PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • อาจารย์วรภัทร ภู่เจริญ
  • วิธีอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งในออฟฟิศอย่างสันติ
วิธีอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งในออฟฟิศอย่างสันติ รูปภาพ 1
  • Title
    วิธีอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งในออฟฟิศอย่างสันติ
  • เสียง
  • 13990 วิธีอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งในออฟฟิศอย่างสันติ /aj-woraphat/2025-07-09-07-24-24.html
    Click to subscribe
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันพุธ, 09 กรกฎาคม 2568
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ผู้ถาม : ใน 1 ปี มนุษย์ออฟฟิศจะทำงานเฉลี่ยปีละ 200 วันต้น ๆ เฉลี่ยวันละ 8-10 ชั่วโมงที่เราต้องมีปฎิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ในทุก ๆ ด้าน เพราะว่าทุกวันนี้เราใช้ชีวิตอยู่ในที่ทำงานเป็นหลักใช่ไหมคะ เราจึงต้องหาสมดุลให้กับชีวิตเพื่อที่เราจะได้อยู่ในที่ทำงานอย่างสันติสุขกับทุกสรรพสิ่ง EP นี้เราเลยเชิญแขกรับเชิญที่พนักงานรวมไปถึงเจ้านายในองค์กรส่วนใหญ่น่าจะคุ้นเคยและรู้จักเขาเป็นอย่างดีนะคะ มาพูดคุยเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งต่าง ๆ ในออฟฟิศ เผื่อว่ามนุษย์เงินเดือนเช่นเรา จะได้แง่คิดดี ๆ ในการทำงานหรือแง่มุมที่ต่างออกไปจากเดิมค่ะ สวัสดีค่ะ อาจารย์วรภัทร์ ภู่เจริญ ค่ะ

    อ.วรภัทร์ : สวัสดีครับ

    ผู้ถาม : ให้อาจารย์แนะนำตัวก่อนค่ะ ว่าอาจารย์ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่ 

    อ.วรภัทร์ : อายุเยอะนะ ประวัติก็เลยยาว จบเคมีเทคนิควิทยาศาสตร์จุฬา จบปริญญาโทด้านวิศวะ และปริญญาเอกด้านวิศวะจากรัฐโอไฮโอ USA แล้วในระหว่างที่เรียนปริญญาเอกก็ทำงานเป็นนักวิจัยที่องค์การอวกาศ NASA ทำด้านเครื่องบินไอพ่นในส่วนที่เป็นเครื่องยนต์ พวกเซรามิกเคลือบ แล้วก็พอจบจาก NASA ก็กลับมาเมืองไทย ก็มีความเห็นว่าถ้าเข้าบริษัทใหญ่ ๆ เลย อย่าง ปตท. หรือ SCG ก็ไล่หลังเพื่อนไม่ทันแล้ว เงินเดือนเพื่อน ๆ แซงไป 2-3 เท่าแล้ว เป็นอาจารย์ดีกว่า จากเงินเดือนเยอะ ๆ นะ พอมาอยู่เมืองไทยนี่ก็ช็อคโลกเหมือนกัน

    ผู้ถาม : ตอนที่อยู่ NASA นี่อยู่นานแค่ไหนคะอาจารย์ 

    อ.วรภัทร์ : 7 ปี ก็นานฮะ ทำโปรเจคยาว ๆ แต่ NASA เขาไม่จ้างใครยาว เขาจ้าง 3 ปี 5 ปี 7 ปี เป็นสัญญาหมดแล้วเดี๋ยวก็พิจารณากันใหม่ เผอิญผมไม่ได้ต่อสัญญา 

    ผู้ถาม : วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่อง เกี่ยวกับมนุษย์ออฟฟิศค่ะอาจารย์ คำถามแรกเลยคืออยากรู้ว่าอาจารย์คิดว่าทุกวันนี้ Pain Point ของคนที่เป็นมนุษย์ออฟฟิศส่วนใหญ่เกิดจากเหตุปัจจัยอะไรบ้าง

    อ.วรภัทร์ : มันมองได้หลายมุมนะ มันแล้วแต่คนด้วย ส่วนใหญ่ที่เป็นประเภท salaryman ถ้านิยามก็คือพวกที่ยังไม่ก้าวขึ้นไปเป็นระดับบริหารสูง ๆ พวกนี้เขาเรียกว่ามนุษย์เงินเดือน  Mindset ภาษาไทยจะเรียกว่าอะไรดี ทัศนคติ ทัศนคติไม่ดี แล้วก็ไม่ทำอะไรที่เป็นมงคล คำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องมงคล 38 ผมใช้ตลอดเวลาเลย ก็ง่าย ๆ เลยนะ คือไม่คบบัณฑิต พอไม่คบบัณฑิต ความที่ตัวเองเป็น salaryman มันเหมือนคนที่อยู่ในเรือที่พายเรืออยู่ข้างล่าง มันไม่เห็นไกล ๆ ก็เลยไม่เข้าใจว่าผู้บริหารคิดอะไร บางครั้งผมก็แซวลูกน้องผมนะว่านางเสมียน วิธีคิดของเสมียนมันอยู่เฉพาะหน้าโต๊ะตัวเอง พอระดับกัปตันเขาพูดอะไร เขาเห็นไกลกว่าไง ก็จะมาโวยวายกัปตันว่า ทำไมเปลี่ยนอีกแล้ว ทำไมเปลี่ยนอีกแล้วอะไรอย่างนี้

    ผมถึงบอกเลยว่าถ้าคุณเป็น salaryman แล้วอยากจะอัปเกรดตัวเองขึ้นมาระดับสูงขึ้นมันมีหลายวิธี หนึ่งในนั้นเลยคือคบบัณฑิต บัณฑิตคือคนที่เราเชื่อว่าเขาหวังดีกับเรา เขาชี้ทางนิพพาน เขาชี้ทางประสบความสำเร็จ ซึ่งปัจจุบันนี้เขาเรียกว่า Coach Facilitator เรียกย่อว่า ฟา (FA) แล้วก็ Mentoring ซึ่งถาม salaryman แต่ละคนเลยว่าชีวิตนี้มีไหม Coach FA Mentor น้อยมาก แล้วเราสังเกตนะคนที่เป็น salaryman หรือพวกเสมียน ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนที่ตอนเด็ก ๆ มีปม ปมอันนึงก็คือไม่ไว้ใจพ่อแม่ ไม่ไว้ใจคนที่ควรไว้ใจ เรียกง่าย ๆ คือคนดื้อ พอดื้อปั๊บ โลกของเสมียนมันปิดทันที แล้วก็เชื่อตัวเอง คนพาล ไม่ใช่ใครเลย ตัวเอง ตัวเราเองคนพาล บางคนอาจจะเคยโดนหลอกมาก่อน บางครั้งไม่ใช่ใครที่หลอก พี่ตัวเองน้องตัวเอง บางทีพ่อแม่ไม่รับปากแล้วไม่ทำให้ หรือการที่บูลลี่ (bully) ลูก หรือการที่เปรียบเทียบลูกคนโตเก่งกว่าลูกคนเล็ก ปมพวกนี้เกิดจากครอบครัว ปมพวกนี้เกิดจากระบบทางการศึกษานะครับ การแซวกันการบูลลี่กัน มันทำให้ชีวิตเรากลายเป็นเสมียนไปทุกวัน ๆ พอเข้ามาทำงานบริษัท มาเจอเจ้านาย Pain Point อันแรกเลยคือไม่เข้าใจเจ้านาย จะไปเข้าใจได้ยังไง ชีวิตนี้พอเห็นหน้าพ่อแม่ พอเห็นหน้าเจ้านายคิดว่าเป็นคนเดียวกัน พอเจ้านายสอนก็บอกเจ้านายด่าเหมือนกับที่เขาเคยเจอที่พ่อแม่สอนก็บอกว่าพ่อแม่ด่า

    ต่อมาระบบการศึกษาไทย มันแย่มากไง มันเอาแต่เรื่องวิชาการเอาแต่เรื่องตัดเกรดแข่งขัน เป็นการศึกษาห่วย ๆ ซึ่งอเมริกาเขาเลิกทำแล้ว แต่เรายังทำตามเขาอยู่ ฝรั่งเขาเลิกกันแล้ว นั่นคือระบบตัดเกรดซึ่งทำลายประเทศมาตลอด ผลคือเราเห็นแก่ตัว พอเห็นแก่ตัวเสร็จ ครูในห้องก็ไปชื่นชมคนเก่ง คนเก่งก็กลับมาแซวคนไม่เก่ง คนไม่เก่งก็ขาดกำลังใจ ครูก็ใช้แต่คำด่า พอใช้ negative psychology หรือจิตวิทยาเชิงลบมาก ๆ ก็กลายเป็นเด็กดื้อ พอดื้อปั๊บก็จะสร้างเกราะป้องกันตัวเอง คือเสมียนหลายคนที่เจอนี่นะ เขาเรียกเสมียนซินโดรม อันนี้อาจารย์ตั้งเองนะ คือโลกของมนุษย์เสมียน 

    วิธีที่จะแก้ ผมในฐานะ Coach FA Mentor นะ ผมต้องเข้าไปนั่งคุย เข้าไปเปิดโลกเขา พาเข้าไปเจอโลกกว้าง ซึ่งยากมาก จะไม่ยอมไป และยิ่งจนด้วยยิ่งยากใหญ่เลย เป็นเสมียนไม่พอเงินเดือนก็ต่ำใช่ไหม เพราะฉะนั้นผู้บริหาร ถ้ารักมนุษย์จริงนะฮะ กรุณามีระบบ Coach FA Mentor เข้าไปโค้ชคนพวกนี้ ภาษาผมเรียกว่าเข้าไปเป็น Curator ปั้นให้เสมียนแต่ละคนที่มีกำลังใจ มี purpose ของชีวิต มีฝันพวกนี้ออกมา ง่าย ๆ เลยคือองค์กรสมัยใหม่ เขาแทบจะเปิดโรงเรียนในองค์กร เขาเริ่มเรียนกันใหม่เลย อายุ 20 กว่า เรียนใหม่หมดเลย เราถือว่าระบบการศึกษาที่ผ่านมาทั้งหมดล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เสียเวลาไป 20 กว่าปีในการศึกษาไทย หมดเงินกันไปหลายแสน หมดเวลา แถมได้ไวรัสทางสมองมาเพียบเลย ได้พฤติกรรมแย่ ๆ จากในโรงเรียนมาเยอะมาก คนไทยมองไม่เห็นตรงนี้

    เดี๋ยวอนาคตจะมีปัญหาอีกเพราะว่าเด็กที่จบจากเมืองนอกกำลังกลับมา วิธีคิดเขากล้าหาญกว่า พูดตรงกว่า พูดแรงกว่า แล้วก็ความมั่นคงทางอารมณ์สูงกว่า เพราะอย่าลืมนะว่าเด็กในยุโรปในอเมริกา เขาฝึก EQ สูง ฝึก Courage ฝึกความกล้าหาญ วิชาการเขาไม่จำเป็นต้องเยอะ ทุกอย่างอยู่ใน YouTube ทุกอย่างอยู่ในโซเชียลมีเดีย แต่สิ่งที่ต้องการคือพฤติกรรมไง เขาระเบิดตัวเองเป็น เขาเห็นปมตัวเองแล้วก็ทำนู่นทำนี่ แล้วเขาล้มเหลวช่างมัน failure is learning ในขณะที่ฝั่งไทย มนุษย์ salaryman ของคนไทย ผิดไม่ได้ ๆ ฉันไม่ทำ ฉันกลัวโดนแซว ฉันกลัวโดนว่า คือตัว fear หรือคำว่ากลัว ขึ้นเต็มหัว salaryman ไทยเลย คุณมีแต่ความกลัว พอมีคนชวนออกไปทำออนไลน์ ฉันไม่กล้าทำ เนื่องจากไม่กล้าไง พอไม่กล้าปั๊บก็จะขี้ขลาด พอขี้ขลาดปั๊บก็จะไม่มีครีเอทีฟใหม่ ๆ

    ความคิดสร้างสรรค์ มันมาจากความกล้า คนขี้ขลาดอย่างไงก็ไม่สร้างสรรค์ ถ้าจะหมกตัวอยู่ในโลกของตัวเอง ตื่นเช้ามาก็กินข้าวเหนียวหมูปิ้งหน้าบริษัท แล้วก็นั่งทำงานอยู่โต๊ะตัวเดียวหมกมุ่นไปอยู่ตรงนั้น โดนเจ้านายด่าก็นินทาเจ้านาย แล้วก็เครียด เที่ยงก็ออกมาหาอะไรกินแถวบริษัท เดินช้อปปิ้งตลาดนัดก็ซื้อของเดิม ๆ เสื้อผ้าแบบเดิม ๆ เย็นก็นั่งคิดว่าจะไปไหนดี เดินห้างแอร์เย็นสบาย กลับไปก็รถติด เดินไปเดินมากินนู่นกินนี่ พอเห็นร้านแพง ๆ ก็อยากจะลองสักครั้ง เงินก็หมด ต่อมาก็เริ่มมีบัตรเครดิตใบที่ 1 เอาไปผ่อนใบที่ 2 ใบที่ 2 ไปผ่อนใบที่ 3 เจ๊งหมดตัวกันไปก็มี เนี่ย salaryman แล้วผูกปลูกฝังวิชาไม่เชื่อคนขึ้นมา คือไม่เลือกคนที่ควรเชื่อ ดันไปเชื่อไอ้พวกขายของ ดันไปเชื่อคนที่หลอก ให้ทำนู่นทำนี่ตลอดเวลา หมดตัว แล้วก็จนต่อไป นี่คือพฤติกรรมของคนผมว่าเกิน 50% ของคนไทยที่เป็น

    salaryman มันเป็นปม ปมที่กระทรวงศึกษา ปมที่พ่อแม่ทำร้ายคุณ คุณไม่มีบัณฑิต คือ Coach และ FA Mentor เขาจะเป็นคล้าย ๆ กับส่องกระจกให้คุณเห็นว่า คุณเติบโตมาแบบนี้ วิธีคิดของคุณมีมุมเดียว คุณมีวิธีคิด mindset แบบนี้ ๆ คุณถึงเป็น salaryman นี่คือเหตุผลที่คุณเข้ากับเพื่อนไม่ได้ในออฟฟิศ นี่คือเหตุผลที่คุณเลือกที่จะคบใครในออฟฟิศ คุณเลือกเฉพาะคนที่เชื่อคุณ คุณเลือกคบเฉพาะคนที่คิดตรงกับคุณ ใครคิดต่างคุณไม่อยากเข้าใกล้ ใครคิดต่างคุณไม่อยากกินข้าวเที่ยงด้วย เห็นไหมโลกของ salaryman แล้วเสาร์อาทิตย์ก็กลับบ้านซักผ้า ซักผ้าแล้วก็เดินห้าง หนังสือไม่อ่าน เกลียดการอ่านหนังสือ จากนั้นบางคนมีเพลงฟังก็เป็นการบันเทิงง่าย ๆ มันชีวิตมันจะมีแพทเทิร์นของมัน เป็นแพทเทิร์นแบบ salaryman ถึงจุดหนึ่งพอ Digital Disruptive กำลังจะมา ก็เอาล่ะ เดี๋ยวโดนเขา Layoff 20,000 กว่าคน salaryman เจ็บตัวก่อน แล้วพอออกปั๊บก็นึกอะไรไม่ออก กลับไปทำเกษตร พอไปทำเกษตรวิธีคิดเลยก็คือซื้อสารเคมี ก็ทำไม่เป็นอีก จมไม่ลง ทำได้ 3-4 เดือนก็เผ่นกลับไปทำเสริมสวย ไปตัดผม เปิดร้านอาหารก็แล้วแต่

    นี่ก็กลับมาคำถามที่หนูถามอาจารย์ว่า Pain Point ของมนุษย์เงินเดือนเกิดจากอะไรบ้าง เกิดจากการเลี้ยงดู เกิดจากตัวเขาเอง mindset เขามองโลกยังไง วิธีที่เขามองโลก เขาผ่านโลกที่ติดลบมาตลอด โลกที่ทำอะไรก็ผิด ขยับก็ผิด ๆ เพราะฉะนั้นตัว fear เพิ่ม courage หาย ครีเอทีฟหาย ประกอบกับพอวางตัวไม่เป็น ไม่รู้จักคำว่า social skill ก็จะคบแต่เพื่อนกลุ่มเดียวกัน อย่าง salaryman หลายคนที่ผมเข้าไปช่วยนะ ผมก็เริ่มจาก mindset เขาก่อน 1 อย่ากลัวเจ้านาย แล้วคุณจะเข้าหาเจ้านาย จะจีบเจ้านายทำยังไง ผมก็พาเขาไปดูโลกของเจ้านายก่อน คนที่เป็นเจ้านายก็วางตัวกันแบบนี้ เสื้อผ้าหน้าผมก็สำคัญ เสื้อผ้าคุณไม่ต้องลงทุนมาก เพราะคุณสนิทกับเจ้านาย บางทีเสื้อผ้ามือสองของนายมาใส่ต่อก็ยังได้ เขาให้ฟรีก็มี อัปเกรดตัวเองขึ้นไป เล่นกีฬาที่นายชอบ คุณจะได้มี Topic หรือหัวข้อคุยกับเจ้านายมากขึ้น salaryman หลายคนผมพาไปตีกอล์ฟ กอล์ฟเดี๋ยวนี้มัน 9 หลุม 100 กว่าบาทก็มีนะฮะ พวกพาร์ 3 อะไรง่าย ๆ คุณไม่ต้องไปจ่ายที 18 หลุม 4,000 บาท มันมีตั้งหลายสนาม เพียงแค่คุณมาตีกอล์ฟ คุณเริ่มตีเป็น เจ้านายเขาจะมีไม้เก่า ๆ ไม้เหลือ ๆ ชุดเก่า ๆ คุณมีเรื่องคุยกับเจ้านาย

    อันนี้คุณวัน ๆ นึง คุณก็ฟังเพลง สมมุตินะ เจ้านายเป็นนายที่เขาอินเตอร์หน่อย จบนอกมา คุณฟังเพลงลูกทุ่ง คุณฟังเพลงไทย แล้วคุณจะคุยกับนายได้ยังไง นายคุณอ่านหนังสือ คุณก็ไม่อ่าน นายตีกอล์ฟ คุณก็ไม่เอา โลกคุณแคบลงทุกวัน คุณทำตัวคุณเอง คุณทำร้ายตัวคุณเอง แล้วมานั่งบ่น ฉันจน ๆ คนจนมันเกิดจาก Mindset แล้วก็ยอมแพ้ตัวเอง จากนั้นก็อ้วน กินแล้วก็อ้วน สิวขึ้น แล้วก็หาผัวไม่ได้ก็โวยวาย แล้วก็จับกลุ่มกันแล้วก็นินทากัน คือมันจบลงแบบนี้ทั้งนั้นเลย หรือได้ผัวห่วย ๆ มาคนนึง ชีวิตเลอะเทะกว่าเดิมอีก ผัวขี้เมา ผัวซ้อม ผัวเตะ ซวยอีกมีลูก salaryman ความที่ไม่เชื่อคนที่ควรเชื่อ แล้วก็เลือกคนไม่เป็น คนไหนเชื่อมันก็ต้องเชื่อ คบบัณฑิต ห่างไกลคนพาล ไม่ถีบตัวเองมาจากกลุ่มเพื่อน เพราะอะไร เพราะอยู่กับพ่อแม่ พ่อแม่สอนเยอะ รำคาญ สมัยใหม่เขาห้ามสอนกัน แต่ไม่ใช่หมายความว่าไม่สอนนะ สุดยอดสอนคือไม่สอน นั่นคือใช้ Coach FA mentoring แทนการ teaching ซึ่งพูดไปคนก็จะงง ๆ คือจริง ๆ ทักษะนี้เรียกว่า Coach FA mentoring curator 

    ผู้ถาม : ซึ่งมันก็ยากเหมือนกันนะคะ 

    อ.วรภัทร์ : ต้องเรียนฮะ ต้องเรียน ซึ่งตอนนี้ผมก็เปิดสอนอยู่เป็นระยะ ๆ สอน Coach ให้เขามีสถาบันโค้ชไทย ดร.เทิดทูนอะไรพวกนี้ก็สอนอยู่ แต่ถ้า FA ต้องมาเรียนกับคุณรสสุคนธ์ นะครับ ส่วน mentor เรียนกับวรภัทร์ได้ calculator เรียนได้ ก็ตกลง Pain Point มาจากอะไร หลายอย่างเนอะ ไม่คบบัณฑิต ไม่มีบุคคลที่เราเป็น Role Model ถ้าอธิบายตาม Maslow นะ รู้จัก Maslow 5 ขั้นใช่ไหม

    ผู้ถาม : มีอะไรบ้างคะอาจารย์ 

    อ.วรภัทร์ : ก็คือพวกขั้นต่ำ ยังห่วงเรื่องกิน เรื่องความปลอดภัย ห่วงเรื่องความรัก อย่างนี้ กลุ่มนี้คือ salaryman มันยังไม่พ้นไง ทีนี้ในขณะที่เด็กต่างชาติ เด็กฝรั่ง ตั้งแต่เล็ก ๆ เลย  สิ่งแรกที่เขาสอนกันไม่ใช่ passion นะ passion ทีหลัง เขาเล่นเรื่อง purpose ของชีวิตก่อน เกิดมาทำซากอะไร ถ้าอาจารย์จะเป็น curator คำว่า curator หมายความว่าจะปั้นใครขึ้นมาสักคนนึงให้เขาค้นพบตัวเอง อาจารย์ก็ต้องดูก่อนว่า purpose เขาตอนนี้เป็น purpose ส่วนตัวเห็นแก่ตัว เรียกว่าเ Level 1 เห็นแก่ตัวส่วนตัว หรือเขาเข้า Level 2 เพื่อเพื่อนสังคมครอบครัว หรือเขามา Level 3 เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน เพื่อมวลมนุษยชาติ 

    ถ้าเราไปดูภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่องนะ อย่างเช่น The Great Wall พระเอกเล่นโดย Matt Damon เห็นแก่ตัวก่อน จะมาขโมยดินระเบิดจากประเทศจีน ต่อมาเจอหนังเอก เกิด turning point เริ่มที่จะเห็นแขกชาวตะวันตกด้วยกัน เริ่มรังเกียจคนจีน ต่อมาเจอหนังเอก FA ให้ Coach ให้ ให้เห็นว่า พวกตะวันตกอย่างพวกคุณ เห็นแก่ตัวมากเลย ศัตรูของเรามันคือกิเลสใช่ไหม ทำไมเราไม่สู้กับกิเลส ทำไมคนตะวันตกมองคนจีนเป็นศัตรู เห็นไหมฮะ พระเอกก็เริ่มปรับตัวขึ้นมา เห็นว่าเฮ้ย..ทำไมตะวันตกกับจีนไม่มาจับมือกัน ต่อสู้ความโลภด้วยกัน ซึ่งความโลภมีทั้งในตะวันตกและในจีนนะ ทำไมไม่ร่วมมือกัน เห็นการเปลี่ยนแปลงของพระเอกไหม แล้วถามว่า salaryman เคยเห็นตัวเองไหมว่าตอนนี้ทำทุกอย่าง ทำอะไร ทำไปเพื่ออะไร

    ตรงนี้ก็เลยฝากพวก salaryman ว่า ถ้าเป้าหมายชีวิตคุณต่ำ ชีวิตคุณก็ต่ำ ต่ำไปเพราะว่าอะไร ทำเพื่อตัวเอง อยู่ไปวัน ๆ นึงเป็นเสมียนเนาะ นั่งทำ PowerPoint นั่งทำ Excel เก็บเอกสาร ตรวจเอกสาร เดินนู่นเดินนี่ หาขนมกิน ไปหาหนังดู หาเพลงฟังรอดูคอนเสิร์ตเลย เป้าหมายชีวิตคุณต่ำมากเลย ทำไมคุณไม่มองสูง ๆ ทำตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 สอนเนาะ พึ่งพาตัวเองและแบ่งปัน ในหลวงเรา purpose ใหญ่มาก ใช่ไหมฮะ เราก็เลยทำให้มนุษย์เงินเดือนก็ติดอยู่ที่มนุษย์เงินเดือน พอติดจมอยู่กับความเป็นมนุษย์เงินเดือเข้า เข้าข้างตัวเอง คือพวกนี้จะหลอกตัวเองเก่ง ฉันอยู่อย่างงี้ก็ดีแล้ว ฉันโชคดีนะที่ไม่เห็นโลกกว้างไม่งั้นฉันจะทุกข์ไปกว่านี้ คือคนกลุ่มนี้จะใช้สำนวนแบบติดลบหมดเลย เขาใช้สำนวนทำร้ายตัวเองทั้งหมดเลย มันไม่มีใครไปสะท้อนกระจกให้เห็นว่า นี่นะเธอเป็นอย่างงี้นะ เธอเป็นอย่างงี้นะ ใช่ป่ะ มันต้องมีคนคอยสะท้อน สะท้อนให้เห็นตัวเองว่าฉันเป็นคนอย่างงี้ ฝาก salaryman ไว้ว่า ปมของคุณ คุณเห็นตัวคุณเองหรือเปล่า คุณปิดตัวคุณเองตลอด แล้วพอกลุ่ม salaryman พวกนี้นะ พอเราเจาะเข้าไปมากเขาจะหนีเรา หนี เพราะงั้น Coach FA  ต้องเข้าไปเนียนมากเลย ต้องเข้าไปทำตัวแนบเนียนถึงจะเข้าไปจัดการกับพวกนี้ได้

    ผู้ถาม : เคยมี Pain Point ไหมคะ สมัยที่แบบเป็นพนักงานออฟฟิศอ่ะค่ะ

    อ.วรภัทร์ : ส่วนใหญ่ Pain Point มันเกิดจาก เราตั้ง purpose ไว้สูงไง แล้วมีใครสักคนนึงมาขวางเป้าหมายเราถูกไหม เป้าของอาจารย์ อาจารย์กลับมา ต้องการฟื้นฟูประเทศชาติ อาจารย์ต้องการให้วิศวกรในประเทศไทยเก่งและฉลาดขึ้น Pain Point ของอาจารย์ก็คือตัวอาจารย์น่ะ อาจารย์ที่เป็นเจ้านายผม อาจารย์ที่เป็นเพื่อนร่วมงานผมแต่ละคนน่ะ อาจารย์ว่า เขาแคบมากอ่ะ ทั้ง ๆ ที่เขาจบเมืองนอกนะ หลายคนมาเป็นอาจารย์เพื่อที่จะสบาย ๆ คือมาเพื่อขี้เกียจ 

    ผู้ถาม : ไม่ใช่ว่าเขาถูกสภาพแวดล้อมของประเทศไทยหล่อหลอม

    อ.วรภัทร์ : ด้วย บางทีได้ทุนไปไง เรียนเก่งได้ทุน พอกลับมาค้นพบตัวเองว่าฉันไม่ชอบสิ่งที่ฉันเรียนมา ลาออกก็ไม่ได้ บางคนเป็นเด็กเรียนเก่ง แล้วปัญหาของพวกอาจารย์คือเรียนเก่ง พอเรียนเก่งปั๊บก็จะเก่งวิชาการ อ่อนแอด้านคน พูดไม่รู้เรื่อง อาจารย์พวกนี้พูดไม่รู้เรื่อง แล้วก็โหด mean มากเลย ใจร้ายกับเด็ก บางคนเด็กแค่เอาเสื้อออกนอกกางเกงนะ ตามไปด่าเด็กใช่ไหม บางคนเด็กมันคุยกันในห้อง เอาชอล์กขว้าง อาจารย์โรคจิตเยอะ คือ อาจารย์พวกนี้ไม่มีใครจัดการพวกเขาได้นะ แล้วเขาก็กัดกันเอง ประชุมกัน 30 คน ในภาควิชา มันเหมือนศัตรู 30 คนนั่งร่วมกัน แล้ว purpos เขาต่ำอ่ะ เขาสอนเฉพาะสิ่งที่เขาเรียนมา เขาไม่ออกไปเจอองค์กรข้างนอก เขาไม่ฟังคนอื่น  เขาอ้างแต่ระเบียบราชการห้าม ผมถึงบอกว่า Pain Point ที่อาจารย์เจอตัวนี้ วิธีแก้ของอาจารย์ก็คือลาออก เพราะมันทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้โชคดีนะที่ผมว่าไปนี้ ตอนนี้ Pain Point เริ่มหายไปแล้ว

    ตอนนี้เขาย้ายมหาวิทยาลัยไปอยู่กระทรวงใหม่แล้ว กระทรวงอุดมศึกษาและนวัตกรรม ก็เขาพยายามจะแก้ Pain Point นี้ เพราะฉะนั้นอาจารย์เจอเพลนพอยท์ตรงนี้ ตอนนั้นผมก็ยังหนุ่มนะ ผมก็มองเห็นว่า การต่อสู้กับสิ่งที่ไม่เห็นแววชนะเลยมันเปลืองพลังงาน ให้ผมไปแก้เพื่อนร่วมงาน พวกอาจารย์แก่ ๆ พวกนี้ พวกอาจารย์ใจแคบพวกนี้ ซึ่งมันเกิน 80% น่ะ ไม่ไหวไม่คุ้ม สู้ผมออกมาทำอะไรดี ๆ ดีกว่า ก็เลยลาออกมาเป็นที่ปรึกษา ก็เลยได้คิดว่าสอนเด็กไปไม่มีประโยชน์ สอนคนทำงานดีกว่า ผมก็เลยมาเป็นที่ปรึกษาให้กับวิทยากร เพราะฉะนั้น Pain Point ของอาจารย์แก้ปัญหาด้วยการคบบัณฑิต อาจารย์ก็ปรึกษาศิษย์พี่ที่เก่ง ๆ ผมพูดเสมอเลยนะครับว่า ตอนผมอายุ 35 36 ตอนนั้นน่ะ เพื่อนสนิทผมเฉลี่ยอายุ 50 ขึ้น ถ้าตอนนั้นอายุ 35 คบแต่เพื่อน 35 ด้วยกัน มันก็เป็นไอ้แก๊งเดียวกัน ผ่านโลกแคบ ๆ มาด้วยกันใช่ไหมฮะ มันต้องคบคน 50 กว่า ตอนนี้ผม 60 คบเพื่อนเฉลี่ย 35 

    ผู้ถาม : อ้าว งั้นเป็นเพื่อนกับหนูได้นะคะ 

    อ.วรภัทร์ : ได้ ก็ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ก็ 35 บวก ลบ เพราะเราเกิดเรายัง 60 แล้วคิดเหมือนคน 60 อันนี้ก็เตือนคนอายุ 60 นะ ลงมาคบเด็ก 35 เด็กเขาเปลี่ยนไปเยอะ เขาฉลาดกว่าเรา เขารู้อะไรเยอะกว่าเรา อย่าหลงตัวเองอีกแล้ว ห้ามหลงตัวเอง และตอนอายุ 35 ผมก็จะไม่หลงตัวเอง ผมก็เลยเชื่อพวก 50 กว่า แต่พอผม 50 กว่า 60 ผมก็ไม่หลงตัวเอง ผมกลับไปเชื่อพวก 30 กว่า ชีวิตมันถึงเห็นหลาย ๆ ด้าน เห็นหลาย ๆ มุม ตอนนี้ถามอาจารย์ว่ามี Pain Point อะไรไหมแทบจะไม่มีนะ อาจารย์แทบจะไม่มี มีแต่ Pain Point ของชาวบ้านที่อาจารย์เข้าไปช่วย Pain Point ของบริษัทต่าง ๆ และจะผ่าน Digital disruptive ตรงนี้ไปได้อย่างไร และจะผ่านเศรษฐกิจซึ่งคนจีนขยันกว่า ฝรั่งเอาเปรียบกว่าใช่ไหมฮะ ฝรั่งดี ๆ ก็มี เราจะทำให้ศาสตร์พระราชาเป็นที่รู้จักได้ยังไง อาจารย์จะสอนศาสนาพุทธให้เขาฝังไว้ในจิตใจผู้คนทั่วโลกได้ยังไง งั้น purpose ของอาจารย์มันใหญ่ขึ้นน่ะ Pain Point มันจะไม่ค่อยมีแล้ว เพราะมันใช้ตัวเดียวเลยก็คือ ให้อภัย ให้อภัยอย่างเดียว

    งั้นพอมี Pain Point เกิดขึ้นปั๊บ ก็แสดงว่าเรา empathy เขาไม่พอ empathy กับ empathize ไปด้วยกันนะฮะ ถ้าเรา empathy มาก ๆ empathy คือเข้าอกเข้าใจไม่พอนะฮะ เข้าถึงพวกเขา เห็น Pain Point ของพวกเขา อันนี้อยู่ในหลักของ design thinking งั้นเวลาเราเห็นอะไรปั๊บ เราต้องคิดอย่างนักดีไซน์ อย่างวรภัทร์ ผมเนี่ยนะ ผมชอบออกแบบชีวิตของผู้คน ออกแบบเส้นทางชีวิตให้ผู้คน Journey of your life เพราะฉะนั้นอาจารย์ก็จะต้องเป็นคนที่เข้าไปเห็นจุดแข็งในตัวคน ๆ หนึ่งและ curated เขา ให้เขาออกมาไปตาม dream ของเขานะ ไปตามฝันของเขานะ อาชีพอาจารย์  Curator จริง ๆ มันคือคนจัดงานแสดงตามพิพิธภัณฑ์ใช่ไหม แล้วผมกลายเป็นคนจัดคน มันใช้ทักษะ Coach FA Mentor ครบนะ ตรงนี้ต่างหากมันทำให้แต่ละ Pain Point เป็นเรื่องที่สวยงาม

    ผู้ถาม : แล้วคำว่า career path ยังเป็นสิ่งที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ออฟฟิศอยู่ไหมคะ

    อ.วรภัทร์ : ตอนนี้มันก็จำเป็นอยู่นะ แต่มันก็มีตัวอื่นเข้ามาเสริมแล้ว purpose ก็สำคัญ purpose career path โลกอนาคตนะครับคุณไม่สามารถมีอาชีพเดียว ผมขอบอกชาว salaryman เลยนะ อย่างสิงคโปร์เขาทำ 3 อาชีพ เช้าอยู่บริษัทนึง บ่ายอยู่บริษัทนึง เย็นอยู่อีกบริษัทนึง 

    ผู้ถาม : งั้นเท่ากับว่าเขาต้องเป็นฟรีแลนซ์ถูกไหมคะ

    อ.วรภัทร์ : ฟรีแลนซ์ฮะ ขายของออนไลน์ก็ได้ครับ ไม่ว่ากันฮะ สมัยนี้สื่อสารโซเชียลมีเดียมันดีมาก คุณอยู่ในป่าลึกนะ คุณสามารถส่งปลากัดออกนอกได้ คุณทำชวนชมออกดอก 7 สีส่งออกนอกได้ต้นละ 4-500,000 ปัญหาคือ salaryman อย่างคุณน่ะ เอาเวลาไปทำอะไร ใช่ไหมฮะ อย่างลูกน้องผม salaryman ผู้หญิงคนนึง นางอยากมีบ้าน นางก็ถามว่าบ้านกี่บาท ล้านห้า ทำเลอยู่ไหน บางแค ออฟฟิศหนูอยู่ไหน สีลม หนูตกเป็นทาสของบ้านเลย ไอ้บ้านล้านห้าอันนี้ หนูผ่อนเสร็จอายุ 40 ไอ้บ้านล้านห้าตัวนี้ มันทำเงินคืนให้เธอได้เท่าไหร่ต่อวัน ทุกวันหนูเสียเวลา 2 ชั่วโมงเดินทางจากบางแคมาสีลม เดินทางกลับอีก 2 ชั่วโมง ค่าเดินทางเท่าไหร่ ค่าเสียเวลาวันละ 4 ชั่วโมง ชีวิตหนูไม่ได้พัฒนาอะไรเลย ต่อมาหนูจะป่วย เพราะสารพิษเต็มไปหมด หนูขึ้นรถไฟฟ้า หนูอาจจะติดหวัดจากใครมาก็ได้ หนูอาจจะติดวัณโรคมาก็ได้ อะไรก็บนรถไฟฟ้าก็เกิดขึ้นได้ รถเมล์ก็ได้ เกิดอุบัติเหตุก็ได้ ใช่ไหม แล้ว 4 ชั่วโมงที่หมดไปบนความเสี่ยงที่มากมาย สุขภาพเธอก็พัง ในที่สุดเงินที่เก็บจะไปผ่อนบ้านล้านห้า กลายเป็นไปจ่ายค่าโรงพยาบาล หนูไม่เห็นใครเลย

    แล้วก็เลยแก้ให้ว่าทำไมหนูไม่สุมหัวกันอย่างคนจีน คนจีนเขาฉลาด เขาก็สุมหัวกันอยู่ คอนโด หลังหนึ่ง โอเคไหม ในเมือง 4 คนนี่อัดกันไปเลยร่วมกันอยู่ จันทร์-ศุกร์ เสาร์อาทิตย์ค่อยกลับบ้านแม่ที่บางแค แล้ว 4 คนนี้ เขาก็อยู่อัด ๆ ทนหน่อยดียัง ยังหนุ่มยังแน่นยังสาวอยู่ใช่ไหม แล้วก็เอาเวลาตอนเย็นไปทำอะไรฮะ ไปเรียนภาษา เรียนภาษาจีน เรียนภาษาญี่ปุ่น connection ยังไงก็ยังสำคัญ ต่อให้ระบบโซเชียลมีเดียดีแค่ไหน ผู้ใหญ่ไม่คบคุณ คนที่เขาเห็นช่องทางการค้าไม่คบคุณ คุณก็ไปไม่รอด โซเชียลสกิลคุณไม่มี ทักษะการเข้าสังคมคุณไม่พอ ใช่ไหมฮะ คุณไปไม่รอด 

    ผู้ถาม :  งั้นแสดงว่าเรื่องพวกนี้ค่ะอาจารย์ มันจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้คนเราเติบโตในหน้าที่การงานได้ป่ะคะ 

    อ.วรภัทร์ : ใช่ 

    ผู้ถาม : คือทุกวันนี้คนที่แบบมนุษย์ออฟฟิศ ทำงานไปวัน ๆ แต่แบบไม่เติบโตสักที 

    อ.วรภัทร์ : ก็วิธีคิดของคุณแคบไง พอใจคุณแคบ โลกคุณก็แคบ เพื่อนคุณก็แคบ คุณไม่สำรวจว่าเพื่อนคุณแต่ละคนที่คบมามัน.. โอเคความสุขทางใจมันเรื่องนึง แต่จะพาคุณไปสู่ฝันของคุณ คนไหนวะ ถามจริง มันมีแต่แซวกัน ดับฝันกัน พอเราจะทำอะไร คุณอยู่กับเพื่อนโง่ ๆ หน้าอย่างมึงทำได้เหรอ อย่าไปคบไอ้พวกนี้ คุณอย่าไปคบไอ้เพื่อนที่มันดับความหวังคุณสิ ทำไมคุณไม่คบคนที่อายุมากกว่า ผู้ใหญ่ใจดีอ่ะ แล้วเขาก็เริ่มได้ภาษาของผู้ใหญ่ คำศัพท์สำคัญมากฮะ คำศัพท์ของเสมียนกับคำศัพท์ของผู้บริหารไม่ตรงกัน เพราะคุณมาใกล้ชิดกับผู้หลักผู้ใหญ่ คุณได้สำนวนของผู้ใหญ่ ได้คำศัพท์ที่ผู้ใหญ่ใช้กัน คุณจะเริ่มคุ้นหู ใช่ไหม พอคุ้นหูเพราะคุณคุยกับเขาง่าย ผู้ใหญ่ใจดีบางทีเขาก็เกษียณแล้วก็มี เขาก็เอ้ยบริษัทนั้นอย่างงั้นอย่างงี้ เขาก็ใช่ไหมฮะ โลกของคุณแคบไง ใช่ไหมฮะ เลือกสิ่งที่คุณจะต้องฝึก เลือกคน เลือกคบ

    มาราธอนนี่ดี ตั้งแต่พี่ตูนวิ่งมา ดีมากเลย ถ้าคุณบอกไปวิ่งมาราธอน แต่ถ้าเกิดคนที่มี purpose มีฝันแรง ๆ ชอบไม่ชอบช่างหัวมันเถอะ เพื่อให้เป้าหมายสำเร็จ มันจะมีผู้หญิงบางคนนะมันสวยนะ แต่ล้มเหลว เพราะมันสวยใช่ไหมฮะ มันเอาใจใครไม่เป็น เพราะรอให้ทุกคนมาเอาใจ รอทุกคนมาเอาใจ แล้วพอ 30 ปั๊บ ร่างกายผู้หญิงพอ 30 จะเริ่มเผละ เริ่มอ้วน 40 ก็เริ่มเละ แล้วตัวเองไม่ฝึกวิชาเอาใจคน ยังไงก็โสด ยังไงก็ลงครับ สุดท้ายก็กลายเป็นนั่งหน้าจออยู่ในคอกของเสมียน คอกสีเทาเรียกคิวบิคอล (cubicle) ตูดใหญ่ อาหารเต็มโต๊ะ อดีตเคยสวย ติดภาพเชียร์ลีดเดอร์ของตัวเองเอาไว้สมัยก่อน ตอนนี้คุณเละเทะเลย คุณอ้วน แล้วก็เพื่อนกลุ่มเดิม ๆ ความมั่นใจหายเกลี้ยงเลย confidence หายหมดเลย แล้วก็ปากก็เสีย เอาใจใครก็ไม่เป็น โลกส่วนตัวเต็มไปหมด และที่เจ็บปวดคือเริ่มไม่เชื่อฟังใคร เสมียนหลายคนเชื่อก็โง่สิ ไอ้คำพูดโง่ ๆ พวกนี้จะออกจากปากเสมียนพวกนี้ เชื่อคนง่ายก็โง่สิ ทำไมคุณไม่แยกแยะ บางคนควรเชื่อ บางคนไม่ควรเชื่อ หรือไม่จำเป็นต้องเชื่อ ลองทำดูก็ได้ ทำไมต้องเชื่อ ลองทำดูก่อนดิ บางคนก็บอกฉันเป็นตัวของฉันเอง เออคุณยังกระจอกอยู่นะ ไอ้คำพูดนี้เก็บไว้ก่อนใช่ไหม ฉันเป็นตัวของฉันเอง ฉันเป็นตัวของฉันเองใช่ไหม คือ คุณไม่มีกระจกเงา แล้วคุณก็ไม่มียุทธศาสตร์ คุณคบคนผิด คบคนห่วย คน ๆ นั้นคือตัวคุณเอง 

    ผู้ถาม : แล้วเมื่อกี้ที่อาจารย์พูดถึงคำว่า purpose การที่คนเรา จะทำ purpose ได้ มันจำเป็นต้องมีคำว่า passion อยู่ด้วยไหมคะ

    อ.วรภัทร์ : passion โดยตำรา คนแค่ 2 ใน 9 เท่านั้นที่มี passion นะ ทีนี้อายุคุณยังนิดเดียว คุณรู้ได้ไงมันคือ passion มันแค่ความชอบธรรมดาแค่นั้นเอง มันยังไปไม่ถึง มันยังไม่ถึง passion อย่างคนเจอ passion ส่วนใหญ่รู้ตัวเองทีหลังว่ามันคือ passion 

    ผู้ถาม : เมื่อประสบความสำเร็จไปแล้ว

    อ.วรภัทร์ : ใช่ ถึงรู้นี่ คือ passion เราใช้คำว่า passion ผิด เราดันทะลึ่งไปบอกเด็กว่าจงมี passion คนที่ตามหา passion มักจะไม่เจอ passion คนขยันต่างหากจะเจอ passion คนขยันมันจะทำนู่นทำนี่ พอไม่ใช่มันก็เปลี่ยนไปทำนู่นทำนี่ ทำนู่นทำนี่จนมันทำซ้ำ ๆ อันนี้ เขาเรียกว่า way to expert เป็นงานที่ผมพูดเป็นงานวิจัย ไม่ได้พูดมั่วนะ คนตามหา passion ไม่เจอ passion คนที่ mindset วิธีคิด ขยัน failure is learning ลองทำดู ผิดช่างมัน อย่างที่ Steve Jobs ทำอ่ะ ทำบ้าบออะไรไปช่างมันเหอะ แล้วสักวันหนึ่งไอ้ดอทดอทดอท (dot) คือประสบการณ์  ประสบการณ์ต่าง ๆ มันมาวาดเป็นภาพต่อ เขาเรียกว่า connect the dot ถูกไหม ตามหา passion ส่วนใหญ่สังเกตดู ขี้เกียจ นั่งฝันแล้วนั่งหา แล้ว passion คืออะไร แล้วกินข้าวเหนียวหมูปิ้งเหมือนเดิม เย็นก็ไปกินหมูกระทะ เดินห้างแล้วรอซื้อตลาดนัด คือสังคมคุณมันซ้ำซาก ซ้ำซากแบบไม่พัฒนา แล้วอย่ามาบ่น

    ผมเคยพูดอย่างนี้ทีนะ มีคอมเมนต์มาด่าผมด้วยนะ “ก็มึงมันเป็นด็อกเตอร์มึงก็พูดได้” โอ้โหพี่ ตอนผมไม่เป็นด็อกเตอร์ผมก็เหมือนคุณนั่นแหละ พ่อแม่ผมล้มละลาย บ้านผมจนขนาดผมเคยกินข้าวต้มเฉาะน้ำปลากับพี่สาวผมมาแล้ว ผมจนเหมือนคุณนั่นแหละ แต่ผมขยัน ผมโดนด่าผมล้มแล้วลุก ผมยอมให้คนด่า ผมรักแม่มาก เพราะแม่ผมสั่งไว้เลยว่า คนจนอย่างเราวิธีที่มันจะกลับไปรวยได้อีกทีนึงมันต้องคบคนเป็นก่อน ต้องเรียนจิตวิทยา แม่ผมจบ ป.4 นะ แต่แม่ผมหาหนังสือจิตวิทยาอ่าน ผมไปห้องสมุดอ่านเดล คาร์เนกี (Dale Carnegie) วิธีผูกมิตรและชนะใจคน เป็นหนังสือที่ต้องอ่าน 10 รอบให้ได้ คุณไม่อ่าน พวกคุณเสมียนคุณอ่านแหละ คุณไม่อ่าน คุณไม่ฟัง หัวใจคุณมันแคบไง ใครคิดต่างจากคุณ คุณคุณไม่ยอมรับ ไล่ไปไล่มาเกิดจากปมคุณทั้งนั้น พ่อแม่คุณชมพี่คุณน้องคุณมากเกินไป แล้วคุณทำอะไรสำเร็จพ่อแม่คุณไม่ค่อยชม คุณมาจากบ้านซึ่งมีแต่คำว่าด่า 


    ผู้ถาม : เรามายกตัวอย่างสถานการณ์ในออฟฟิศ แล้วก็ให้อาจารย์แก้ไข กรณีแรก เป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงาน ถ้าสมมุติว่าเราเจอเพื่อนร่วมงานที่เห็นแก่ตัวและอยู่เป็นเราจัดการยังไงคะ

    อ.วรภัทร์ : ส่วนใหญ่คนเห็นแก่ตัว เกิดจากความกลัว เขามีความกลัวอะไร เขากลัวอะไรหาก่อน เขากลัวอะไร กลัวไม่เป็นที่ยอมรับเหรอ เขาก็เลยต้องสร้างผลงานด้วยการเลื่อยขาเรากลั่นแกล้งเรา เพื่อกลายเป็นที่ยอมรับ วิธีแก้ไม่ยากเลย ชม ฟัง ถาม สะท้อน นี่คือทักษะของ Coach ชมเขา เขาทำอะไรก็แล้วแต่อย่าด่า ชมเขา ชม “โอ๊ยพี่คิดได้ไง” “พี่สุดยอดเลย” “โหพี่ไม่ได้เห็นแก่ตัวหรอก ใคร ๆ ด่าพี่เห็นแก่ตัวผมมองว่าพี่รู้จักทำงานมากกว่า” นี่เขาไม่เรียกตอแหลเขาเรียกว่าจิตวิทยา ปรับตัวเองใหม่ ชม แล้วเวลาเจอคนร้าย ๆ ไม่ว่าจะเห็นแก่ตัวหรือนิสัยไงก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นบอส เป็นเพื่อนร่วมงานนะ วันนี้เอาเทคนิคผมไปเลย ชม ฟัง ถาม สะท้อน ชม อย่าชมว่าเก่ง ว่าสวยนะ การชมว่าเก่งหรือสวยเหมือนการชมแบบแบบตัดสิน ranking ห้าม เขาเรียกว่า fixed mindset เวลาชมคนให้ชมที่เทคนิค ผมที่วิธีคิด สมมุติเขาเห็นแก่ตัวใช่ไหม อาจจะชมเขาเลยว่า “อืม..พี่เป็นคนที่มีความคิดพิเศษกว่าใครเนาะ” เข้าใจไหม โอเคไหม “ลึก ๆ แล้วพี่ทำอันนี้พี่ต้องการอะไร” ถามเห็นไหม “ผมชอบนะที่พี่ทำนะ ผมว่าพี่เป็นคนที่ระมัดระวังตน” ชมไปที่พฤติกรรม อย่าไปด่าเขา มึงแม่งเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ ถาม “ที่ทำอันนี้ต้องการอะไร” มีเรื่องอะไรสวยงามเบื้องหลังมัน “อ๋อ พี่มองมุมนี้” ไป ๆ มา ๆ คนหลายคนที่เรามองว่าเห็นแก่ตัว บางทีเขากำลังปกป้องผลประโยชน์ขององค์กรอยู่ก็ได้ อย่าเอาความคิดโง่ ๆ ของเราไปตัดสินใครเร็วขนาดนั้น อย่าด่วนพิพากษาคน แล้วก็สะท้อน สะท้อน คือ สรุป “สรุปว่าที่ใคร ๆ ก็ว่าพี่เห็นแก่ตัว สรุปแล้วผมว่ามันไม่ใช่นะ” “สรุปว่ามันเป็นอย่างนี้ใช่ไหมครับ พี่รักษาผลประโยชน์ขององค์กรใช่ไหมครับ หรือพี่มีมุมมองที่จำเป็นแต่ว่าเจ้านายกับคนอื่นมองไม่เห็น พี่ก็เลยยืนกรานเรื่องนี้ ผมว่าพี่โคตรรักองค์กรเลย” ฟังแล้วรู้สึกไง 

    ผู้ถาม : ก็บวกดีค่ะ

    อ.วรภัทร์ : ทำอย่างนี้กับทุกคนนะ โดยเฉพาะเจ้านาย สำหรับผมนะเจ้านายเป็นคนป่วยนะ ตัวผม ผมเป็นลูกน้อง ผมมองเจ้านายเป็นคนป่วย ป่วยทางใจ ป่วยหลาย ๆ อย่าง ผมจะเรียนวิชา Coach FA Mentor แล้วเข้าไปบำบัดเจ้านาย เจ้านายหงุดหงิด หงุดหงิดมาอย่างนี้ ผมจะนั่งคุยได้แล้ว เป็นยังไง เราจะเปลี่ยนความหงุดหงิดที่เป็นลบนี่ให้เป็นบวกได้ยังไงครับ นี่เห็นไหม เจ้านายเป็นคนชอบข้อมูล ผมก็จะอ่านหนังสือล่วงหน้า เจ้านายครับมีข้อมูลใหม่มานำเสนอ เห็นไหม เจ้านายชอบพุ่งฝ่าชนไปที่เป้าหมายใช่ไหม ผมก็จะหาว่าอุปสรรคของเจ้านายคืออะไร ทำหาข้อมูลมาเติมให้ จะให้กำลังใจเจ้านาย โหเจ้านาย เจ้านายอดทนมากเลยกับเรื่องแบบนี้ เจ้านาย คำพวกนี้นะมันไปเสริมพลังบวกเจ้านายเรา คุณไม่ต้องฉลาดกว่าเขานะครับ คุณไม่ต้องไปฉลาดกว่าเขา แต่คุณเหมือนลมภายใต้ปีกเขา บิน beneath his wings ใช่ไหม คับประคองให้เจ้านายมีความสุข ชมไปที่พฤติกรรมเขา “โห นายอึดมากเลย ถ้าผมนั่งตำแหน่งนายตอนนี้นะผมระเบิดแตกไปแล้ว” “นายใจเย็นมากเลย นายสอนเทคนิคผมหน่อยได้ไหม” คำพูดพวกนี้อยู่ไหมครับ ยุ่งกว่านะเราไม่เป็น เราไม่ฝึกวิชาโซเชียลสกิล เราไม่ฝึกวิชา Coach ชม ฟัง ถาม ถามเท่ ๆ นะ ถามสะท้อน “นายรู้สึกยังไง” “นายคิดว่าเราได้บทเรียนอะไรจากเรื่องนี้”  โอเคไหม “ผมชื่นชมนายมากเลย ช่วยบอกเทคนิคผมหน่อย วิธีเป็นบอส พอโตขึ้นผมต้องมานั่งตำแหน่งนาย ผมจะต้องทำยังไง” โอ้โห ไม่รักให้เตะเลย แล้วเจ้านายทำอะไรก็แล้วแต่อย่าด่วนด่า เจ้านายอย่าด่วนวิจารณ์ให้เข้าไปถาม “นายครับ สิ่งที่นายทำ  โอ้โห มันประหลาดกว่าชาวบ้านเลย ผมว่านายต้องมีทีเด็ดอะไรซ่อนอยู่ ช่วยบอกหน่อยได้ไหม” อย่างงี้แหละ


    ผู้ถาม : กรณีที่ 2 ค่ะอาจารย์ ถ้าสมมุติว่าเรายังรักงานอยู่ เรายังรักองค์กรอยู่ แต่ว่าเราไม่รักเจ้านายแล้ว เราจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดีคะ

    อ.วรภัทร์ : ที่เราไม่รักเจ้านาย เป็นเพราะเราไม่รักตัวเราเองด้วย การรักคนอื่น มันต้องฝึก ก็คุณกินเงินเดือนเขา เขาก็เหมือนพ่อแม่ที่สอนคุณ เจ้านายอ่ะ แล้วอย่างที่ผมบอก เขาก็ป่วย คุณชอบมองว่าเจ้านายเหมือนพ่อแม่โหด ๆ ของคุณ คุณชอบมองว่าเจ้านายเหมือนอาจารย์มหาลัยที่ตัดเกรด C คุณมองเจ้านายอย่างงั้นทำไม ผมมองว่าเจ้านายเป็นคนที่เป็นคนใช้ผม เป็น servant ของผม ผมมองว่าเจ้านายคือลูกค้าของผม ถ้าผมจะ Empathize เจ้านายก่อน นายมี Pain Point อะไรบ้าง ผมจะใช้เทคนิค Design thinking เจ้านายมีความเจ็บปวดอะไรในใจบ้าง ผมทำการบ้าน ผมศึกษา ผมหาทีมงานมาซัพพอร์ตเจ้านายผม ในหัวผมไม่เคยมีเกลียดเจ้านาย ยังไงก็คือทีมเดียวกัน เขาคือนายถูกไหม เขาคือกัปตันทีมฟุตบอลผม ผมเล่นตำแหน่งไหน ผมเป็นปีก เล่น กัปตันเขาสั่งมาแบบนี้ เราก็ต้องฝึกความเร็วให้ไวขึ้นใช่ไหม ฝึกโยนลูกไปหน้าประตูให้ได้ ปีก ปีกก็เตะให้มันย้อย ๆ ส่ง ๆ ชิ่ง ๆ ใช่ไหม งั้นเราก็ต้องรู้ตำแหน่งเรารู้ว่าเจ้านายคิดอะไร เราอยู่กับเจ้านายอยู่กับลูกค้า เราไม่ฝึกวิชา Empathize เราไม่ไม่พยายาม มอง Pain Point ของคนอื่นใช่ไหม เราเห็นแก่ตัวไง

    บางครั้งบางคนชอบมาด่า มาหาอาจารย์ด่าเจ้านายให้ฟัง จำคำเจ็บ ๆ ไว้นะ ผมอ่านคุณออกมาก เวลาอยู่ลับหลังเจ้านายผมชมนะ อยู่ต่อหน้าผมเฉย ๆ ผมยิงคำถามท่าน ลับหลังผมชม ชมไปเรื่อย ๆ สักวันนึงมันก็จะเข้าหูท่านเอง นี่คุณลับหลังคุณก็บอกเจ้านายอย่างงู้นอย่างงี้ ผมรู้ว่าเจ้านายชั่วไง แล้วเวลากินข้าวกลางวัน เวลาทำงานแบบ salaryman คุณต้องรู้ว่าคุณจะกินกับใคร ผมกินทั่วทุกแผนก ผมไปกับคนที่ทำให้ผมฉลาดขึ้น ไม่จำเป็นต้องตำแหน่งสูงกว่านะ ผมเองยังเล่นหมากรุกกับภารโรงเลย แม้แต่ รปภ. บางคน เขาก็มีทีเด็ดอะไรดี ๆ เยอะนะ แม่บ้านบางคนปลูกต้นไม้เก่งมากนะ นั่งไปคุยกับพวกเขานะ เพราะฉะนั้นผมตั้งแต่ต่ำสุดถึงสูงสุด คุณ ชม ฟัง ถาม สะท้อน ทั้งบริษัทเลย ผมฟังเพลงฝรั่งมากขึ้น แล้วก็พบเลยว่า อุ๊ย..เพลงฝรั่งมันมีหลายเลเวลเนาะ ถ้าฟังคันทรี่ ฟังโฟล์คนี่มันก็จะได้คนอีกระดับนึง สุดท้ายต้องอัพเกรดขึ้นไปฟังแจ๊ส ผมเริ่มไปคณะอักษรศาสตร์มากขึ้น ผมมีเพื่อนที่เป็นระดับดีเจ เขาก็สอนเรื่องแจ๊ส แล้วพอปริญญาโทผมก็เริ่มไปเจอเพื่อนซึ่งตอนนี้เป็นปลัดกระทรวงอยู่ เขาก็สอนเรื่องเพลงคลาสสิก โอ้ มันครบคนได้อีกระดับหนึ่ง มันขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างนี้เลย แล้วเชื่อไหม เพื่อนผมตอนปี 3 ผมเริ่มฟังเพลงแจ๊สไอ้พวกนี้มันก็มาด่าผมอีก วรภัทร์เธอไม่เป็นตัวของตัวเอง ทำไมเธอไม่ชอบอะไรแล้วชอบให้มันสุด ไ ผมก็บอกว่าอีโง่ เราอายุ 20 เอง จะเป็นตัวของตัวเองได้ยังไง มันยังไม่เจอ ยังไม่เจอโลกกว้างเลย ผมฟังเพลงแจ๊ส ฟังเพลงคลาสสิก เพื่อที่จะได้แหวกช่องทางออกไปเจอผู้คนมากขึ้น อายุ 40 หาตัวเองเจอ ดีกว่าเจอตอน 20 แล้วพบว่าเป็นเจอแบบผิด ๆ เจอตัวเองอย่างผิด ๆ ก็มีนะ มันคือหลงตัวเอง เจอแบบเป็นกบในกะลาก็มี เจอแบบมีปมด้อยก็มี


    ผู้ถาม : ทีนี้มาถึงกรณีที่ 3 ถ้าสมมุติว่าคนในทีมเราไม่มีความรับผิดชอบต้องให้ตามงานตลอด ทวงงานตลอดเรามีวิธีการยังไงบ้างคะ 

    อ.วรภัทร์ : มีหลายวิธี 36 วิธี ถ้ามันไม่จำเป็นจริงผมก็ลาออก ไปที่อื่นก็เจอเหมือนกันฮะ ย้ายไป 20 บริษัทมันก็หมด งั้นการลาออกก็ไม่น่าใช่ใช่ไหม มันควรจะเป็นอะไร ก็ชม ฟัง ถาม สะท้อน คนบางคนเขาเคยเก่งนะ แต่เขาฟอร์มตก เข้าใจคำว่าฟอร์มตกไหม พอฟอร์มตกเขาก็ไม่อยากทำอะไร เราก็ไปมองว่าเขากระจอก จริงไม่ใช่นะ คำชม การคิดบวก สำคัญมาก ต่อมาผมใช้เทคนิคของ Facilitator ผมพาเขาไปเจอกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่ที่เขาทำได้ดี พอเขาทำได้ดีปั๊บผมรีบเสริมแรงทันทีเลย “สุโค่ย Excellence เจ๋งอ่ะพี่” แล้วกลับมา Coach “พี่คิดยังไงกับมัน” ยิงคำถามเข้าไปเรื่อย ๆ “ผมเห็นจุดดีในตัวพี่มากมาย ไม่รู้พี่กับผมเห็นตรงกันไหม” เรามานั่งคุยกันแล้วผมเห็นจุดดีพี่เยอะมาก ค่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ ผมสร้างทีมแว๊บเดียว มันมีวิชาชื่อ Team Builder ใช้เทคนิคของ Coach FA Mentor เยอะมาก ผมเล่านิทานบ่อย ๆ ผมพูด purpose ของผมบ่อย ๆ เหมือนจีบผู้หญิง ถ้าคุณจีบผู้หญิงด้วยการฉันหล่อ ฉันรวย อันนี้เลเวลต่ำ มันจะไปหย่ากันในระยะยาว ๆ งั้นการจีบผู้หญิงที่ดีที่สุดเลยคือไม่จีบ แต่บอก purpose ของชีวิตให้ฟังว่าผมเกิดมาเพื่ออะไร ผมทำประโยชน์อะไร จะมีผู้หญิงที่เขา purpose ตรงกับเรา แล้วมาอยู่กับเรา ทีนี้แต่งงานกันก็ sustainable กว่าถูกไหม หลักการเดียวกันการเข้าทีมเหมือนกันพวกนี้ จนกระทั่งเขาเห็น purpose ของเขายิ่งใหญ่ เห็นโลกใบนี้ยิ่งใหญ่สำหรับเขา ทีมมันถึงจะเกิด แล้วเราในฐานะที่เป็นหัวหน้าทีม มันต้องพูดบ่อย ๆ พูดเยอะมาก ชมทั้งวัน เล่าเรื่อง purpose ทั้งวัน ตามหลักของบริหารเขาเรียกว่า purpose based management แล้วผมก็เปลี่ยนเป็นสังคมที่คุยกันมากขึ้น ผมเรียกลูกทีมมาคุยกันบ่อย ๆ สมมุติว่า หนู เพื่อนด่าว่าเห็นแก่ตัวไม่เข้าทีมถูกไหม แล้วก็อีก 2 คนที่นั่งอยู่แถวรอบ ๆ อาจารย์แถวนี้ เราชอบนินทาเธอ อาจารย์ไม่เล่นเกมนี้ อาจารย์ไม่ร่วมวงนินทาด้วยเด็ดขาด เรามามองข้อดีของเขากันดีกว่า ถ้าลับหลังเขาผมยังคิดถึงข้อดีของเขา ลับหลังพวกคุณ ผมพูดข้อดีของคุณแน่นอน อันนี้เรียกว่าเทคนิคของ Positive Psychology มันเป็นทักษะใหม่ 

    ใครที่เป็นผู้บริหารในระดับเจ้านายนะครับ ฟังผมให้เยอะ ๆ นะครับ มันจะมีเทคนิคพวกนี้ไปหาเรียนนะฮะ Positive Psychology, Coach FA Mentor เดี๋ยวมันจะสร้างทีมได้ ในหัวผมไม่เคยมองว่าใครเลวใครไม่รับผิดชอบนะ ผมมองว่าผมยังปั้นเขาไม่ดีพอ สมมุติหนูมีแต่คนด่าว่าไม่รับผิดชอบ อาจารย์จะเข้าไปนั่งฟังเธอ มีอะไรเกิดขึ้นนั่งคุย แล้วถ้าเป็นไปได้อาจารย์ไปดูถึงพ่อแม่เธอที่บ้านเลยนะ เดี๋ยวมาจะเห็นชัดเลย โอ๊ยเธอโดนพ่อแม่รังแกมา เธอผ่านโรงเรียนที่มันโหดร้ายมา เธอเลือกคณะผิดตั้งแต่เรียนหนังสือ แล้วเห็นได้ว่าเพื่อนกลุ่มเธอ เป็นกลุ่มบูลลี่ ด่ากันอย่างเดียวแซวกันอย่างเดียว บางรายที่ผมแก้นะ เขาไม่เคยย้ายบ้านเลย ออกมาจากสังคมตรงนั้น ออกมา ออกมาสุมหัวอย่างที่ผมบอก 4 คน คนจีนก็ทำกันเยอะนะ ยังหนุ่มยังสาวมาสุมหัวอยู่กันดีกว่าใช่ไหม เอาเวลาที่ว่าง ๆ มาเป็นประโยชน์ ไปทำอย่างอื่นเยอะแยะดีกว่าเสียเวลา 2 ชั่วโมงเช้า 2 ชั่วโมงเย็น แถมที่บ้านปากเสียกันทั้งนั้นเลย เรารักพ่อแม่เราตอนที่เจอเขาเสาร์อาทิตย์ดีกว่า เราอยู่กับพ่อแม่เรา 7 วัน เขาด่าเรา 7 วัน เราเสียความรู้สึกเปล่า ๆ จนกระทั่งเราเข้มแข็งแล้ว จนเราเป็น Coach FA Mentor ที่เข้มแข็งแล้ว กลับไปเปลี่ยนแปลงพ่อแม่ ให้พ่อแม่ปากหวานขึ้นหวาน ๆ นี่ไงครับ เพราะฉะนั้นคนรอบตัวของพวกเรามันก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ สังคมเราเปลี่ยนพลังมันเพิ่ม ดังนั้นทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเราก่อนเลย ตัวเรา ชมเป็นยัง ฟังเป็นหรือยัง ถามเป็นหรือยัง สรุปสะท้อนเรื่องที่คนอื่นพูดเป็นหรือยัง ใช่ไหม ฟัง ชม ถาม สะท้อน โซเชียลสกิลเราเป็นหรือยัง กินข้าวยังปาก จั๊บ ๆ อยู่เลยถูกไหม หยิบตะกงตะเกียบปักใช่ไหม ช้อนกงช้อนกลางไม่มี ให้ฝึกก่อนใช่ไหม แต่งตัว เสื้อผ้า คำพูดติดลบหรือเปล่านะ ผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ในกลุ่มไลน์ด้วยใช่ไหม คุณก็ปากเสียอยู่เรื่อย โพสต์อะไรวะ โพสต์ยาว คือคุณมีแต่คอมเมนต์ที่มันไม่ทำให้คนอื่นเขามีความสุข ผมว่ามันต้องปรับตรงนี้ก่อน เห็นตัวเองก่อน 


     ผู้ถาม : ทีนี้มาพูดถึงเรื่องบรรยากาศในออฟฟิศบ้าง ออฟฟิศที่ไม่มีท็อกซิกเลย มันจะส่งผลให้เราทำงานได้ดีได้ยังไงบ้างคะ

    อ.วรภัทร์ : ก็พูดยากเนอะ สมัยใหม่เขาถึงเอาไปทำงานกันตามร้านกาแฟ บริษัทสมัยใหม่ เดี๋ยวนี้เขาไม่มีออฟฟิศกันละ ทำไมต้องมาสุมหัวด้วยกันอยู่แล้วก็มาจ่ายค่าเช่าแพง ๆ บริษัทอาจารย์นี่ไม่มีออฟฟิศเนาะ คุยในไลน์ ถ้าอยากจะเจอกันก็เวลาลูกค้าเลี้ยงข้าว คือสมัยนี้มันสิ่งแวดล้อมไม่สำคัญเท่าจิตใจ purpose คุณแรง คนที่มีเป้าหมายในชีวิตเพื่อคนอื่นเหมือนกันถึงจะมาอยู่กับอาจารย์ได้ไง คนที่ยังทำเพื่อตัวเองมาก ๆ เอาไว้ทีหลัง คนที่อยากจะทำอะไรเพื่อสังคม คนที่อยากจะลดปัญหาโลกร้อนเจออาจารย์ได้เลย คนที่อยากให้สังคมนี้มีการศึกษาที่ดีขึ้นอะไรอย่างนี้ คนที่อยากให้ศีลธรรมมันเพิ่ม เรามาคุยกัน คนที่รักผู้อื่นมาเจอกัน แล้วเชื่อไหมมันแทบไม่มีออฟฟิศเลย แล้วผมเป็น CEO เหมือนกันนะ ออฟฟิศยังไม่มีเลย แล้วที่เจ็บปวดเลยก็คือถ้าหนูจะถามคำถามต่อไปก็คือว่ามีการประชุมไหม บริษัทสมัยใหม่อย่างอาจารย์ ไม่มีการประชุม ประชุมไปทำไม ผมอยากจะเจอใครผมก็เดินไปหาเขา หรือผมก็ไลน์ไป โทรไป แต่ถ้าจะมาเจอกันเขาเรียกว่า Town Hall ถ้าเจอกันทีไรต้องมีความสุข การเจอกันทุกครั้งต้องได้พลังจากไป ของไทยไม่ใช่ CEO ไทยยังเฟ้อฟ้ากันอยู่เลย ประชุมทีไรก็ด่าคนนี้ ด่าคนนั้น ด่าคนนี้ พอเดินจากไปพลังไม่พอ CEO ทั้งหลายนะกรุณาอ่านหนังสือนะครับ Mindfulness in Action เล่มใหม่ของอมรินทร์ กรุณาอ่าน ชื่อไทยว่า ฝึกใจง่าย ๆ  เก่งได้อีก 

    ผู้ถาม : ทำไมองค์กรใหญ่ ๆ ถึงต้องใช้ตัวนี้คะ ในการบริหารคนหรือองค์กรแบบจริงจัง

    อ.วรภัทร์ : โอ้โห สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน 2,600 ปีไม่มีใครเถียงได้ นักจิตวิทยา นักเขียนตำราบริหาร ส่วนใหญ่แล้วก็เอามาจากพระไตรปิฎกนั่นแหละครับ เราเป็นประเภทใกล้เกลือกินด่างต้องให้ฝรั่งไปแปลงเป็นภาษาอังกฤษก่อนค่อยเชื่อถือเขา สันดานผู้บริหารไทย มันเคารพต่างชาติมันไม่เคารพตัวมันเอง ประเทศไทยถึงล่มจมทุกวันนี้ สิ่งนึงที่สำคัญมาก ๆ เลยก็คือว่า คำสอนของพระพุทธเจ้า พอเขาแปลงเป็นภาษาอังกฤษ เขาใช้คำว่า mindfulness คือถ้าเราพูดคำว่า สติ คนมันจะเป็นพุทธ พอเป็น mindfulness ปั๊บ ฝรั่งที่เขาเป็นคริสต์ ที่เขาเป็นยิวใช่ไหม พี่น้องมุสลิมหรือว่าพวกฮินดูอะไรพวกนี้ เขาก็เก็ทเลย เพราะมันไม่มีศาสนาไง อย่าง Google Yahoo อะไรพวกนี้ หรือบริษัทในซิลิคอนแวลลีย์ อะไรพวกนี้เขาฝึก mindfulness กันเยอะมากนะ แถวเซินเจิ้น แถวนั้นเขาฝึกกันแหลกลานเลย คนจีนมันก็ฝึก เขาเป็นคอมมิวนิสต์นะ เขาไม่มีศาสนา แต่เขามี mindfulness ของไทยเราพอได้ยินคำว่า สติ mindfulness มันเหมือนปมด้อยในใจคนไทย คือเป็นปมที่พ่อแม่ชวนให้เกลียดศาสนา หรือแม้กระทั่งคนในศาสนาพุทธ ทำเรื่องพุทธกลายเป็นเรื่องซึ่งแบบอื้อหือ คนชั่วห้ามเข้าใช่ไหม แล้วคนชั่วเขาจะกลับตัวได้ไงใช่ไหม เป็นสังคมของจิตดี ฉันเป็นพุทธคนอื่นผิดหมดอะไรอย่างนี้ mindfulness สำคัญยังไง เพราะว่า mindfulness มันเป็คล้าย ๆ กับมิเตอร์ไปวัดจิตใจเรา ใจเราถ้ามันชั่วร้าย ใจเราถ้ามันไม่สงบ คุณภาพของความคิดจะต่ำ คุณภาพของความคิดสำคัญไหม สำคัญ ตรงนี้ต่างหากซึ่งมันขาดไปในองค์กรไทย ๆ เพราะอะไร เพราะมันไม่รู้สภาวะจิตใจเป็นยังไง เรียกว่าดูจิตไม่เป็น นี่จะดูจิตเป็นต้องใช้อะไร ใช้สติเป็นตัวรู้ ไม่ใช่ใช้ความคิดนะ เพราะงั้นคือระบบการศึกษาไทยมันห่วยแตก มันไม่ได้ใส่เรื่องสติเข้าไปใช่ไหม

    กระทรวงศึกษาหลงทางมาตลอด อาจารย์มหาวิทยาลัยเห็นแก่ตัว ผลก็คือเราไม่ฝึก mindfulness กันเลย พอนั่งเป็นผู้บริหารกัน เขาเรียก EQ ต่ำ พอ EQ ต่ำ สติไม่มาปัญญาก็ไม่เกิด พอ EQ ต่ำ IQ ก็ต่ำ คนที่ EQ ต่ำก็จะเกิดความขี้ขลาดขี้กลัว คนขี้ขลาดขี้กลัวตามตำราแล้วมักคอร์รัปชั่น คนโกงบ้านโกงเมือง คือคนขี้ขลาดนะ มันชิงโกงไว้ก่อน เพราะว่ากลัวว่าจะไปจนเหมือนที่มันเคยจน หรือว่าอาจจะรวยไปแล้ว มันกลัวว่าจะไม่รวยเพื่อจะไปลบคำสบประมาทของเพื่อน การแซวกันหรือการบูลลี่กันทำลายประเทศไทยตลอด สังคมไม่ออกมาตรงนี้เลย ภาพยนตร์ ละครทางทีวีมีแต่บูลลี่ มีแต่แซวน้ำเน่าตลอด เรายังไม่เป็นสังคมของที่ออกมาช่วยกันสอน อย่างคนจีนเห็นไหมเขารู้ว่าการเลี้ยงลูกด้วยการตามใจมีปัญหาเยอะมาก เขาเลยปล่อยหนังชื่อ นาจา (Nézhā) เป็นการ์ตูนแอนิเมชั่น 800 กว่าล้านหยวน ทำลายสถิติ เขาเห็นว่าคนเราต้องมีความกตัญญูและซื่อสัตย์ เขาก็จะปล่อยหนังเรื่อง กวนอู คนจีน คนเกาหลี เกาหลีนี่เจ๋งมาก ทุกอาชีพเขาทำทำให้ดูดีหมดเลย แม้แต่คนกวาดถนนในเกาหลี  ซีรีย์ยังทำดูดีมากเลยใช่ไหม รปภ. เหมือนกัน โอ้โห สุดยอดเลย เขามีความภูมิใจในความเป็น รปภ.

    ไทยเราทำไมไม่มีเรื่องพวกนี้ ตบตีตบตีแย่งผัว คือสื่อมวลชนขาดคุณภาพ ขาด Empathize ขาดความหวังดี คือสื่อมวลชนยัง Maslow ต่ำมากใช่ไหมฮะ แจกรางวัล ๆ กันก็แจกกันเองนะ ทำไมไม่ให้คนนอกวงการเข้าไปร่วมดู ได้ร่วมวิจารณ์ว่าปีนี้ไม่มีใครได้รางวัล คุณให้กันเอง เฮ้ย คุณไม่ได้ทำอะไรที่มันแบบผลักดันสังคมขึ้นมาใช่ไหม น่าเป็นห่วงไหม เหมือนชื่นชมกันเอง ชื่นชมคนวงการอาร์ตติสของคุณกันเองไง เหมือน ๆ คุณมีปมอะไรและหนีอะไรมา คุณไม่มีความรัก คุณไม่มี compassion ต่อสังคม คุณไม่ได้รักผู้คนใช่ไหม คือเกาหลีกับจีนเขาบังคับสื่อเลย เพราะสื่อมวลชนคือครูคนใหม่ของประเทศ สื่อมวลชนคือครูพาประเทศไปชั่วก็ได้ พาประเทศไปดีก็ได้ งั้นกฎหมายก็ต้องล็อกแม้แต่เนื้อหา ล็อกเนื้อหาที่แบบมีการแบนบางอย่างในประเทศ มีแบนบางอย่าง เพื่อมันไม่ขัดกับ culture องค์กร

    คนจีนเขาต้องการให้เราอะไร อย่าโกง เลี้ยงลูกให้มันแบบอย่าเอาใจมาก หรือปัญหาตอนนี้ Gen Baby Boomer ไม่เข้าใจ Gen Y จีนปล่อยหนังซีรีส์ออกมาดีมากเลย เป็นหนังที่เรียกว่าสอนคนแก่ทั้งประเทศหัดเข้าใจเด็ก โอ้โหอย่างนี้คือหนังเรื่องนี้ก็ใช้อาม่งอาม่ามานะ แล้วแต่ละบ้านเริ่มแบบเกลียด Gen Y กันลูกหลานไม่เอา ลูกหลานทิ้ง ตอนหลังอาม่งอาม่าเขามารวมตัวกัน แล้วมีคนอย่างอาจารย์ Facilitator เข้าไปนั่งคุยกัน สุดท้ายว่าเด็กไม่ผิดนะ พวกเราต่างหากไม่ปรับตัว หนังมันจบลงแบบ เฮ้ยเราเป็นคนแก่ เราก็ต้องเป็นคนแก่ใจดี จะมาเป็นคนแก่ปากหมา คนแก่ที่เอาแต่สอน ๆ ไม่ได้แล้ว เดี๋ยวนี้ก็เลิกสอนมันแล้ว เด็กมัน 30 แล้ว เขาฉลาดกว่าเราแล้ว ตาแก่อย่างพวกเราหัดฟังเด็กมันฟังดิ เราเป็นตัวให้กำลังใจเขา เป็นตัวที่หา connection ให้เขา เราดูแลอาหารเขาแล้วเราไม่ได้ไปดูแลคำสอนเขาใช่ไหม เรารีดผ้าซักผ้าให้ เราเลี้ยงหลานให้เขา มันเป็นอะไรที่คนแก่อย่างเราน่าจะทำได้ดีแล้วไง แต่เรากลับยังซ่า เห็นแก่ตัว เราเป็นคนแก่ที่เห็นแก่ตัว ตอนเป็นหนุ่มเราก็ด่าคนแก่กว่าว่าโง่ พอเราแก่กว่าเราก็ด่าเด็กกว่าว่าโง่อีก สุดท้ายไอ้โง่ตัวจริงอะคือเรา เห็นแก่ตัว 


    ผู้ถาม : คำว่า สติ พอเราพูดคำว่าสติปุ๊บมันจะรู้สึกว่ามันยากเกินไปสำหรับองค์กรไทยหรือเปล่าคะ

    อ.วรภัทร์ : มันอยู่ที่คนสอน คนสอนทำให้ยากมันก็ยาก ก็หนังสือเล่มนี้ถึงออกมาไง Mindfulness in Action ฝึกใจง่าย ๆ เก่งได้อีก amarinnbooks.com

    ผู้ถาม : ให้อาจารย์ฝากถึงมนุษย์ออฟฟิศนิดนึงค่ะ 

    อ.วรภัทร์ : ครบบัณฑิต ห่างไกลคนพาล ขอแค่นี้ หัดเลือกคบคนให้เป็นก่อน แล้วก็ปรับตัว ปรับตัวนิดนึง คุณไม่ปรับตัว ตอนแก่คุณลำบากนะ คุณว่าตอนคุณเกษียณอายุ 60 คุณต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะอยู่ได้ ประเทศไทยมันห่วยมากนะไม่มีสวัสดิการให้คนแก่นะครับ คุณอย่าไปดูอย่างฝรั่งนะครับ ฝรั่งเขาทำองค์กรมีความสุขได้เพราะตอนแก่เขามีเงินบำเหน็จบำนาญเหลือเฟือ เจ็บป่วยในเยอรมันอะไรพวกนี้ฟรีหมดนะครับ ในฝรั่งเศสดูแลอย่างดีนะครับ แต่ที่นี่คุณต้องดูแลตัวเองนะครับ ยังหนุ่มยังแน่นนะครับ เอาเวลาไปทำอะไรครับ คบเพื่อน ฝึกฝนตัวเอง และที่สำคัญคือคำว่าคบบัณฑิต หมายความว่าอย่าคบคนที่มันทำลายความรู้สึกคน อย่าคบคนที่ชอบพูดว่า ทำไม่ได้ ทำได้จริงเหรอ ฉันไม่เชื่อมันทำไม่ได้ คนที่พูดไม่ได้ ๆ พวกนี้ คุณเก็บมันไกล ๆ เหอะ คุณคบคนที่เขาพูดในคำว่า ได้ มันต้องได้ คบคนที่มีน้ำใจ คบคนที่มี purpose สูง ๆ เพื่อชาติบ้านเมือง จิตอาสา คนพวกนี้

    สรุป
    1. คบคนที่สูงส่งใช่ไหม ปณิธานสูงส่งเพื่อคนอื่น 
    2. ห่างไกลปากทำลายพลังงานของเรา ปากเสียทั้งหลาย ในนั้นอาจจะเป็นพ่อแม่คุณเอง หรืออาจจะเป็นเพื่อนรอบข้างคุณ คุณก็เจอเขาให้น้อยลง 
    3. ชม ฟัง ถาม สะท้อน ซึ่งการจะชม ฟัง ถาม สะท้อน ได้ คุณต้องมี mindfulness สูง mindfulness ไม่พอก็ฟังใครไม่ได้ mindfulness ไม่พอก็ชมใครไม่ได้ เพราะฉะนั้น mindfulness สำคัญมาก ๆ

    ผู้ถาม : วันนี้ก็ขอบคุณอาจารย์วรพัฒน์มากนะคะ ที่มาให้ แง่คิดดี ๆ เกี่ยวกับการเป็นมนุษย์ออฟฟิศ วันนี้ ขอบคุณมากค่ะ สวัสดีค่ะ 

    อ.วรภัทร์ : สวัสดีครับ

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service