แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พุทธะที่แท้จริง ตอนที่ ๔๐ เรามาบรรพชาอุปสมบท จะเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ เพราะตัวตนนั้นคือลูกศิษย์พระเทวทัต
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันจันทร์ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗
เรามาบรรพชาอุปสมบท จะเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ เพราะตัวตนนั้นคือลูกศิษย์พระเทวทัต พระพุทธเจ้าคือใคร พระพุทธเจ้าคือผู้ที่ยกเลิกชนชั้นวรรณะยกเลิกทาส ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราต้องเข้าใจ เราต้องมองตรงข้ามสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ไม่งั้นเราก็ไม่มีประโยชน์ต่อตนเอง ต่อญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล ทำลายความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ ทำลายความมั่นคงของความถูกต้อง เราต้องปกครองตัวเองให้ถูกต้อง เราอย่าไปโง่ไปสร้างตัวสร้างตนสร้างครอบครัว ตัวตนคือครอบครัว มองข้ามช็อตเรื่องก่อเรื่องสร้าง เรื่องเงินเรื่องสตางค์ไป เห็นคนรวยๆ นะจ๊ะๆ เห็นคนจนๆ ก็เฉยๆ ถ้าเรายกเลิกตัวตน มันก็ไม่ต้องไปเล่นกลอะไร เพราะว่ามันทำที่สุดแห่งการดับทุกข์อยู่แล้ว เราต้องปรับความเข้าใจอย่างนี้ เมื่อเราเป็นพระ พระคือผู้ที่เสียสละยกเลิกตัวยกเลิกตนไม่ใช่นิติบุคคล พระคือศีลสมาธิปัญญา อย่างพระพุทธรูปสวย ใครๆ ก็อยากให้ไปตั้งในศาลาการเปรียญ ตัวตนนี้มันก็ไม่มีใครอยากเอาไปตั้งเป็นประธาน หลวงพ่อบอกว่ามันฟุ้งซ่านเหลือเกิน น่าเกลียดนะ จะไปแก้ไขแต่คนอื่น มันถือว่าเป็นเปรตประจำประเทศเลย เราต้องเข้าใจอย่างนี้ ถึงเราจะมาจากครอบครัวคนจนคนรวยหรือว่าติดยาเสพติด ทุกคนก็ยอมรับได้ ถ้าเรายกเลิกตัวตน เราต้องเป็นพระที่มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ถ้าเราเอาตัวตน ทางพระก็ไม่ยอมรับทางประชาชนก็ไม่ยอมรับ เราต้องอยู่กับเนื้อกับตัว ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องรีบลาสิกขาไป หลวงพ่อกัณหาได้บอกพวกเจ้าอาวาสตกลงกันว่า เราต้องเอาพระพุทธเจ้าเรา ไม่เอาพระเทวทัต เพราะตัวตนมันคือพระเทวทัต เราจะเอาประชาธิปไตยที่ประกอบไปด้วยตัวตน ที่เหมือนคนที่เขาทำกันไม่ได้ ต้องเอาธรรมนำชีวิต ทุกคนต้องเข้าใจอย่างนี้ ที่เรามาอย่างนี้เพื่อความรู้ความเข้าใจ เหมือนหลวงพ่อคุยกับหลวงพ่อสุเมโธ ว่าเป็นยังไงหมดกิเลสสิ้นอาสวะหรือยัง หลวงพ่อสุเมโธก็ตอบว่า ไม่มีพระสุเมโธแล้ว มีเป็นธรรมมีแต่ปัจจุบันธรรม ท่านก็ไม่ได้บอกว่าเป็นพระอรหันต์ หลวงพ่อก็บอกว่าท่านก็ต้องรีบกลับไปเพราะอายุก็ 80 กว่าปีแล้ว ไปพูดไปคุยกับพวกเจ้าอาวาสพวกประธานสงฆ์ให้เข้าใจเหมือนอาจารย์ชาไปหาหลวงปู่มั่นใช้เวลา 3 วันก็เข้าใจ พากันเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ คนเราถ้าเสียสละ มันถึงจะแข็งแรง พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่รับใช้หมู่มวลมนุษย์เทวดาและสรรพสัตว์ทั้งหลาย
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันไม่ใช่ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็เก่งแต่เรื่องรับประเคน เห็นแต่คนรวยก็นะจ๊ะๆ ให้เราเข้าใจอย่างนี้ เข้าใจแล้วมันก็ง่าย ตัวตนมันคือมันยากตัวตนมันคือทำไม่ได้ เราก็ดูหลวงพ่อกานต์ ทำความดีติดต่อต่อเนื่อง หลวงพ่อกานต์ก็เป็น Superstar
ทำไมคนเราถึงต้องมีกฎหมาย กฎหมายมีทั้งความถูกต้องและไม่ถูกต้อง ให้โฟกัสยกเลิกในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเราเข้าใจกฎหมาย กฎหมายก็โฟกัสเข้าความวิมุตติหลุดพ้น ถ้างั้นเราก็ไม่เห็นพระวินัยสำคัญไม่เห็นกฎหมายสำคัญ ไม่รู้เรื่องว่าการเรียนหนังสือความรู้ความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ถ้างั้นเราเอาความจำมันก็หลง หลวงพ่อนี้เกี่ยวข้องกับหลวงตามหาบัวเกี่ยวข้องกับหลวงปู่ชา หลวงตามหาบัวบอกว่า ผมจำอะไรไม่ได้ ผมอยู่กับปัจจุบัน ท่านพุทธทาสก็ว่าอย่างเดียวกัน เอาตัวเอาตนมันไม่ได้ ต้องเอาธรรมะ กลับมาหากายวาจาใจกิริยามารยาทที่อาชีพ นักบวชที่ยกเลิกตัวตน เขาเรียกว่าอาชีพนักบวช เราอย่าเอาตัวเอาตัว เราอย่าพากันกร๋ากร่าง เพราะเราถูกครอบงำด้วยพระไตรลักษณ์ เพราะทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ให้ทุกคนเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้ว พวกพระที่หลงก็หายหลง เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นพุทธะ อย่าเป็นลูกศิษย์พระเทวทัตให้เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ยกเลิกตัวตนคำเทศน์คำสอนมันก็มาเอง เพราะตัวตนมันก็ปิดไว้เหมือนส้วมตัน รากไทรมันเข้า ตัวตนมันตัน ให้เข้าใจอย่างนี้
หลวงพ่อกัณหาไม่ได้เอาธรรมยุตมหานิกาย เพราะพระพุทธศาสนาไม่ใช่ธรรมยุตมหานิกาย มันคือพระธรรมพระวินัยมันคือการยกเลิกตัวตน การยึดมั่นในธรรมยุตมหานิกายคือพวกเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง เป็นพวกสังฆเภท ตัวตนมันทะเลาะวิวาทกันเหมือนกับธรรมะกถึกกับวินัยธร ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา พระศาสนาเป็นเพียงแต่การปกครอง เพียงแต่เขียนใบรับรองเขียนใบสุทธิเฉยๆ ถ้าต้นไม้มันออกใบสุทธิให้ก็ไปบวชกับมันได้ เราต้องเข้าใจอย่างนี้ ธรรมยุตกับมหานิกายอย่าไปทะเลาะกันเลย ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเป็นทั้งธรรมยุตมหานิกาย ยกเลิกตัวตนก็ได้เป็นพระอรหันต์กันหมด ให้เข้าใจอย่างนี้ อย่าไปเถียงกันว่าท่านสวดถูกมคธ ไม่ถูกมคธ พระอุปัชฌาย์ท่านเป็นปาราชิกหรือเปล่า มันเกี่ยวอะไร ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่รู้เรื่องอริยสัจ 4 ความดับทุกข์มันดับทุกข์ได้ทุกคน ถ้าใครคิดดีพูดดีกิริยามารยาทดี อาชีพมันก็โฟกัสมาอย่างนี้แหละ เราถึงได้อบอุ่นเย็นเป็น air condition ไม่ต้องไปร้องโอ๊ยๆๆ ไปเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้ ถ้าไม่แน่ไม่ใช่ลูกศิษย์พระพุทธเจ้านะ ตัวตนมันก็ทะเลาะกับโยม เพราะตัวตนมันคือทะเลาะกัน มันต้องเข้าใจอย่างนี้ ตัวตนมันเป็นทั้งโรคจิตโรคประสาทโรคซึมเศร้า มีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป ต้องเข้าใจอย่างนี้ นำไปประพฤตินำไปปฏิบัติ ต้องพักผ่อนให้พอ 5 ชั่วโมง 6 ชั่วโมง เพื่อสมองเราจะได้สั่งการให้การทำงานมีความสุข เราอย่าได้เอาตัวเอาตัวนำชีวิต ให้เอาธรรมนำชีวิต มันจะได้เก่งมันจะได้ฉลาดมันจะได้ไม่สร้างปัญหาให้กับตนเอง ไม่สร้างปัญหาให้คนอื่น ถ้าใจอ่อน ถ้ามีตัวตนอย่างนี้มันปกครองประเทศไม่ได้
เมื่อก่อนที่หลวงพ่ออยู่วัดหนองป่าพง ใครทำตามใจตามอารมณ์ เขาก็ให้ออกจากการเป็นแม่ชีแม่ขาว ให้เอาชุดขาวออกแล้วเปลี่ยนเป็นชุดดำเลยนะ เพราะต้องทำตามข้อวัตรข้อปฏิบัติ หลวงพ่อฝึกมาอย่างนี้ มันต้องอย่างนั้น เราจะไปตามใจไม่ได้ เราทำไมกลัวพระพุทธเจ้า ทำไมเรากลัวครูบาอาจารย์ เพราะเรามีตัวมีตน เราไม่รู้จักคำว่า ความสงบวิเวก ตัวตนมันคือความไม่สงบความไม่วิเวก พวกนี้มีโลกส่วนตัวสูง พอเรามีโลกส่วนตัว เราคิดว่าจะไปอยู่คนเดียว จะไปอยู่อย่างนู้นอย่างนี้มันไม่ใช่ เพราะเรามีตัวมีตนเราถึงคิดอย่างนั้น เราหนีความจริง พระมหาโมคคัลลานะเคยหนีความจริง สุดท้ายพระมหาโมคคัลลานะก็เข้าใจว่าหนีความจริงมันไม่ถูกต้อง เราต้องเข้าใจอย่างนี้ ถ้างั้นคนมันก็เป็นเปรตเป็นยักษ์เพราะตัวตน ตัวตนมันต้องเข้าใจว่าทำไมเราถึงกลัวตี 3 กลัวทำอย่างนู้นอย่างนี้ เพราะมันมีตัวมีตนบวชมาแล้วมันก็เลยพาไปก่อไปสร้าง หัวใจมันเป็นตัวเป็นตนมันมีครอบครัว อาจารย์ชาบอกว่ามันครอบไว้มันเป็นคนมันเป็นครอบครัว มีแต่ทุกข์ ต้องเข้าใจแบบนี้
ความหมายของคำว่า "ครอบครัว" เรื่องนี้อาตมาเล่าไปหรอก ตัวเองไม่เคยมีครอบครัว ทำไมไม่มีครอบครัว คืออ่านคำว่าครอบครัว มันก็รู้แล้ว ครอบครัว คืออะไร ครอบมันก็คืออย่างนี้ ถ้าเรานั่งอยู่เฉยๆ ก็เอาอะไรมาครอบลงนี้จะเป็นอย่างไร เรานั่งอยู่ไม่มีอะไรมาครอบมันก็พอทนได้ ถ้าเอาอะไรมาครอบลงก็เรียกว่าครอบแล้ว มันเป็นอย่างไรครอบก็เป็นอย่างนั้น มันมีวงจำกัดแล้ว ผู้ชายก็อยู่ในวงจำกัด ผู้หญิงก็อยู่ในวงจำกัด อาตมาไปอ่านแล้ว ครอบครัวโอยหนัก ศัพท์ตายนี่ คำนี้ไม่ใช่ศัพท์เล่นๆ ศัพท์ที่ว่า ครอบ นี้ศัพท์ทุกข์ ไปไม่ได้มันมีจำกัดแล้ว ต่อไปอีก ครัว ก็หมายถึงการก่อกวนแล้ว ทิ่มแทงแล้ว โยมผู้หญิงเคยเข้าครัว เคยโขลกพริกคั่ว พริกแห้งไหม ไอ จาม ทั้งบ้านเลยศัพท์ครอบครัวมันวุ่น ไม่น่าอยู่หรอก อาตมาอาศัยสองศัพท์นี่แหละจึงบวชไม่สึก
ครอบครัว นี่น่ากลัว ขังไว้จะไปไหนก็ไม่ได้ ลำบากเรื่องลูกบ้าง เรื่องเงินเรื่องทองบ้าง สารพัดอย่างอยู่ในนั้น ไม่รู้จะไปที่ไหน มันผูกไว้แล้ว ลูกผู้หญิงก็มี ลูกผู้ชายก็มี มันวุ่นวายเถียงกันอยู่นั่นแหละจนตายไม่ต้องไปไหนกันละ เจ็บใจขนาดไหนก็ไม่ว่า น้ำตามันไหลออกก็ไหลอยู่นั่นแหละ เออ น้ำตามันไม่หมดนะโยมครอบครัวนี่นะ ถ้าไม่มีครอบครัวน้ำตามันหมดเป็น ถ้ามีครอบครัวน้ำตามันหมดยาก หมดไม่ได้ โยมเห็นไหม มันบีบออกเหมือนบีบอ้อย ตาแห้งๆก็บีบออกให้เป็นน้ำไหลออกมา ไม่รู้มันมาจากไหน มันเจ็บใจแค้นใจสารพัดอย่าง มันทุกข์ เลยรวมทุกข์บีบออกมาเป็นน้ำทุกข์...”
ทุกอย่างเราต้องเด็ดขาด เอาตัวตนมันคือคนไม่เด็ดขาด ครั้งหนึ่งหลวงพ่อไปหาหลวงตามหาบัว หลวงตามหาบัวถามว่า มาจากไหน หลวงพ่อเลยตอบว่าเด่นชัยครับ อันนี้มันคือสมมุติ ถ้าหลวงพ่อกัณหาตอบว่ามาจากเด่นชัยครับ มารถตู้กัน 6 รูป หลวงตามหาบัวก็ด่าสิ เพราะว่ามันพูดเกินไป มันเกินคำสอนหัวล้าน ถึงบอกว่าอันนี้อย่าไปคิดนะ อย่าไปตรึกในกามนะ อย่าไปตรึกในพยาบาทนะ ต้องรู้ความสำคัญในกฎหมายบ้านเมืองในในพระวินัย เพราะสิ่งเหล่านี้มันยกเลิกตัวตน จะไม่ให้เราทำตามอัธยาศัย จะไม่ให้เรามีสีลัพพตปรามาส เห็นไหมหลวงตามหาบัวเดินทางมาเขาใหญ่ เดินทางมา 5 ชั่วโมงท่านก็จะพูดของท่าน แล้วก็จะกะเวลานั้น หลวงพ่อก็สังเกตดูนะว่า พระอรหันต์ท่านคิดอย่างไรพูดอย่างไร หลวงพ่อคุยกับหลวงพ่อพุทธทาส ท่านพุทธทาสถามว่า ท่านฉันผักหรือฉันเนื้อ คุยกันสองต่อสองตอน 7:00 โมงเช้า พอถึง 7 โมงเช้า ท่านก็จะมานั่งที่หินอ่อน ท่านก็ทำตามเวลาเป๊ะๆๆ เลย ท่านก็จะไม่ไปนะจ๊ะๆ กับคนนู้นคนนี้ ท่านทำตามเวลา เวลานี้ทำอะไร อันไหนคิด อันไหนไม่คิด มันถึงเป็นพุทธะ ไม่มีสีลัพพตปรามาส หลวงพ่อยังไม่ได้พูดอะไร ท่านพุทธทาสก็พูดมาว่า ผู้ที่ฉันผักก็อย่าไปว่าให้ผู้ฉันเนื้อ มันยิ่งกว่าฉันเนื้อเน่า ผู้ที่ฉันเนื้อก็อย่าไปว่าให้ผู้ที่ฉันผัก มันยิ่งกว่ายักษ์กว่ามาร พระพุทธเจ้ายกเลิกตัวตนไม่ได้ฉันอะไร ถ้าเราฉันอะไรมันก็ต้องมีความชอบความไม่ชอบ ต้องพิจารณาทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ยกเลิกตัวตน หลวงพ่อมาคิดดูว่า โอ๊ะ...ถ้าเราทำเหมือนพระพุทธเจ้า ถ้าเรามีความรู้สึกว่าเรากำลังฉันไข่อยู่ ไข่นี้ก็ฉันไม่ได้ เพราะเป็นตัวเป็นตน เมื่อเราฉันผักเรายินดีอย่างนี้มันก็ฉันผักไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นตัวเป็นตน พระพุทธเจ้าบอกว่าให้พิจารณาทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์นะ เราจะได้ยกเลิกตัวตน ให้ทุกคนเข้าใจอย่างนี้
ทำไมพระอาจารย์ชาถึงบอกว่า พระธรรมพระวินัยรู้อันไหน ผมต้องปฏิบัติตามอันนี้ พวกท่านน่ะเอาแต่สอนคนอื่นบอกคนอื่นเอาแต่ก่อแต่สร้าง ไม่หลายเดือนหรอกไม่กี่ปี พวกท่านก็ต้องฟุ้งซ่าน เพราะไปแก้ปลายเหตุ ทำไมพระพุทธเจ้าถึงพูดเรื่องทุกข์ก่อน เพราะว่ามันทุกข์ เพราะว่าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาตัวตนมันก็มีแต่ความทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป ให้พวกเราพากันเข้าใจ จะได้ยกเลิกความหลง จะได้เป็นความรู้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็มีแต่หลงเกิดขึ้น หลงตั้งอยู่ หลงดับไป นอกจากความหลงไม่มี เพราะมันเป็นตัวเป็นตน ยิ่งเราหัวไม่ดีเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง มันก็ยิ่งแย่สิ ให้เข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เรากลับไปอยู่ถิ่นฐานบ้านเกิด อย่าไปไม่ชอบคนนี้เกลียดคนนี้ เพราะว่าความชอบความเกลียดมันคือตัวคือตน เราต้องลบความชอบไม่ชอบ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราอย่าไปตรึกในกาม อย่าไปตรึกในพยาบาท มันคือตัวตน ใจของเรามันคิดได้ทีละอย่างพูดทีละอย่างกิริยามารยาทก็ทีละอย่าง อาชีพอย่างนี้ก็ทีละอย่าง เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่ได้ ต้องเข้าสู่ความเป็นพระรู้ ไม่ใช่พระหลง เราทำอย่างนี้เราถึงมีความสุข เอาตัวตนมันไม่มีความสุขอะไรหรอก มันมีแต่ความทุกข์ มันมีแต่โจร ไม่ใช่พระ ให้เข้าใจอย่างนี้ เอาตัวตนไปที่ตั้ง มันถึงทำร้ายสมอง มันมีแต่ทุกข์ มันเผาทั้งขึ้นทั้งร่องเลย ตัวตนมันคือทะเลที่ไม่อิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ มันทำลายความมั่นคงของเรา
ให้เรามาทำความเข้าใจอย่างนี้นะ ให้มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เราต้องทำอย่างนี้ เราต้องพูดจากิริยามารยาทอย่างนี้ เอาความถูกต้องอย่างนี้ ต้องยกเลิกในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็เหมือนเมล็ดพันธุ์ที่เราเอามาปลูกนี่แหละ เราดูแลรักษา ต้นไม้ก็สง่างามขึ้นมา เอาอย่างนี้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ มันไม่ได้ประโยชน์ทั้งตนเองและส่วนรวม เราอย่าไปคิดว่า โอ๊ะ...เราจะไปอยู่ที่ไหนเราแก่มาแล้วจะอยู่อย่างไร ถ้าเรายกเลิกตัวตนเราก็ไม่มีปัญหา เพราะตัวตนมันคือทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป เราต้องเข้าใจ เราต้องมองข้ามช็อตที่เป็นนิติบุคคลตัวตนไปอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านถึงไม่ห่วงอะไร ไม่เก็บอะไรไม่สะสมอะไร พอยกเลิกตัวตน มันก็มีความสุขความดับทุกข์อยู่แล้ว เราต้องเข้าใจอย่างนี้ เหมือนที่มีความกังวลว่าจะไปหาสร้างวัดที่ไหน หาที่ที่ไหน หาป่าช้าหาป่าสงวนที่ไหน ตัวตนมันเล่นงานเรา มันกลัวอดมันกลัวตาย มันกลัวจะยากลำบาก ยังไม่ถึงตี 2 ตี 3 มันกลัวได้ตื่นทำข้อวัตรข้อปฏิบัติ สารพัดกลัวเลย เราต้องเข้าใจ ความเป็นพระเราต้องรู้จัก มันต้องไฟต์ อย่าไปกลัวคู่ต่อสู้ มันต้องมีข้อสอบมันถึงมีข้อตอบ ถ้าเราเป็นนักเรียนเราไม่สอบไม่ตอบมันจะเลื่อนชั้นได้ยังไง พวกอนุบาลมันก็กลัวอย่างนี้ มันก็ต้องรู้จักมันต้องผ่านไป ความกลัวนี้มันกดดันเรา หรือว่าสัญชาตญาณนิติบุคคลตัวตนมันกดดันเรา เราอยากไปแก้ไขที่อื่น แก้ไขที่พระหลงให้เป็นพระรู้ แก้ไขที่ตี๋น้อย อาตี๋ทำตามใจตามอารมณ์ทำตามความรู้สึก เด็กน้อยมันทำลายความมั่นคงของความถูกต้อง ตี๋น้อยมันใจอ่อน อากงกับพ่อมันสู้ชีวิตเป็นคนรวยเป็นมหาเศรษฐี ตี๋น้อยมันติดสุขติดสบาย ทำลายความมั่นคง เพราะตัวตนมันทำลายความมั่นคง ต้องยกเลิกความอ่อนแอ เราจะไปอนุโลมตัวเองไปเรื่อยไม่ได้เด็ดขาด ต้องเข้าใจ
คนเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ก็ต้องอาศัยหลวงพ่อ เพื่อหลบไปหลบมา เราอย่าเป็นตัวสำรอง ตัวตนคือผู้สำรองไม่ใช่ผู้นำ เป็นกาฝาก หลวงพ่อถึงบอกว่า เฮ้ย...เราต้องมาเป็นผู้นำตัวเอง ไม่ใช่มาเกาะพระพุทธเจ้า มาเกาะครูบาอาจารย์ มาเกาะพระพุทธศาสนาหาอยู่หาฉันหาเลี้ยงชีพ เราต้องมาเสียสละทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน ต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้มันไม่ได้ มันเสียเวลา เราไม่รู้กาละไม่รู้เทศะ ไปคิดอย่างนั้นไม่ได้ ความคิดอย่างนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เราตามหานายช่างผู้สร้างเรือน เมื่อไม่พบ จึงเวียนเกิดเวียนตายอยู่สังสารวัฏมากมายหลายชาติ การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ แน่ะนายช่างผู้สร้างเรือนเอย บัดนี้เราพบท่านแล้ว ท่านจะสร้างเรือนไม่ได้อีกแล้ว โครงเรือนเราทำลายแล้ว เรือนยอดเราก็รื้อแล้ว จิตของเราเข้าถึงพระนิพพาน เราได้บรรลุความสิ้นตัณหาแล้ว
“นายช่างผู้สร้างเรือน” ในที่นี้หมายถึงตัณหา เพราะตัณหาความอยาก ๓ ประเภทนี้เองที่ทำให้คนต้องเวียนว่ายตายเกิดในชาติภพต่างๆ ไม่จบสิ้น เรียกว่าวงจรแห่งสังสารวัฏไม่มีทางสิ้นสุด ถ้าไม่บรรลุพระนิพพาน
“โครงเรือน” หมายถึง กิเลสน้อยใหญ่อื่นๆ ส่วน “เรือนยอด” หมายถึงอวิชชา พระพุทธองค์ทันทีที่ตรัสรู้ ก็ทรงเปล่งอุทานว่า บัดนี้ เราได้ทำลายกิเลสตัณหาพร้อมอวิชชาได้แล้ว ได้บรรลุพระนิพพานแล้ว
ตัวตนมันมารักมันชอบมันหลง เราต้องรู้จักว่านี้คือไฟต์คือข้อประพฤติข้อปฏิบัติ ถ้าเราได้นอน 5 ชั่วโมง 6 ชั่วโมงมันไม่มีปัญหาหรอก เพราะว่าเราตื่นขึ้นเราก็มีความสุข มีความสุขสมองเราก็ไม่สับสน ตัวตนมันคือสมองสับสนแน่ ตัวตนมันคือขาลงขาตกต่ำ มันเป็นอบายมุขอบายภูมิ มันทำให้เราตกต่ำอย่างนี้ ทำให้เราไม่รู้อริยสัจ 4 ตัวตนคือไม่รู้อริยสัจ 4 ไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงการดับทุกข์ ความไม่รู้ความไม่เข้าใจทำให้เป็นคนไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เพราะว่ามันคิดว่ามันแน่ มันเก่งกว่าพระพุทธเจ้า เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งเขาเรียกว่าเป็นคนหลงตัวเองว่า ตัวเองเก่งกว่าพระพุทธเจ้า แน่กว่าพระพุทธเจ้า ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ต้องยกเลิกตัวตนด้วย ด้วยภาคประพฤติภาคปฏิบัติแล้วก็เข้าสู่ภาพบำบัด ภาคบำบัดคือการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง พิจารณาพระไตรลักษณ์ พระพุทธเจ้าตรัสสอน ร่างกายของเรามีอุปกรณ์อยู่ 32 ชิ้น เราต้องพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ เพื่อเราจะได้ยกเลิกตัวตน เอาแต่เพียงสงบ สงบก็เป็นได้แต่สมาบัติ พอออกจากความสงบมาก็ทะเลาะกัน มันไม่ถูกต้อง ศาสนาพุทธต้องมันก้าวไปไกล เพราะว่าเป็นคู่ความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์
พระนี้คือการยกเลิกตัวตน ประชาชนคนที่ไม่ได้บวชหรือนักบวชก็เป็นพระพอๆ กัน เพราะมันเป็นอาหารของความดับทุกข์ ต้องเข้าใจอย่างนี้ ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ ตัวตนมันก็วิ่งไปเรื่อย เอาตัวตนไปที่ตั้ง หัวใจมันก็มีผัวมีเมียกันทั้งวันทั้งคืน กายไม่มีผัวมีเมียหรอก แต่ใจเรามันมีผัวเมียทั้งวันทั้งคืน เพราะตัวตนมันเป็นอย่างนี้ เอาตัวตนมันก็มีปัญหา ซอกแซกไปซอกแซกมา อนุโลมปฏิโลม ตกต่ำไปเรื่อย ตัวตนก็ไม่มีความสามารถบริหาร เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ไม่มีธรรมะธรรโม เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันคือมืดตึ๊บเลย บางคนตัวตนมากก็นอนไม่หลับ ให้เราเข้าใจ ถ้าเรายกเลิกตัวตน เราก็จะสง่างามขึ้นมาเลย เป็นผู้นำทั้งตนเองและเป็นผู้นำทั้งคนอื่น เราต้องเข้าใจอย่างนี้ อย่าเข้าใจผิดไปหาความสงบไปเรื่อย มันจะเป็นโรคจิตโรคประสาทเป็นวิปลาส แก้ปัญหาไม่ได้ก็ฆ่าตัวตาย ท่านสิริปัญโญถึงมหาหลวงพ่อเมื่อวาน หลวงพ่อก็บอกว่า ต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ หลวงพ่อก็บอกว่าที่ให้พระของหลวงพ่อไปอยู่กับท่าน ก็เพราะท่านเป็นคนมีสัมมาทิฏฐิ เป็นคนรวยเป็นคนดีเป็นมหาเศรษฐีก็ไม่หลง ถึงเราจะเป็นคนรวยค้ำฟ้ามันก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะเรามีตัวมีตน ท่านเป็นคนฉลาดผมถึงให้พระของผมไปอยู่ เราอย่าถือว่าเราปล่อยวางไม่เอาอะไร ก็ไม่ได้ปล่อยวางอย่างนั้น มันต้องเทคแคร์กัน ถ้าเราไม่เทคแคร์กันไม่ได้ เพราะคนทุกวันนี้เป็นโรคจิตโรคประสาทเยอะ พัฒนาแต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน มันไม่ทันโลกไม่ทันสมัย เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันต้องเทคแคร์กันต้องเอาใจใส่กัน ให้ความอบอุ่นกัน ทางกายวาจากิริยามารยาทตลอดถึงอาชีพ เอาตัวตนมันก็ไม่ได้เอาธรรมนำชีวิต หลงไปเรื่อย ให้เข้าใจนะ จะได้รู้เราจะได้พึ่งพุทธะที่เป็นความถูกต้อง นำสู่การประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้รู้ว่า โอ้...เราหลบไปหลบมา มีข้อสอบแล้วก็ไม่ได้สอบ มีข้อตอบแล้วก็ไม่ได้ตอบ มีสีลัพพตปรามาสในข้อวัตรข้อปฏิบัติ ปล่อยให้ตัวเองตรึกตัวเองนึกตัวเองคิด อย่างนี้มันใช้ไม่ได้ มันเสียหาย ทั้งตัวเองทั้งส่วนรวม เราต้องเข้าใจอย่างนี้
เพราะเราต้องเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจ มันก็เป็นนักเลงใหญ่นักเลงโต หลวงพ่อถึงพูดกับพวกเป็นฝรั่งที่เจริญทางวัตถุ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มาเรียนมาศึกษาพระพุทธศาสนาที่ประเทศไทย เอาตัวตนนำชีวิต พวกท่านเป็นคนรวยเป็นคนฉลาด พวกท่านจะเป็นโจรใหญ่กว่าพวกเอเชียอีก เพราะพวกท่านไม่ใช่เป็นพุทธะ เป็นแต่นักปรัชญา เราต้องสง่างามอย่างนี้ เราไม่ต้องเป็นกาฝาก เราต้องเป็นพุทธะอย่างนี้ เราไม่ต้องหนีแบบโง่ๆ อย่างศาสนาที่เอาแต่ความสงบเอาแต่ความวิเวก แต่ไม่ยกเลิกตัวตน เข้าสมาธิก็ต้องออกจากสมาธิ ออกมาทานอาหารออกมาฉันข้าว ต้องเข้าใจอย่างนี้แหละ เรามีวัด วัดก็คือข้อวัตรข้อปฏิบัติที่ มันตรึกมันนึกมันคิด กายวาจาใจกิริยามารยาทต้องเข้ามาหาวัดอย่างนี้ มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ คนเรามีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เวลามันก็ผ่านเร็ว เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเวลามันก็ผ่านช้า เหมือนคนรอรถรอเครื่องบินการเดินทางมันช้า ต้องเข้าใจ
เรื่องปฏิบัติธรรมคือเรื่องปัจจุบัน ปัจจุบันเรายกเลิกตัวตน เราก็ไม่มีปัญหา เราจะไปไหนเราจะอยู่ไหน มันคือความทำที่สุดแห่งการดับทุกข์ เราต้องรู้จัก หลวงพ่อถึงบอกเจ้าอาวาสทั้งหลายว่า เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันฟุ้งซ่านเกิน มันน่าเกลียด เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็เป็นได้แต่เพียงหมา มันอาศัยคนอื่น มันไม่ได้เข้าสู่ความดับทุกข์ แล้วก็มาอาศัยแต่ผู้อื่น มันต้องจัดการตัวเองนะ เราก็ยกเลิกตัวตนเราก็เข้าถึงปัญญาธิคุณบริสุทธิคุณกรุณาธิคุณ ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตน เราจะเข้าถึงปัญญาธิคุณบริสุทธิคุณกรุณาธิคุณได้อย่างไร เพราะว่าศีลก็ไม่มี สมาธิก็ไม่มี มีแต่ตัวตน มันไม่รู้อริยสัจ 4 ความสงบอบอุ่นสงบเย็นจะเกิดขึ้นกับเราได้อย่างไร เราอย่าไปคิดแบบโง่ๆ ว่าเราจะไปอยู่ไหน จะไปซุกซ่อนอยู่ที่ไหน มันหนีไปไหนก็ไม่พ้น ความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก ให้เราเข้าใจอย่างนี้ เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทยก็โยกไปโยกมา ใครต่างก็จะกินกัน เพราะตัวตนมันคือเปรตคือยักษ์คือมารคืออสูรกาย มันมีแต่กิน มันไม่ได้เป็นผู้ให้ ตัวตนคือไม่ได้เป็นผู้ให้
เราให้เข้าใจว่า เราบวชมาเพื่อมายกเลิกตัวตน เพื่อมาเข้าใจเหมือนท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านพุทธทาสภิกขุบอกว่า ผมเข้าใจว่าความดับทุกข์ มันอยู่ที่การยกเลิกตัวตน ผมถึงตั้งชื่อตัวเองว่าพุทธทาสเป็นทาสรับใช้ ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา ถึงเป็นพุทธทาสเป็นทาสรับใช้ของพุทธะ ไม่ใช่ทาสรับใช้ของอวิชชาความหลง ต้องเข้าใจ “พุทฺธสฺสาหํ นิยฺยาเทมิ สรีรญฺชีวิตญฺจิทํ พุทฺธสฺสาหสฺมิ ทาโส ว พุทฺโธ เม สามิกิสฺสโร - อิติ พุทฺธทาโส ข้าพเจ้ามอบชีวิตและร่างกายนี้ ถวายแด่พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนายของข้าพเจ้า เพราะเหตุดังว่ามานี้ ข้าพเจ้าจึงชื่อว่า พุทธทาส
ท่านพุทธทาสภิกขุเล่าถึงที่มาของนามพุทธทาสไว้ดังนี้ เราเกิดความรู้สึกที่จะรับใช้พระพุทธศาสนาขึ้นมา โดยที่เราเริ่มเข้าใจพระพุทธเจ้าและเริ่มเข้าใจพุทธศาสนา ว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สูงสุดสำหรับมนุษย์ แต่แล้วมันก็ไม่ค่อยจะได้รู้จักกัน ฉะนั้นจึงอุทิศตั้งจิตว่า เราจะทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา อย่างกับว่ารับใช้พระพุทธองค์ให้สมกับหน้าที่ของพระสาวก ทีนี้ทุกเย็นไม่ว่าวัดไหนเขาก็สวดทำวัตรเย็น ในบททำวัตรเย็นมันก็มีคำชัดเลยว่า "ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระพุทธเจ้า" มันก็ยิ่งเข้ารูปกันกับ เราที่ตั้งใจอยู่ว่าจะรับใช้พระพุทธเจ้า ในฐานะที่เป็นทาส จึงสมกับที่เรียกตัวเองว่า "พุทธทาส" นี่คือความหมายของคำว่า "พุทธทาส" เกิดขึ้นจากความรู้สึกว่าไม่มีอะไรดีกว่า ชีวิตของเราจะอยู่ต่อไปอีกกี่ปีก็ตามใจ ถ้าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด และสูงสุด ก็ควรจะทำงานนี้ คือรับใช้พระพุทธเจ้า ด้วยการทำให้พุทธศาสนาแพร่หลายไป มีประโยชน์แก่คนทุกคนในโลกก็แล้วกัน แล้วอาตมายังคิดด้วยความรู้สึกบริสุทธิ์ใจว่า พุทธบริษัททุกคนเป็นพุทธทาสอยู่แล้วในตัว ไม่ใช่แต่เรา แต่เขาทำงานอย่างพุทธทาสอยู่แล้วทุกคน ช่วยรักษาบำรุงเผยแผ่พระพุทธศาสนา ฉะนั้นเราก็ไม่ยกตัว ไม่อวดดี ไม่จองหองพองขนว่า เป็นพุทธทาสแต่เราคนเดียวเท่านั้น
ถ้าเราเป็นทาสรับใช้ของอวิชชาของความหลง เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราอย่าไปคิดสอนแต่คนอื่น อย่างมาหาหลวงก็จะมาพูดธรรมะตลอด เพราะเคยเป็นอาจารย์ หลวงพ่อถึงบอกว่าให้สงบสติอารมณ์ ต้องมาฟังหลวงพ่อ เพราะตัวตนมันฟังใครไม่ได้ มันมีแต่จะไปสอนคนอื่น มันรู้กันอยู่แล้ว อย่าไปพูดมาก ต้องนิ่งๆ เพราะท่านเป็นเด็กของพระอาจารย์ชา เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่ใช่เด็กของอาจารย์ชา มันเป็นนิติบุคคลตัวตน หลวงพ่อจับแขนให้ท่านหยุดเดิน เอาตัวตนไปที่ตั้ง จะไปเดินจงกรมเอาอะไร นั่งสมาธิเอาอะไร มันจะมีแต่โรคประสาท เห็นเขามีสตางค์เยอะยิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับก็ดี เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็มีแต่เน่ามีแต่เหม็น เขาเรียกว่าเหม็นหลายประเทศตัวตนมันเหม็นหลายประเทศ มันเหม็นไกล เราต้องเข้าใจอย่างนี้ คนเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ก็ว่าตัวเองไม่มีบารมี มันจะมีบารมีได้ที่ไหน เพราะมันมีตัวตนมันทำลายบารมี หลวงพ่อได้ฟังแม่ชีว่า หลวงพ่อทำศาลาให้ข้าน้อยไม่ต้องใหญ่นะ เพราะมันไม่มีคนมาหรอก ข้าน้อยไม่มีบารมี หลวงพ่อคิดในใจว่า คนมีตัวมีตนมันจะมีบารมีมาจากไหน เพราะตัวตนมันเหม็นตั้งหลายประเทศ ตัวตนมันเป็นลูกระเบิดที่ทำร้ายตัวเองทำร้ายคนอื่น มันจะมีบารมีอะไร มันก็ไม่มีใครอยากไปอยู่ด้วย เพราะตัวตนมันร้อนทั้งตัวเองร้อนทั้งคนอื่น เราต้องรู้จักตัวเอง ต้องเข้าใจอย่างนี้ ต้องรู้จักคำว่าบารมีนะ เราจะได้บำเพ็ญบารมีถูก ต้องเอาความเข้มแข็งเอาพุทธะนำชีวิต เอาศีลสมาธิปัญญานำชีวิต แล้วก็มาเอาธรรมนำชีวิต ไม่ใช่เอาตัวตนนำชีวิต ต้องเข้าใจอย่างนี้
การสร้างบารมีนี่แหละคือยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งกายวาจาทั้งจิตใจทั้งกิริยามารยาท ที่ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วต้องติดต่อต่อเนื่อง อย่างพระพุทธเจ้าปฏิบัติติดต่อในการสร้างบารมี หลายล้านชาติ อย่างนี้เขาเรียกว่าสร้างบารมี ยกเลิกตัวตนเหมือนหลวงปู่ชา บอกลูกศิษย์ลูกหาว่า ผมนี้นะบอกสอนตัวเอง 100% บอกสอนพวกท่านที่เป็นพระ เณร แม่ชี ประชาชนเพียง 5% เท่านั้นเอง อย่างนี้มันถึงพอไปได้ ถ้าเราไปเอาความหลงเอาความไม่เข้าใจเป็นที่ตั้ง ก็ไปแก้แต่ภายนอก ไม่ได้แก้ไขที่ตัวเอง อย่างนี้เขาไม่ได้เรียกว่าสร้างบารมี มันเป็นความหลง เราไปแก้ไขที่ภายนอกไม่กี่เดือนไม่กี่ปี มันก็มีแต่ความฟุ้งซ่านมันก็สับสน ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ บารมีนั้นมันก็เหมือนปลูกต้นโพธ์ต้นไทรนี้แหละ ปลูกเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ก็ให้น้ำ ให้ปุ๋ย ให้แสงแดด ให้อ็อกซิเจน ให้มันพอดี ให้สม่ำเสมอเป็นความดีเป็นปฏิปทา อย่างนี้แหละเราทำแบบนี้ปฏิบัติอย่างนี้เราทำหน้าที่ให้ถูกต้องทั้งกาย ทั้งวาจา กิริยามารยาท ตลอดถึงอาชีพ เราพัฒนาให้กาย วาจา กิริยามารยาท ตลอดถึงอาชีพ ครบวงจร เน้นมาหาตัวเราที่ปัจจุบันนี้แหละ เราประพฤติปฏิบัติอย่างนี้หลายปี ต้นโพธ์ ต้นไทรมันก็ใหญ่ เดี๋ยวมันก็ออกลูกออกผลน่ะ ลูกมันสุก พวกฝูงนกฝูงกระรอกกระแตก็มาบริโภค เราต้องเข้าใจอย่างนี้ เพราะบารมีเป็นอย่างนี้ เมื่อเราเข้าถึงปัญญาธิคุณบริสุทธิคุณกรุณาธิคุณ ทุกอย่างมันจะเป็นไปของมันเอง เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี พระพุทธเจ้าถึงให้เรามีความตั้งใจมีเจตนามีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติอย่างนี้
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee