แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
[01:11] ชีวิตที่ผูกพันกับธรรมะนี่เป็นชีวิตที่มีความสุข มีพุทธภาษิตกล่าวไว้ว่า “ผู้ใดประพฤติธรรมเป็นปกติย่อมอยู่เป็นสุข” คือความผูกพันกับธรรมะ เพราะว่าธรรมะนี่มีประโยชน์มากมายสำหรับชีวิตเรา โดยเฉพาะเพื่อความพ้นทุกข์ เพื่อความมีชีวิตที่มีความสุขและก็พ้นทุกข์ เกื้อกูลกระทั่งโลกนี้และโลกหน้า เราจึงต้องมาดำเนินชีวิตที่มีธรรมะผูกพันเป็นหนึ่งเดียว ชีวิตกับธรรมะนี่แยกกันไม่ออก เป็นสิ่งเดียวกัน อย่างเรามีชีวิตจนถึงวันนี้ได้นี่ ได้มาฟังธรรมะ ได้มาเห็นหน้าเห็นตากันได้พูดคุยกันนี่ ยังคิดยังนึกได้นี่ถือว่าเป็นบุญนะ วันนี้เราอยู่ได้ด้วยบุญยังมีบุญอยู่ ธรรมะช่วยหล่อเลี้ยงเอาไว้ ส่วนผู้ที่ล้มหายตายจากไปแล้วอันนี้ก็ถือว่าหมดบุญไปแล้ว ยังเหลือเรานี่ยังมีบุญอยู่ บุญยังหล่อเลี้ยงอยู่ เราควรจะสร้างบุญต่อไป สานบุญต่อไป บุญนี่มีมากมาย มีหลายอย่างให้เราเลือกทำเอา การให้ทาน การรักษาศีลนี่ก็เป็นบุญ การภาวนา การปฏิบัติธรรมนี่ เป็นบุญทั้งนั้น เราจึงต้องอาศัยธรรมะนี่ล่ะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต เป็นบุญ ให้ชีวิตเรานี่ยืนยาวต่อไป ธรรมะนี่ถือว่าเป็นหลักประกันนะ เป็นหลักประกันชีวิตได้ดีเยี่ยมเลย ประกันชีวิตเราไม่ให้เป็นทุกข์ ประกันชีวิตเราให้มีความสุข ตายไปก็ไม่ตกนรก ปิดประตูอบายเลย ธรรมะนี่สามารถประกันได้ นี่เราพิจารณาดูว่าไม่มีบริษัทประกันที่ไหนหรอกที่สามารถประกันชีวิตเราให้มีความสุข ไม่ให้มีความทุกข์ ไม่ให้ตกอบายภูมิ เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว ไม่มีบริษัทประกันชีวิตที่ไหนจะทำอย่างนี้ได้ บริษัทประกันชีวิตก็เพียงแต่แค่ให้สิ่งตอบแทนบ้างเพื่อความสะดวก เราต้องส่งเบี้ยประกันตามกำหนดเวลา มีเงื่อนไขมากมาย เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยก็มีเงินจำนวนหนึ่งมาช่วยเหลือเรา เวลาเราล้มหายตายจากไปแล้วก็มีเงินจำนวนหนึ่งมาช่วยเหลือเรา เราเองก็ไม่ได้ใช้หรอก แต่ว่าประกันไม่ได้ว่าเราจะตกนรกหรือไม่ หรือชีวิตนี้จะมีความสุขหรือไม่ ความทุกข์ในใจจะดับลงหรือเปล่านี่ อันนี้บริษัทประกันนี่รับประกันไม่ได้หรอก อาจจะมีชื่อที่สวยว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้นะ ถ้าทำประกันแล้วจะได้ผลอย่างนั้นอย่างนี้นะ อันนั้นก็ไม่แน่นอนนะ บางทีเราเกิดปัญหาแล้วเราก็ยังไม่แน่ใจว่าเราจะได้เบี้ยประกันที่เราส่งไปแล้วคืนหรือเปล่า ยังไม่แน่นอนนะ บางทียังไม่ค่อยมั่นใจ บางทีเกิดปัญหาแล้วบางทียังช้า ยังไม่ได้รับบริการเท่าที่ควร ยังกังวลอยู่
แต่ว่าถ้าเรามาทำประกันชีวิตกับธรรมะนี่อันนี้มั่นใจได้ ที่ว่ามั่นใจได้เพราะว่าไม่ต้องส่งเบี้ยประกัน แล้วผลก็คือเราจะมีความสุข ทุกข์นี่จะลดน้อยลง บางทีหมดทุกข์ไปเลย เมื่อล้มหายตายจากไปแล้วรับประกันได้เลยว่าไม่ตกอบายภูมิ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน อันนี้คืออบายภูมิ ธรรมะนี่รับประกันได้ ชีวิตเรานี่ถ้ายังไม่มีหลักประกันนะ จะประกันชีวิตกับบริษัทประกันภัยที่ไหนก็ทำไปเถอะไม่เป็นไรหรอก ประกันดีแล้วเพื่อความสะดวกสบาย [11.17] แต่อย่าลืมทำประกันชีวิตกับพุทธบริษัทนะ มั่นใจได้ เอาธรรมะนี่ล่ะมาเป็นหลักประกันชีวิต ไม่ต้องส่งเบี้ยประกัน เพียงแต่อยู่ภายใต้เงื่อนไข ๕ ข้อ ๕ ประการ ๕ ประการนั้นก็มีอยู่ว่า
๑. เรานั้นต้องมีศรัทธาในพระพุทธเจ้า ศรัทธาว่าท่านนี่สามารถดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ได้สิ้นเชิง และก็ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง เชื่อมั่นในพระพุทธเจ้าโดยไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เราเชื่อมั่นข้อนี้มั้ย
๒. ศรัทธาในพระธรรม พระธรรมนี่เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ได้สั่งสอน ท่านตรัสไว้ดีแล้ว ให้เราได้นำไปปฏิบัติตาม เชื่อมั่นในพระธรรมแบบไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ไม่ต้องสงสัยเหมือนกัน
ข้อที่ ๓ คือมีความเชื่อมั่นศรัทธาในพระสงฆ์ พระสงฆ์คือผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว คือพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้มาก็ตรัสรู้พระธรรม เรามีความเชื่อมั่นในพระสงฆ์โดยที่ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน อันนี้ล่ะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สามข้อแล้ว
ข้อที่ ๔ ให้เรามีศีลห้าเป็นประจำเป็นนิจ มีศีลห้าเป็นชีวิตจิตใจคือ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์เบียดเบียนทำลายผู้อื่น งดเว้นจากการลักขโมยถือเอาสิ่งของที่คนอื่นไม่ให้มาเป็นของเราโดยไม่ได้รับอนุญาต งดเว้นการประพฤติผิดในกาม สี่งดเว้นการพูดโกหกมดเท็จ ห้างดเว้นการดื่มสุราสิ่งเสพติดมึนเมาที่มีแอลกอฮอล์ ห้าข้อนี่ ศีลห้านี่ให้มีประจำจิตประจำใจเอาไว้ เพื่อรักษากายวาจาให้บริสุทธิ์ ทำได้มั้ย สี่ข้อแล้วนะ
ข้อที่ ๕ อันนี้สำคัญมาก เป็นข้อพิเศษก็ว่าได้ คือการดำเนินชีวิตด้วยการเจริญสติอยู่เนืองๆ คือรู้สึกตัวอยู่เสมอๆ ในการใช้ชีวิต เราอาจจะฝึกในรูปแบบก็ได้ ตื่นนอนตอนเช้าสวดมนต์ไหว้พระ แล้วก็เจริญสติในรูปแบบไปพอสมควรแก่เวลา แล้วก็ไปใช้ชีวิตประจำวันต่อเนื่องไปด้วยความรู้สึกตัว หรือก่อนจะนอนนี่ทำในรูปแบบซักหน่อย เจริญสติในรูปแบบ หลังจากที่ไหว้พระสวดมนต์แล้วก็เจริญสติในรูปแบบ รูปแบบของเรานี่มีอะไร อาจจะรู้ลมหายใจ อาจจะเดินจงกรม หรืออาจจะยกมือสร้างจังหวะ ๑๔ จังหวะ เคลื่อนไหวกายและมีสติตามรู้ อันนี้เป็นรูปแบบที่เราสามารถจะเลือกเอามาใช้ได้ตามจริตของแต่ละบุคคล คือให้ฝึกให้มีความรู้สึกตัวในรูปแบบที่ครูบาอาจารย์ได้สอนเอาไว้ ทำอยู่ และก็นอกรูปแบบคือการใช้ชีวิตในแต่ละวันนี่ให้มีความรู้สึกตัวอยู่เนืองๆ กายเคลื่อนไหว จะนอนจะนั่งจะยืนจะเดินก็ให้รู้สึกตัว การจะจับจะฉวย ดื่มน้ำ ทานข้าว ประกอบภารกิจการงานต่างๆ ให้มีสติตามรู้ไปเรื่อยๆ รู้สึกตัวไป ใจเวลาคิดนึกปรุงแต่งเป็นความสุขบ้างทุกข์บ้าง เราก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมนะ โกรธก็รู้ว่าโกรธ รักก็รู้สึกตัวว่ารัก คิดนึกปรุงแต่งอะไรก็ตาม ให้มีสติรู้เท่าทัน
ให้รู้ต่อเนื่องกันเนืองๆ จะเผลออะไรก็ไม่เป็นไรหรอก เรากลับมาตั้งต้นรู้ใหม่ ในชีวิตประจำวันนี่ให้รู้สึกตัวไปเรื่อยๆ เท่าที่เราจะทำได้ เมื่อเราเจริญสติไปนานๆ นี่ตัวรู้จะเกิดขึ้นนะ ตัวรู้นี่ไม่ใช่เป็นตัวเป็นตนหรอก คือตัวรู้สึก ความรู้สึกนี่มันเด่น ตัวนี้ล่ะเป็นผลแล้ว..ใช่มั้ย เป็นผลที่เราไม่ต้องไปรอว่าเราจะได้ผลมั้ย เราทำแล้วจะได้ผลอะไร ไม่ต้องรอ ทุกครั้งที่เรารู้สึกตัวขึ้นมานี่ เกิดความรู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมาตัวรู้เกิดขึ้นทันที และนี่เป็นผลนะ เมื่อมีตัวรู้เด่นชัดตัวรู้ก็จะทำหน้าที่แล้ว จะรู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้น รู้รูปรู้นาม นี่รู้ทันกายที่เคลื่อนไหว โอ..นี่เป็นรูปเป็นนามนะ จิตผู้รู้นี่ก็เป็นนาม กายที่เคลื่อนไหวนี่เป็นรูป เริ่มแล้ว พอตัวรู้เด่นนี่ก็จะเริ่มเห็นรูปเห็นนาม เริ่มรู้จักตัวเรา เห็นแม้กระทั่งจิตที่คิด จิตที่คิดอยากได้อยากดีอยากมีอยากเป็น โอ..นี่ความอยากนี่มันเป็นเปรตนะ เป็นความโลภแล้วเป็นเปรตแล้วนะ บางทีก็เกิดความกลัว กลัวจิ้งจกกลัวตุ๊กแก กลัวอนาคต กลัวจะเป็นอย่างนั้นกลัวจะเป็นอย่างนี้ นี่ล่ะเป็นอสุรกายแล้ว โอ..เป็นความกลัว เป็นอสุรกายแล้ว เป็นสักแต่ว่า เมื่อมีตัวรู้เกิดขึ้นนี่ โอ..สักแต่ว่าคิดนะ คิดอยากได้ กลัว สักแต่ว่า บางทีเกิดความโกรธ อาฆาตพยาบาท อึดอัดขัดเคือง แค้น เกิดความโกรธเกิดโทสะขึ้นในจิตในใจ ในปัจจุบันนี่ โอ..เราเห็นทันเลยว่านี่มันเป็นนรก ความโกรธนี่เป็นสัตว์นรก เป็นนรกในปัจจุบันที่เราเห็นได้ด้วยความรู้สึกตัว โอ..เราจะเอาไว้มั้ย เรารู้ทันแล้วเราก็ออกแล้วนะ เราหลุดออกมาจากอารมณ์เหล่านั้นแล้ว แต่การรู้นี่จะต้องรู้แบบไม่เข้าไปอยู่นะ รู้แบบดูๆ นะ ไม่เอา สักแต่ว่าโกรธนะอย่าเข้าไปเป็นกับมัน เห็นมันโกรธไม่ได้เข้าไปเป็นผู้โกรธ บางทีหลงลืมสติ โง่หลงงมงายไม่รู้บาปไม่รู้บุญไม่รู้คุณไม่รู้โทษ ไม่รู้ประโยชน์ไม่รู้อะไรไม่ใช่ประโยชน์ ทำในสิ่งที่ไร้สาระ ผิดศีลผิดธรรมอยู่เสมอๆ ชอบฆ่า ชอบลักขโมย ชอบแอบเป็นชู้กับคนอื่นเค้า มีกิ๊กมีกั๊กอะไรอย่างนี้นะ นี่อันนี้เป็นเรื่องของความโง่หลงงมงายทั้งนั้น ชอบพูดโกหก ชอบดื่มสุราเป็นประจำ นี่นะคือภาวะของสัตว์นรกแล้ว เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร อันนี้มันเกิดขึ้นในปัจจุบันเลย ความโง่หลงงมงาย การดื่มสุรา การกินยาเสพติดยาบ้ายาม้าอะไรอย่างนี้ ทำให้จิตใจเรานี่โง่หลงงมงาย ขาดสติ อันนี้ถ้าตายไปก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้ว
[13:05] เมื่อเรามีสติมีตัวรู้ รู้เท่าทันในอาการเหล่านี้ อาการของความโกรธ ความโลภ ความกลัว ความหลงนี่ เป็นอบายภูมิทั้งสี่นี่ ถ้ารู้เท่าทันนะ สักแต่ว่าแล้วไม่เข้าไปเป็นกับสิ่งเหล่านั้นนะ เราก็ไม่ตกอบายภูมิทั้งสี่ในโลกปัจจุบัน ต่อหน้าต่อตานี่..ใช่มั้ย ถ้าเราไม่ตกอบายภูมิในโลกนี้นะ เราตายไปก็รับประกันได้เลยว่าเราก็จะไม่ตกนรก ไม่ลงอบายภูมิเช่นเดียวกัน ชีวิตเรานี่มีชีวิตอยู่อย่างไรนี่ ตายไปก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเราอยู่อย่างมีความสุขเราตายไปก็มีความสุข ถ้าชีวิตเราอยู่แต่มีทุกข์ร้อน อยู่ร้อนนอนทุกข์ตายไปก็ตกอบายภูมิ อยู่ร้อนนอนทุกข์เช่นเดียวกัน อันนี้สำคัญนะ ถ้าปัจจุบันนี่ยังตกนรกอยู่ตายไปก็ตกนรก อยู่อย่างไรก็ไปอย่างนั้น แต่ถ้าเรามีการเจริญสติอยู่ในชีวิตเนืองๆ นี่ เป็นการป้องกันอบายภูมิเลย เราป้องกันไว้ก่อน เตรียมตัวเตรียมจิตเตรียมใจป้องกันไว้ก่อน เจริญสติให้มากๆ ให้ตัวรู้นี่เด่นเห็นตัวเราเป็นรูปเป็นนาม เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ เห็นความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนในรูปในนาม พอเห็นแล้วจิตก็หลุดพ้นออกมาจากอารมณ์เหล่านั้น เริ่มจะมีแต่ความสะอาดความสว่างความสงบเกิดขึ้นในจิตใจ เราก็อยู่อย่างมีความสุข ทุกข์ก็จะค่อยๆ จางคลายไป ก็หมดทุกข์ในที่สุด เป้นการทำประกันชีวิตไว้กับธรรมะนี่ ปลอดภัยได้รับผลทันทีเลยทันตาเห็นในปัจจุบัน ไม่ต้องสงสัยว่า เอ..เราตายไปเราจะได้มั้ยหนอ ไม่ต้องสงสัยเรื่องผลเลย ทำปุ๊บได้ปั๊บ เป็นอกาลิโกเลย นี่มีประโยชน์มาก นี่เงื่อนไขของพุทธบริษัท
บริษัทประกันชาวพุทธเรานี่คือธรรมะ อยู่ภายใต้เงื่อนไข ๕ ข้อ (๑) มีศรัทธาในพระพุทธ (๒) มีศรัทธาในพระธรรม (๓) มีศรัทธาในพระสงฆ์ อย่างไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ไม่ต้องลังเลสงสัย พระพุทธเจ้ามีจริงมั้ย พระธรรมมีจริงมั้ย พระสงฆ์มีจริงมั้ย ไม่ต้องสงสัยเลย มีจริง ศรัทธาได้ ยังกราบไหว้ได้กระทั่งทุกวันนี้ ข้อที่ (๔) ก็คือมีศีลห้าเป็นนิจ ข้อที่ (๔) คือดำเนินชีวิตด้วยการเจริญสติรู้สึกตัวอยู่เสมอๆ นี่ ๕ ข้อเท่านั้นรับประกันได้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข ตายไปก็ไม่ตกนรกไม่ตกอบายภูมิ..ใช่มั้ย นี่พุทธบริษัทนี่สามารถประกันชีวิตตรงนี้ได้แน่นอน ชีวิตเราต้องมีหลักประกันนะ นี่เราประกันชีวิตภายนอกกับบริษัทอะไรก็ตามประกันไปเถอะไม่เป็นไร แต่อย่าลืมประกันชีวิตในจิตใจเราด้วย เอาธรรมะนี่ล่ะเป็นเครื่องประกันชีวิต ประกันจิตประกันใจเรา ไม่ต้องเป็นทุกข์ทั้งโลกนี้และก็โลกหน้า ผมนี่ทำหน้าที่นำเสนอนะ เป็นฝ่ายนำเสนอ เอาธรรมะมานำเสนอแต่ไม่ได้ขาย เพียงแต่เพื่อให้ท่านผู้ฟังนี่นำเอาไปพิจารณา.