แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ขออำนวยอวยพรท่านนายกสภามหาวิทยาลัยศรีประทุม พร้อมด้วยกรรมการสภา และคณะผู้บริหาร มีท่านอธิการบดีเป็นผู้นำ กับทั้งท่านที่ปรึกษาของมหาวิทยาลัย ตลอดจนคณาจารย์พร้อมทั้งญาติโยมสาธุชนทุกท่าน เบื้องแรกก็ต้องขอขอบพระคุณพระเถรานุเถระทุกท่าน โดยเฉพาะจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ที่ได้เมตตาไมตรีธรรม มาร่วมในกิจกรรมครั้งนี้ ทางมหาวิทยาลัยศรีปทุมนำปริญญาบัตรมาถวายนี้ นับว่าเป็นน้ำใจอย่างสูงของท่าน ท่านได้ให้เกียรติหรือแง่หนึ่งคือให้ความสำคัญแก่อาตมาภาพ ถ้ามองในแง่ของอาตมาภาพเอง นอกจากอนุโมทนาในน้ำใจของท่านเป็นอย่างยิ่งแล้ว ก็รู้สึกเกรงใจเป็นที่สุด เหตุที่เกรงใจก็เพราะว่า ท่านอาจารย์เริ่มตั้งแต่ท่านนายกสภาฯ เป็นต้นมา ก็เป็นท่านอาจารย์ผู้ใหญ่ มีภารกิจมาก ท่านก็กรุณาสละเวลามา แล้วก็รวมทั้งได้เตรียมการต่างๆ เพื่อให้ได้มีพิธีในวันนี้ แต่ว่าเมื่อมองในแง่หนึ่งนึกถึงว่าการที่มีกิจกรรมอย่างนี้ขึ้นก็เป็นเรื่องการคำนึงถึงประโยชน์สุขของสังคมส่วนรวม หรือความเจริญของประเทศชาติ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา เมื่อมองอย่างนี้ก็ค่อยเบาใจ คือมองในแง่ว่าก็เป็นการทำกิจกรรมที่เรามาร่วมมือกัน อย่างน้อยก็เป็นการบอกว่านี่ปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของสถาบันอุดมศึกษาในการที่จะสร้างเสริมความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการพัฒนาปัญญาของสังคมไทยเรานี้ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติต่อไป เท่ากับเป็นสัญญานมาบอกว่าให้เราสามัคคีกัน ร่วมมือกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ เวลานี้ก็ยิ่งเห็นชัดว่าตอนนี้สังคมกำลังต้องการความร่วมมือกันในการที่จะแก้ปัญหา และในการสร้างสรรค์ต่างๆ มีเสียงบ่น พูดกันมากเหลือเกิน แค่มองอ่านสื่อมวลชนแต่ละวันๆ ก็ชัดว่าเวลานี้เห็นกันว่าสังคมของเรานี้มีความเสื่อมโทรมหรือตกต่ำเป็นอย่างมาก มองออกไปกว้างทั่วโลก สถานการณ์ก็ไม่น่าไว้วางใจ ยังไม่รู้ว่าจะเกิดสงครามใหญ่ ความขัดแย้งที่ทำให้เกิดความสูญเสียมากมายขึ้นเมื่อใด อันนี้เป็นปัญหาร่วมกันซึ่งมีผลกระทบต่อทุกคน แล้วก็เป็นเรื่องที่มีผลระยะยาว มีความหมายต่อเรื่องอารยธรรมของมนุษย์ เหมือนกับในแง่หนึ่งก็เป็นเครื่องตรวจสอบไปด้วยว่าอารยธรรมของเราที่สร้างกันขึ้นมานี้ มันนำมาซึ่งสันติสุขแท้จริงหรือเปล่า หรือแม้กระทั่งว่าเป็นอารยธรรมจริงหรือไม่ อาจจะต้องถึงกับไปตรวจสอบความหมายของคำว่าอารยธรรมกันอีก ว่าอารยธรรมที่แท้นั้นคืออะไร เพราะแม้แต่คำไทยกับคำภาษาอังกฤษก็ไม่ตรงกันแล้ว อารยธรรม ธรรมของอารยชน ก็เป็นธรรมเป็นคุณสมบัติเป็นต้นของผู้ที่เจริญ ถ้าใช้ศัพท์ทางพุทธศาสนาแท้ๆ อารยะ ก็คือ อริยะ ก็คือผู้ไกลจากกิเลส ฉะนั้นอารยธรรมก็คือธรรมะของผู้ไกลจากกิเลส เรามาดูอารยธรรมปัจจุบันนี้ก็ทำให้ตั้งข้อสงสัยเป็นคุณสมบัติ เป็นกิจกรรม เป็นการกระทำต่างๆ ของผู้ที่ไกลจากกิเลสหรือไม่ หรือว่าถ้าจะเอาตามความหมายอย่างฝรั่งก็อาจจะเป็นเรื่องของคนเมืองไป ก็แล้วแต่ลองมาดูกัน แต่รวมแล้วก็ไม่ต้องมาดูความหมายที่ตัวอักษร ก็คือความหมายโดยสาระหรือโดยอรรถะนี้ แน่นอนว่าการที่มนุษย์สร้างสรรค์ความเจริญที่เรียกว่าอารยธรรมขึ้นมา ก็เพื่อความอยู่ดีมีสุขของมนุษย์ทั้งหลาย แต่ว่าอยู่กันไปอย่างนี้ อยู่ดีมีสุขหรือยัง เราก็อาจจะใช้คำต่างๆ เช่นคำว่า สันติภาพ สันติสุข เป็นต้น เสร็จแล้วเราก็บอกว่าเวลานี้ก็ไม่ถึงสักที เป็นปัญหากันอยู่เรื่อย ก็เท่ากับบอกว่า อารยธรรมนั้นยังไม่บรรลุผลสำเร็จเท่าที่ควรจะเป็น อันนี้ว่าถึงสังคมในวงแคบเข้ามาของเรา ก็คือสังคมไทย ก็เป็นส่วนร่วมหนึ่งในโลกนี้ ที่ควรจะได้ไปทำหน้าที่ของตนในการสร้างสรรค์อารยธรรม ในความหมายที่แท้จริงเพื่อจะให้มนุษย์อยู่ดีมีสุข ก็ต้องถามว่าสังคมไทยของเรานี้ได้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์อย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าไม่มีส่วนร่วมก็เป็นเพียงว่า อาจจะเป็นเพียงผู้คอยรับผล คอยรับผลก็ไม่ได้ทำอะไร ถ้าไม่ได้มีสติสัมปชัญญะ อาจจะไปถึงกับว่าถ้ากระแสไม่ดี ก็พลอยไปร่วมทำลายกับเขา ความจริงสังคมแต่ละสังคม แม้แต่บุคคลแต่ละคนนี้ก็ควรจะมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์อารยธรรม เราก็คงจะต้องมาถามว่าสังคมของเราได้ทำหน้าที่นี้บ้างหรือเปล่า โดยเฉพาะการที่จะทำหน้าที่นี้ได้ ก็แน่นอนว่าหน้าที่พื้นฐานก็อยู่ที่การศึกษานั่นเอง เพราะการศึกษานั้นเราบอกว่าสร้างคนสร้างมนุษย์ สร้างเสริมให้มีคุณภาพ ทำให้เป็นคนที่พร้อมที่จะมาร่วมกันสร้างสรรค์สังคมให้อยู่ดีมีสันติสุข อย่างน้อยก็ให้ชีวิตของตัวเองเป็นชีวิตที่ดีงามมีความสุข ทีนี้การศึกษามีหน้าที่อย่างนี้ เป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ พอสร้างคนคนก็ไปทำอย่างอื่นๆ เรื่องการสร้างนี้เราก็เห็นชัด อย่างวิศวกรหรือสถาปนิก สถาปนิกออกแบบอาคาร กุฏิ วิหาร แม้แต่สะพาน วิศวกรมาคำนวณเป็นต้น เสร็จแล้ว สถาปนิกก็ดี วิศวกรก็ดี นำหน้าที่ไม่มีความจริงก็ตาม หรือเจตนาไม่ประกอบด้วยความตั้งใจที่มีสติสัมปชัญญะรอบคอบเป็นต้น ทำไปแล้วปรากฏว่าสะพานนั้นอาจจะหัก หรือว่าอาคารสิงก่อสร้างบ้านเรือนก็อาจจะพังทลาย แล้วก็เป็นภัยอันตราย อันนี้เป็นสิ่งที่มองเห็นกันอยู่ การก่อสร้างวัตถุเห็นง่าย แต่การก่อสร้างในทางนามธรรมซึ่งเป็นหน้าที่ของการศึกษานี้ มองไม่ค่อยเห็น แต่ที่จริงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ถ้าเรามองว่าการสร้างวัตถุ อย่างการสร้างอาคารนี้ เป็นเรื่องใหญ่ ต้องมีความระมัดระวังรอบคอบ มิอย่างนั้นจะเกิดภัยอันตรายมากมายมหาศาล ทีนี้เมื่อเป็นการสร้างคนสร้างมนุษย์ก็ยิ่งสำคัญมากมาย เพราะฉะนั้นผู้ที่อยู่ในวงการศึกษานี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง กำลังทำหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ เราจึงพูดกันต่างๆ เช่นสร้างอนาคตของเด็กและเยาวชน สร้างคน ที่จริงก็สร้างทั้งสังคม สร้างทั้งโลก นั่นแหละ แล้วก็สร้างอารยธรรม การศึกษานี้เป็นส่วนสำคัญที่สุดในการสร้างอารยธรรม ฉะนั้นทำยังไงที่จะให้การศึกษาทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดี ก็เลยต้องตระหนักกันว่าผู้ที่สร้างคนนี้ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะแม้แต่วิศวกรที่ไปทำหน้าที่ในการก่อสร้างบ้านเรือน สถาปนิกอะไรต่างๆ เหล่านั้น ก็สร้างจากการศึกษาอีกทีหนึ่ง การศึกษาสร้างสถาปนิก สร้างวิศวกร ที่ดี มีคุณภาพ มีสติปัญญา มีเจตจำนง มีคุณธรรมความดีงาม แล้วท่านเหล่านี้ก็ไปช่วยกัน ไปสร้างสรรค์ ทำหน้าที่ของตัวเอง สร้างวัตถุต่างๆ ทำให้เกิดความเจริญงอกงาม ฉะนั้นการศึกษาก็จะกลายเป็นฐานของทั้งหมดเลย เมื่อการศึกษามีความสำคัญอย่างนี้ เราก็ต้องมาวางฐานของสังคมด้วยการศึกษา มาสร้างคน มาสร้างสังคมกันด้วยการศึกษาให้ดีที่สุด ทีนี้เวลานี้สังคมไทยของเรานี้มองดูไป เราอยู่ในภาวะอย่างไร ถ้ามองดูที่มันมีปัญหาต่างๆ มากมายอย่างนี้ ดูกว้างๆ แล้วเหมือนสังคมของเราอยู่ในกระแสอันหนึ่งของโลก หรือจะเรียกว่ากระแสอารยธรรมปัจจุบันก็ได้ กระแสนี้ไหลไปๆ แต่ว่ามันมีแหล่งที่ไหลมาอยู่เหมือนกัน ไทยเรานี่ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายที่รับกระแส แล้วพอกระแสมาแล้ว สังคมไทยเรานี้ก็ปรากฏว่าเป็นสังคมที่จะไหลไปตามกระแส หรือถูกกระแสพัดพา ถ้าไหลไปตามกระแสก็อาจจะเป็นด้วยตัวเองเนี่ยไปนิยมชมชอบตามไป ถ้าถูกพัดพาก็หมายความว่าถูกครอบงำ ไม่มีกำลัง ไม่มีความสามารถ แต่ทั้งสองอย่างนั้นก็คือ การขาดอิสรภาพ ไม่มีความเป็นอิสระ ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่ว่าในท่ามกลางอย่างนี้ที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่ไหลไปตามกระแสแล้วก็ถูกกระแสพัดพาไป ก็คือกลายเป็นว่าเราไม่ได้มีส่วนร่วมในการที่จะปฏิบัติต่อกระแส สร้างกระแส หันเบนกระแส ปรับปรุงแก้ไขกระแส เราไม่ได้ทำหรือไง เราได้แค่ไปตาม หรือถูกพัดพา ถ้าอย่างนี้ก็เหมือนกับฟ้องว่าสังคมเรานี้ไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์อารยธรรมเลย ถ้ากระแสมันผิดมันไม่ดี เราก็ไปตามนี้ เราก็ถูกพัดพา เราก็อาจจะไปลงเหวกับเขาด้วย ก็คือเสื่อมโทรมนั่นเอง อันนี้ข้อสำคัญที่จะเป็นอย่างนี้ นอกจากว่าไม่เป็นผู้สร้างสรรค์มีส่วนร่วมแล้ว ก็คือว่า ไม่รู้ด้วย ไม่รู้ว่ากระแสนี้เป็นอย่างไร มาจากไหน มันมีคุณมีโทษอย่างไร สักแต่ว่าชื่นชอบบ้าง หรือว่าถูกเขาครอบงำบ้าง ก็ไปเรื่อยไป ทีนี้ตัวสำคัญก็คือความรู้ เบื้องแรกที่จะแก้ไขปัญหาได้ ทำตัวให้ขึ้นมามีความสามารถในการสร้างสรรค์ ต้องรู้จักกระแสนี้ก่อน เรารู้ไหมว่ากระแสที่พัดมาถึงเรานี้แล้วเราไปด้วย อะไรเนี่ย มันคืออะไร มันเป็นยังไง มันมายังไง มันไปยังไง ต้นตอมันอยู่ที่ไหน มีองค์ประกอบอย่างไรบ้าง อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องรู้ ปัญญาเป็นตัวสำคัญที่จะทำให้เกิดอิสรภาพ ถ้าไม่มีปัญญา มันก็หมดอิสรภาพ ปัญญาความรู้ความเข้าใจจึงเป็นเรื่องใหญ่ เวลานี้สังคมของเรานี้ ถ้าดูไปดูไปในที่สุดแล้ว ตัวเหตุปัจจัย ตัวสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถยืนหยัดขึ้นมาเป็นผู้ร่วมสร้างสรรค์เป็นต้น หรือว่าจะถูกครอบงำอะไรก็แล้วแต่ ไปตามทั้งหมดเนี่ย ตัวสำคัญมันอยู่ที่ปัญญา มันจะขาดความเข้มแข็งทางปัญญาด้วย เมื่อขาดความเข้มแข็งทางปัญญา ก็ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง เมื่อไม่มีความมั่นใจ ก็เลยขาดความเข้มแข็งทางใจ ความเข้มแข็งทางจิตใจก็ไม่มี เมื่อขาดความเข้มแข็งทางจิตใจ พฤติกรรมที่ออกมามันก็ไม่มีจุดหมายชัดเจน ก็สักแต่ว่าไปตามกระแสค่านิยมเป็นต้น พฤติกรรมก็ไม่เข้มแข็ง ก็เลยอ่อนแอไปหมด เพราะฉะนั้นจะต้องมาช่วยกันในการพัฒนาปัญญา ทำสังคมไทยให้มีปัญญาที่เข้มแข็ง ซึ่งไปๆ มาๆ ก็คือหน้าที่ของการศึกษานั่นเอง ปัญญาเป็นเรื่องของการรู้เข้าใจที่ชัดเจน ปัญหาของสังคมไทยเราต้องการความรู้ เราก็บอกว่ามีความรู้ เราก็สร้างปัญญากัน แต่ว่าอันหนึ่งที่น่าสังเกตคือ รู้ไม่ชัด อะไรๆ เต็มไปด้วยความไม่ชัด รู้ไม่ชัด อะไรมายังไงก็ไม่ชัด แม้แต่เราไม่ชื่นชมนิยมอะไรก็ไม่ชัด อย่างที่เดี๋ยวนี้ไปชอบนิยมอเมริกาอย่างนี้ นิยมอเมริกาก็ไม่รู้จักอเมริกาชัด มีคนพูดกันว่า ไปนิยมอเมริกา ทำตามเขา ฉาบฉวย ผิวเผิน ที่ว่าฉาบฉวย ผิวเผิน นั้นก็คือพูดอีกภาษาหนึ่งก็คือ ไปเอาแค่เปลือก ฉาบฉวย ผิวเผิน ก็คือเปลือก แล้วพอดูจริงๆ แม้แต่เปลือกของเขาก็ดูไม่ทั่ว เห็นเปลือกเขาไม่ทั่ว เห็นเปลือกไม่ครบถ้วน ไม่ทั่วตลอด ไม่รอบด้าน เพราะฉะนั้นแม้แต่เปลือกก็ยังรู้จักเขาไม่จริงเลย ไปเห็นเปลือกบางส่วนแล้วก็ว่าไปอย่างนั้นเอง ทีนี้ถ้าเราจะรู้ให้ชัดต้องไม่รู้แค่เปลือก รู้เปลือกพร้อมแล้วต้องรู้เนื้อในด้วย พอเนื้อในลงไปตอนนี้ก็ลงไปถึงแก่นถึงแกน ลงไปถึงรากถึงฐาน ถึงเหตุปัจจัยที่สร้างสรรค์สังคมของเขามา สังคมอเมริกานี้ มีรากฐาน มีความเป็นมา มีภูมิหลัง มีเหตุปัจจัยอย่างไร อันนี้พอถามกันขึ้นมาเราก็ไม่ค่อยจะรู้ ว่าไปถึงเหตุปัจจัย ภูมิหลัง รากฐาน มันก็มีหลายด้าน เช่นในด้านพลัง กำลังด้านต่างๆ กำลังทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางการเมือง เป็นยังไง แล้วก็ลงไปถึงเรื่องของสภาพจิตใจ ความต้องการ ความต้องการของสังคมอเมริกันเป็นยังไง ลงไปจนกระทั่งถึงแนวคิด ความเชื่อ สังคมอเมริกันนี้เจริญขึ้นมาด้วยมีฐานทางความคิด มีแนวคิดความเชื่ออย่างไร อันนี้ก็เป็นตัวกำกับ เป็นตัวกำหนดสังคมของเขา ซึ่งถ้าเราจะนิยมตามเขา ก็ต้องรู้เข้าใจเขา แล้วถ้าเขาผิด เราก็จะต้องแก้ไข ถ้าแก้ไขเขาไม่ได้ก็ตาม ก็แก้ไขตัวเรานั่นแหละ ถ้าแก้ไขได้ก็คือเป็นปัญหาร่วมกันของทั้งโลก ก็จะต้องไปพยายามแก้ไขให้ได้ ปัญหาเรื่องความรู้ชัดนี้ เป็นเรื่องใหญ่มาก คิดว่าน่าจะต้องย้ำกันในสังคมไทย เพราะว่าเรานิยมเอาความรู้ๆ แต่ว่าไม่ชัดสักเรื่องหนึ่ง การหาความรู้ให้ชัด ให้ถ่องแท้นี่เป็นเรื่องสำคัญ ถ้ารู้ไม่ชัดแล้ว มันไม่ชัดไปหมด พอรู้ไม่ชัด ก็คิดไม่ชัด เราบอกต้องคิกให้ชัด แต่คิดให้ชัดต้องรู้ชัด รู้ชัดก็มีทางคิดชัด คิดให้ชัดเสร็จแล้วก็มาพูดให้ชัด พูดให้ชัดก็แสดงความเห็นเป็นต้น หรือสื่อสารอธิบายกันให้คนอื่นเข้าใจได้ชัดเจน ให้เห็นถ่องแท้กันไปเลย ต่อไปก็ทำชัดอีก ทำชัดก็เป็นผลมาจากต้องมีอื่นชัดทั้งหมดแหละ ต้องรู้ชัด แล้วก็คิดชัด มันจึงจะทำชัดได้ แล้วทำชัดแล้ว นอกจากว่ามีฐานมาทั้งหมด ชัดๆๆๆ มาแล้ว ก็ต้องชัดในหลักการด้วย ชัดในจุดหมายด้วยว่าจะไปไหน ไปเอาอะไร จุดหมายจะได้แน่วแน่ จะได้มุ่งมั่นมุงหน้าไป สังคมไทยนี่มีลักษณะที่มีข้อปัญหาสำคัญอันหนึ่งคือ ไม่มีจุดหมายร่วมกันของสังคม ทำให้กระจัดกระจายกันไปหมด เลยกลายเป็นแต่ละคนนี้เอาแต่ตัว อย่างนี้ในเมื่อสังคมของเราไม่มีความชัดเจนในตัวเอง มันก็เลยหาจุดหมายไม่ได้ ตอนนี้หลักการก็ต้องชัด จุดหมายที่จะไปก็ต้องชัด พอได้จุดหมายชัด ก็มีวิธีการที่ชัดอีกที วิธีการที่ชัดเจน ก็นำไปสู่จุดหมายนั้น นี่ก็เป็นปัญหาของสังคมไทย ก็รวมในเรื่องชัด ในทางพระที่จริงคำว่าชัดนี่เป็นความหมายของปัญญา เพราะปัญญานั้นแปลว่ารู้ทั่วชัด ถ้าไม่รู้ทั่วชัดก็ไม่รู้ว่าจะเป็นปัญญาได้อย่างไร มันชัดเจนขึ้นมาเพราะว่าตัวอื่นมันก็รู้ ทางพระท่านบอกว่าวิญญาณมันก็รู้ แต่มันไม่ชัดอย่างปัญญา เพราะว่าเรารับรู้อะไรต่างๆ เราเห็น เราได้ยิน วิญญาณเกิดทันที แต่มันยังไม่เป็นปัญญา เป็นปัญญาต่อเมื่อรู้เข้าใจมันชัดเจน ชัดไปหลายๆ ขั้น ชัดว่ามันแยกแยะวิเคราะห์องค์ประกอบอะไรยังไง ชัดในเหตุปัจจัย มันสืบสาวกันมาเป็นอย่างไร เพราะอะไรจึงเป็นอย่างนี้ มันมีคุณมีโทษอย่างไร เป็นต้น ให้มันชัดๆๆๆ หมดเลย ถ้ามันชัดทุกส่วน ปัญญาก็พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สังคมไทยตอนนี้กำลังขาดความชัด ฉะนั้นจะให้มารู้ชัด ปัญญา แล้วต่อไปจะได้คิดชัด พูดชัด ทำชัด แล้วอะไรต่ออะไรมันจะเดินหน้าไปด้วยดี เข้มแข็ง คนที่มีอะไรชัดเจนนี่มั่นใจ และเข้มแข็งแน่นอน เราทำอะไรมันชัดเจนเราก็มั่นใจ มันก็เดินหน้าไปได้ อย่างกระแสของโลกเวลานี้เราไปตามบางทีเราก็เรื่อยเปื่อยอย่างที่ว่า มันก็ไม่ชัดในกระแส แล้วก็ไม่รู้กระแสเขาด้วยซ้ำ กระแสที่มีในโลกปัจจุบัน ที่เราไปเกี่ยวข้องก็มีกระแสหลายอย่าง เช่นกระแสความคิด อย่างกระแสความคิดที่เป็นมาในช่วงเวลานี้ ก็กำลังมามีกระแสว่า เลิกเถอะนะความคิดแยกส่วน มาเป็นแนวคิดองค์รวม บอกว่าต้องมาองค์รวมแล้ว เป็น holism หรือ holistic view พอมา holistic view อะไรต่างๆ นี่ ก็น่าสังเกตอีกแหละ ก็คงจะต้องคอยๆ ติงๆ กัน ว่าจะเป็นอะไรก็ตามนี่ต้องให้ชัด เพราะว่าองค์รวมนี่มันเป็นการที่ว่า เรากำลังจะผละความคิดแยกส่วน ในความคิดแยกส่วนมันมีอันสำคัญอันหนึ่งก็คือการวิเคราะห์ ทีนี้การวิเคราะห์เป็นการแยกแยะจำแนกออกไปให้เห็นชัด ซึ่งในแง่หนึ่งมันเข้าทีอยู่ เพราะว่าวิเคราะห์นี่มันแยกแยะทำให้เห็นชัด มันก็เป็นเรื่องของปัญญา ฉะนั้นอย่าไปเลิกมัน บางทีเราจะไปสุดโต่ง กระแสของโลกก็มีความนิยมอย่างหนึ่ง ชอบไปสุดโต่ง ฝรั่งนี่ก็เถอะ ชอบไปสุดโต่ง ไปสุดทางโน้นแล้วก็ไปสุดทางนี้ พอสุดทางโน้นก็ผละ ไม่เอาแล้ว ไปอีกทางหนึ่ง ทีนี้พอกระแสแยกส่วนมา บอกที่แล้วมาวิทยาศาสตร์เป็นตัวทำให้มนุษย์เราไปในอารยธรรมความคิดแยกส่วน ที่ไม่ถูก ก็จะต้องมาองค์รวม ทีนี้องค์รวมๆ บางทีก็ไม่ชัด เป็นองค์รวมพร่าๆ มัวๆ ยิ่งร้ายใหญ่เลย องค์รวมนี่ที่จริงมันอันเดียวกับวิเคราะห์และแยกแยะ ในทางพุทธศาสนานั้นให้ความสำคัญกับเรื่องวิเคราะห์ ท่านเรียกว่า วิภัชชะ พุทธศาสนาเรียกชื่อหนึ่งว่า วิภัชชวาท เลย แปลว่าหลักการแห่งการจำแนกแยกแยะ วิภัชชวาท เป็นชื่อของพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง อย่างสมัยสังคายนาครั้งที่ 3 จะสอบพระ ก็ใช้หลักนี้เลยว่า พระพุทธเจ้านี่เรียกว่า วิภัชชวาที พระองค์ไหนไม่รู้นี่จับศึกเลย ฉะนั้นหลักการวิเคราะห์เป็นเรื่องสำคัญ อย่าไปดูถูก เดี๋ยวจะบอกว่าไม่ได้ความแล้ว เลิกแล้วความคิดแยกส่วน เพียงแต่ว่าแยกให้มันถูก แยกให้มันชัด วิเคราะห์ให้มันชัดๆๆๆ ไป แต่อย่าไปอยู่กับชัดเดียว ไปอยู่กับชัดเดียวหมายความว่าแยกแยะกระจายไปแล้วฉันก็อยู่กับเรื่องของฉันอันเดียวนี่แหละ ไม่เอาอันไหนแล้ว ทีนี้มันก็เลยทำให้ยุ่ง วิเคราะห์ของท่านนี่สำคัญท่านไม่ลืม อะไรที่ทำให้ไม่ลืม ทำให้องค์รวมไม่หาย ก็คือความสัมพันธ์ เวลาวิเคราะห์ออกไปนี่จะต้องมองความสัมพันธ์ไปตลอดเวลา พอวิเคราะห์อันนี้แยกออกไปปั๊บ ก็มองเลยว่าอันนี้มันสัมพันธ์กับอันโน้น ที่อยู่รอบตัวมันยังไง ถ้าอย่างนี้แล้ว การวิเคราะห์หรือแยกแยะจำแนกแยกส่วนนี้ไม่เสีย เพราะว่าแยกไปก็ยิ่งเห็นความสัมพันธ์ ยิ่งเห็นความสัมพันธ์มันก็เห็นองค์รวม องค์รวมไม่หายเลย ถ้าเราแยกแบบให้เห็นความสำคัญ เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาจึงเน้นเรื่องความสัมพันธ์ หลักความสำคัญอย่างคัมภีร์ในพระธรรม คัมภีร์สุดท้ายที่เรียกว่า ปัฏฐาน มี 6 เล่ม อันนั้นทั้งคัมภีร์ว่าด้วยลักษณะแห่งความสำคัญแบบต่างๆ 24 แบบ สิ่งทั้งหลายถ้าจำแนกแยกแยะออกไปแล้ว ต้องรู้ความสัมพันธ์ ถ้าแยกอย่างเดียวแล้วมันก็กระจายหายไป แต่พอแยกแล้วเห็นความสัมพันธ์เนี่ย มันไม่แยกกระจัดกระจายหรอก เพราะว่าความสัมพันธ์มันเป็นตัวโยงกันอยู่ แล้วเราก็จะเห็นภาพรวม เพราะว่าตัวภาพรวมที่ชัดก็เกิดจากมองเห็นองค์ร่วมชัด เมื่อองค์ร่วมไม่ชัด องค์รวมก็ไม่ชัด เมื่อเห็นความสัมพันธ์ขององค์ร่วมชัด ก็คือการเห็นองค์รวมชัดนั่นเอง ฉะนั้นองค์รวมกับองค์ร่วมต้องไปด้วยกัน ทีนี้เวลานี้ก็กลายเป็นว่าบางทีเหมือนกับว่าไปเน้นที่ข้างหนึ่ง จะเลิกแยกส่วน ก็จะเอาองค์รวม พอเอาองค์รวม ก็เป็นองค์รวมที่พร่าที่คุลมเครือที่มัวอีก ก็จะไปไม่รอดอีก ก็จะกลายเป็นสุดโต่ง คนสมัยก่อนเขาก็องค์รวมมาแล้ว บางทีเราก็ไปติเพราะว่าเขาองค์รวมแบบพร่าๆ มัวๆ องค์รวมแบบพร่าๆ มัวๆ มันก็เป็นเหตุให้ต้องมาวิเคราะห์ พอวิเคราห์ไปวิเคราะห์ไป ก็ลืม แยกส่วนกระจายหายไปในด้านของตนๆ ก็เลยไม่ได้องค์รวมอีก ทีนี้ถ้าว่าให้พอดีก็คือว่า ไปด้วยกันทั้งองค์ร่วมและองค์รวม ทั้งวิเคราะห์และรวม จะเรียกว่าสังเคราะห์ก็ได้ เพราะสังเคราะห์มันไปเป็นอีกขั้นหนึ่ง คือหมายถึงว่าพอเราเห็นองค์รวมชัดแล้ว ทีนี้เราจะสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ เราก็ทำได้แล้ว เพราะว่าเราเห็นองค์ร่วมชัด เราจะจัดสรรจะทำอะไรต่ออะไร มันก็ได้ผลขึ้น ฉะนั้นเรื่องนี้ก็เป็นตัวอย่างของการที่กระแสแม้แต่ความคิดเรื่องกระแสทางปัญญาโดยตรงนี้ก็มีปัญหากันอยู่ ฉะนั้นก็คิดว่าเราต้องเป็นตัวของตัวเอง สังคมไทยจะต้องมีความมั่นใจในตัวเอง ไม่ใช่ว่าจะต้องไปตามกระแส แต่ว่าต้องรู้จักกระแส รู้จักกระแสให้ชัดเจน แล้วก็มีส่วนร่วมในการปรับในการแก้กระแส หรือถ้าเก่งจริงก็มานำกระแสด้วย คนไทยก็น่าจะมีความสามารถนำกระแสที่ดีได้ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่ากระแสปัจจุบันเป็นกระแสที่ผิดพลาด เป็นกระแสที่มีปัญหาเยอะ เวลานี้เราก็พูดกันถึงกระแสแนวคิดทุนนิยม ระบบธุรกิจหาผลประโยชน์กำไรสูงสุด อันนี้ก็ไปสุดโต่งแบบหนึ่ง แล้วมากระความคิดในทางเชิงปัญญาอย่างที่ว่าเมื่อกี้ เรื่ององค์รวม อะไรต่างๆ เหล่านี้ กระแสความคิดอะไรต่างๆ เหล่านี้ ในเมื่อมันมีปัญหา ก็ต้องมีการแก้ไข ถ้าเราจะแก้ไข เราก็ต้องมีอะไรที่ชัดเจนของเรา ถ้าเรามีของเรา เราก็จะเกิดความมั่นใจ แล้วเราก็จะมีความสามารถขึ้นมามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์อารยธรรม หรือแม้กระทั่งอาจจะต้องนำบ้าง ถ้าเขาไปกันผิดทาง ก็ต้องมีผู้นำขึ้นมา คนไทยเราก็มีศักยภาพ คิดว่าเราน่าจะพัฒนาขึ้นมา เราเอาศักยภาพนี้ขึ้นมาแล้วก็ต้องดูตัวเองว่าเรามีข้อดีอะไรบ้าง ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่านอกจากไม่รู้จักสังคมเขา กระแสภายนอกที่เราตามแล้ว ตัวเองเราก็ไม่รู้จัก สังคมไทยเราเป็นยังไง เรามีดีอะไร เราก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ นั่นก็เป็นเรื่องของความไม่ชัดทั้งหลาย ที่จะต้องแก้ไข เราก็มาพัฒนาปัญญาในแง่เริ่มตั้งแต่ความรู้ชัด รู้อะไรก็ต้องรู้ให้จริง ให้ถ่องแท้ ต้องค้นคว้ากันจริง อยากจะเรียนภาษาอังกฤษ ก็เรียนกันไปทำไม ให้รู้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สำคัญกับเรา ไปทั่วโลก ภาษาอินเทอร์เนต ภาษาพวกระบบของคอมพิวเตอร์ cyber space นั่นก็เป็นเรื่องของภาษาอังกฤษ กำลังจะเป็นภาษาสากล ทีนี้ก็จะเรียนภาษาอังกฤษ เอาละ จะต้องรู้ ทีนี้จะต้องรู้นี้จะรู้กันขนาดไหน จะรู้สำหรับแค่ไหมซื้อสินค้า หรือจะรู้ขั้นไปเป็นนักค้นคว้า อันนี้ก็ต้องถามกันแล้วนะ ถ้ารู้แค่ไปซื้อสินค้ามาเสพมันก็เห็นจะไม่ค่อยได้เรื่องอะไร ก็เขาก็ขายสินค้าของเขาอยู่ เราก็เป็นนักซื้อ รู้ภาษาอังกฤษพอไปซื้อสินค้ามาเสพได้ ทีนี้ถ้าจะรู้ให้ดี เห็นจะต้องรู้ถึงขั้นค้นคว้า ค้นคว้านี่มันก็มีด้านหนึ่งคือค้นคว้าหาความรู้ที่จะมาผลิตสินค้าซะเอง แทนที่จะไปซื้อสินค้า ทีนี้ก็รู้ถึงขั้นผลิต ไปหาวิธี ไปเรียนวิธี ไปรู้วิธีในการผลิต ทีนี้ผลิตสินค้าเองเลย พอรู้แบบที่สองนี้รู้ขั้นค้นคว้า และค้นคว้าหาความรู้มาผลิตสินค้าเอง ตอนนี้แหละจะเก่ง แต่ทีนี้ว่าบางทีเราก็ไม่จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญมากในแนวเดียวแนวดิ่ง ภาษาอังกฤษนี้ก็มีประโยชน์ มีความสำคัญ ขอบเขตหนึ่งก็ให้ความสำคัญแบบพอดี ว่ากันไปแล้ว เราก็คงต้องดูด้วย อย่างเราบอกว่าต้องการความเจริญทางเทคโนโลยี เวลานี้เรื่องเทคโนโลยีเป็นเรื่องใหญ่ เราก็บอกว่าจะต้องรู้ อย่างที่ว่าภาษาทางเทคโนโลยีไอทีก็เป็นภาษาอังกฤษ แล้วบางทีเราก็จะไปตามอเมริกัน รู้ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน เป็นต้น แต่มองอีกทีหนึ่ง เราก็น่าจะดูประเทศที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษด้วย ที่เขาเจริญทางเทคโนโลยี ก็ง่ายๆ ก็อย่างญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ แต่ก็เจริญทางเทคโนโลยีนี่ บางทีบางด้านบางเรื่องก็นำอเมริกาด้วยซ้ำ แล้วไม่ได้พูดภาษาอังกฤษแต่ว่าทำไมมีความรู้ทัน อันนี้เราก็จะต้องไม่ใช่ดูเฉพาะอเมริกัน ต้องดูญี่ปุ่นด้วยว่าญี่ปุ่นเขาสร้างสรรค์ความเจริญ เขาพัฒนาปัญญาคนของเขาอย่างไร เขามีแง่ปฏิบัติต่อเรื่องเทคโนโลยีอย่างไร ทำไมตำรับตำราอเมริกันออกมาปั๊บ ไม่เท่าไหร่เลย ตำราญี่ปุ่นออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นในเรื่องนั้น แม้แต่เทคโนโลยีได้ คนญี่ปุ่นก็รู้ทัน ทั้งๆ ที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ ทำไมทำได้ ทีนี้ถ้าเราเอาแต่ว่าให้นักเรียนไทยรู้ภาษาอังกฤษเสร็จแล้ว แต่ละคนรู้เป็นเป็ดไปหมด ประเทศจะเป็นยังไง ก็เลยไม่ได้เรื่องสักคนอีก ทีนี้บางประเทศเขาเอาแบบนี้ เท่าที่ทราบ อย่างญี่ปุ่นเขาเอาคนกลุ่มเดียว รู้ภาษาอังกฤษให้รู้ให้จริงเลย รู้จริงแท้ แล้วมีหน้าที่พิเศษ นโยบายของรัฐก็ส่งเสริมเข้าไป ตำราฝรั่งอะไรออกมานี่ กลุ่มคนที่รู้ดีภาษาอังกฤษเนี่ย แปลออกมาทันทีทันควันเลย เดี๋ยวเดียวคนญี่ปุ่นได้รู้ความคิด วิทยาการที่เจริญก้าวหน้าของฝรั่งทันทีทันควัน ด้วยภาษาญี่ปุ่นนั่นแหละ ทีนี้ถ้าเราจะให้คนของเราทั้งประเทศไปรู้ทันวิทยาการของฝรั่ง ทั้งประเทศนี่เราอาจจะหนักเหลือเกิน หรือทำไม่สำเร็จก็ได้ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าพิจารณา คงจะต้องเป็นเรื่องที่จะต้องมาคิดแยกแยะกันเยอะ แต่ว่ารวมความก็คือเป็นเรื่องของกระแสต่างๆที่เข้ามาที่เราจะต้องรู้เท่าทัน แล้วจุกสำคัญเริ่มแรกก็คือความรู้ชัด แล้วความรู้ชัดนี้มันหนีไม่ได้กับเรื่องการรู้จักวิเคราะห์แยกแยะองค์ประกอบ สืบสาวเหตุปัจจัยเป็นต้น ฉะนั้นแม้แต่มาสู่กระแสความคิดองค์รวมแล้ว ก็คงจะทิ้งไม่ได้เรื่องการวิเคราะห์ เป็นแต่เพียงว่าจะทำยังไงให้แนวคิดแยกส่วนกับแนวคิดองค์รวมนี้ มันเป็นความคิดที่พอดี ซึ่งที่จริงมันไม่ถูกนั่นเอง ถ้าเป็นสองอย่างนี่ก็คือมันสุดโต่ง ทำไงให้มันพอดี มาประสานกัน ซึ่งที่จริงธรรมชาติมันไม่ได้แยกกันหรอก วิเคราะห์ออกไป มันก็สัมพันธ์กันอยู่ ยิ่งเราไปเห็นองค์ประกอบย่อย เราก็มองดูทั่วไป ตามมาดูเราก็มองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งนั้นกับองค์ประกอบอื่น ซึ่งองค์ประกอบอันเดียวอาจจะไปสัมพันธ์กับองค์ประกอบอื่นอีกตั้งเป็นร้อย ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องศึกษากันมากมาย ที่นี้เราไปวิเคราะห์ พยายามรู้จักเฉพาะๆ สิ่งนั้นๆ เท่านั้น ไม่ได้มองความสัมพันธ์กับสิ่งอื่น ก็ทำให้ความเป็นองค์รวมนั้นขาดหายไป นี่ถ้ามองความสัมพันธ์ไป มันก็เห็นองค์รวมไปในตัวเสร็จ เพราะฉะนั้นความคิดวิเคราะห์ แยกแยะแยกส่วนกับความคิดองค์รวมนี้ ในที่สุดเป็นอันเดียวกัน คืออันเดียวกันนั่นแหละ ถ้าทำให้ชัด ก็จะรู้ชัดไปด้วยกัน ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เกรงเรื่องความเป็นสุดโต่ง เหมือนอย่างที่เคย สังคมก็มีอารยธรรมสุดโต่งมาแล้ว อย่างสุดโต่งทางจิต มาใจสังคมยุโรป ตลอดสมัยกลางเป็นพันปี เสร็จแล้วไปสุดโต่งทางจิต ไปทาง spiritual เสร็จแล้วก็ผละมาทางวัตถุ วิทยาศาสตร์บอกไม่เอาแล้วทางจิตใจ ไม่ได้เรื่อง ไม่จริง ก็เลยหันมาทางวัตถุเต็มที่ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติก็หมายถึงวิทยาศาสตร์วัตถุนั่นเอง ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ธรรมชาติครบ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติครบ มันก็ต้องมีทั้งด้านวัตถุ ด้านจิตใจ นามธรรม แกบอกแกเป็นวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ที่จริงแกเป็นวิทยาศาสตร์วัตถุเท่านั้นแหละ แกก็ว่าไปเต็มที่ ไปทางวัตถุอย่างเดียว ไปถึงสุดโต่ง พอมาตอนนี้ เอาอีกแล้ว เกิดปัญหาเริ่มมีคนที่ปฏิเสธวิทยาศาสตร์ ก็หันไปทางจิตใจ ไปโน่น ค้นคว้าไปทางจิตใจมาก มีกระบวนการต่างๆ เกิดขึ้นในตะวันตกเป็นระยะ เริ่มตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1950 เรื่อยมา ก็มีกระเสใหม่ๆ อย่างนี้ ก็ต้องระวัง รวมแล้วก็คือเราต้องตามดูอย่างรู้เท่าทัน ว่าสังคมตะวันตกเป็นยังไง ไม่ใช่เราจะต้องไปชื่นชมนิยมตาม แต่รู้เท่าทันนี่สำคัญ ต้องทันเลยสังคมตะวันตก อเมริกันเป็นยังไง พลาดยังไง เผลอยังไง ออกนอกทางไปยังไง สุดโต่งยังไง เราก็น่าจะเป็นตัวของตัวเอง ความรู้ชัดจะทำให้เราเกิดอิสรภาพ เพราะว่าอิสรภาพจะมาได้ด้วยปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่มีอิสรภาพเกิดขึ้น ปัญญาเรียกว่าเป็นตัวปลดปล่อย ขณะนี้เราชอบใช้คำว่าปลดปล่อย ปลดปล่อยทางสังคม ไปปลดปล่อยอะไรต่ออะไรกันเยอะ แต่ปลดปล่อยตัวเองให้พ้นจากอำนาจกิเลส อวิชชา ความมืดบอดก็คือเอาปัญญามาปลดปล่อย เพราะปัญญาจะเป็นตัวปลดปล่อยจิตใจด้วย ทำให้หลุดพ้น จนกระทั่งหลุดพ้นจากกิเลส และความทุกข์ไปได้ ตกลงว่าเป็นปัญญานี้ก็มาเป็นองค์ประกอบร่วม ซึ่งในที่สุดแล้วก็อยู่ในระบบแห่งการดำเนินชีวิตของมนุษย์เรานั่นเอง ซึ่งเราก็มี หนึ่ง-ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เราก็สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางวัตถุธรรมชาติ ทางสังคม ด้วยกาย วาจา และด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่เรียกว่าอินทรีย์ นี่ก็สัมพันธ์กันไป แล้วก็เบื้องหลังของความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ออกมาเป็นพฤติกรรมและการสื่อสารด้วยอินทรีย์นั้น ก็จะมีจิตใจ จิตใจที่เป็นผู้นำ เป็นผู้นำ ซึ่งประมวลคุณสมบัติของมันแสดงมาที่เจตนา หรือเจตจำนง จิตใจก็แสดงออกที่เจตจำนง เจตจำนงนี้ก็เป็นตัวนำพฤติกรรม ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมไป สัมพันธ์ในทางที่เป็นบวกเป็นลบ ในทางที่เป็นเกื้อกูลหรือในทางทำลายก็ได้ ก็อยู่ที่เจตจำนง เจตจำนงนี้ประกอบด้วยทิฐิ เขาคิดเขาเชื่ออย่างไร เจตนาอย่างไร ก็จะเป็นตัวนำไป ทั้งนี้ก็อยู่ภายใต้การส่องทางของปัญญา ส่องปัญญาก็จะมาช่วยขยายเบิกช่องทางให้ ปรับแก้ให้ ทำให้ผ่านพ้น แก้ปัญหาไปได้อย่างแท้จริง นี่ก็คือเข้าหลักที่ว่าองค์ประกอบ 3 ด้าน แห่งการดำเนินชีวิตของมนุษย์นั่นเอง ก็คือหนึ่ง-ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ทางวัตถุ ทางสังคม ด้วยกาย วาจา และอินทรีย์ เรียกว่าพัฒนาให้เป็นศีล แล้วก็เรื่องของจิตใจ ที่ออกมาทางเจตจำนงหรือเจตนานำพฤติกรรมแล้วก็นำความเป็นไปของโลก โดยเฉพาะสังคมมนุษย์นี้ให้เป็นไปตามกรรมของมนุษย์ การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนานี้ ก็เป็นการพัฒนาในด้านจิตใจ ซึ่งเราถือว่าสมาธิเป็นแกนสำคัญ แล้วในที่สุดก็คือต้องมีปัญญา ปัญญาที่จะเป็นตัวรู้ เป็นตัวแก้ตัวปรับพฤติกรรม เป็นตัวแก้ตัวปรับจิตใจทั้งหมด จนกระทั่งปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ก็อยู่กันแค่นี้ ในที่สุดก็อยู่เท่านี้เอง ถ้าเราจับหลักได้ มันก็มี 3 ส่วน มันก็อยู่ที่ชีวิตของเราเอง จัดแก่ปรับชีวิตของเราถูกทาง มันก็ปฏิบัติเกี่ยวข้องสัมพันธ์ แล้วก็ดำเนินกิจกรรมอะไรต่างๆ ได้ถูกต้อง ถูกวิถีทาง ก็ออกไปร่วมในการแก้ปัญหาสังคม นำสังคม สร้างสรรค์สังคม จนกระทั่งถึงสังคมวงกว้าง ก็คือโลกทั้งหมดได้เลย ที่นี้ก็อารยธรรมที่แท้จริงก็น่าจะเกิดขึ้น ก็ต้องประสานตั้งแต่การรู้ชีวิตของตัวเอง ไปจนกระทั่งถึงรู้โลกทั้งหมด บางทีเขาไปรู้โลก แต่ไม่รู้จักตัวเอง ในที่สุดก็ไปไม่รอด ตอนนี้น่าจะประสาน องค์รวมที่แท้คือการที่สามารถประสานกันได้หมด โดยการที่ให้องค์ร่วมทุกอย่างนี้มาสัมพันธ์กันอย่างถูกที่ ถูกทาง เหมาะพอดี พอเหมาะพอดีแล้ว มันก็เป็นการดำเนินชีวิตกิจการต่างๆ อย่างถูกต้อง ก็มาลงที่คำว่าชัดเจน พอชัดเจนแล้วก็ทำให้มันสุกงอม ภาษาพระท่านจะถือสุกงอม สุกงอมแล้วก็พรั่งพร้อม จะเน้นมากเหลือเกินพรั่งพร้อม ถ้าปัจจัยไม่พรั่งพร้อม แล้วคุณทำเหตุไปเถอะ ผลมันไม่เกิดหรอก ใครบอกว่าทำเหตุแล้วได้ผล แหม พูดไม่ครบ ท่านบอกต้องปัจจัยพรั่งพร้อม จึงจะเกิดผล เพราะฉะนั้นเหตุอย่างเดียวมันไม่พอผลที่ต้องการ มันเกิดผลอื่น มันไม่ได้เกิดผลที่เราต้องการ ผลมันเกิดแน่ แต่มันเกิดผลอย่างอื่นซะ เพราะฉะนั้นต้องให้ปัจจัยพรั่งพร้อม ฉะนั้นทางพระจึงเน้นคำว่าพรั่งพร้อม พอปัจจัยพรั่งพร้อมแล้วก็ ทีนี่เหตุก็เกิดผลขึ้นมา พรั่งพร้อมแล้วก็พอดี ต้องมีชัดเจน สุกงอม พรั่งพร้อม แล้วก็ต้องมีคำว่าถึงที่ พอถึงที่ทีนี้ละเอาแล้วมันได้จุดแล้ว พอถึงที่ได้จุดแล้วทีนี้ก็พอดี พอองค์ประกอบทุกส่วนลงตัวพอดี นี่องค์รวมที่แท้แล้ว องค์ร่วมมันเข้ามาประสานพอดีเต็มที่ เกิดเป็น harmony ขึ้นมา ไม่เป็น compromise ไม่เป็นประนีประนอม พอประสานพอดีเต็มที่ตรงนี้พอดี เป็นมัชฌิมาปั๊บ ได้ผลทันทีเลย เพราะฉะนั้นลงท้ายต้องลงที่พอดี นั่นก็เป็นมัชฌิมาปฏิปทา เข้าหลักทุกส่วนของชีวิต ทุกส่วนขององค์ประกอบองค์รวมนั้นประสานกันเกื้อกูลกัน ก็จะทำให้ปัจจัยต่างๆ ทำงานของมันแล้วผลที่ต้องการก็เกิดขึ้น บรรลุจุดหมาย ชีวิตก็เป็นชีวิตที่ดี พ้นจากปัญหา พ้นจากความทุกข์ สังคมก็ก้าวหน้าเจริญไปด้วยดี อารยธรรมของโลกก็จะมีทางที่จะบรรลุผลสำเร็จ มนุษย์ไม่ได้สิ้นหวังแต่อย่าง
ใดทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงเดินทางให้ถูกต้องเท่านั้นเอง
วันนี้อาตมาภาพก็ต้องขออนุโมทนาท่านอาจารย์ ท่านนายกสภามหาวิทยาลัยศรีปทุม พร้อมด้วยท่านอธิการบดี กับคณะกรรมการสภา ท่านคณะผู้บริหาร อย่างที่กล่าวแล้ว ท่านที่ปรึกษาแล้วก็ท่านอาจารย์ทุกท่าน พร้อมทั้งนักศึกษา ท่านก็มีมาด้วย กับทั้งญาติโยมสาธุชน โดยเฉพาะก็ขอบพระเดชพระคุณท่านพระเถรานุเถระ ที่ได้มาในวันนี้ ในแง่หนึ่งก็เป็นการมาให้ความสำคัญ แต่ตัวกระผมเองนี้ ซึ่งในแง่นี้ก็ขอบคุณ แต่ว่าถ้าในแง่นี้ก็จะอึดอัด รู้สึกว่าเกรงใจเป็นที่สุดอย่างที่กล่าวแล้ว ก็มองในแง่ว่าเอาละเรามาร่วมกันเพื่อจะมาทำกิจกรรมอันหนึ่ง เพื่อจะให้วัตถุประสงค์ของสังคมนี้เคลื่อนไป วัตถุประสงค์ในทางการศึกษาก้าวหน้าคืบไปสู่จุดมุ่งหมาย ก็คือการที่เราจะมาร่วมสร้างสรรค์สังคม เริ่มตั้งแต่สังคมไทยของเรานี้ ให้ก้าวหน้าเริ่มตั้งแต่พ้นปัญหา แล้วก็ไปสู่ความเจริญงอกงาม โดยเฉพาะก็จะมาถึงปีใหม่ในอีกไม่กี่วันแล้ว นอกจากว่าอวยชัยให้พร แสดงความปรารถนาดีต่อท่านอาจารย์ทุกท่าน ในแง่ที่มาเยี่ยมเยียนแล้วก็มาถวายปริญญา แล้วก็เลยอวยพรปีใหม่ด้วย ปีใหม่ก็ผ่านพ้นปีเก่า ปีเก่าอะไรที่ไม่ดีก็เลิกไป ยกแก้ไขให้หมดสิ้น อะไรดีก็เสริมต่อไป ปีใหม่กำลังมา ก็ต้องพูดว่าปีใหม่ต้อนรับ เราก็ต้องต้อนรับปีใหม่ จิตใจสดใสเบิกบานก็เป็นจิตใจที่ดีงาม เป็นบุญเป็นกุศล แต่มองอีกแง่หนึ่งก็ต้องย้ำ ปีใหม่มันท่าทายเราด้วยนะ เพราะว่าปีใหม่ก็คือหนทางข้างหน้าที่เรายังไม่รู้ว่าเป็นอะไร มีอะไรอยู่ข้างหน้า จะเผชิญอะไร เจออะไร ยังไม่รู้ ในเมื่อเรายังไม่รู้นี่ มันท้าทาย มีอุปสรรคมีปัญหาอะไร มีภารกิจที่รอหน้าอยู่ต้องทำ เราก็ต้องมีกำลังใจที่จะเดินหน้า เผชิญ จัดการแก้ไขซะ สานให้สำเร็จไป ท่านเรียกว่าใจสู้นั่นเอง ภาษาพระเรียกว่ามีวิริยะ ไม่ต้องไปกลัว ไม่ต้องท้อถอย อย่างนี้ก็เรียกว่าเราพร้อมที่จะต้อนรับผปีใหม่ ไม่ว่าจะมาในแง่ดีแง่ร้าย สู้ได้ทั้งนั้น แล้วเราจะพยายามทำให้ดีด้วย ฉะนั้นในโอกาสนี้ก็ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย พร้อมทั้งบุญกุศล โดยเฉพาะก็คือกุศลเจตนาของท่านอาจารย์ทุกท่านที่ได้มีเมตตาไมตรีธรรม แล้วก็มีเจตนาที่เป็นบุญมุ่งหวังประโยชน์สุขแก่สังคม โดยเฉพาะเริ่มจากฐาน ก็คือการศึกษานี้ ก็ให้มาร่วมกันในการที่จะสร้างสรรค์สังคมในการพัฒนาปัญญาเป็นต้นนี้ ให้สังคมไทยนี้มีความเข้มแข็ง ในการที่จะเดินหน้าต่อไป มีส่วนร่วม อย่างน้อยมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์อารยธรรม ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ไหล ผู้ตาม ผู้ถูกครอบงำ ต้องมีกำลังที่จะไปร่วมสร้างสรรค์ ถ้าเก่งจริงก็ไปนำด้วย แล้วก็พาโลกนี้ไปสู่สันติสุขที่แท้จริง ซึ่งเป็นความหวังที่ผู้นำอารยธรรมปัจจุบันเขายังไม่มี คือเขายังไม่มีหวัง ไทยเราน่าจะเป็นผู้อย่างน้อยนำความหวังก่อน แล้วก็ทำให้เป็นจริงต่อไป ก็ขอให้ทุกท่าน พร้อมทั้งครอบครัว ญาติมิตรและประชาชนชาวไทยตลอดจนชาวโลกทั้งปวง เจริญงอกงามด้วยจตุรพิธพรชัย มีกำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญา และกำลังความสามัคคี ที่จะดำเนินชีวิตและกิจการงานให้ก้าวหน้าบรรลุผล สมหมาย ยังประโยชน์สุขให้เกิดขึ้นแก่ชีวิต แก่ครอบครัว แก่สังคมประเทศชาติ และแก่โลกนี้ ให้มีความร่มเย็นเป็นสุข ตลอดปีใหม่ 2546 และตลอดไปทุกเมื่อเทอญ