
อาศัยสติ
อาศัยสัมปชัญญะ
สติสัมปชัญญะจะรักษาใจให้เป็นปกติ
ไม่ยินดียินร้าย
ถ้าเรามีความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ
ถือว่าถูกหลักสติปัฏฐานแล้ว
กิเลสมันร้อน ไม่ใช่เราร้อน
ถ้ามีสติดูอยู่ห่างๆ
กิเลสถูกเผา
แต่ใจเราไม่ถูกเผา
เหมือนดูไฟไหม้
ถ้าอยู่ใกล้ก็ร้อน
ถ้าถอยออกมาห่างๆ ก็ไม่ร้อน
การเจริญสติก็เช่นเดียวกัน
ถ้ามีความคิดเผลอคิดขึ้นมา
อย่าเผลอโกรธ
รู้ไว้ ก็ได้สติแล้ว
ดูความคิดไปเรื่อยๆ
จะเห็นจิตผู้คิด
จิตเป็นผู้ผลิตความคิด
จิตผู้รู้ผู้ดูนี่แหละ
ถ้าตามหาใจพบ
เราจะดูจิตดูใจได้
ถ้าไม่คิดก็ดูกาย
ถ้าคิดก็มาดูจิต
ฝึกได้ทั้งในรูปแบบและนอกรูปแบบ
การปฏิบัติธรรมสนุก
เหมือนมีเพื่อน
ไม่เหงา ไม่เบื่อ ไม่เซ็ง
เพราะเรามีสติเป็นเพื่อน
สติสัมปชัญญะ
คือเพื่อนคู่จิต มิตรคู่ใจ
ของทุกๆ คน