แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ต่อไปนี้ก็ฟังธรรมพูดธรรมะสู่กันฟังก็พูดเรื่องที่เราทำ เวลานี้เราปฏิบัติธรรมเราเจริญสติ เรามาดูตัวเราเหมือนออกมาดูออกไปดูแล้วมันก็จะแสดงอะไรหลายอย่างให้เราเห็น สตินี่เหมือนดวงตาภายในก็จะเกิดการเห็นเกี่ยวกับกายเกี่ยวกับจิตหลายฉากหลายมุม เห็นอะไรก็ตามในช่วงใหม่ๆนี่เรามารู้สึกตัวแล้วก็ประกอบกรรมทำความเพียรเจริญสติเรื่อยไปอย่าไปข้องไปแวะกับอาการต่างๆ กลับเข้ามาหาความรู้สึกตัวกำหนดการเคลื่อนไหวให้เป็นกรรมฐาน เอากรรมไปก่อนเอาการกระทำไปก่อนอย่าเพิ่งไปใช้เหตุใช้ผล อย่าพึงไปสยบกับความสุขอย่าพึงไปสยบกับความทุกข์ ความรู้อะไรต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นมาบ้างตอนนี้ไปเสียก่อนเหมือนกับเราเดินทาง เรารู้สึกตัวๆ ก็เหมือนกับเราเดินทาง ก้าวไปๆ รู้ทีหนึ่งก็ก้าวไปก้าวหนึ่งก้าวไปจากไหนก็ก้าวไปจากความหลง มันก็ตรงกันข้ามตัวรู้สึกตัว ถ้ามีตัวรู้สึกตัวมันก็คุมกำเนิดของความหลงไปในตัว วิธีที่เราทำก็มีการกระทำจริงๆ
ทำไมเราถึงต้องเจริญสติแบบกายเคลื่อนไหวเพราะเราต้องการให้มันเป็นปัจจุบัน ชีวิตจริงๆ ต้องเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันคือชีวิตจริงถ้าเราไม่มีที่ตั้งไม่มีการกระทำมันก็วิ่งไปข้างหน้ามันก็วิ่งคืนข้างหลัง มันมีสัญญาณมันมีสัญญามันติดอะไรมา เราใช้ชีวิตของเราแบบไหนมาบ้าง ถ้าเป็นรถก็รถมือสองมีแต่ร่องมีแต่รอยหลายอย่าง การมารู้สึกตัวๆ น่ะเหมือนเข้าอู่ให้มันดีให้มันรู้สึกตัว ตัวรู้สึกตัวนี่แหละเป็นการทำให้ชีวิตปกติคืนสู่ความปกติคืนสู่ธรรมชาติเราจึงทำอย่างนี้ไปก่อน เราตั้งใจสร้างความรู้บางทีก็เกิดความหลง ก็เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกอยู่นั่นแหละ มันจะหลงกี่ครั้งกี่หนก็รู้มันเท่ากับที่มันหลง เรียกว่ารู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ ให้มันทันกัน ถ้ามันไม่หลงก็สร้างความรู้เรื่อยไป เวลาที่มันหลงไปทางไหนก็ขอให้มันเป็นการเปลี่ยนความหลงเป็นความรู้
เรียกว่าปฏิบัติ “ปฏิ” คือเปลี่ยน หรือว่าภาวนาคือเปลี่ยน เปลี่ยนร้ายเป็นดีเปลี่ยนผิดเป็นถูก เปลี่ยนร้ายเป็นดีเปลี่ยนผิดเป็นถูกถ้าพูดแบบสำนวนโวหาร แต่ถ้าพูดตามหลักปฏิบัติก็เปลี่ยนอะไร ก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกตัวทั้งหมด เปลี่ยนมาเป็นความรู้สึกตัวๆ แล้วมันก็มีอะไรที่ให้เราเปลี่ยนอยู่หลายอย่าง บางทีก็เกิดความง่วง บางทีก็เกิดความปวดเมื่อย บางทีก็เกิดความคิด บางทีก็หลงไปทางตาทางหู บางทีก็หลงไปทางอารมณ์ต่างๆ ที่มันติดมันเคยมามันเคยไหลมาเหมือนน้ำที่มันเคยไหล ชีวิตของเราเหมือนน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ เวลาเราเจริญสติเหมือนกับกั้นเหมือนกับขวางทาง แม้ขวางอยู่มันก็ยังหาทางออกลอดไปเราก็กั้นเอาไว้ ความรู้แต่ละครั้งเหมือนกระสอบทรายโยนใส่คลองใส่ห้วยที่มันลึก โยนลงไปรู้ๆ โยนลงไปกระสอบหนึ่งมันก็ไม่หนีไปไหนก็อยู่นั่นแหละ ถ้ามันลึกมากๆ หลายวันมันจึงจะพ้นน้ำขึ้นมา เมื่อมันพ้นขึ้นมาก็พอเห็น พอที่มันจะพ้นมันก็มีกำลังแล้วมันจึงพ้นขึ้นมาได้ ขณะที่เรารู้สึกตัวแสดงว่าเรามีกำลังแล้ว อะไรที่มันเกิดขึ้นมาแล้วเรารู้สึกตัวแสดงว่าถ้าเป็นการขวางกั้นทางน้ำก็พ้นน้ำได้บ้าง เราก็รู้สึกตัวอีกเหมือนกับปิดไว้อีกโต้ตอบอีกปฏิบัติไว้กั้นไว้เปลี่ยนไว้แล้วมันจะเก่งตอนที่เราเปลี่ยนมาเป็นตัวรู้นี่แหละมันจะเก่งตรงนี้ อะไรๆ ก็ตามขณะที่เราปฏิบัติอยู่เนี่ยเปลี่ยนมารู้สึกตัวมันจะเก่งตรงนี้
ตรงนี้ทำให้เรามีมรรคมีผลทันที แล้วก็เปลี่ยนได้ทุกชีวิต เปลี่ยนเป็นความรู้สึกตัวเปลี่ยนได้ ไม่ต้องอ้อนวอนไม่ต้องขอจากใคร เป็นการกระทำส่วนตัวๆ เรียกว่ากรรมคือการกระทำ พระพุทธเจ้าสรรเสริญในการกระทำนะ การเจริญสติเหมือนกับการให้ข้อมูลชีวิตที่ถูกต้อง ถ้าจากว่าแล้วแต่ก่อนเราให้ข้อมูลชีวิตเราไม่ค่อยถูกต้อง บางทีสิ่งแวดล้อมก็ให้ข้อมูลชีวิตเราไม่ถูกต้อง มันก็เลยติดข้อมูลที่ไม่ค่อยดีเรียกว่านิสสัยปัจจัยต่างๆ เป็นนิสสัยปัจจัยต่างๆ เป็นจริตนิสสัยต่างๆ บางชีวิตก็เป็นราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต บางชีวิตก็เป็นพุทธจริตพร้อมที่จะรู้ๆ เสมอมันก็เป็นข้อมูลที่เราทำมา ตอนนี้เรามาให้ข้อมูลให้รู้ๆน่ะ พอรู้สึกตัวความรู้สึกตัวๆ เนี่ยมันก็เป็นธรรม ธรรมย่อมชนะอธรรมเสมอ ถ้าเราสัมผัสดูแล้วมันใช้ได้จริงๆ ความรู้สึกตัวเนี่ยจะเป็นตายร้ายดียังไงถ้ารู้สึกตัวเนี่ยมันก็..ถ้าจะว่าไปมันก็จบลงแล้ว รู้สึกตัวก็จบแล้ว ถือว่าถูกต้องแล้ว ถือว่าชอบแล้วเป็นธรรมที่สุดแล้ว สัมผัสดูแล้วมันเป็นอย่างนั้น
ถ้าตัวหลงเนี่ยไม่เป็นธรรมนอกจากความรู้สึกตัวที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจเรา อันอื่นไม่เป็นธรรม เราสัมผัสดูหนึ่งวันสองวันนะพอมันหลงปั๊บเขาก็ คล้ายๆทำใหม่ๆ คล้ายๆว่าเปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ ทำไปๆ มันไม่ได้เปลี่ยน มันเป็นธรรมชาติไปเองเข้าสู่ธรรมชาติมันเป็นไปเอง พอมันหลงมันก็รู้ทันที มันมีโอกาสชำนิชำนาญ เหมือนกับเราเรียนหนังสือแต่ก่อนเราเขียน กอ ไก่ มันก็อยู่กระดาน ตาเราก็ดูมือเราก็ค่อยเขียนไป เดี๋ยวนี้ กอ ไก่ มันก็อยู่ในเราแล้วมันเป็นคอมพิวเตอร์มันเอาข้อมูลมันเก็บข้อมูลไว้
ชีวิตเราก็เปรียบเหมือนคอมพิวเตอร์ให้ความรู้สึกตัวๆ มันก็เก็บความรู้สึกตัวไว้ ข้อมูลดีๆ มันก็แสดงออกมา รู้สึกตัว ถ้าเวลาใดมันหลงจะทำยังไง๊ยังไงมันก็ไม่ไปความหลง มันก็ต้องเกิดความรู้สึกตัวทันทีเป็นอัตโนมัติในตัว เมื่อรู้สึกตัวไม่ลืมไม่หลงหลายวันหนึ่งวันเจ็ดวันแล้วนั่นแหละเราเรียกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ มันเกิดอะไรขึ้น เราทำอย่างนี้มันเกิดอย่างนี้ในธรรมะผู้ที่เห็นธรรมก็เห็นปฏิจจสมุปบาท สิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี ถ้าสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้ก็ไม่มีเนื่องด้วยกัน เราจึงได้ทั้งบทเรียนได้ทั้งประสบการณ์ ความหลงก็เป็นประสบการณ์เป็นบทเรียนที่ดีสำหรับที่เราจะมาเป็นการศึกษาได้ถลุงได้เห็น
ความรู้สึกตัวก็เป็นบทเรียนที่ดี บทเรียนต่างๆ กันสัมผัสดูแล้วมันต่างกัน ไม่มีใครไปเอาความหลงหรอกถ้าเราสร้างความรู้ได้เก่งๆนะ ค่อยเป็นไปเองๆ แล้วการที่จะเจริญสตินี่ก็เป้าหมายหรือว่าเบื้องหน้าก็เห็นกาย เราก็เห็นตั้งแต่เริ่มต้นอยู่แล้วเห็นกายตามที่พูดให้ฟังน่ะวันก่อน มันต้องเห็นเพราะเราดูอยู่ตลอดเวลาเคลื่อนไหวไปมามันก็ดูอยู่ทั้งตาเนื้อทั้งตาใน เห็นไม่ใช่ไปเห็นนิมิตเพราะเราไม่ได้หลับตา การเจริญสติการภาวนา การภาวนาหรือกรรมฐานภาวนาเนี่ยมันไม่เกิดนิมิต ไม่เหมือนกับการหลับตาถ้าการหลับตานี่มักจะเกิดนิมิตเป็นสีเป็นแสงต่างๆ อันนี้เราไม่หลับตามันเปิดตัวนิมิตเกิดขึ้นได้ยากเพราะเราไม่ต้องไปเสียเวลากับนิมิต ถ้าเห็นก็เห็นรูปเห็นนามไปเลยเห็นของจริงไปเลย
เคยมีสมัยหนึ่งนานมาแล้ว 20 กว่าปีไปสอนธรรมอยู่ที่แหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี ก็มีอาจารย์เขาสอนแบบสัมมาอรหัง ก็มาขอสอนสักสองชั่วโมงสามชั่วโมงเราก็ให้เขาสอนดู เขาก็สอนแบบวิชาธรรมกายเขาก็จับลูกแก้วให้ดู เป็นลูกแก้วจริงๆ แล้วก็ชูลูกแก้วให้นักปฏิบัติประมาณ 70 คน ถามว่าเห็นลูกแก้วไหมๆ ทุกคนก็เอาตาไปดูก็เห็นเห็นจริงๆ เป็นลูกแก้ว ดูให้ติดตานะๆ ทุกคนก็ดูลูกแก้วให้เห็นแล้วเป็นลูกอย่างนั้นอย่างนี้ติดตา เอ้าพอดูติดตาแล้วหลับตาลงๆ เห็นไหมๆ แล้วก็เห็น ถ้าคิดเห็นมันก็เห็นมโนภาพ ถ้าจะเห็นที่เป็นดวงตาจริงๆ มันก็ไม่เห็น เห็นแบบมโนภาพ เอ้อ..นั่นแหละให้มันเป็นความคิดเห็น ดูไป คิดไป..เอ้าผู้หญิงเข้าข้างซ้ายผู้ชายเข้าข้างขวาหมายถึงเลื่อนลงมาจมูก เลื่อนลูกแก้วเลื่อนลงมาๆ มาหน้าอกมาสะดือ หย่อนสะดือลงไปอีกสองนิ้วแล้วก็เลื่อนขึ้นมาอีกเหนือสะดือสองนิ้วจุดศูนย์กลางให้มองเห็นลูกแก้วแล้วบริกรรมว่าสัมมาอรหังๆ ทุกคนก็ว่าๆ ถ้าใครเห็นธรรมกายก็ยกมือขึ้นนะ ก็นั่งเงียบไม่ต้องพูดอะไร อาจารย์ก็พูดไปๆ หาสะดือสองนิ้วคำบริกรรมสัมมาอรหังๆ ...ชั่วโมงหนึ่งก็ไม่มีใครยกมือขึ้นเพราะไม่เห็นลูกแก้ว สองชั่วโมงก็ไม่มีใครยกมือขึ้น เขาก็คอยอีกชั่วโมงหนึ่งเป็นสามชั่วโมงก็ไม่มีใครเห็นลูกแก้วเห็นธรรมกาย เขาก็บอกว่าเอ๊ะ..มันเกิดอะไร ไปสอนที่ไหนเนี่ยชั่วโมงสองชั่วโมงก็มีคนเห็นธรรมกายแล้วก็เลยหยุด
หลวงพ่อก็เลยพูดต่อไปว่านี่..พวกนี้เขาเจริญสติกัน ผู้ที่เจริญสติไม่ค่อยเห็นนิมิตหรอก ถ้าเห็นก็เป็นมโนภาพ มโนภาพไม่ใช่ของจริงนิมิตไม่ใช่ของจริง ถ้าเห็นก็เห็นรูปเห็นนามเห็นกายเคลื่อนกายไหวตามธรรมดาแหละไม่ใช่ไปเป็นนิมิตที่เป็นมโนภาพวาดขึ้นมาอันนั้นก็เป็นนิมิตอยู่แล้ว นิมิตทางตา นิมิตทางกาย นิมิตทางจิต นิมิตทางรสทางลิ้นทางหู ไม่ต้องไปเสียเวลาเพราะการเจริญสติแบบนี้มันเป็นตรงเข้าไปๆ ต่อกายเรียกว่ากายานุปัสนาตรงเข้าไปอย่างนั้น แล้วเราก็เอากายมาสร้างสติจริงๆ เอากายมาสร้างก็เป็น “จิต” ทันทีเลย เห็นกายดูจิตเห็นคิดเห็นธรรมมันอยู่ด้วยกัน รู้สึกตัวก็เป็นจิตแล้ว รู้สึกตัวก็เป็นกายแล้ว จับอย่างเดียวรู้อย่างเดียวมาเป็นพวงๆ ทั้งกายทั้งจิตทั้งเวทนาทั้งอะไรต่างๆ มาหมดเข้าแถวกันเหมือนกับตลาดนัดสินค้าไปจุดเดียวที่เดียวมีอะไรหมดเราก็รู้เรื่องกายอย่างเดียว รู้สึกตัวๆ อย่างเดียว
การรู้สึกตัวอย่างเดียวมันก็เหมือนกับการแก้ไปทั้งหมดๆๆ เราก็เห็นไปทำนองนี้ ถ้ามันจะเกิดความง่วงขึ้นมาอย่างรุนแรงบางทีทำใหม่ๆ มันอาจจะง่ายที่จะง่วง อาจจะง่ายที่จะหลงอาจง่ายที่จะคิด ไม่เป็นไร ขอให้เรามีความเพียรแล้วมีศรัทธาเสริมเข้าไป มีความเพียรมีสติแล้วก็ปรับแผนต่างๆ ถ้ามันง่วงในอิริยาบถนั่งก็ลุกขึ้นเดินจงกรม หรือบางทีนั่งสร้างจังหวะให้ไวกว่าเก่าแรงกว่าเก่า ปรับใหม่ วาง..วางอิริยาบถไว้ นั่งนิ่งๆ ยืดตัวขึ้น วางใบหน้าวางใจ ถ้าจะมองทางตาก็มองยอดไม้มองท้องฟ้าทำความรู้สึกตัวมันไม่ใช่กลางคืนมันเป็นกลางวัน ทำความรู้สึกตัวทำในใจว่ากลางวันไม่ใช่เวลานอน กลางคืนจึงเป็นเวลานอนแล้วก็กลับมาสร้างจังหวะให้มันเริ่มต้นใหม่ อิริยาบถต่างๆ บางทีมันเก่าถ้าเริ่มต้นไปนานๆ มันก็พร่าได้ เราจึงมีแผนปรับใหม่ให้มันตั้งต้นใหม่อยู่เสมอ ถ้ามันไม่หาย ไม่หายง่วงก็ลุกขึ้นเดินจงกรมเอาความรู้สึกไปกำหนดที่ก้าวที่ขาให้รู้เป็นครั้งเหมือนกับการสร้างจังหวะ ความรู้สึกตัวที่สร้างจังหวะด้วยมือกับความรู้สึกตัวที่การเคลื่อนไหวของเท้าในการเดินอันเดียวกันไม่เสียหาย แล้วความรู้สึกตัวที่มันไปเห็นการเคลื่อนไหวของจิตที่มันคิดก็คือความรู้สึกตัวอันเดียวกัน ความรู้สึกตัวที่ไปเห็นการแสดงทางกายทางจิตมันก็คือความรู้สึกตัวอันเดียวกัน บางอย่างไม่ต้องไปสร้างมันขึ้นมาให้เรารู้ไม่เสียหาย มันหลงก็รู้เนี่ยไม่เสียหาย มันสงบก็รู้มันหน่ะ มันไม่สงบก็รู้มันหน่ะ มันรู้ก็รู้มัน มันไม่รู้ก็รู้มัน ตัวรู้หน่ะขี่คอ หรือถ้ามันโกรธก็รู้สึกตัวได้ เรียกว่าขี่คอความโกรธ ถ้ารู้สึกตัวมันขี่คอความโกรธ ความโกรธไปไม่ถึงไหนถ้าได้รู้สึกตัวอยู่บนคอกันแล้วไปไม่กี่ก้าวเพราะมันไม่จริง อะไรก็ตามให้มันมีความรู้สึกตัวๆ หน่ะ
ทำตรงนี้กันพวกเราเรียกว่านักภาวนานักกรรมฐาน เอาการกระทำบุกเบิกเอาความเพียรเอาสติเอาศรัทธา บางทีก็เอาศีลสำรวมมันก็สำรวมไปเอง เราเจริญสติตามันก็สำรวมไปเอง แม้เราลืมตาก็ไม่ได้ใช้เลยเวลามีสติเนี่ย แต่ใช้ในเวลาที่มันจำเป็นต้องใช้ เช่น เรานั่งอยู่งูเลื้อยมาก็ต้องรู้ต้องเห็นแน่นอนเรามีตาเราไม่ได้หลับตา แต่ก่อนที่นี่ก็มีเก้งมีกวางบางทีเรานั่งอยู่เก้งกวางก็มา หมูก็มางูก็มา เรานั่งสร้างจังหวะอยู่นิ่งๆ บางทีเขาก็สนใจนะสัตว์ป่าเขาก็สนใจ บางทีนกยังสนใจถ้านั่งอยู่ในป่าสนใจก็มาดูเรา กวางก็มาดูเราหมูป่าก็มาดูเรา ดูท่าทางกระรอกก็มาดูเรา กระรอกเนี่ยดูนานกว่าพวกเก้งพวกกวาง มางอย(เกาะ)คอนไม้ดู..ดู…เห็นเราไม่กระดุกกระดิก ก็เอ้อ..เคลื่อนไหวหาอยู่หากินมันก็สังเกตุว่าเอ้อไอ้นี่มันไม่เป็นพิษเป็นภัยนะ บางทีมันก็รู้จักเราด้วยบางทีพวกเก้งพวกกวางเนี่ยเขาก็ชอบนิสสัยเราเหมือนกันเขาก็ไม่ชอบนิสสัยของอีกบางคนเหมือนกัน กลางคืนเวลาเดินกลับกุฏิการฉายไฟนี่ต้องให้กวางให้เก้งมันชอบนิสสัยมันจะไม่เห่า ถ้าเราฉายไฟไม่เป็นมันจะเห่า มันด่าเราคล้ายๆ เป็นอย่างนั้นก็ต้องรู้จัก
งั้นการเจริญสติเนี่ยมันมีอะไรที่เกิดความชอบหลายอย่าง ตาก็สำรวมเอง หูก็สำรวมเอง จิตใจก็สำรวมไปเอง จมูกลิ้นก็สำรวมไปเองมันก็สำรวมไปเอง มีศีลไม่รู้สึกตัวมีสมาธิไม่รู้สึกตัว มีแล้วจึงเห็นเป็นแล้วจึงรู้ การเจริญสติเนี่ยมันครบวงจรไปเลย ทั้งรักษาศีลทั้งละความชั่วทั้งทำความดีทั้งทำจิตให้บริสุทธิ์ มันเป็นอย่างนั้นการปฏิบัติ ถ้าไม่ใช่จับโน่นจับนี่หรือเขาพูดว่าการภาวนาเหมือนกับจับปูใส่กระด้งมันไม่ใช่หรอกภาวนามันง่าย เพียงแต่รู้สึกตัวๆ อย่างเดียว อะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นขณะที่เราเริ่มต้นใหม่ๆ แม้มันง่ายที่จะหลงก็ไม่เป็นไรนั่นแหละมันดี บางคนไม่อยากให้มันคิด ไม่ใช่ ให้มันคิดลงไป๊ ตัวคิดนี่แหล๊ะจะทำให้เรามีประสบการณ์มีปัญญา มันต้องเห็นความคิดแล้วมันก็ต้องคิดด้วยให้มันแสดงให้เราถ้าจะเห็นมัน
ถ้าคิดนี่หน่ะมันดีมันมีประโยชน์ เราก็ได้ซ้อมความรู้สึกตัวกับความคิดเหมือนกับคู่ชกเหมือนกับนักกีฬาลงสนามถ้าเล่นคนเดียวไม่สนุกมันไม่เป็นนักกีฬา การเปลี่ยนอะไรที่มันเป็นความรู้สึกตัวมันได้เปลี่ยนหลายๆ อย่าง อย่างมันคิดขึ้นมาก็รู้สึกตัวอย่าไปห้ามคิด ไม่ผิด ว่าแต่รู้สึกตัวไม่มีอะไรผิดเลย ขณะที่เราปฏิบัติธรรมนะรู้สึกตัวๆ จนว่าเราชำนาญในการนี้แล้วมันก็เป็นชีวิตของเราในตัวไปเลย ชีวิตของเรามันต้องมีการเคลื่อนไหวมันก็ต้องอยู่กับเรา กายก็อยู่กับเราจิตใจก็อยู่กับเราความคิดก็อยู่กับเราความรู้ก็อยู่กับเราความหลงก็อยู่กับเรา มันก็ไปด้วยกันเราก็เปลี่ยนมันทุกที่ทุกทางไปมันจึงไม่ปฏิเสธอะไรเป็นการเจอหน้ากันกับทุกอย่างความรู้สึกตัวนะ จนบอกตัวเองว่ารู้แล้วๆๆ เห็นความหลงก็ไม่ต้องไปถามใคร คือความหลงแท้ๆ เห็นความทุกข์ก็ไม่ต้องไปถามใคร เห็นความโกรธเห็นกิเลสตัณหาราคะไม่ต้องไปถามใคร สัมผัสดูแล้ว มันไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม พอตัวรู้สึกตัวนี่ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ
วิธีปฏิบัติไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลยไม่ใช่ ไม่รู้อะไรเลยไม่ใช่ มันรู้อยู่ บางคนมาปฏิบัติมาประเมินตัวเอง หลวงพ่อเคย..อย่างคุณนกเนี่ยว่าตัวเองปฏิบัติแล้วไม่รู้อะไรเสียเวลา เอ๊า..ไม่รู้อะไร เรารู้อยู่แล้วจะว่าไม่รู้อะไร รู้สึกตัวๆ เนี่ยมันไม่ใช่ มันรู้อยู่แล้ว....มันหลงก็เปลี่ยนตัวหลงเป็นความรู้อยู่แล้ว มันเป็นปัจจัตตังมันเป็นมรรคเป็นผล ขณะที่ยกมือรู้สึกตัวอกรรมกำลังยกมืออยู่เนี่ยเป็นกรรมเป็นมรรค รู้สึกตัวมันก็เป็นผลแล้วอะไรก็ตามมันเป็นมรรคเป็นผล แต่มรรคผลน้อยๆ สร้างความรู้ได้สำเร็จชีวิตของเรา เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ได้สำเร็จทุกคนไม่ยกเว้น
นี่คือพระพุทธเจ้าสอนในสิ่งที่คนอื่นทำได้ ปฏิบัติได้ให้ผลได้ทุกคน คำสอนของพระพุทธเจ้ามีผู้รู้ตามจนได้ชื่อว่าสัมมาสัมพุทโธ สอนคนอื่นรู้ตามได้ เราก็จะรักพระพุทธเจ้าโอ…สัมผัสกับความรู้สึกตัวว่าโอ...พุทธะคือตัวรู้ตัวตื่นอย่างนั้น รู้สึกตัวๆๆๆ ดื่มด่ำไปกับความรู้สึกตัวแล้ว อย่างวันสองวันสามวันนี้ให้ทำไปอย่างนี้ แล้วมันก็มีสูตรเหมือนที่หลวงพ่อพูดให้ฟังเหมือนทางเหมือนบอกไปเอง ทางมันก็บอกว่านี่คือทาง เหมือนคนตาบอดเดินทางเขาก็สัมผัสกับทางเขาก็รู้ไปเองเขาก็ชำนาญไปเอง การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกันมันเป็นทาง เราได้รู้สึกตัว ร่องรอยแห่งความรู้สึกตัวอยู่ในกาย ร่องรอยความรู้สึกตัวอยู่ในจิต มันมีรอย มันมีร่องมีรอยอยู่ไม่ลบไม่เลือนเลย ปฏิเสธตัวนี้ไม่ได้ชีวิตเรา ถ้าเรามีรอยความหลงความหลงก็จะเป็นรอยอยู่ในชีวิตเราตลอดจนตาย ถ้าเรารู้รสึกตัวความรู้สึกตัวจะมีรอยอยู่กับชีวิตเรามันก็เป็นทางพบทาง เป็นผู้ไม่จนในทางออก มันหลงก็รู้มันโกรธก็รู้มันสุขก็รู้มันทุกข์ก็รู้ เรียกว่าพบทาง หลุดได้ทุกสถานการณ์
ชีวิตมาตรฐานแม่นยำชัดเจนมั่นใจทำอะไรมั่นใจตัวเอง จะประกอบการงานอาชีพก็มั่นใจมั่นใจในการกระทำเพราะไม่พร่า ชีวิตไม่พร่า ครึ่งรู้ครึ่งหลงมันเหมาะแก่การแก่งาน เหมาะแก่ความเป็นพ่อเป็นแม่ความเป็นผู้นำความเป็นครูความเป็นลูกศิษย์ เป็นผู้ใหญ่ก็เป็นได้เป็นผู้น้อยก็เป็นได้ไม่เสียหาย นี่วิธีที่เราปฏิบัติเราฝึกเอาไว้อย่าเพิ่งประเมินว่าโอ้อยู่มาแล้วห้าวันหกวันเจ็ดวันไม่รู้อะไรอย่าเพิ่งไปคิดแบบนั้น ตัวรู้ตัวนี้มันก้าวไปเรื่อยๆ ก้าวไปเรื่อยๆ บางคนไปเลี้ยงหมูอาจจะนอกรูปแบบอาจจะไม่อยู่ในอิริยาบถการนั่งสร้างจังหวะหรือเดินจงกรม การบรรลุธรรมนี่อาจจะนอกรูปแบบก็ได้ บางคนไปเก็บฝ้ายในไร่ บางคนไปเลี้ยงหมู บางคนอาบน้ำ..ยังมีคนจดหมายมาหาหลวงพ่ออาบน้ำอยู่เขาเกิดชีวิตเปลี่ยนแปลงไปขณะที่เขาถูสบู่รู้สึกตัวมันคิดขึ้นมาแปล๊บ!ไปจ๊ะเอ๋กับความคิดขณะที่อาบน้ำ เขาก็เห็นความคิดชัดเจนจนร้องโอ้โห! เขาเขียนจดหมายมาหาหลวงพ่อ
บางคนก็ไปเข้าใจไปเห็นไปพบเห็นสิ่งที่จังๆ จับได้คาหนังคาเขา จับได้ไล่ทันความจริงเป็นความจริง ความไม่จริงก็เป็นความไม่จริง มันพิพากษาตุลาการเอาความเป็นธรรมเอาความยุติธรรมออกมาให้ได้จำนนต่อหลักฐาน ความหลงก็จำนนเหมือนกัน ถึงคราวที่มันเจริญในทางความรู้สึกตัวความหลงก็จำนนโดยปริยาย นี่คือการปฏิบัติธรรม ที่เรากำลังทำอยู่มันเป็นสูตรไม่ต้องไปใช้สมองไม่ต้องไปใช้เหตุใช้ผล ว่าแต่เราให้การกระทำไป๊ใจดีๆ ทำไปสบายๆ อย่าไปอยากรู้อยากเห็นอย่าไปรีดแรงงานตัวเอง อมยิ้มเอาไว้ อมยิ้มในใจไว้รเสมอไม่เป็นไร รู้ก็ไม่เป็นไร ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้มีอะไร เราทำซื่อๆ มีความรู้สึกตัว เห็นความรู้ก็เหมือนเก่า เห็นความหลงก็เหมือนเก่า มันหลงก็เหมือนเก่า มันรู้ก็เหมือนเก่าเพราะตัวรู้จริงๆ มันจะเป็นปกติ ถ้ามันรู้เอ้อดีใจอย่างนี้ดีๆ ถ้ามันหลงโอ๊ยไม่ดีๆ.. ไม่ใช่นะ ความรู้สึกตัวไม่ใช่เป็นลักษณะแบบนั้น
ความรู้สึกตัวก็เห็นแล้วๆ ถ้าจะเป็นคำพูดก็อะไรที่มันเกิดขึ้นที่ไม่ใช่ความรู้ก็ไม่เป็นไร รู้แล้วอาจจะยิ้มด้วย เห็นความทุกข์เนี่ยแต่ก่อนหน้าบูดหน้าบึ้งพอมีความรู้สึกตัวจริงๆ เห็นความทุกข์นี่มันจะยิ้มน้อยๆ นะ ยิ้มน้อยๆ หัวเราะความทุกข์หัวเราะความคิดตัวเอง เป็นอย่างนั้นจริงๆ ความรู้สึกตัวไม่ใช่มาหน้าบูดหน้าบึ้งให้ใครเห็น หัวเราะความทุกข์หัวเราะความคิด แทบจะด่าตัวเองว่าไอ้บ้าเอ๊ย! เขาว่าเท่านี้ก็ทุกข์แล้วหรือนี่ เขาว่าแค่นี้ก็โกรธแล้วหรือนี่ จะเป็นพ่อคนแม่คนได้ยังไง จะเป็นครูอาจารย์เขาได้ยังไง จะเป็นคนที่ช่วยคนอื่นได้ยังไง แค่นี้ก็โกรธแล้วหรือนี่โอ้!บ้าเอ๊ย! ก็ว่าตัวเองๆ เลยมันสนุกดี มันเห็นมันมีชั้นเชิงไม่ใช่จะล้มละลายไปทั้งหมด การปฏิบัติธรรมมันเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมามันมองมันเห็น มันมีชัยภูมิที่มองเห็นได้ชัด ถ้าเห็นแล้วก็หลุดพ้น ถ้าได้หัวเราะความโกรธก็พ้นความโกรธ หัวเราะความทุกข์ก็พ้นจากความทุกข์ หัวเราะความหลงก็พ้นจากความหลง เพราะมันเห็นมีแต่การ “เห็น” ในธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่รู้ ถ้าเป็นรู้ก็รู้เห็น พบเห็น ไม่ใช่คิดเห็น พบเห็นรู้เห็น เห็นกับหูกับตา ทั้งรู้ทั้งเห็น เห็นความไม่เที่ยงรู้แล้วว่ามันความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ก็รู้แล้วมันเป็นความเป็นทุกข์ เห็นความไม่ใช่ตัวตนก็รู้แล้วว่ามันเป็นความไม่ใช่ตัวตน เห็นทั้งรู้ทั้งเห็น เวลามันไม่เที่ยงก็มีจริงๆ ก็รู้แล้วในตอนนั้นจริงๆ ไม่ต้องมีคำถาม ราบรื่นแล้ว
เราก็พูดเมื่อเช้าแล้ว คาถาพระอรหันต์มันราบรื่นจริงๆ นะ ชีวิตราบรื่นเห็นความไม่เที่ยงเห็นความเป็นทุกข์เห็นความไม่ใช่ตัวตนเห็นความไม่เที่ยงนั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด เห็นความเป็นทุกข์ก็เป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด เห็นความไม่ใช่ตัวตนก็เป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด ราบรื่น เรียบๆ ชีวิตไม่มีคลื่น ชีวิตเดินอยู่บนทางเรียบๆ สติมันเป็นอย่างนั้น เคยเปรียบเทียบให้ฟังมากมายว่าสติเหมือนใบมีดของรถแทร็คเตอร์ ใบมีดมันผ่านไปตรงไหนที่นั่นก็เรียบไป สติเหมือนไม้กวาด ไม้กวาดผ่านไปตรงไหนที่นั่นก็สะอาดน่านั่งน่านอน ก่อนพูดก่อนทำก่อนคิดมันมีสติมันรู้สึกตัวๆ แล้ว ให้เราฝึกเอาไว้ๆ ถ้ามันมีมากจนเป็นมหารู้นั่นหล่ะมันจะเกิดอะไรตอนนั้นไม่ต้องไปพูดพูดไม่ได้มันเป็นปัจจัตตังแล้วแต่การกระทำของเราๆ เอ้า…วันนี้ก็สมควรแก่เวลา