แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หมอบัญชา: กราบคาราวะท่านอาจารย์หมอประเวศ และขอต้อนรับทุกท่านที่มาร่วมที่สวนโมกข์กรุงเทพในวันนี้ -ขอเชิญพิธีกรร่วมอีก 2 ท่าน คุณ นที เอกวิจิตร (คุณอุ๋ย) และคุณ จิรา บุญประสบ (คุณตู่) ร่วมกันในการสนทนาในซีรีย์ใหม่ เป็นปรารพของท่านอาจารย์หมอประเวศที่มีเรื่องที่อยากจะถ่ายทอดให้พวกเราชาวพุทธที่มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญแห่งนี้ แต่ถูกชะลอเพราะสถานการณ์โควิด อาจารย์ประเวศท่านรอไม่ได้ ท่านก็เลยเขียนบทความ ชื่อว่า พุทธวิธีสร้างสุข และเขียนลงในหมอชาวบ้าน มาตั้งแต่ฉบับที่ 516 เขียนมาเรื่อยๆตีพิมพ์มาแล้ว 8 ตอน ตอนนี้เขียนเสร็จไปแล้ว 10 ตอน แต่ท่านก็ยังอยากที่จะมาชวนเรียนรู้พร้อมกับเชิงสอนและให้การบ้าน และมาพบกันอีกครั้งในเดือนถัดๆไป ซึ่งโปรแกรมนี้เราเรียกว่า โปรแกรมพบกับอาจารย์หมอประเวศ 12 เดือน ในวาระ 12 ปีของสวนโมกข์กรุงเทพ ท่านอาจารย์หมอประเวศเป็นประธานมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ ที่ก่อตั้งตั้งแต่ปี 2550 ที่เราเริ่มกันมาและมาเปิดได้ในปี 2553 ตอนนี้ 2566 ก็ 12-13 ปีที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงรับทูลเชิญเสด็จมาเปิดที่นี่เมื่อเดือนมีนาคม 2554 ซึ่งใกล้ครบ 12 ปี ของการเปิดอย่างเป็นทางการ กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่เราทำเพื่อขอบพระคุณท่านอาจารย์หมอประเวศในขณะเดียวกันท่านอาจารย์หมอประเวศก็จะนำสิ่งที่ท่านสั่งสมเรียนรู้มาตลอด มาถ่ายทอดโดยเป็นความร่วมมือของ 4 มูลนิธิสำคัญ ประกอบด้วย
และเป็นหนึ่งในโครงการที่เรียกว่าเป็นจดหมายเหตุของท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสีด้วย ที่ทางมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติกับทางมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ได้ดำเนินการมา โดยมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญนี้เป็นเพียงพื้นที่ที่ท่านอาจารย์หมอประเวศเลือกใช้ โดยท่านอาจารย์หมอประเวศตั้งไว้ว่าคราวนี้จะมาคุยกันในหัวข้อเรื่อง ความจริง โดยท่านขอเกริ่นก่อนแล้วจะเป็นการแลกเปลี่ยนสนทนาถาม
คุณจิรา บุญประสบ : กราบอาจารย์ ท่านอาจารย์หมอประเวศ และอาจารย์หมอบัญชา และสวัสดีอุ๋ยและสวัสดีทุกท่าน ญาติธรรมทุกท่าน ตู่เป็นธรรมมะอาสาของสวนโมกข์กรุงเทพที่เข้ามาช่วยเป็นพิธีกรสมัครเล่น พอทราบว่าวันนี้เป็นครั้งแรกที่ท่านอาจารย์หมอประเวศจะมาพูดเรื่องพุทธวิธี(ลัดตรง)สร้างสุข(ที่นี่และเดี๋ยวนี้) และหัวข้อแรกคือ ความจริงตามธรรมชาติ โดยดิฉันเป็นตัวแทนของชาวพุทธในทะเบียนราษฎร์ที่เข้าใจเรื่องของพุทธศาสนาที่ลึกซึ้งน้อยมาก จะเป็นตัวแทนเพื่อมาตั้งคำถามแทนทุกคน ของเชิญท่านอาจารย์หมอประเวศเลยค่ะ
ท่านอาจารย์หมอประเวศ : ท่านสาธุชนผู้สนใจธรรมมะทุกท่าน เริ่มตั้งแต่ประธานมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ อาจารย์หมอวิจารย์ เลขานุการหรือหมอบัญชา และทุกๆท่าน วันนี้เป็นการเริ่มบรรยายชุดที่เรียกว่าพุทธวิธีสร้างสุข แต่มีคำขยายว่าพุทธวิธีลัดตรง แล้วสร้างสุขก็มีคำขยายว่าทีนี่และเดี่ยวนี้ เป็นคำของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ว่า ความสุขไม่ใช่ไปรอชาติหน้าหรืออีกหลายชาติที่ไม่แน่นอนต้องที่นี่และเดี่ยวนี้ เพราะคนสมัยนี้มีความทุกข์เยอะ ถามว่าโรคที่ระบาดมากทั่วโลกตอนนี้คือโรคไม่มีความสุข ความเครียด มีตัวอย่างว่าจิตแพทย์อเมริกันชื่อ สก็อต เพค (M. Scott Peck) รักษาคนอเมริกันที่ไม่มีความสุขซึ่งมีจำนวนมากจนรักษาไม่ไหว เขาจะต้องหาวิธีรักษา ซึ่งผมจะมาบอกทีหลังว่าเขาใช้วิธีอะไร ที่คนมารวมตัวร่วมคิดร่วมทำได้แล้วมีความสุขประดุจบรรลุนิพพาน แล้วตั้งชื่อหนังสือของเขาว่า A World Waiting to Be Born โลกเก่านี้มันไม่ไหวแล้ว คนมีความทุกข์เยอะ ซึ่งโลกใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นอีกอย่างเลย ที่คนจะมีความสุขประดุจบรรลุนิพาน ถ้ามองไปในฐานะคนแก่ก็รู้สึกสงสารเพื่อนมนุษย์ที่ไม่มีทางเลือกอะไรเลยที่ตกอยู่ในอำนาจสัญชาติญาณที่กำหนดพฤติกรรมในอำนาจของระบบร่างกายฮอร์โมนต่างๆที่มาบังคับหลอกลวงอย่างนั้นอย่างนี้ ทำให้เกิดมายาคติจึงยากมากที่จะหลุดรอดพ้นจากอำนาจของสิ่งเหล่านี้ ผู้คนจึงมีความทุกข์กันทั่วไป ผมพอมีความรู้มีประสบการณ์บ้างก็อยากจะเอามาแบ่งปันเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้างซึ่งเป็นที่มา
การที่ตั้งชื่อว่า พุทธวิธี(ลัดตรง)สร้างสุข(ที่นี่และเดี่ยวนี้) ความหมายคือจะไม่พูดทฤษฎีมากมายแต่จะเน้นการปฏิบัติ เพราะทฤษฎีมีเยอะแยะพระไตรปิฎก 45 เล่ม 84,000 พระธรรมขันธ์เป็นคัมภีร์ ที่เรีกว่าอรรถกถา คือการอธิบายคัมภีร์อีกครั้งหนึ่ง เช่น วิสุทธิมรรค ของพระพุทธโฆษาจารย์ ประมาน พ.ศ 1,000 พรือ พุทธธรรมของเจ้าคุณประยุต ปยุตฺโต เป็นสำนักพุทธโฆษาจารย์เหมือนกัน ถือว่าเป็นอรรถกถาที่ยาว แต่เราจะลัดตรงเข้าสู่การปฏิบัติ ท่านท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ พูดว่า สำคัญที่สุดของการปฏิบัติคือการได้ผลจากการปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลแปลว่ามันไม่ดี แต่ถ้าปฏิบัติแล้วมันได้ผลแล้ว ตรงแล้วแล้วค่อยมานิยาม ผมคิดว่าโชคไม่ดีที่การศึกษาของไทยที่ไปเน้นการศึกษาทางวิชาการหรือทางปริยัติมากเกินไปอย่างเปรีย
ธรรมที่ เปรียญ 1 2 3 ถึง 9 เน้นที่การแปลภาบาลี ดังนั้นถึงเราจะเรียนเปรียญธรรมเยอะพระก็ยังไม่เก่ง ต่างจากทิเบตเพราะความรู้เขาแน่นมาจากการปฏิบัติ สามารถอธิบายได้แน่น เช่นท่าน ดาลัยลามะ ที่มีผลต่อผู้คนเยอะแยะ ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุค้นพบตรงนี้ ท่านเข้ามาศึกษาในกรุงเทพได้สักเปรียญ 3 – 4 ท่านรู้สึกว่าไม่ใช่ ท่านจึงไปศึกษา ค้นคว้า ปฏิบัติด้วยตนเองที่บ้าน หรือพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกันที่มาจากประสบการณ์ เพราะฉะนั้นของไทยผมคิดว่ามันผิดทาง ทั้งการศึกษาของพระและฆราวาสที่เป็นอยู่ เราจะไม่เอาตามนั้น เราจะเอาหลักการนิดหน่อยและลัดตรงสู่การปฏิบัติ พระพุทธเจ้าจะพูดบ่อยๆว่าทั้งเดี่ยวนี้และอนาคต สอนอยู่เรื่องเดียวแหละคือเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ คำจำกัดความของความสุขที่ดีที่สุดคือการสิ้นไปของความทุกข์ หลักการอันแรกคิด ทุกข์เกิดจากความคิด การคิด บางทีเรียกว่าการคิดปรุงแต่ง เช่นมีผู้หญิงมาบอกว่าฉันทุกข์มา 3 วันมันหยุดคิดไม่ได้ ถ้าไม่คิดก็ไม่ทุกข์ ความจำ เป็นฐานของความคิด ทางพุทธใช้คำว่าสังขารที่แปลว่าความคิด ไม่ได้แปลว่าร่างกาย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ วิญญาณหมายถึงการรับรู้ทาง หู ตา ใจ จักษุวิญญาณ การรู้จากการเห็น โสตวิญญาณ การรู้จากการได้ยิน ในบทสวดมนต์ มีอยู่อันนึงที่ท่านปรารพว่าท่านเที่ยว เป็นสาเหตุของความทุกข์ และบทสุดท้ายของเรื่องนี้ใช้คำว่า วิสังขาระคะตังจิตตัง ว่าเราได้ถึงวิสังขารแล้ว เจ้ามาสร้างความทุกข์ให้เราไม่ได้อีกต่อไปแล้ว วิสังขารคือการระงับไปซึ่งความคิด โดยสรุปเอาขั้นนี้ก่อน ตอนหลังผมจะค่อยๆขยายความทีหลัง สรุปได้ว่า ความทุกข์เกิดจากการคิด การสงบที่เรียกว่าจิตสงบคือการสงบจากการคิด บางคนอยู่ในที่สงบแต่จิตไม่สงบ แสดงว่าไม่ได้สงบจริง การคิดจึงถูกประณามไว้ว้าเป็นผู้ร้ายซึ่งมันอยู่ในตัวเรามันทำร้ายเรา แต่ถ้าเราหยุดคิดมันจะทำร้ายเราไม่ได้ แล้วเราค่อยมาดูกันว่ามันปรุงแต่งเข้ามาอย่างไร สรุปได้ว่าการระงบทุกข์คือการระงับความคิด เทคนิคที่ง่ายที่สุดคือการสวดมนต์ นึกภาพเวลาเราสวดมนต์เราจะไม่คิด แล้วเราจะจดจ่ออยู่กับการสวดมนต์ เพราะฉะนั้นทุกศาสนาจึงมีการสวดมนต์ เพราะมันทำให้จิตสงบมีความสุข เพราะการสวดมนต์เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดหนังสือสวดมนต์ก็มีเยอะมาก เช่นเล่มนี้ของหมอบัญชา บทสวดมนต์ 9 พระสูตร เพราะฉะนั้น พระก็จะทำวัตรเช้าเย็นคือลงโบสถ์แล้วสวดมนต์พร้อมกัน เพราะมันทำให้จิตสงบ แล้วมันจะไม่ทุกข์ระหว่างที่จิตสงบ เพราะฉะนั้นอย่าไปดูถูกมุสลิมที่เขาละหมาดวันละ 5 เวลา เพราะมีนก็คือการสวดมนต์นั่นเอง
ต่อมา 2. คือการบริกรรม คือการสวดมนต์อย่างสั้น พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต สอนการบริกรรม พุทธโธ พุทธโธ ในการทำกิจกรรมต่างๆที่ติดจนเป็นนิสัย เพื่อให้ไม่คิดการอัดบริกรรมไว้ก็จะช่วยให้ไม่คิด ถ้าสายธรรมกายก็จะเป็นการบริกรรม สัมมา อะระหัง เรื่อยๆจนจิตสงบเขาก็มีความสุขจนติดใจเกิดการรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่ การบริกรรมทำให้เกิดจิตสงบจนเป็นสมาธิจนถึงฌานไปเลยก็ได้ หลายสิบปีมาแล้วมีมหาฤษีคนหนึ่งไปอเมริกาชื่อว่ามหาฤษี มเหช โยคีท่านไปสอนพระยามประดิษฐ์ เรียกว่า TM Transcendental Meditation เป็นการจ่ายคำบริกรรมที่คนมาขอจากมหาฤษีเฉพาะตัวของแต่ละคน คิดเงินจากค่าบริกรรมจนรวยมาก เพราะคนอเมริกันไม่เคยเจอความสุขจากการบริกรรม ทำให้เกิดจิตสงบเลย พอเจอ TM ทำให้เขาเจอความสุขที่เกิดจากจิตสงบซึ่งเป็นความสุขในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย เขาเลยยินดีจะจ่ายเงินมหาฤษีก็เลยกลายเป็นมหาเศรษฐีไป คนไทยที่ไปเรียน TM จากมหาฤษีก็มี ดร.นัยพินิจ คชภักดี แล้วนำมาเผยแพร่เขาเล่าว่าบางคนบริกรรมจนตัวลอยก็มี เราก็จะแปลกใจมาก มันต้านแรงโน้มถ่วงได้อย่างไร ซึ่งผมจะอธิบายให้ฟังตอนหลัง เพราะว่าตอนหลังฟิสิกส์จะ advanceมากขึ้น พอมาศึกษาธรรมชาติต่างๆเราก็จะเข้าใจมากขึ้น มันมีคลื่นธรรมชาติอยู่พอคลื่นสมองที่เกิดจากสมาธิไปสอดคล้องกับคลื่นธรรมชาติมันก็มีผลต่อวัตถุ พลังงานกับวัตถุมันมีผลถึงกันเป็นเรื่องธรรมดาแต่ผมอาจจะพูดให้ฟังตอนท้ายๆ แล้วจะเข้าใจว่าทุกศาสนามันเหมือนกันหมดคือการไปสัมผัสความจริงทางธรรมชาติที่เหนือตัวตน มันมีธรรมชาติอีกอันนึงที่ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยการคิดจะต้องสัมผัสด้วยจิตใจที่สงบ ไม่ว่าศาสนาไหนก็จะตรงกันหมดที่ว่าเวลาคนจิตสงบแล้วคลื่นสมองมันจะเปลี่ยน สัมผัสความจริงตามธรรมชาติที่เหนือตัวตน ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ได้ฝากปณิธานไว้ 3 ข้อ
ข้อ 1 ขอให้ศาสนิกของทุกศาสนาเข้าถึงหัวใจของศาสนาของตนเอง ถ้าทุกศาสนาเข้าถึงหัวใจมันจะตรงกันหมดเป็นความจริงของธรรมชาติที่เหนือตัวตนเหมือนกันทุกศาสนา ผมกำลัง Develop ความคิดตรงนี้เป็น quantum religions ถ้ามนุษย์รู้ตรงนี้มันจะเป็นพลังยิ่งใหญ่มาก เพราะคนที่มีศรัทธาต่อศาสนาจะรวมกันและเป็นพลังที่เปลี่ยนโลก
ข้อ 2 ขอให้มีความร่วมมือระหว่างศาสนา
ข้อ 3 ขอให้ช่วยให้มนุษย์ถอนตัวออกจากวัตถุนิยมคือ สัมผัสกับความจริงธรรมชาติเหนือตัวตน ตรงนี้เป็นปณิธานที่สำคัญมาก ที่เคยเขียนไว้เป็นหน้าที่ของหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ คือสร้างสันติภาพ
ยกตัวอย่างทิเบต จะบริกรรมตลอดเวลาว่า “โอมมณีปัทเมฮัม” ตลอดเวลาไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไร การบริกรรมทำให้เจอความสุขง่ายๆ มันลัดตรงที่นี่เดี๋ยวนี้เกิดความสุขวันนี้ไม่รอชาติหน้า
3. คือการทำอานาปานสติ อานาปาน แปลว่าลมหายใจเข้าออก สติแปลว่ารู้อยู่กับปัจจุบัน รู้อยู่กับลมหายใจเข้าออก มีสติตามลมหายใจ ฝึกลมปราณ เขาบอกว่าจิตเหมือนลูกลิงจับยากมากต้องจับด้วยลมหายใจต้องฝึก ถ้ารู้ก็จะไม่คิดถ้าคิดก็จะไม่รู้ เพราะฉะนั้นจบตรงนี้คือการฝึกจิตให้ย้ายจากจิตคิดมาสู่จิตรู้ รู้อยู่ปับปัจจุบันมันคือ อานาปานสติ ต้องฝึกเรียนแค่ทฤษฎีเรียนเท่าไหร่ก็จะทำไม่เป็น ตรงนี้การันตีว่าการวิริยะไว้ อย่าไปเลิกต้องเอาจริง วันหลังจะขยายความ พละ 5 คือ ศรัทธาพละ วิริยะพละ สติพละ สมาธิพละ ปัญญาพละ เป็นพลังที่จะส่งไปตรงนี้ อันนี้เป็นการบ้านที่ต้องพยายามปฏิบัติ แถมอีกนิดคือ
4. การเดินจงกรม มันง่ายเราไม่รู้ตัวเพราะเรามัวแต่คิดอยู่ ทีนี้หัดเดินอย่างรู้ตัว ก้าวเท้าซ้ายรู้ ก้าวเท้าขวารู้ อันนี้จะง่ายเพราะหยาบกว่าลมหายใจ การเดินจงกรมจะช่วยให้จับสติได้ เพราะรู้อยู่กับการเดิน ถ้ามันหายไปก็รีบจับกลับมา ตอนนี้ให้การบ้านไว้ 4 อย่าง คือ สวดมนต์ บริกรรม อานาปานสติ จงกรม ขอเพิ่มเติมเรื่องจงกรมคือ เมื่อ ปี 1987 ผมไปประชุมที่ อูลันบาตอร์ ขององค์การอนามัยโลกซึ่งผมเป็นประธานกรรมการวิจัยขององค์การอนามัยโลกเอเชียอาคเนย์ ปกติมันจะประชุมหน้าหนาว แต่ปีนั้นต้องประชุมหน้าร้อนผมมองเห็นภูเขาตั้งใจว่าเสร็จประชุมจะเดินไป พอประชุมเสร็จผมก็ออกเดินไปสักชั่วโมงหนึ่งได้มันก็ยังไม่ถึงจนรู้สึกปวดข้อเท้า ผมก็เริ่มคิดว่าถ้าผมเดินไปอีกเท่าตัวก็ปวดแบบนี้อีกเท่าตัวเลยก็เลยลองเดินแบบรู้ตัว ซ้ายรู้ขวารู้จิตก็อยู่กับที่รู้จึงเกิดความสุขทั้งจิตทั้งตัวความปวดก็หายเพราะทุกก้าวมีแต่ความสุข ทำให้เราเป็นอิสระจาก space and time ที่จะมาบีบคั้น เวลาเจอแบบนี้ก็อยากให้คนอื่นเจอบ้างจึงนำมาแบ่งปันกัน เพราะฉะนั้นให้รู้ว่าทุกข์เกิดจากความคิด และผมจ่ายการบ้านไป 4 อย่างที่คือ สวดมนต์ บริกรรม อานาปานสติ จงกรม ถ้าทำไปแล้วจะติดใจ
หมอบัญชา : เป็นการตรวจสอบพวกเราเลยตั้งแต่นัดแรก เป็นเรื่องความจริงตามธรรมชาติ ให้อยู่กับปัจจุบันและให้การบ้านมา 4 ข้อ ก่อนที่จะให้ถามคำถาม อยากให้อาจารย์ประเวศสวนมนต์ให้พวกเราฟังครับ
ท่านอาจารย์หมอประเวศ,หมอบัญชา : (สวดมนต์ ปฐมพุทธะวะจะนะ พร้อมคำแปล)
อะเนกะชาติสังสารัง สันธาวิสสัง อะนิพพิสัง
เมื่อเรายังไม่พบญาณ, ได้แล่นท่องเที่ยวไปในสงสารเป็นอเนกชาติ
คะหะการัง คะเวสันโต ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง
แสวงหาอยู่ซึ่งนายช่างปลูกเรือน, คือตัณหาผู้สร้างภพ, การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป
คะหะการะกะ ทิฏโฐสิ ปุนะ เคหัง นะ กาหะสิ
นี่แน่ะนายช่างปลูกเรือน, เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว, เจ้าจะทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป
สัพพา เต ผาสุกา ภัคคา คะหะกูฏัง วิสังขะตัง
โครงเรือนทั้งหมดของเจ้าเราหักเสียแล้ว, ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว
วิสังขาระคะตัง จิตตัง ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคา
จิตของเราถึงแล้วซึ่งสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป, มันได้ถึงแล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหา, คือถึงนิพพาน
อาจารย์หมอประเวศ: ผมเคยบอกดร. อเนกเหล่าธรรมทัศน์ บอกว่าพระพุทธเจ้าเอ่ยคำแรกเลยหลังจากตรัสรู้คือคำว่าอเนก
คุณ จิรา บุญประสบ : อาจารย์พูดถึงบทสวดมนต์ ตู่ก็จะถามนิดนึงค่ะว่า ตอนนี้มีคน 2 จำพวก ระหว่างคนที่ไม่ได้สวดมนต์เลยกับคนที่สวดมนต์แต่ไม่ได้สวดเพื่อสรรเสริญพุทธคุณ แต่สวดเพื่อขอมากกว่าจากความเชื่อแบบมูเตลูเพื่อขอสิ่งที่เราไม่ควรยึดติดซึ่งขัดกับปณิธานของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ถ้าเป็นการขออย่างนี้ ควรปล่อยให้เขาสวดมนต์ต่อไปเพื่อให้เขาได้ไปเรียนรู้บทสวดอื่นๆมั้ยคะ
อาจารย์หมอประเวศ: มันมีหลักอย่างหนึ่งว่าใครทำอะไรเราอย่าไปขัดคอเขา เราไม่ควรไปเถียงกับเขา เขาชาวโลกพูดกันอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น คนไทยไปเอาแบบยุโรปทำให้เกิดความขัดแย้งเยอะ ชาวยุโรปเป็นนักคิดที่ชอบการเผชิญหน้า ทำให้เกิดการรบราฆ่าฟันเยอะเริ่มจากยุโรปทั้งนั้นเลย แต่วิถีพระพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างนั้น สรุปคือไม่ต้องรื้อของเก่าแต่รวมตัวทำอะไรใหม่ที่ดี เพราะไม่ต้องไปขัดคอใครถ้าเราดีจริงเดี่ยวเขาก็เปลี่ยนของเขาเอง เพราะฉะนั้นอย่าไปเผชิญหน้า ตอนนี้ในยุโรปมีทางออกทางเดียวคือการ ร่วมมือกัน ตอนนี้ในอังกฤษมีวิกฤติเกิดขึ้นเยอะมาก ทั้ง ยากจน พยาบาลลาออก เงินเดือนไม่พอใช้ รัฐไม่มีเงินจ่าย คนไข้ถูกทอดทิ้ง คนแก่ตายสัปดาห์ละ 400-500 คน แล้วตอนนี้นายกตอนนี้ที่เป็นคนอินเดีย แต่แนวคิดก็เป็นแบบคนอังกฤษเพราะเกิดที่อังกฤษ
คุณ นที เอกวิจิตร : ส่วนตัวผมผมเห็นด้วยนะครับว่า ความคิดมันทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่คิดไม่ทุกข์ ยิ่งคิดยิ่งทุกข์ คิดเองทุกข์เอง พอผ่านประสบการณ์จากการทดลองสำรวจร่างกายจิตใจตัวเองผมมองว่าถ้าเรามองว่าความคิดเป็นศรัตรูมันจะมีคำถามว่า เวลาทำงานไม่ต้องคิดหรอ? ยิ่งคนทำงานสร้างสรรค์อย่างเราเขียนเพลงทำอะไรมันต้องใช้ความคิด ถ้าความคิดเป็นศรัตรูแล้วจะใช้ชีวิตยังไง แล้วผมก็ได้มีโอกาสได้ไปปฏิบัติกับ พระอาจารย์ ครรชิต อกิญจโน ท่านให้ทำกิจจกรมที่ให้ยกมือ 14 จังหวะระหว่างนั้นมีความคิดอะไรขึ้นมาให้จดไว้ ผมก็จดเต็มหน้ากระดาษ แล้วท่านก็เอากระดาษอีกแผ่นให้เขียนเมนูที่ชอบกินมา แล้วเขียนด้วยว่ามีขั้นตอนการทำอย่างไร เขียนๆมาแล้วลองเปรียบเทียบกันดู พอมาดูแล้วแผ่นแรกก็สเปะสปะมากเลย แต่อีกแผ่นเป็นความคิดเป็นระบบระเบียบดีเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งอาจารย์บอกว่า ความคิดมี 2 แบบคือเผลอคิดกับตั้งใจคิด สิ่งที่ทำให้เป็นทุกข์คือการเผลอคิดซึ่งอาจารย์บอกว่าเป็นความคิดปรุงแต่งที่เรียกว่าสังขารที่มันขึ้นมาโดยอัตโนมัติเป็นต้นเหตุของความทุกข์ แต่ความคิดประเภทที่ตั้งใจคิดอย่างเป็นระบบเป็นความคิดที่เราควรนำมาใช้ในการดำเนินชีวิต ความคิดมันมี 2 แบบมันเหมือนกับฝรั่ง หนังสือ Think Fast Think Slow มันก็เป็นเรื่องเดียวกันเลยว่า ถ้าเราแยกออกว่าเราเผลอคิดหรือเราตั้งใจคิดเราก็จะไม่คิดว่าความคิดมันเป็นศัตรูกับเรา ส่วนตัวของผมคิดว่าแม้กระทั่งการเผลอคิดเนี่ยมันก็ไม่ใช่ศัตรูหรือเป็นสิ่งลบแต่สิ่งที่จะทำให้มันเป็นสิ่งที่ลบหรือเป็นศัตรูที่ทำให้เราทุกข์มันคือการเข้าไปยึดความคิดนั้น เพราะถ้าเราเห็นมันเป็นแค่ความคิดเหมือนเมฆที่ลอยผ่านเข้ามาแล้วมันก็ลอยผ่านไปก็ไม่เข้าไปยึดไปคว้ามันไว้เข้าไปมีเรื่องมีราวกับมันเข้าไปยึดว่ามันเป็นของเรามันก็จะเป็นแค่ความคิดที่มาแล้วก็ไป เพราะว่าเทคนิคที่อาจารย์สอนเมื่อสักครู่ เป็นเทคนิคเบื้องต้นที่ดีมากๆสำหรับคนเริ่มต้น คือผมเปรียบเทียบว่ามีการตะโกนใส่กัน แต่ตะโกนเป็นคำบริกรรมเข้าไปมีความคิดแบบนี้นี้มากกว่า ท่องพุทธโธ พุทธโธ เข้าไป ทับมันทับมัน มันจะได้ไม่ไหลไปกับสิ่งนั้นมันก็เป็นวิธีหนึ่ง แต่ถ้าคุณมีความชำนาญขึ้นไปแล้วมีสมาธิขึ้นมาในเบื้องต้นแล้ว มันถึงจะเห็นว่าความคิดเป็นแค่ความคิดแล้วก็ปล่อยมันผ่านไป แต่ถ้ายังไม่ได้ฝึกจนมันมีความชำนาญมันก็ทำได้อย่างเดียว เหมือนกดรีโมทเปลี่ยนช่อง ความคิดนี้มาอีกแล้วก็กดเปลี่ยนช่องกลับไปที่ พุทธโธ หรือกดเปลี่ยนช่องกลับไปที่บทสวดมนต์ที่จะใช้ ผมไม่รู้เข้าใจผิดหรือเปล่านะครับอาจารย์
อาจารย์หมอประเวศ: ความคิดไม่ใช่ว่ามีแต่โทษ ส่วนที่มีประโยชน์ก็มีแต่มีเป็นส่วนน้อย ราว 20 เปอร์เซ็นต์เป็นความคิดที่คิดด้วยเหตุผลแล้วก็เกิดปัญญาประเภทที่ 2 ที่เรียกว่า จินตามยปัญญา มะยะที่แปลว่าเหตุผล จินตาแปลว่าคิด ปัญญาที่เกิดโดยการคิด การคิดในที่นี้คือการคิดด้วยเหตุผล คิดด้วยตรรกะแล้วก็เกิดรู้ขึ้น ก็เป็นประโยชน์เป็นปัญญาประเภทหนึ่ง แต่ว่าส่วนใหญ่เป็นความคิดที่ไม่มีประโยชน์ คิดฟุ้งเฟ้อเรื่องอดีต กังวลอนาคต ไม่รู้อยู่กับปัจจุบัน เราก็ไม่ต้องไปรังเกียจอะไรมัน เพียงแต่รู้ทันมันว่าความคิดมันจะมาทำร้ายเรา เรื่องมารมันก็เข้ามาตรงนี้แหละ ผมอ่านของโยคะศาสตร์ มีบรรยายว่าถ้าเราเจริญความคิดเจริญสติ มันเกิดปัญญาอย่างไรบ้างถ้าเราทำไป ทำไป เราจะบังคับความคิดได้ การฝึกก็เพื่อฝึกให้บังคับความคิดได้
หมอบัญชา : แล้วเราจะแยกแยะความคิดยังไง บริหารยังไงอันไหนเป็นส่วน 20 อันไหนเป็นส่วน 80 อันไหนเป็นประโยชน์อันไหนไม่เป็นประโยชน์ เพราะถ้าเราไม่คิดหมดเลยบางทีเราก็อื้อเหมือนกัน อาจารย์มีแนวคิดยังไง
อาจารย์หมอประเวศ: พระพุทธเจ้าฉลาด เรื่องหนึ่งในอินเดียที่หมู่บ้านกาลามะ ชาวบ้านก็ถามว่าเวลาอาจารย์ผ่านมาทางนี้ทีไรก็บอกว่าให้เชื่อของตนอย่าไปเชื่อของคนอื่น แล้วมันจะมีหลักการเชื่อได้อย่างไร พระพุทธเจ้าก็มี กาลามสูตร 10 ประการ อย่าจงใจเชื่อเพราะเล่าลือกันมา อย่าจงใจเชื่อเพราะตรรกะมันดี ตรรกะดีเนี่ยที่ดีก็มี ที่ไม่ตรงก็มี เรื่องที่เราเรียนกันมา ก็ใช้ตรรกะด้วยความคิดและเหตุผลมันดี จนกระทั่งมีคนเชื่อเรื่องปรัชญาสมัยกรีกที่ว่า เชื่อความคิดมากกว่าความจริง ต้องค่อยๆคิดอย่าไปคิดเอาล่วงหน้าเรื่องยากๆ ใช้ปัญญาพิจารณา
คุณ นที เอกวิจิตร: เหมือนวันนี้ผู้ฟังก็ต้องห้ามเชื่อทุกอย่างที่เราพูดกันบนเวทีแต่ก็ต้องไม่ถึงกับไม่เชื่อหรือเชื่อทันทีให้กลับไปทดลองทำการบ้านว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงกับตนเองมากแค่ไหน
คุณ จิรา บุญประสบ : ลองคิดพิจารณาและปฏิบัติก่อนและค่อยเชื่อ
อาจารย์หมอประเวศ : ตอนนี้มีฝรั่งชาวเยอรมันชื่อ ออตโต ชามเมอร์ เขาตั้งทฤษฎีรูปตัว U เขาบอกว่าถ้าเราได้รับรู้อะไรมาเราอย่าพึ่งมีปฏิกิริยาโต้ตอบไปทันทีให้ดึงไว้ก่อน ให้suspendไว้ก่อน ลงมาตามขาตัว U พิจารณาดูก่อนลงไปจจนถึงก้นตัว U แล้วพิจารณาดูถ้ามันทำความเข้าใจแล้วค่อยขึ้นมาตามขาตัว U ข้างหลังแล้วค่อยมีปฏิกิริยาออกมา พระพุทธเจ้าสอนว่า ใครพูดอะไรอย่าพึ่งเชื่อแต่ก็อย่าพึ่งปฏิเสธให้เอาไปโยนิโสมนสิการดู ให้ผ่านกระบวนการทางปัญญาดู ซึ่งคล้ายๆทฤษฎีตัว U ซึ่งโยนิโสมนสิการคือการคิดแบบแยบคาย
คุณ นที เอกวิจิตร : พูดถึงเรื่องนี้แล้วนึกถึงที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ท่าน ป. ปยุตฺโต พูดว่าโลกปัจจุบันคือคนยุคนี้นิยมแสดงความคิดเห็นกันมากกว่าหาข้อมูล ดูในโลกโซเชียลได้เลยครับ จะมีนักกฎหมายนักการเมือง ผู้พิพากษาเต็มไปหมด ทุกคนเน้นแสดงความคิดเห็น ท่านบอกว่าคนเราส่วนใหญ่เวลาได้รับข้อมูลอะไรมาเบื้องต้นแล้ว จะเข้าไปมีความเห็นกับสิ่งนั้น แล้วพอเข้าไปมีความเห็นแล้วก็จะยึดความเห็นของตัวเองนั้นว่ามันคือความจริง ทำให้พลาดโอกาสที่จะได้รับข้อมูลเพิ่มและได้รู้ความจริงที่แท้จริง เพราะฉะนั้นก็เป็นอย่างที่คุณหมอพูดว่าได้รับข้อมูลมาให้พิจารณาดูก่อน อย่าพึ่งมีความเห็นกับมัน แต่ให้เก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ
อาจารย์หมอประเวศ: ตรงนทีพูดเราจะเห็นเต็มไปหมดที่เขาพิมพ์กันนั้นเต็มไปด้วยความเห็นทั้งนั้น ที่เป็นความรู้มีน้อย ทีนี้ก็มีคนเปรียบเทียบระหว่างคนไทยกับญี่ปุ่นว่า ญี่ปุ่นมี Information มากแต่ไม่พูดมาก แต่คนไทยกลับกัน Information น้อยแต่พูดมาก
หมอบัญชา: ท่านผู้ฟังมีข้อสงสัยอะไร หรือว่าสงสัยการบ้านสามารถส่งข้อมูลมาที่นี่ได้นะครับ รวมไปถึงท่านที่ฟังอยู่ทางบ้านด้วย
อาจารย์หมอประเวศ : เรื่องที่กำลังคุยกันอยู่ที่จริงมันสำคัญมากและกำลังสร้างคนรุ่นใหม่เพราะคนรุ่นใหม่เป็นอนาคตของประเทศ ระบบการศึกษาก็ไม่ให้คำตอบเขา ระบบการเมืองก็ไม่ให้คำตอบเขา เขาก็ไม่รู้จะทำยังไงลงถนนบ้างอะไรบ้าง มันจะไปยังไง ผมเลยฝากสมศักดิ์ไว้ที่จะคุยกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก คือผมคิดว่าการศึกษาไทยมันตีประเด็นการศึกษาไม่แตก เลยทำอะไรไม่ค่อยได้ ผมว่ามันต้องแยกให้ออกระหว่างความรู้กับความจริง การเรียนรู้จะต้องเอาความจริงเป็นตัวตั้งความรู้เป็นตัวประกอบ แต่นี่เราเอาความรู้เป็นตัวตั้ง ท่านประยุทธ์ก็เตือนตรงนี้นะว่าการศึกษาของเราเป็นการทำแบบแยกส่วน ไปเอาวิชาเป็นตัวตั้งและทิ้งชีวิตไปเลย เรียนวิชาอะไร สอบวิชาอะไร แต่ทิ้งความจริงของชีวิตไปเลย ชีวิตคือการศึกษา การศึกษาคือชีวิต มันไม่ได้แยกส่วน นำไปสู่การศึกษาแล้วไม่มีงานทำ บัณฑิตว่างงานกันเยอะก็ฝากไว้ด้วย
หมอบัญชา : โจทย์ครั้งนี้ที่อาจารย์ตั้งโจทย์เรื่องทุกข์เพราะคิด และให้การบ้านไปเพื่อฝึกไม่คิด ผมอยากจะถามอาจารย์นิดนึงว่าอาจารย์ได้บทสรุปอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และอย่างไร
อาจารย์หมอประเวศ : ผมก็ไปเรียน ผมจบแพทย์ได้เหรียญทอง ทุนพระเจ้าอยู่หัวได้ทุนปริญญาเอก เรียนวิชาสารพัดอย่างจากสถาบันที่มีชื่อเสียง รู้สึกว่าฟ้ามันเปิดทางปัญญา แต่พอกลับมาทำงานที่ศิริราช ทำงานแล้วมีความทุกข์เยอะเลยแสดงว่าวิชาที่เรียนมาไม่ได้ช่วยอะไร เราก็ได้ช่วยคนไข้แต่ละวิชาก็มีประโยชน์ของมัน แต่คิดว่าเราเสียเวลาเยอะ โกรธเกลียดคนนั้นคนนี้ต่างๆนาน คิดว่าเราเสียเวลาไปกับอารมณ์ความรู้สึกไปมากจนคิดว่าไม่ได้การแล้ว ก็เริ่มสนใจพุทธศาสนาแต่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ผมก็ไปหาอาจารย์หมออวยเพราะผมรักอาจารย์หมออวย ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์จบจากเยอรมัน ตอนหลังท่านมาสนใจพุทธศาสนา ท่านก็ให้หนังสือมาเล่มหนึ่งตอนนั้น เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา คืออะไรผมก็ยังไม่เข้าใจ แล้วท่านไปปฏิบัติกรรมฐานที่อีสานก็ตามไป วัดป่าบ้านตาด ไปอยู่ที่นั่นนอนศาลาวัด ไปเดินจงกรมพอตกค่ำอาจารย์มหาบัวก็จะเทศน์ ท่านก็จะเริ่มเสียงเบามาก ทีนี้มีเจ้าคุณผู้ใหญ่ไปจากกรุงเทพตอนหลังเป็นสมเด็จ มีพระสามรูปในขบวนที่ไปมีมหาหนุ่มคนหนึ่งผิวขาวมีอารมณ์ขันคอยกระเส้าผมเรื่อย ผ้าขาวม้าผมปลิวตอนนั่งสมาธิท่านก็มากระเส้าว่าเหมือนพรมเหาะ พระองค์นี้คือพระมหาอำพร สมเด็จพระสังฆราชตอนนี้ ที่ได้ไปกรรมฐานด้วยกัน ทีนี้ท่านเจ้าคุณที่ไปด้วยกันซึ่งเป็นครูของมหาอัมพรก็ไปอาราธนา มหาบัว ว่าท่านอาจารย์ช่วยเทศน์เรื่อง “ปฏิจจสมุปบาท” หน่อยได้ไหมครับ พระสังฆราชองค์หนึ่งก็ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ มหาบัวก็พยายามบ่ายเบี่ยงจะไม่พูด จนท่านก็เริ่ม อวิชชา พอดีคนเดินขึ้นศาลาไม่ล้างเท้าท่านได้ยินเสียงท่านว่าเสียสมาธิ พูดไม่ได้ท่านก็เลิกไปเลย ตอนหลังไปดูของหมอบัญชาก็เป็นเรื่องสำคัญตอนนี้ให้พูดกี่ครั้งก็พูดได้ ทีนี้มีอีกคำหนึ่งที่ได้ฟังตอนเด็กๆ เขาก็ไปนิมนต์พระมาสวด “พวกชง” ตอนที่ย่าไม่สบายหนักครั้งสุดท้าย แรกๆก็ไม่รู้แต่ตอนนี้ผมก็สวดได้แล้ว จนกระทั่งมาเจอท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ท่านพูดเป็นเหตุเป็นผล ผมอ่านหนังสือของท่านทุกเล่มจนกระท่านเจอหมอบัญชา และชวนกันมาทำหอจดหมายเหตุ รู้สึกว่าท่านค้นคว้าและปฏิบัติเอง ก็เลยอยู่กับท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุมาเรื่อย เป็นศิษย์ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ถ้าถือว่าท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุเป็นทาสพระพุทธเจ้า หมอบัญชาก็เป็นทาสของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุอีกทีนึ
คุณ จิรา บุญประสบ : อาจารย์คะอย่างอาจารย์มีอาชีพเป็นหมอซึ่งอยู่ใกล้ความทุกข์มาก เพราะเห็นคนที่เจ็บตาย และเป็นหมอส่วนหนึ่งหน้าจะมีความทุกข์ในเรื่องของอัตตาด้วยเพราะเป็นหมอที่เก่ง มีผลมั้ยคะ
อาจารย์หมอประเวศ : เราเป็นนักเรียนแพทย์ก็ผ่านการทำศพทุกคนนะแต่ไม่ได้เข้าเนื้อเข้าหนังมันคิดไปทางความรู้ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น มันเข้าไม่ถึงธรรม วิทยาศาสตร์เน้นที่ความแม่นยำเน้นที่การทำซ้ำและได้เหมือนเดิม การชั่ง ตวง วัด ต้องได้เหมือนเดิมทำให้เกิดการคิดแบบตายตัว แต่ความจริงไม่ได้ตายตัว แต่ตอนหลังเขาก็ค้นพบแล้ววิทยาศาสตร์ใหม่ ตั้งแต่ไอน์สไตล์ ควอนตัม เป็นต้น ของทั้งหมดเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงและเชื่อมโยงกันหมด ไว้ผมจะมาพูดทีหลัง
หมอบัญชา: อาจารย์เก็บไว้คุยทีหลังไว้หลายเรื่องเลยครับ ไหนๆเมื่อกี้คุณอุ๋ยบอกว่าเขาเคยแต่งเพลงเรื่องคิดโน่นคิดนี่คิดนั่น แบบฝึกหัดครั้งนี้อาจารย์ให้เราตั้งหลักว่าด้วยการคิดและไม่คิด
อาจารย์หมอประเวศ : คำถามเมื่อกี้ยังตอบไม่หมดนะ ถามว่ามาสนใจยังไง มันค่อยๆเปลี่ยนจากคนเดิม ความหงุดหงิดรำคาน ความโกรธ ก็หายไป เหมือนกลายเป็นอีกคน ผมตอนนี้กับผมสมัยหนุ่มๆไม่เหมือนกันเลย
คุณ จิรา บุญประสบ : ความโกรธนั้นมาจากการที่เราต้องการเห็นความถูกต้องมั้ยครับอาจารย์
อาจารย์หมอประเวศ : ความโกรธมันก็เปนกิเลสอย่างหนึ่งที่เรียกว่า โลภะ โทษะ โมหะ แต่ทุกคนมันก็มีตรงนี้ เพราะฉะนั้นตรงนี้มันหนียากมากเพราะเวลาเราได้รับรู้อะไรเข้าไปมันก็เกิดความพอใจไม่พอใจ พอใจก็อยากได้มากๆ ไม่อยากพลัดพรากพอไม่พอใจก็โกรธ เป็นมนุษย์ต้องเจอตรงนี้ เมื่อก่อนผมโกรธมากนะผมได้รับอิทธิพลจากนวนิยายตอนเด็กๆ เกลียดคนขี้โกง คนขี้เกียจ ตอนหลังไปเจอคำพูดที่ว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เกลียดคนที่มีกิเลสหรอก ท่านสงสารเขา มันยากมากที่จะไม่มี มันขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณร่างกาย ฮอร์โมน เพราะฉะนั้นอย่าไปโกรธอย่าไปเกลียดเขา
คุณ จิรา บุญประสบ: อาจารย์เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความทุกข์จนได้เปลี่ยนตัวเองตอนอายุเท่าไหร่
อาจารย์หมอประเวศ : เจริญสติตอนผมไปหาอาจารย์หมออวย อาจารย์หมออวยบอกว่ากว่าท่านจะสนใจก็ตอนอายุ 50 อาจารย์ท่านบอกว่าผมโชคดีที่มาสนใจตอนอายุ 30 กว่า แต่มันค่อยๆเป็นค่อยๆไปมันไม่รู้ตอนไหน
หมอบัญชา : เมื่อ 30 ปีที่แล้วเป็นที่ฮือฮามากครับ อาจารย์ออกหนังสือชื่อ “วิธีแก้เซ็งสร้างสุข”
อาจารย์หมอประเวศ : ตอนนั้นเห็นมีคนเซ็งแล้วก้ไม่มีความสุขกันเยอะ ผมเลยเขียนหนังสือมาเล่มหน่งชื่อว่า “แก้เซ็งสร้างสุข” ขายดีมาก แต่ว่าของแบบนี้มันจะเกิดทุกคนแหละ คนที่เจริญสติแล้วเขาจะรู้สึกว่าเขาโชคดีจริงๆในชีวิต มันมีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างเวลาเจริญสติ ผ่านการวิจัยทางสมอง
หมอบัญชา : แล้วอุ๋ยล่ะมีความคิดแบบเจริญสติตอนไหน
คุณ นที เอกวิจิตร: ของผมคงเป็นช่วงอายุ 15 -16 ครับ ว่าเกิดมาทำไม มันต้องแพทเทิร์นนี้หรอ คือเข้ามหาลัย ทำงาน มีบ้านมีรถ แต่งงานมีลูกอะไรแบบนี้หรอ ผมเป็นวัยรุ่นหัวขบถ แต่ได้ไปทดลองปฏิบัติจริงตอนอายุ 23 ทำให้เข้าใจมากขึ้นว่าศาสนาพุทธสอนอะไร ได้ประสบการณ์ตรงว่าเห็นว่าความสงบต่อเนื่องยาวนานทำให้มองเห็นอะไรในชีวิตชัดขึ้น อาจจะเพราะประสบการณ์ชีวิต มีความทุกข์ทำให้ตกตะกอนเห็นความคิดตัวเองเยอะขึ้น พอไปเจอความสงบแบบนั้น ทั้งที่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีความสงบแบบนั้น ก็ตกใจเราไม่ได้คาดหวังว่าจะไปเจออะไรแบบนั้น พอเจอแล้วตกใจปนประทับใจเราเลยไปติดกับความรู้สึกแบบนั้นและอยากจะได้มันอีก
คุณ จิรา บุญประสบ: การไปเจริญสติก็เกิดสภาวะบางอย่างกับตัวเอง และศึกษามาเรื่อยๆและมีพัฒนาการเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
คุณ นที เอกวิจิตร: มันเปลี่ยนโดยไม่ได้รู้ตัว แต่ทุกวันนี้ผมไม่ค่อยทุกข์กับเรื่องที่เจอทั้งๆที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะทุกข์ใจมากกว่านี้ ทั้งๆที่เป็นเหตุการณ์เดียวกันแต่มุมมองกับเรื่องนั้นมันเปลี่ยนไป
คุณ จิรา บุญประสบ : มันเป็นเหมือนที่อาจารย์เขียนในบทความรึเปล่าคะที่ว่า เมื่อเข้าใจก็หายทุกข์
อาจารย์หมอประเวศ : ผมคิดว่าเราหน้าจะเหลือไว้คราวหน้าบ้าง วันนี้ถือเป็นวันเริ่มต้น มีนทีมาช่วย คล้ายๆกับคนรุ่นใหม่มาถามมาเล่า เราก็คุยกันพอสมควรอาจจะเกิดประโยชน์บ้างเล็กๆน้อยๆก็ยังดี อย่าลืมการบ้าน เพราะว่าหลายคนอาจจะเจอความสุขขึ้นบ้าง เรียกว่า “นิพพานชิมลอง” ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ พูดว่าทำยังไงก็ได้ให้เราเจอความสุขให้ได้ จะได้ติดใจไม่งั้นจะเบื่อและเลิกราไป อย่าลืมการบ้าน เรื่องสวดมนต์ถ้าใครมีศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้ามีตรงนี้แค่เริ่มสวดมนต์เราก็มีความสุขแล้ว ต่อไปก็จะเจอ ใหม่ๆอาจจะยังไม่เจอ แต่ต่อไปทำไปแล้วพอเริ่มสวดมนต์ก็มีความสุขแล้ว ต่อไปก็บริกรรม อานาปานสติ และเดินจงกรม 1เดือนที่ไม่ได้เจอกัน ถ้าทำแล้วได้ผลเป็นอย่างไรช่วยเขียนให้หมอบัญชาก็จะดีมาก ถ้าทำการบ้านไปก็คงจะก้าวหน้าไปได้เยอะ ถ้าไม่รังเกียจอะไรก็มาเจอกันอีกเดือนละครั้ง 12 เดือน ก็ขออวยพรให้ทุกคนมีความสุขมากกว่าเดิม สุขภาพดีและอายุยืนและมีสติปัญญาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้พบการเรียนรู้ที่ดี เพราะการเรียนรู้ที่ดีเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดของมนุษย์ มนุษย์มีศักยภาพในการเรียนรู้ที่สูงจึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะแสวงหาการเรียนรู้ที่ดีและช่วยให้เพื่อนมนุษย์ได้พบการเรียนรู้ที่ดี อันนี้เป็นโจทย์ของเรา และเราก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้นโลกก็จะต้องดีขึ้นเพราะเรามีหัวใจเพื่อเพื่อนมนุษย์ ก็ขอจบรายการวันนี้เพียงเท่านี้
หมอบัญชา: ผมว่าผมจะขอเชิญผู้แทน 2 ท่านของวันนี้ คือผู้แทนจากมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติและผู้แทนจากมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ จะกรุณามาชี้แนะอะไรสักนิดมั้ยครับ
ท่านอาจารย์วิจารย์ : ให้กลับไปปฏิบัติตามที่อาจารย์ให้การบ้านไว้และได้เรียนรู้ด้วยตัวเองครับ
คุณหมอสมศักดิ์: น้องชายผมเป็นหมออยู่ที่อำเภอแห่งหนึ่งที่กำแพงเพชร เขาก็ศรัทธาแม่ชีท่านหนึ่งเพราะเขาสามารถเล่าเรื่องต่างๆได้อย่างลึกซึ้งทั้งๆที่เขาไม่ได้จบแม้กระทั่งป.4 มีวันหนึ่งเขาก็พยายามชวนผมไปเจอแม่ชีท่านนั้น ตอนนั้นผมก็พยายามจะนั่งสมาธิแต่ก็ไม่ได้มีโอกาสได้ทำอย่างจริงๆจังๆ จนได้เจอท่านอาจารย์ประเวศ ก็พยายามทำอย่างนึง เพราะอาจารย์ท่านก็เตือนเยอะ ผมจับประเด็นได้ว่าคนที่ช่างคิดเนี่ยปวดหัวมากเลยเพราะเป็นคนคิดเยอะ ก็พยายามจะรู้ทันความคิดตัวเอง พอไปคุยกับแม่ชีถามคำถามหนึ่ง ทำไมต้องนั่งสมาธิ ผมเองก็พยายามมากที่จะให้รู้ทันความคิดตัวเอง แม่ชีเลยตอบมาสั้นๆว่า ก็ลองทำดูสิจะได้ไม่ต้องพยายาม กลับไปที่การบ้านที่อาจารย์ว่า ผมก็ว่าเป็นตัวอย่างหนึ่ง ผมเองก็ยังไม่เคยถึงขั้นมีความสุขจากการนั่งสมาธิแต่ก็เริ่มมีความเชื่อแล้วก็ต้องกลับไปลองทำการบ้าน ลองไปสักพักอาจจะเกิดความสามารถที่ไม่ต้องพยายามก็ได้
หมอบัญชา : ขออีกสักคนเป็นกรรมการบริหารสวนโมกข์ จริงๆเขาเป็นภาคีแต่ตอนนี้มาเป็นกรรมการบริหารสวนโมกข์ เชิญคุณวิภา คุณวิภาทำกิจกรรม เพลินธรรมนำปัญญา ทำกิจกรรมของเด็กเพื่อทำค่ายเรียนรู้ของเด็กๆ
คุณวิภา : เกิดประเด็นเหมือนกันที่ได้เข้ามาเป็นกรรมการบริหารที่มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญแห่งนี้ เคยมีคำถามอย่างนี้เหมือนกันว่าเกิดมาทำไม ตอนที่ลงไปที่สวนโมกข์ไชยา ท่านก็ให้หนังสือมาเล่มหนึ่ง จนสุดท้ายได้คำตอบว่าเราเกิดมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น ก็ยึดแนวทางอันนี้ว่าการเป็นประโยชน์แก่ตนเองคืออะไร คือต้องให้ตนเองมีการเจริญสติสมาธิและเกิดปัญญา ในขณะเดียวกันที่เป็นประโยชน์กับผู้อื่นเราไม่รู้ว่าเราจะอยู่ไปถึงอายุเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเวลาที่เหลืออยู่ก็ตั้งใจจะใช้ศักยภาพที่ตัวเองมีทำประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็เลยออกแบบร่วมกับธรรมภาคีในหลายเครือข่ายของสวนโมกทำกิจกรรมที่เผยแพร่ธรรมให้กับเด็กและครอบครัว อีกเรื่องเป็นเรื่องของเกิดแก่เจ็บตายก็มาทำเรื่องของธรรมะบำบัดความป่วยได้จริงหรือ เราควรซ้อมตายไว้ก่อนที่วาระสุดท้ายจะมาถึง