แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านผู้ฟังถาม : ท่านอาจารย์ขา จากที่อาจารย์เป็นวิถีทางเดินของอาจารย์มาถึง ณ ปัจจุบันนี้นับได้ว่าเป็นปัจเจกบุคคลในสไตล์อาจารย์หรือเปล่าคะ ขอบคุณค่ะ
อาจารย์ตอบ : คือจริงๆ ผมเข้าใจว่าในอดีตผมเป็นปัจเจกสูงมาก ผมมีพื้นที่ส่วนตัวผม แต่ผมเข้าใจว่าในปัจจุบัน ความเป็นปัจเจกของผมหายไป คำว่าหายไปหมายความว่า ผมไม่ได้รู้สึกว่ามีตัวผมที่ต้องเป็นผม ผมไปอยู่ที่ไหนกับใครก็เป็นแบบนั้นนะ จนมีคนถามผมนะ ว่าผมยังเป็นพุทธศาสนิกชนอยู่มั้ย ผมถามว่าทำไมถึงถามอย่างนี้ครับ เขาบอกว่าไม่รู้สิ ถ้าอาจารย์พูดกับชาวคริสต์ อาจารย์ก็เป็นชาวคริสต์ ถ้าอาจารย์พูดกับชาวมุสลิม อาจารย์ก็เป็นชาวมุสลิม ผมได้ฟังอาจารย์พูดหลายที่ ซึ่งอาจารย์พูดในความหมายที่อาจารย์เป็นแบบนั้น ผมบอกเหรอครับ แสดงว่าผมก็สลายความเป็นตัวผมได้เหรอถ้าเป็นอย่างนี้
คือด้วยความสัตย์จริงนะครับ คือความหมายของผมก็คือ ผมมีความรู้สึกว่า เวลาเรามีพื้นที่ซึ่งอยู่กับบุคคลที่เราบอกว่าเป็นเพื่อนเราเนี่ย เราจะต้องเข้าไปอยู่ในโลกของเขา ไม่ใช่ชวนเขามาอยู่ในโลกของเรา แน่นอน บังเอิญวันนี้พวกเราให้เกียรติผม ให้เล่าเรื่องส่วนตัวผมอะไรเงี้ย แต่จริงๆ แล้วเนี่ยครับ ผมมีความปรารถนาที่ว่าจะอยู่กับใครแล้วก็อยู่ในโลกของคนๆ นั้น เพราะฉะนั้น เวลาผมอยู่กับใคร ผมก็จะเป็นแบบนั้น เขาเป็นแบบนั้น ไม่ได้หมายความว่าผมไปยกย่องสรรเสริญเขา แต่ผมจะมีความรู้สึกเข้าอกเข้าใจ ว่าเขาต้องเป็นเช่นนั้นแหละ เขาต้องเป็นเช่นนั้น คำว่าเขาต้องเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า สิ่งที่เขามีอยู่นั้นกับคำถามคือ เขามีความรู้สึกดีกับการเป็นเช่นนั้นมั้ย ถ้าเขารู้สึกดีก็โอเค แต่ถ้าเขาบอกผม ผมไม่ ผมรู้สึกแย่มากเลย อย่างนั้นผมก็ เอ๊ะเราจะเป็นทำไม ถ้าเป็นอย่างนี้ใช่ไหม
นึกถึงภาพ มีคนมาถามผมว่า ฟังยูทูปอาจารย์เยอะมากแล้ว หนูเป็นคนโสดอาจารย์ไม่เคยพูดถึงคนที่เป็นคนโสดเลย จะพูดถึงชีวิตคู่ตลอดเวลาเลย ผมบอก อ้าว ก็คุณที่เป็นคนโสด ไม่เคยมาชวนผมคุยอ่ะ ถ้าคุณชวนผมคุยในฐานะคุณเป็นคนโสด ผมจะพูดถึงความเป็นโสดของคุณทันที แต่ที่ผ่านมามีแต่คนมีปัญหากับการครองชีวิตคู่แล้วมาคุยกับผม ผมก็เลยพูดในฐานะของคนมีชีวิตคู่ นึกถึงภาพ ที่ผมบอกว่าผมพูดกับพระภิกษุ ผมเป็นพระภิกษุเลยนะ ทั้งที่ผมไม่ได้บวช เพราะอะไร เพราะผมมีความรู้สึกว่าท่านที่เป็นพระภิกษุ ท่านมีพื้นที่ของท่าน ผมจะต้องพยายามเข้าไปหาท่าน ทีนี้ความหมายแบบที่ว่านี้นะครับ
ผมเข้าใจว่า วันหนึ่งนะครับ ถ้าใครอ่านหนังสือเดินสู่อิสรภาพ แล้วอ่านไปถึงบทที่ผมเขียนที่ชะอำอ่ะ ที่ผมไปถึงที่ชะอำอ่ะ แล้วผมยกตัวอย่าง ไม่ใช่ตัวอย่าง นี่เป็นปริศนาในใจผมจริงๆ นะ ว่าตอนที่ผมเดินไปเนี่ย ผมมีปริศนาในใจ แต่ผมตอบได้ด้วยความคิด แต่วันที่ผมไปอยู่ที่ชะอำ ผมตอบได้ด้วยความรู้สึกจริงๆ ปริศนาของชาวทิเบตที่เขาถามว่า จะทำน้ำหยดหนึ่งมิให้เหือดแห้งได้อย่างไร แล้วปริศนาธรรมนี้ก็ถูกขยายว่า ทำน้ำหยดนั้นให้เป็นท้องทะเล ก็คือที่มันแห้ง เพราะมันเป็นน้ำหยดเล็กๆ เพียงแค่ต้องแสงตะวันสายหน่อยมันก็แห้งแล้วน้ำค้างน่ะครับ แต่ถ้าเป็นท้องทะเลมหาสมุทรรับแดดอยู่ทุกวี่ทุกวันแต่ก็ไม่เคยเหือดแห้ง ความหมายก็คือ ทำอย่างไรให้เนี่ยครับ ไม่แยกตัวเองมาเป็นหยดน้ำเล็กๆ หยดหนึ่ง แต่ประสานตัวเราเองให้เป็นท้องทะเลผสมกับน้ำหยดอื่นๆ
แล้วความรู้สึกแบบนี้ ผมจึงมีความรู้สึกที่เหมือนกับผม ไม่ใช่เป็นปัจเจกก็แล้วกระมังถ้าเป็นเช่นนั้นน่ะ