PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง
  • ทุกคนลิขิตชีวิตตัวเอง (ตอน11)
ทุกคนลิขิตชีวิตตัวเอง (ตอน11) รูปภาพ 1
  • Title
    ทุกคนลิขิตชีวิตตัวเอง (ตอน11)
  • เสียง
  • 12480 ทุกคนลิขิตชีวิตตัวเอง (ตอน11) /upasakas-ranjuan/11-7.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง
ชุด
URI 036 บรรยายในพรรษา 2546
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ก็คือการทำสมาธิภาวนา แต่ว่าทำด้วยวิธีใช้ลมหายใจ แล้วก็เป็นการทำอย่างมีระบบ ก็คือเริ่มต้นจากหมวดกาย หมวดเวทนา หมวดจิต หมวดธรรม ก็พูดไปแล้ว ๓ หมวด หมวดธรรมยังไม่ได้พูด แต่ก็คงจะต้องทบทวนไปก่อน คราวที่แล้วก็ทบทวนหมวดที่ ๑ คือหมวดกาย ยังมีไม่ชัดเจนไหมคะ..หมวดกาย เป็นอย่างไรคะ..นักเรียนเก่า ….. คือหมายความว่าเข้าใจดีขึ้น..ใช่ไหมคะ ..... คือถ้าหากว่าพูดถึงว่าที่ว่าเป็นระบบนี่ เพราะว่ามันจะช่วยเรา ว่าเวลาที่เราทำสมาธิแล้วนี่ แล้วเราจะรู้ทิศทางว่าเราจะไปไหน แล้วก็ไปอย่างไร หรือถ้าเผอิญไปเผลอสติอะไรเข้าเมื่อไหร่ ก็จะได้รู้ว่านี่เรากำลังอยู่ในขั้นไหน เรากำลังอยู่ในขั้นไหน แล้วเสร็จแล้วเราก็จะได้ต่อไปได้ แล้วก็มีจุดหมายที่ชัดเจน ในหมวดกายนั้น..นี่ทบทวนสั้นๆ นะคะ สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยมา ก็คือฝึกให้รู้จักว่าลมหายใจนี่มันจะช่วยปรุงแต่งกาย ให้กายนี้มีความสงบรำงับก็ได้ หรือกายนี้จะอึดอัดไม่สบายเลยก็ได้ มันสุดแต่ว่าลมหายใจอย่างไร เพราะฉะนั้นก็แนะนำว่า …

    ขั้นที่ ๑ ของการปฏิบัติฝึกตามลมหายใจ ตามตั้งแต่ลมหายใจเข้า พอมันเข้าผ่านช่องจมูกก็ตามมันไปเรื่อย มันสุดคือมันหยุดหายใจตรงไหน สมมุติว่าหยุดตรงนี้ ก็รีบเพ่งสติจดจ่อตรงนั้นให้มาก แล้วก็รีบตามมันออก นี่เป็นขั้นที่ ๑ ตามลมหายใจยาว

    ขั้นที่ ๒ ก็ตามลมหายใจสั้น 

    ขั้นที่ ๓ ก็ตามลมหายใจทั้งยาวและสั้น สลับกันไปหมดเลย เพื่อจะดูว่าผู้ปฏิบัติชำนาญไหม แล้วก็รู้จักลมหายใจดีจริงไหม ทุกอย่างทุกชนิดหรือเปล่า ทีนี้พอรู้จักดีแล้ว

    พอขั้นที่ ๔ ก็เป็นขั้นที่ทำลมหายใจให้สงบรำงับ ก็คือควบคุมลมหายใจที่มันหายใจหยาบๆ หนักๆ แรงๆ ให้เป็นลมหายใจที่ละเอียดประณีตมากขึ้น เบาบางสบายมากขึ้น แล้วก็จิตก็จะค่อยๆ รวมเป็นสมาธิ ในขั้นที่ ๔ ก็เปลี่ยนจากการตามเป็นการเฝ้าดู เฝ้าดูที่จุดๆ เดียว เรียกว่ามีงานน้อยลง ตอนนี้จิตก็จะสงบเข้าสู่ความเป็นสมาธิ 

    เราจะลองฝึกสักนิดหนึ่งนะคะก่อนที่จะขึ้นไปหมวดเวทนา นั่งตัวตรง แต่ว่านั่งอย่างสบายๆ นั่งตัวตรงตามสบาย ไม่ต้องเคร่งเครียด ไม่ต้องเกร็ง นั่งตัวตรงเพื่อให้ลมหายใจผ่านเข้าออกได้สะดวก หลับตาก็ได้ ลืมตาก็ได้ ถ้ายังไม่พร้อมที่จะหลับก็ไม่ต้องหลับ เพราะว่าถ้าเราไปบังคับให้หลับ บางทีเราจะรู้สึกเกร็งแล้วก็เครียด ปวดตรงหัวคิ้ว ….. ถ้าหากว่าท่านผู้ใดรู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะหลับตา ก็ลืมตา โดยไม่มองไกล ให้ห่างจากตัก ตานั้นนะควรตกอยู่ที่ตัก แล้วก็ตามลมหายใจอย่างเดียว พอไปถึงจิตสงบในขั้นที่ ๔ ตามันจะหลับเอง และถ้าหลับเอง..ตอนนี้จะหลับสบายมาก เพราะเป็นธรรมชาติ ขณะนี้กำลังอยู่ในการปฏิบัติขั้นที่ ๑ ตามลมหายใจยาว ….. ตามลมหายใจยาวสบายๆ ให้รู้จักลมหายใจยาว กี่อย่างกี่ชนิด สังเกตลักษณะอาการของลมหายใจยาวแต่ละอย่าง มันปรุงแต่งกายอย่างไร ทำให้กายสบายหรือทำให้กายอึดอัดหนัก เครียด ถือว่าชำนาญพอสมควร เราจะผ่านไปขั้นที่ ๒ ตามลมหายใจสั้นค่ะ สบายๆ ผ่านไปขั้นที่ ๓ ตามลมหายใจทั้งยาวและสั้น สลับกันไปตามใจชอบ แต่ให้สังเกตรู้จักลักษณะอาการของลมหายใจ แต่ละอย่างนั้นปรุงแต่งกายอย่างไร สบายๆ นะคะ ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องเครียด ต่อไปเป็นขั้นที่ ๔ ค่ะ ควบคุมลมหายใจให้สงบรำงับ เปลี่ยนจากการตามเป็นเฝ้าดูตรงจุดที่ช่องจมูก ที่ลมหายใจสัมผัสชัดที่สุด แล้วควบคุมลมหายใจที่หยาบให้ละเอียดเข้า ที่หนักให้เบาลง ที่เร็วให้ช้าๆ สบายๆ เลือกลมหายใจที่รู้สึกว่าปรุงแต่งกายสบาย สงบ เย็น มีความประณีต แล้วจิตของเราก็จะค่อยสงบมากขึ้นๆ จากจิตที่กระจัดกระจายจะเป็นจิตที่ค่อยๆ รวมเข้ามาหากัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวทีละน้อย เมื่อเลือกลมหายใจที่สงบรำงับ พอใจ ประณีตแล้ว ก็อยู่กับลมหายใจอันนั้น เฝ้าดูให้ทุกขณะ 

    เราจะต่อไปหมวด ๒ นะคะ คือหมวดเวทนา ท่านผู้ใดมีความรู้สึกว่าจิตสงบดี รวมเป็นหนึ่ง..มีไหมคะ ถ้ามีก็ดี ทีนี้เมื่อมันรวมเป็นหนึ่งได้นี่เป็นอย่างไร มีปีติไหมคะ มีปีติไหมวันนี้..ยังไม่มีเหรอคะ..จิตนั้นไปไหนละ อา..อาจจะตั้งใจมากเกินไป ถ้าตั้งใจมากไปแล้วมันมักจะหลุดหาย เราปล่อยของเราไปตามสบายเรื่อยๆ แต่ทำตามที่เรารู้ว่ามันถูกต้อง แล้วมันก็จะค่อยๆ อยู่ คือไม่ค่อยวิ่งหนีไปไหน ทีนี้การที่เราสามารถปฏิบัติหมวดกายจนกระทั่งควบคุมจิตให้สงบรำงับได้ ก็เพื่อว่าจะได้ใช้จิตที่สงบนี้พิจารณาธรรม คือพิจารณาอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตให้ชัดเจนขึ้น จนกระทั่งควบคุมสิ่งที่มารบกวนจิตนั้นนะ ให้มันสงบไปได้ทีละอย่าง สิ่งที่รบกวนจิตมากนี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า เวทนา เวทนาก็คือความรู้สึกหรืออารมณ์ต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นตลอดเวลา เชื่อว่าทุกคนรู้จักนะคะ..เวทนา เพราะเจ้าสิ่งนี้ที่ทำให้จิตมันนิ่งไม่ได้ มันอยู่ไม่ได้ สงบไม่ได้ ประเดี๋ยวมันก็พอใจ ประเดี๋ยวก็ไม่พอใจ ประเดี๋ยวก็อยากได้ ประเดี๋ยวก็ไม่อยากได้ ประเดี๋ยวก็จะเอา ประเดี๋ยวก็ไม่เอา เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาสลับอยู่กับสิ่งคู่ ไม่อยู่ตรงกลางได้ 

    เพราะฉะนั้น เมื่อรู้จักเรื่องของกาย ท่านก็สอนให้รู้จักเรื่องของเวทนา คือเรื่องของความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นกับชีวิตทุกคนอยู่ตลอดเวลา พอจะจำได้ไหมคะว่า ในขั้นแรกของหมวดที่ ๒ คือหมวดเวทนานั้น ให้พิจารณาอะไร พอจะนึกได้ไหม เราพิจารณาอะไร ค่ะ..ถูกแล้วค่ะ พิจารณา..ปีติ.. เพราะคาดว่าจากการปฏิบัติหมวดที่ ๑ ได้สำเร็จ เป็นธรรมชาติเหลือเกินที่มนุษย์ทุกคนจะต้องดีใจ ปีติก็คือดีใจ ดีใจที่เราทำได้ เพราะฉะนั้นท่านก็ให้พิจารณาปีติที่เกิดขึ้น โดยเปรียบเทียบปีติกับสุข เพราะถ้าจะถามว่าปีตินี่เป็นอาการของความสุขหรือความทุกข์ ก็จะตอบว่าเป็นอาการของความสุข..โดยสมมุติ จริงๆ แล้วสิ่งที่เรียกว่าสุขนี่ไม่มี มันสมมุติ สมมุติเรียกว่าสุข ฉะนั้นท่านก็ให้เปรียบ ระหว่างปีติกับสุข ซึ่งมันอยู่ในอาการของสิ่งที่เรียกว่าสุขเหมือนกันนี่นะคะ แต่เหมือนกันไหม? เราเคยพูดกันแล้ว ลองสังเกต ถ้าเราพูดว่าลมหายใจเป็นกายสังขาร คือปรุงแต่งกาย ในขณะที่จิตมีปีติ มีอารมณ์ของปีตินี่ ลมหายใจเป็นอย่างไร สงบรำงับดีไหม ลองสังเกตปีติ ในขณะที่จิตมีปีตินี่ ลมหายใจสงบรำงับไหม ลองสังเกต สังเกตจากของจริง สงบรำงับไหม พอเราเห็น แหม..คนนี้ไม่ได้พบกันนานนะ เป็นลูกหลานที่ห่างไปนาน แล้วก็ไม่นึกว่าจะเขาจะแวะมาหาด้วย โอ..วันนี้เขามาเดินกัน มาเป็นกลุ่มเชียวแต่ไกล ความรู้สึกปีติใช่ไหมคะ เพราะปีตินี่หัวใจที่มันกำลังอยู่เฉยๆ นี่ มันเฉยไหม มันไม่เฉยแล้วละ มันเริ่มเต้นแรงขึ้น..ใช่ไหมคะ หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้น ซึ่งเมื่อหัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้น มันก็แสดงไปถึงว่า อาการของลมหายใจนั้นเป็นอย่างไร แรงหรือสงบ แรง..แรงชัดขึ้นมา

    เพราะว่าอาการของปีตินั้น ท่านบอกว่ามันมีความฟุ้งอยู่ในนั้นด้วย ตื่นเต้น ลิงโลด เหมือนอย่างชายหนุ่มเห็นหญิงสาว..รักครั้งแรกนั่นนะ หรือสาวรัก..เห็นชายหนุ่มครั้งแรกนั่นนะ ก็ตื่นเต้นปีติ เขาเรียกว่าใจสั่นระรัว ปีติ ดีใจที่ได้เห็น พอใจที่ได้พบ แต่ แหม..มันก็เต้นอย่างที่ว่า แหม..เต้นโครมๆ กลัวเขาจะได้ยินเสียงหัวใจเราเต้นเหลือเกิน..อายเขา นี่แหละ..ปีติ อาการของปีติ เพราะฉะนั้นปีติมันจึงไม่สงบ และลมหายใจก็พลอยแรงไปด้วย นี่ก็แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างกายกับใจ หรือกายเนื้อกับกายลม มันสัมพันธ์กันอย่างนี้ แต่เรามาฝึกสมาธิภาวนาเพื่อที่จะฝึกการควบคุมกายลม ให้มันช่วยเหลือกายเนื้อ ให้กายเนื้อได้มีความสงบรำงับได้ เพราะฉะนั้นอันแรกที่สุดนี่ในหมวดของเวทนานะคะ ขั้นที่ ๑ ก็คือพิจารณาในเรื่องของปีติกับสุข พอหมดจากปีติ สมมุติว่าลูกหลานกลุ่มใหญ่ที่ไม่ได้พบกัน เขามาหาก็นั่งพูดนั่งคุยไป ความปีติมากๆ นั้นเป็นอย่างไร ลดลง ก็ค่อยๆ กลายเป็น..ยังดีใจไหม ยังพอใจไหม ก็ยังดีใจ พอใจที่ลูกหลานมาเยี่ยม แต่มันเย็นๆ ไปเสียแล้วใช่ไหมคะ มันไม่ตื่นเต้นเหมือนในตอนแรก อันนี้ก็มีความสุข มีความสุขใจที่มีลูกหลานมาล้อมรอบ นี่ตัวอย่างง่ายๆ ธรรมดาๆ เพราะฉะนั้นเมื่อเปลี่ยนจากปีติเป็นสุข ลมหายใจที่แรงนั้น ก็เปลี่ยนเป็นอย่างไร ก็เบาลง เป็นลมหายใจที่มีอาการของความเบาๆ สบายๆ ไม่ตื่นเต้น ไม่ลิงโลดเหมือนอย่างเดิม

    เพราะฉะนั้น ในหมวดที่ ๒ ขั้นที่ ๑ ของเวทนา จึงให้พิจารณาในเรื่องของความสุข สุขนั้นมันมีหลายอย่าง มันมีมาก สุขต่างๆ ดังที่เราได้เคยพูดแล้ว จากเรื่องของอาการของความสุขในขั้นที่ ๑ ที่เปรียบปีติกับสุข พอมาถึงขั้นที่ ๒ ตอนนี้พิจารณาเรื่องของความสุขให้ละเอียดถี่ถ้วนเลย สุขเพราะรักเป็นอย่างไร คือได้รักสมใจ สุขเพราะได้เงินสมใจ สุขเพราะได้ตำแหน่ง ได้การงาน ได้ชื่อเสียงเกียรติยศ ได้ลูกหลาน ได้บ้านใหม่ ได้อะไรต่างๆ เหล่านี้ ถ้าจะลองจำแนกเรื่องของความสุขมีเยอะเลย ลองนั่งคิดดูนะคะ แล้วก็ลองพิจารณาดูให้ละเอียดว่า อาการของความสุขที่เกิดจากการที่ได้สิ่งต่างๆ เหล่านั้น แตกต่างกัน เหมือนกันไหม ทีนี้ถ้าจะถามว่ามามัวนั่งพิจารณาทำไมกันเสียเวลาเปล่าๆ ก็เพื่อที่จะให้เราเป็นคนละเอียดยิ่งขึ้น ในการที่จะสังเกตอารมณ์ความรู้สึกของเรา และจะสามารถจับอาการนั้นได้ทันเมื่อมันเกิด แล้วก็จะได้ตัดมันได้ทันท่วงที ถ้าหากว่าเราไม่ศึกษาให้รู้จักละเอียดถี่ถ้วน เราก็จะไม่ค่อยทันต่ออาการที่เกิด แล้วก็จะไปเป็นทาสของมันได้ง่าย คือไปติด ไปติดไปพอใจได้ง่าย ทีนี้ในขณะที่เราพิจารณาอย่างนี้ เราก็จะได้ดูด้วยว่าอย่างไหนที่มันมีความยึดติดเหนียวแน่นกว่ากัน ความสุขแต่ละอย่างนี่ คนเราติดสุขในเรื่องไหนบ้าง ที่มันเหนียวแน่นมันปล่อยไม่ได้ แล้วผลที่สุดมันก็กลับกลายเป็นความทุกข์ เพราะความยึดมั่นถือมั่นอย่างเหนียวแน่นอันนั้น นี่เราดูให้รู้เพื่อว่าจะได้ระมัดระวัง พออาการอย่างนี้เกิดขึ้น..ระมัดระวัง อย่าให้มันมาเกาะติดได้ ถ้ามันมาเกาะติดได้เราก็ตกเป็นทาสของมันง่าย ก็คือตกอยู่ในความทุกข์ง่าย 

    ฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่าสุขก็คือสุข ที่เขาสมมุติเรียกกัน จริงๆ แล้วมันหาใช่สุขไม่ มันไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความสุข มันมีแต่สิ่งที่เขาสมมุติเรียกว่าความสุข คือพอได้อย่างใจสักหน่อย ก็เอาละ..พอใจ ดีใจ ติดไว้เป็นสุข พอมันหายไปก็ทุกข์ จึงต้องเรียนรู้มันให้ชัดเจน ทีนี้พอไปขั้นที่ ๓  ก็พิจารณาในเรื่องอาการของความทุกข์ ความทุกข์ก็เป็นเวทนา ความสุขเขาก็เรียกว่าสุขเวทนา ทุกข์เขาก็เรียกว่าทุกขเวทนา แต่ทุกขเวทนานั้นก็คือเวทนาที่เกิดจากความไม่สมปรารถนา ไม่พอใจ ไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ ด้วยประการทั้งปวง จิตใจก็มีความเศร้า มีความขมขื่น มีความเจ็บปวด มีความอึดอัด ตึงเครียด ด้วยประการต่างๆ แล้วเราก็บอกว่านี่มันทุกข์ๆ ก็อีกนั่นแหละ..ให้ลองสังเกตว่าอาการของความทุกข์ที่เกิดเพราะสูญเสียความรัก กับอาการที่ความทุกข์ที่เกิดเพราะสูญเสียตำแหน่งการงาน เท่ากันไหม เหมือนกันไหม อะไรมันเจ็บปวดกว่ากัน ค่ะ..นั่นแหละพิจารณาไป คือต้องพิจารณาอย่างละเอียด ถ้าไม่ละเอียดจะไม่รู้หรอกค่ะ โอย..มันก็เหมือนๆ กันแหละ คนจะพูดรวมๆ แต่มาดูสิว่าสูญเสียอะไรที่มันคร่ำครวญไม่รู้แล้ว บ้านก็ยังมี เงินทองทรัพย์สินก็ยังมี ตำแหน่งการงานก็ยังมี อะไรๆ ก็ยังมี แต่แม้พอเสียคนไปคนหนึ่งเท่านั้นนะ คนๆ นั้นทำไมมีอำนาจต่อจิตใจของเราถึงขนาดนั้นเชียว สูญเสียความรัก..ใช่ไหมคะ ทำไมมันถึงมากขนาดนั้น นี่..ลองเปรียบเทียบดู

    ทีนี้ ถ้าหากว่าเราเห็นโทษทุกข์ของมันมากเท่าไหร่ จะได้กลัวมันให้มาก ระมัดระวังให้มาก ระวังใจ ไม่ให้ถลำลงไป เป็นทาสของมัน ตกเป็นทาสอย่างเหนียวแน่น จนดึงไม่ออก ถอนไม่ขึ้น ฉะนั้นการฝึกปฏิบัติธรรม เพื่อรู้เท่าจะได้ป้องกันตัวเองไม่ให้ตกเหว มิฉะนั้นจะตกไม่ได้หยุดนะ แล้วก็ขึ้นไม่ค่อยได้ ฉะนั้นอันนี้ค่ะ..ในขั้นที่ ๓ ก็ขอแนะนำให้พิจารณาทุกขเวทนาในลักษณะอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น เหมือนกับที่เราพิจารณาสุขเวทนา ทีนี้พิจารณาทุกขเวทนา สูญเสียความรักมันมีอาการอย่างไรนะ อาการอย่างไรนี่ดูที่มันหนักหน่วงอยู่ในใจนี่ มันเป็นอย่างไรที่มันหนักหน่วงอยู่ในใจ แล้วก็ดูสูญเสียลูก สูญเสียครอบครัว สูญเสียตำแหน่งการงาน ชื่อเสียง สูญเสียบ้านช่อง สูญเสียอะไรต่ออะไรต่างๆ แล้วแต่จะลองเอามาคิดดูเถอะ ลองพิจารณาให้รู้จักลักษณะอาการของทุกขเวทนาแต่ละอย่างๆ เหมือนกันไหม แตกต่างกันอย่างไร มันปรุงแต่งจิตของเราได้ขนาดไหน เพราะเวทนาท่านเรียกว่าจิตตสังขาร จิตตสังขารก็คือปรุงแต่งจิต จิตที่มันดีๆ เฉยๆ สงบๆ อยู่นี่ มันพลิกผันทันทีเลย พลิกขึ้นบ้าง พลิกลงบ้าง แล้วก็หมุนติ้วเป็นลูกข่างบ้าง ฟัดฟาดไปเรื่อยบ้าง สังเกตไหมคะ..จิตนี่นะ นั่นแหละมันถูกเวทนาที่ท่านเรียกว่าเป็นจิตตสังขารปรุงแต่งจิต เช่นเดียวกับกายลมเป็นกายสังขารปรุงแต่งกาย ให้กายสงบรำงับก็ได้ ให้กายอึดอัดเหน็ดเหนื่อยหนักก็ได้ 

    เพราะฉะนั้น เวทนาก็เป็นจิตตสังขารที่จะมาปรุงแต่งจิตของเรานี่ ไม่ให้สงบเย็นได้ ไม่ให้สบายได้ ให้มันโทมนัส เสียใจเศร้าหมอง ขมขื่น เจ็บปวดสารพัด จะว่าไป..นี่คือเราศึกษาเวทนาเพื่อให้รู้ว่า ที่ท่านว่าเป็นจิตตสังขารมันคืออย่างนี้ๆๆ มันมีอาการอย่างนี้ๆ แล้วเราจะยอมไหมละ จะยอมให้มันปรุงแต่งจิตตามใจของมันอย่างนี้เรื่อยๆ ไปหรือ? แล้วจิตมันจะไม่ชอกช้ำแย่หรือ มันก็ยับเยินเท่านั้น..ไม่เหลือ ฉะนั้นขั้นที่ ๓ พิจารณาเวทนาในด้านของทุกขเวทนาให้ชัดเจนทุกอย่างทุกชนิด แล้วเสร็จแล้วก็สลับกันด้วยกับสุขเวทนา ว่ามันแตกต่างกันอย่างไร พิจารณาเปรียบเทียบกัน เหมือนอย่างเราเปรียบเทียบลมหายใจยาวลมหายใจสั้นในขั้นที่ ๓ ของหมวดที่ ๑ นี่ก็ลองเปรียบเทียบอาการของสุขเวทนาและทุกขเวทนาที่มันปรุงแต่งจิตด้วย จนรู้จักมันชัดเจน พอชัดเจนแล้วตอนนี้ก็ไปขั้นที่ ๔ คือทำอะไร..จำได้ไหมคะ ควบคุมเวทนาให้สงบรำงับ..ด้วยอะไรคะ ลมหายใจ ที่จริงตลอดเวลาที่เราพิจารณาขั้นที่ ๑, ๒, ๓ ในหมวดที่ ๒ เราก็ยังมีลมหายใจอยู่ใช่ไหมคะ ยังรู้สึกในลมหายใจอยู่ ลมหายใจจะกำกับอยู่ตลอดเวลา แต่ที่เราเพ่งเด่นออกมานี่คือเพ่งดูปีติบ้าง สุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง ตอนนี้พอมาถึงขั้นที่ ๔ ควบคุมให้สงบรำงับให้หมด ไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนา ก็ให้มันเงียบไปเลย ไม่ให้มาโผล่มาเล่นงานได้ ทุกขเวทนาก็ไม่ให้มันโผล่มาเล่นงานได้ ให้มันเงียบสงบให้เป็นจิตที่สงบรำงับ..ในขั้นที่ ๔ ซึ่งคล้ายกันกับวิธีการปฏิบัติ ก็คล้ายกันกับหมวดที่ ๑ ทำความรู้จักแล้วก็รู้จักให้ชัดเจน แล้วก็ควบคุมให้สงบรำงับ มีสงสัยไหมคะ..หมวดเวทนา ถ้าสามารถควบคุมหมวดเวทนาได้ จิตของผู้นั้นก็จะมีความสงบรำงับ เยือกเย็นผ่องใสอยู่เป็นนิจ เป็นจิตที่น่าพึงปรารถนาอย่างยิ่งเลย เป็นจิตที่หาได้ยาก เป็นเพชรที่มีราคาค่าสูง ที่เราพยายามฝึกปฏิบัติกันนี่ก็เพื่อจะได้อบรมจิตที่มันชอบวิ่งพล่านเป็นน้ำเดือดบ้าง เป็นน้ำแข็งเกินต้องการไปบ้าง ให้มันเป็นจิตที่พอดีๆ สบายๆ นี่แหละที่เรามาฝึกกัน 

    จะให้เวลาสัก ๕ นาที ลองพิจารณาถึงสุขเวทนาชนิดต่างๆ แล้วก็ทุกขเวทนาชนิดต่างๆ มองให้เห็นลักษณะอาการ ความแตกต่างกัน แล้วก็มันปรุงแต่งจิตอย่างไร สุขเวทนาปรุงแต่งจิตอย่างไร จิตมีอาการอย่างไร ทุกขเวทนาปรุงแต่งจิตอย่างไรจิต มีอาการอย่างไร เสร็จแล้วก็ควบคุมมันให้สงบรำงับ ให้เป็นจิตที่นิ่งสงบ ลองดูนะคะ ไม่บอกตามลำดับขั้น แต่ให้ลองปฏิบัติดูโดยรวม ว่าปรุงแต่งจิตนั้นจริงไหม มันปรุงแต่งอย่างไร ลักษณะอาการอย่างไร และจะควบคุมมันให้สงบรำงับได้ด้วยอะไร อย่างไร แล้วก็ สอง..ให้เห็นลักษณะอาการของมัน สาม..เห็นโทษทุกข์ของมัน สี่..ควบคุมมันให้ได้ จะไม่ยอมตกเป็นทาสของมันอีก ถ้าใครควบคุมเวทนาได้นะคะ คนนั้นก็เป็นผู้ชนะตลอดกาล ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นไม่มีวันแพ้ เข้าใจไหมคะอย่างนี้ ไม่มีวันแพ้..ชนะตลอดกาล 

    นี่แหละค่ะ มันอยู่ตรงเวทนานี่แหละ จะแพ้จะชนะกันก็อยู่ตรงที่ควบคุมเวทนาได้หรือไม่ ถ้าควบคุมได้ชนะตลอดกาล และการที่จะชนะได้ก็ต้องฝึก ไม่ใช่พอเวทนาปุ๊บ..เอาละฉันจะควบคุมมันไม่ได้ เหมือนอย่างเราจะขี่ม้านะ ไม่เคยขึ้นหลังม้าเลย พอเห็นม้ามาก็จะจับขึ้นขี่ ก็แน่ละ..ก็ถูกมันเหวี่ยงสะบัดลงมา ตกขาหักแข้งหัก ฉะนั้นก็ต้องฝึกไปทีละน้อยๆ สมมุติละนะคะ สมมุติว่ารู้จักวิธีฝึกแล้ว..แต่ไปฝึกเอาเอง ทีนี้ก็จะไปหมวดที่ ๓ คือหมวดจิต ..... การฝึกขั้นที่ ๔ ของหมวด ๒ วิธีควบคุมจิต เราก็ใช้ลมหายใจอย่างไรคะ เพราะเราจะขับไล่มันไปด้วยการควบคุมเวทนาทั้งหลายให้สงบรำงับ ด้วยอะไร ก็ในขณะที่เราสำรวจดูเวทนาทั้งหลายในขั้นที่ ๑, ๒, ๓ นั่นนะคะ ลมหายใจมันก็แรง หยาบ เป็นไปตามอาการของเวทนาที่มันเกิดขึ้นในจิตที่เราจะพิจารณา เพราะฉะนั้นจิตมันก็ไม่สงบรำงับ ทีนี้พอเรารู้จักแล้วเวทนา พอมาถึงขั้นที่ ๔  เราก็รู้แล้วนี่คะว่าสิ่งที่จะมาควบคุมกายให้สงบรำงับได้ ซึ่งก็คือใจสงบรำงับได้คืออะไร คือลมหายใจใช่ไหมคะ แล้วลมหายใจชนิดไหนละที่จะมาควบคุมกายให้สงบรำงับ ควบคุมใจให้สงบรำงับ ลมหายใจชนิดไหน นึกออกไหมคะ..ลมหายใจชนิดไหน ลมหายใจที่ยาว บาง เบา ละเอียด พูดง่ายๆ ก็คือเริ่มจากการควบคุมลมหายใจหยาบ ทีแรกก็หายใจยาว ก็ยาวแรง ลึก หยาบ หนัก เหนื่อย เราก็ผ่อนไปให้ลมหายใจยาวบางๆ ช้าๆ สบายๆ จนกระทั่งพอมันช้าๆ สบายๆ นั่นนะ กายที่ทีแรกมันก็ไม่สงบหรอก มันอาจจะมีอะไรตุ้บตั้บๆ อยู่ตามเนื้อตามตัว มันก็จะค่อยๆๆๆ สงบเข้า เย็นเข้า จิตก็เช่นเดียวกันก็สงบรำงับมากเข้า เพราะว่าลมหายใจนั้นจะละเอียด ประณีต คือเราควบคุมลมหายใจที่เราฝึกได้แล้วจากหมวดที่ ๑ เอามาใช้ในหมวดที่ ๒ นี่ โดยเฉพาะขั้นที่ ๔  เต็มที่เลย เราก็จะควบคุมได้ เพราะเราจะอยู่กับลมหายใจที่สงบรำงับ มันก็เลยสงบรำงับทั้งกายและใจ 

    วิธีปฏิบัติเหมือนกันค่ะ เพราะฉะนั้นจึงว่าหมวดที่ ๑ นี่สำคัญมาก ที่เราต้องฝึกเสมอเลย จนช่ำชอง ทีนี้จะเอามาใช้ในหมวด ๒  หมวด ๓  หมวด ๔ ได้ สบายๆ มีอะไรอีกไหมคะ ทีนี้ก็หมวดกาย..หยาบกว่าเพื่อน การปฏิบัติในระบบอานาปานสติภาวนา เราเริ่มจากสิ่งที่หยาบ หยาบก็คือหมายความว่ามองเห็นได้ จับต้องได้ ถูกต้องได้ รู้สึกได้ นี่ก็เป็นหมวดที่ ๑  หมวดเรื่องว่าด้วยเรื่องของกาย พอหมวดที่ ๒  เรื่องของเวทนา ไม่มีตัวตนให้เรามองเห็น แต่เป็นความรู้สึกที่เรารู้สึกกันอยู่ทุกคนนี่ ในเรื่องของเวทนาเป็นทุกข์เป็นสุข เรารู้ว่ามันมีอาการอะไรอย่างไร แล้วมันก่อให้เกิดความผันผวนในจิตของเราอย่างไร แต่ทีนี้เราจะมาศึกษามันให้ละเอียดเสียหน่อย จะได้รู้เท่าทันมันเร็วขึ้น ไม่ตกเป็นทาสของเวทนา พอมันจะพรุ่งขึ้นมาก็จะรำงับมันทัน ไม่ทันก็ไม่ทันตอนนาทีแรก ก็ต้องทันตอนนาที ๒ อย่างนี้เป็นต้น เราก็จึงฝึกเพื่อให้รู้จักมัน แล้วก็ควบคุมมันให้สงบรำงับ นี่ก็เรียกว่าจากหยาบ แล้วก็ไปสู่สิ่งที่ละเอียดขึ้น ทีนี้พอมาหมวดที่ ๓ นี่ก็จะละเอียดมากเลย เพราะเป็นนามธรรมอย่างยิ่ง คือจะศึกษาในเรื่องของจิตที่เรียกว่าจิตตานุปัสสนา ที่ได้เคยพูดเอาไว้แล้วว่าในหมวดของจิตนี้ ที่เราฝึกหมวดที่ ๑ กาย หมวดที่ ๒ เวทนา หมวดที่ ๓ ตอนนี้ก็จะมาทำความรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า..จิต เพราะชีวิตมีองค์ประกอบ ๒ อย่างคือกายกับจิต หรือกายกับใจ 

    เราก็ได้รู้เรื่องของกายมาพอสมควร ตอนนี้ก็จะมาฝึกให้ลึกลงไปถึงเรื่องของจิตที่เราพูดถึงอยู่เสมอ แล้วก็รู้ว่ามันมีอำนาจมาก ที่จะนำชีวิตให้เป็นไปอย่างไหนนี่ มันก็อยู่ที่จิตได้ฝึกดีแล้วหรือยัง ถ้าฝึกไม่ดีมันก็พาชีวิตระหกระเหิน เจ็บปวดนะ เจ็บปวดที่ข้างในบ่อยๆ ฉะนั้นเราจึงมาฝึกเพื่อที่จะให้รู้จักมัน แล้วก็อันแรกก็คือ เพื่อรู้จักว่า จิตของฉันนี่นะ มันเป็นจิตอย่างไร เป็นจิตหยาบ เป็นจิตละเอียด เป็นจิตสะอาด เป็นจิตสกปรก เป็นจิตอ่อน เป็นจิตแข็ง เป็นจิตมีกิเลส ราคะโทสะโมหะ ตัวไหนมากมาย ตัณหาอุปาทานอะไรนี่ ศึกษาให้ละเอียด อย่างชนิดทำความรู้จักตัวเองให้ถ่องแท้ เพราะพูดโดยรวมๆ ก็ เออ..ฉันดีแล้ว ฉันไม่เห็นทำบาปทำกรรม ฉันก็ทำแต่บุญอยู่ตลอดเวลา แต่จริงๆ ฉันดีจริงหรือเปล่า แม้แต่ในการทำบุญนั่นแหละ ทำกุศลนั่นแหละ ฉันทำด้วยใจที่ดีจริงๆ หรือเปล่า คือใจที่ให้ ให้เต็มที่ ไม่หวังเอา..อย่างนั้นหรือเปล่า หรือแท้ที่จริงฉันให้..เพื่อหวังอะไรที่มันจะกลับคืนมา อาจจะเป็นวัตถุกลับคืนมาตอบแทน หรืออาจจะเป็นคำสรรเสริญเยินยอ หรือโชคลาภ หรือว่าชื่อเสียงเกียรติยศหน้าตา..ก็แล้วแต่ นี่มันไม่ใช่จิตดีจริงนะ..ใช่ไหม มันจิตให้เพื่อเอา ข้างหน้าดูให้..แต่ว่าลับหลังนี่เอานะ ข้างในนะคอยอยู่นะ..เมื่อไหร่จะส่งมาให้ เพราะฉะนั้นอันนี้นะคะ..หมวดจิตนี่ อันแรกที่สุดคือศึกษาส่องลงไปดูข้างใน จะถามว่าอยู่ที่ตรงไหนก็ไม่รู้ แต่ทุกคนนะรู้มันอยู่ข้างในนี่ เพราะความรู้สึกมันเกิดขึ้นข้างใน ส่องไปดู จิตนี้เป็นอย่างไร นี่เป็นขั้นที่ ๑ ส่องดูจิต ให้รู้ว่าจิตนี้มีลักษณะอย่างไร เป็นจิตหยาบ จิตละเอียด คำว่าหยาบ..เข้าใจใช่ไหมคะ เป็นจิตหยาบหรือเป็นจิตละเอียด เป็นจิตแข็งหรือเป็นจิตอ่อน แข็งก็เข้าใจใช่ไหมคะ อ่อนก็เข้าใจใช่ไหมคะ เป็นจิตที่มีราคะมาก คือโลภะนั่นเอง หรือโทสะมาก หรือโมหะมาก เป็นจิตที่ตกอยู่ใต้ตัณหาตลอดเวลา มากน้อยแค่ไหน หรือว่าอยู่เหนือตัณหาได้ เป็นจิตที่ถูกนิวรณ์กลุ้มรุมตลอดเวลา ไม่เป็นอันได้สงบเย็นเลย วุ่นวายตลอดเวลา เพราะนิวรณ์เข้ามากลุ้มรุม นี่คือดูจิตของเรา 

    ดูไว้ทำไม? ดูไว้..เพื่อจะได้ฝึกหัดอบรมมัน เหมือนกับเราเลี้ยงเด็กนั่นแหละใช่ไหมคะ เอาเด็กมาเลี้ยงหรือมีลูกมีหลานเราก็ต้องรู้จักลักษณะนิสัยของเขา เป็นเด็กเกเร เป็นเด็กหยาบ เป็นเด็กโง่ เป็นเด็กฉลาด เป็นเด็กที่พร้อมจะให้อบรมแก้ไขตัวเองหรืออย่างไร เราต้องรู้จักเขา แล้วเราก็จะได้อบรมแก้ไขเขา ให้เขาเป็นเด็กดี เป็นคนดี เป็นประโยชน์ต่อไป นี่ก็เหมือนกันตอนนี้มารู้จักจิตของตัวเอง เพื่อจะได้ดัดแปลงขัดเกลาแก้ไขให้มันเป็นจิตที่มีอำนาจ มีอำนาจที่จะควบคุมอะไรที่จะเข้ามารบกวนจิต ให้ตกเป็นทาสเป็นทุกข์ ควบคุมให้มีอำนาจอยู่เหนือสิ่งรบกวนทั้งหลายเหล่านั้นได้ ฉะนั้นนี่คือขั้นที่ ๑ .. ให้เวลา ๕ นาที อยู่กับลมหายใจเสียก่อน ให้สงบ เสร็จแล้วไม่ต้องทำอื่น ดูเข้าไปข้างใน ก็คือดูย้อนหลังพฤติกรรมของตัวเองนั่นแหละใช่ไหมคะ การจะดูว่าจิตมีลักษณะอย่างไร ก็คือดูพฤติกรรมการกระทำที่ได้ทำมาแล้ว มันเป็นลักษณะของความหยาบ หรือความละเอียด หรือความโลภความโกรธความหลง หรือความอ่อนแอ โลเล ความเข้มแข็ง เด็ดขาด ใช้ได้ ใช้ไม่ได้ ตกอยู่ใต้ตัณหาอุปาทานตลอดเวลา พออะไรแหยมมา..แล้วก็ยื่นรับหมด เอาหมด..อย่างนั้นหรือเปล่า ถูกนิวรณ์กลุ้มรุมตลอดเวลาหรือเปล่า เดี๋ยวก็นึกถึงกามฉันทะ เดี๋ยวก็พยาบาทขัดเคือง เดี๋ยวก็ถีนมิทธะหดหู่เหี่ยวแห้ง เดี๋ยวก็อุทธัจจะกุกกุจจะฟุ้งเฟ้อล่องลอย เดี๋ยวก็วิจิกิจฉาสงสัยลังเล ใช่ไหมๆๆ อยู่ตลอดเวลา เลยไม่ต้องไปไหนย่ำเท้าอยู่นั่นเอง กับถอยหลังหงายหลัง นี่แหละค่ะดูเข้าไป อย่างใจเป็นกลาง ไม่ต้องเข้าข้างตัวเองเลย 

    อะไรดีก็ เออ..ดีแล้ว อะไรยังไม่ดี ก็ต้องรับว่ามันไม่ดี อันนี้ต้องแก้ต้องขัดแน่ ปล่อยไม่ได้ รู้จัก..เพื่ออบรมมันให้ดีขึ้น มันจะเป็นประโยชน์ตอนนี้ ทุกลมหายใจเข้าออก ยังคงอยู่กับลมหายใจนะคะ..อย่าลืม หายใจสบายๆ แล้วก็พิจารณาคิดค้นเข้าไป ข้อนี้แย่มาก ปล่อยไว้ไม่ได้ต้องเอาก่อนเลย กำราบมันก่อน แล้วก็พร้อมๆ กับเห็นเหตุมันไปด้วย..จะเก่งมาก อ้อ..มันมาจากอะไร เห็นเหตุด้วยจะเก่งทีเดียวเพราะจะแก้ได้เร็วขึ้น ยังรู้ลมหายใจอยู่ทุกขณะ สบายๆ พิจารณาด้วยใจสบายๆ เรากำลังศึกษาเรื่องของจิตของเรา มันดีแค่ไหน สะอาดแค่ไหน สกปรกแค่ไหน หยาบแค่ไหน ส่องเข้าไปให้เห็น พอรู้จักได้บ้างแล้วใช่ไหมคะ ยังไม่รู้จักทั่วถึงแต่ก็พอรู้จักได้บ้างแล้ว แล้วก็พอจะเข้าใจวิธีการที่จะทำความรู้จักกับจิต ว่ามีลักษณะพื้นนิสัยเป็นอย่างไร มีสงสัยไหมคะ..ในการปฏิบัติขั้นที่ ๑ ของหมวดที่ ๓ หรือสำรวจจิต ให้รู้ว่าจิตของเรานั้นมีลักษณะอย่างไร มีสงสัยไหมคะ วิธีการปฏิบัติ ถ้าสงสัยก็ถาม อ้อ..ง่ายกว่าหมวดที่ ๒ ใช่ไหมคะ หมวดเวทนา ..... แล้วก็ถ้าดูให้จริงๆ นี่ค่ะ มันมีอะไรอยู่ใต้ความโลภรึเปล่า ..... มันทำลาย มันเป็นอุปสรรค มันเป็นเครื่องถ่วง อันนั้นนะมันคืออะไร ทำไมถึงไม่ทำละ ความรู้ก็มีจะทำ ความสามารถก็พอมีจะทำ แล้วทำไมไม่ทำ นี่ดูอันนี้ให้ดีๆ ทำไมทั้งๆ ที่ก็มีความรู้แล้ว นี่ไม่ใช่อาจารย์คนเดียวหรอกนะ เชื่อว่าคนอื่นๆ ที่ในการทำงานนี่ มีเหมือนๆ กัน มากบ้างน้อยบ้าง แล้วทำไมถึงไม่ทำ มามัวรักพี่เสียดายน้องอยู่ทำไม ทำไมถึงไม่จัดลำดับ ที่เรียกว่า set priority ของการทำงาน อะไรสำคัญที่สุดเป็นอันดับ ๑, ๒, ๓ เราจะทำไปตามลำดับ 

    เพราะไม่มีใครคนใดที่จะทำทุกอย่างทีเดียวพร้อมกันให้เสร็จได้ จำจะต้องเลือก ต้องตัดสินว่าจะเอาอะไรก่อน อะไรที่สำคัญอันดับ ๑ ก็จัดทำอันดับนี้ ทีนี้ก็มานึก มามองดูแต่เพียงพื้นผิว อ้อ..เพราะเราโลภ เราอยากทำมาก ก็โลภก็ดีนี่ โลภอย่างนี้มันดีนะ แต่ทำไม..โลภงานนะมันดี แล้วทำไมไม่ทำ จุดนี้สิ คือพื้นจิตที่จะต้องดูให้ลึกลงไป จิตนี้เป็นอะไร ทำไมจึงไม่ทำ จิตนี้โลเลหรือเปล่า หันมาดูในนิวรณ์นะคะ นี่มันโลเลหรือเปล่า..มันจึงอยู่ในวิจิกิจฉา เอาวิจิกิจฉาเข้ามาผสมกันกับความโลภ อยากจะทำแต่แล้วก็เกิดวิจิกิจฉาตลอดเวลาว่า จะทำดีหรือไม่ทำดี จะทำอันไหนก่อน เมื่อไหร่จะลงมืออะไรต่างๆ เหล่านี้ เพราะฉะนั้นมันก็จะมีนิวรณ์ต่างๆ เออ..เรานี่คงจะเป็นคนโลเลสักหน่อยหนึ่ง นี่พูดไปเรื่อยๆ ตามเนื้อผ้านะคะ เรานี่อาจจะเป็นคนโลเลไปก็ได้ นี่เรามาศึกษาจิตของเรา นอกจากโลเลแล้ว และเรายังไม่เด็ดขาด เราตัดสินไม่ได้ เราตัดสินใจไม่ได้ว่าเราจะเอาอะไรแน่ เราไม่เด็ดขาด นี่เราจะต้องเพิ่มความเข้มแข็ง แกร่งกล้าในจิตให้มากขึ้น เมื่อพิจารณาแล้วอะไรถูกต้องดีแล้วลงมือทำเลย ไม่รีรอเลย ถ้ามัวรีรอไปประเดี๋ยวจิตกลับอีก..ไม่ทำ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องพยายามแก้ทีละน้อยๆๆ นึกไปถึงสิ่งที่ลึกที่สุดที่มันอยู่ข้างล่าง ที่มันอยู่เบื้องใต้ มองเห็นพื้นๆ นี่ดีแล้ว แต่ต้องขุดลงไปอีกว่าจิตนี้เป็นอย่างไร มันถึงไม่สำเร็จ มันถึงไม่มีความสุข มันถึงทำไม่ได้ ทำไมมันถึงโลภไม่หาย ทำไมมันถึงโกรธไม่หาย ทำไมถึงหลงไม่หาย ทั้งที่มักจะบอก โอย..ฉันไม่หลง ไม่อยาก ไม่อะไรแล้ว แต่ทำไมจิตมันถึงวุ่นวายตลอดเวลา

    นี่แหละค่ะขั้นที่ ๑ ของหมวด ๓ เพื่อให้รู้จักจิตอันนี้ ให้รู้จักลักษณะของจิตแท้ๆ ถ้าไม่รู้จักแท้ๆ เราแก้ไขไม่ได้ อย่างที่มาพบกันคุยธรรมะกันก็เรียกว่ารู้จักจิตของตนดีพอสมควรละ ว่าจิตเรายังต้องการความสงบ นี่พูดสั้นๆ นะ จิตเรายังไม่สงบพอ เรายังมีความวุ่นวาย เรายังไม่มีอะไรมาเป็นที่พึ่งของใจ หรือเป็นหลักของใจ เราก็มีอะไรมาเยอะแยะ เงินทองข้าวของอะไรเราก็มีมามาก แต่ทำไมเราถึงยังทำอะไรมันยังไม่อิ่มใจนะ ไม่สำเร็จอย่างอิ่มใจ อย่างพอใจ อย่างเป็นสุข บางทีเรื่องของธรรมะอาจจะเป็นที่พึ่งได้บ้างกระมัง เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสมาตั้ง ๒๕๐๐ กว่าปี ก็ เออ..ลองมาฟังกันดูซิ นี่ก็แสดงว่าก็รู้จักจิตของตนดีพอสมควร ถึงได้อุตส่าห์เสียสละเวลามานั่งคุยนั่งพูดกันอย่างนี้ เพื่อจะดูสิว่ามันเป็นอย่างไร ทีนี้เมื่อมาแล้วเราก็อย่าให้เสียเที่ยว ก็คือมาศึกษาให้มันรู้จักจิตของเราจริงๆ ว่าจิตนี้เป็นอย่างไร มันแข็งมันกระด้างแค่ไหน มันเหนียวแน่นอย่างชนิดแกะยากขัดยากแค่ไหน แล้วอะไรคือเหตุ นี่ต้องหาเหตุให้ได้ แล้วเราก็จะต้องแก้มันให้ได้ ฉะนั้นที่อาจารย์ว่าขั้นที่ ๑ ของหมวด ๓ นี่ ดูจะง่ายกว่าหมวด ๒ นะคะ จริงในการปฏิบัติขณะนี้ เพราะอะไร เพราะว่าเราไม่ได้ปฏิบัติไปตามลำดับนะคะ แล้วก็ให้เวลาผู้ปฏิบัติเพียงนิดเดียว ๕ นาที มาลองพิจารณาเวทนา ก็เพียงแต่ว่าให้ลองสำรวจดูนิดหน่อยเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วเราต้องใช้เวลานาน ต้องใช้เวลาสงบๆ นั่งสงบนิ่ง แล้วก็หยิบย้อนเอาสุขเวทนาที่เคยพบ ทุกขเวทนาที่เคยพบ มาเป็นบทเรียน คือเอามาเป็นบทเรียนที่เราได้เคยผ่านมาแล้ว ที่ท่านเรียกว่าเป็นสัญญา แต่ไม่ให้จิตของเราจมลงไปในมัน แต่รำลึกว่าเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นเป็นอย่างไร 

    ยิ่งถ้าสมมุติว่าเผอิญวันนี้ ได้รับเวทนาอะไรเป็นบทเรียนอย่างลึกซึ้งกับจิตของเรา ในทางบวกก็ตาม ในทางลบก็ตาม พอมีเวลาว่างอยู่เฉพาะตัว หยิบเวทนานั้นมานั่งพิจารณาทันทีเลย ปฏิบัติหมวดเวทนาเลยทันที ก็จะได้เห็นชัดขึ้น เพราะมันยังสดๆ ร้อนๆ อยู่ใช่ไหมคะ แต่ถ้าผู้ปฏิบัติท่านใดนี่ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ตามลำดับแล้ว ไม่ยากค่ะ เพราะเราจะสามารถปฏิบัติเวทนานี่ได้ไปเรื่อยๆ ตามลำดับขั้นที่ท่านจัดเอาไว้แล้ว อานาปานสตินี่ก็เป็นวิธีปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนและทรงใช้อยู่เป็นประจำ ท่านจึงมองเห็นว่า ถ้าควบคุมเวทนาไม่ได้ จะข้ามไปหมวดจิตก็ยาก เพราะประเดี๋ยวมันก็จะเกิดความพอใจไม่พอใจ โดยเฉพาะพอใจไม่พอใจในการปฏิบัติของตัวเองนี่แหละ มันก็เป็นเวทนาขึ้นแล้ว ในขณะที่เข้ามาปฏิบัตินี่ เดี๋ยวก็ทำได้ก็เป็นสุขเวทนา พอเดี๋ยวทำไม่ได้ จิตไม่รวมก็เป็นทุกขเวทนา นี่มันก็จะมีอยู่อย่างนี้ เวทนาจะรบกวนอยู่ตลอด ตั้งแต่หมวดที่ ๑ ไปเลยละค่ะ เพราะฉะนั้นเวทนานี่มันไม่หนีเลย ไม่หนีมนุษย์ที่ยังไม่สามารถจะควบคุมจิตของตนได้ เพราะฉะนั้นท่านจึงบอกว่า ต้องรู้จักที่จะแก้ไขเวทนาเสียก่อน พอเวทนาสงบรำงับ จิตสงบนี่ มันจะพิจารณาจิตของเราได้ลึกซึ้ง ได้ละเอียด ความเป็นไปของภายในนี่..ที่เรารู้ของเราอยู่คนเดียวนะ เราไม่บอกคนอื่นหรอก..เพราะเราอาย ยังรักษาหน้ารักษาตาเอาไว้ ไม่บอกเขา แต่นั่นนะเราเป็นอยู่คนเดียวนี่ พอเรามาดูวิธีนี้เราก็หยิบมาแก้ของเรา ก็ไม่ต้องมีใครรู้เหมือนกัน แล้วก็แก้ของเราให้สะอาด ให้หมดจด ให้เป็นจิตที่เป็นหลักเป็นที่พึ่งแก่ตัวเองได้

    เพราะฉะนั้น คิดว่าขั้นที่ ๑ ของหมวดที่ ๓ นี่ ไปลองฝึกเองได้ตลอด พออะไรเกิดขึ้นก็ดู อ้อ..นี่แสดงถึงจิตเราเป็นอย่างไร แล้วเราก็..เมื่อมันไม่ดี อย่าทำอีกต้องแก้ไข ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ก็สั่งสอนอบรมไปด้วยธรรมะ..ข้อใดก็หยิบมาใช้ เออ..อันนี้ดี มันสะอาดหมดจดดี ใช้ได้ รักษาเอาไว้ เพิ่มพูนให้มากยิ่งขึ้น นี่ก็คือ..ดูจิต ในขั้นที่ ๑ ของหมวด ๓ นะคะ ทีนี้พอสำรวจจิตในขั้นที่ ๑ นี่ทั่วถึงเรียบร้อย แต่ก็ยังไม่ทั่วถึงทีเดียวหรอก เอาว่าทั่วถึงในระดับ ๑ ก่อน ก็ต่อไปขั้นที่ ๒ ทำจิตให้ปราโมทย์ บังคับจิตของเรานี่ให้ปราโมทย์ ปราโมทย์ก็คือปีติยินดีนั่นเอง บางทีในขณะที่สำรวจจิตนี่บางคนอาจจะเกิดความเศร้าหมอง หดหู่ โอย..ไม่เคยนึกเลยว่าเรานี่จิตเรามันจะสกปรกขนาดนี้ มันจะเห็นแก่ตัวขนาดนี้ มันจะเอาแต่ได้ขนาดนี้ ร้ายนะจิตนี่ร้ายนะ พอเรามาสำรวจเงียบๆ นะคะ อย่างไม่เห็นแก่ตัวเลย เออ..มันมาพบลักษณะที่น่าเกลียดน่ากลัวของจิตของตัวเอง บางคนอาจจะมีความเศร้าหมองก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามขั้นที่ ๒ ของหมวด ๓ ก็คือบังคับจิตให้ปราโมทย์ นี่เพื่ออะไร เพราะในหมวดจิตนี่ หมวดที่ ๓ นี่เป็นหมวดที่จะทดสอบพลังจิตอย่างที่เคยพูดแล้ว เป็นหมวดที่จะทดสอบพลังจิตของแต่ละคนที่ฝึกมาตั้งแต่หมวดที่ ๑ หมวดกายนะคะ กายานุปัสสนา หมวดที่ ๒ เวทนานุปัสสนา เรามีพลังของสมาธิที่เราสร้างขึ้นมา สร้างสมขึ้นมาตามลำดับ มากน้อยแค่ไหน เพราะการที่จะบังคับจิตได้ก็ขึ้นอยู่กับพลังสมาธิที่เราสะสมมาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นพอมาถึงหมวดที่ ๓ นี่ก็จึงเป็นการทดสอบว่าที่เราฝึกมาแล้วจริงๆ แล้วนี่เรามีพลังสมาธิหรือกำลังของสมาธิจริงๆ เพียงใด 

    นี่แหละขั้นที่ ๒ ท่านจึงบอกว่า บังคับจิตให้ปราโมทย์ นี่นั่งอยู่ในนี้ให้จิตมันปราโมทย์ยินดีปีติขึ้นมาเลย ทำได้ไหมคะ เราก็อยู่กับลมหายใจนะ..อย่าลืมนะคะ ลมหายใจนี่ทิ้งไม่ได้ อยู่กับลมหายใจ ทีนี้จะทำจิตให้ปีติปราโมทย์ ก็นึกดูสิคะว่าความปีติปราโมทย์มันเกิดได้จากอะไรละ เกิดจากอะไรละ..นึกถึงในชีวิตจริงนะค่ะ จะมีปีติปราโมทย์ เมื่อมันเกิด.. เกิดจากอะไร เมื่อได้ประสบอะไรที่เป็นความสำเร็จ เป็นความน่ายินดี เป็นความสุข เป็นความอิ่มเอิบพอใจ นั่นแหละ..มันก็มีความปีติปราโมทย์ แต่ปีติปราโมทย์อันนี้มันก็อาจจะมีความลิงโลดผสมนิดหน่อย จนกระทั่งถึงความปราโมทย์อย่างอิ่มใจ นี่เราก็..ทุกลมหายใจก็รำลึก..ลองย้อนรำลึกถึงสิ่งที่จะทำให้เกิดความปีติปราโมทย์ขึ้นในจิต จนกระทั่งนั่งไปนี่มันเกิดความปีติยินดี หรือไม่ต้องไปเอาอื่นหรอกค่ะ เอาผลของการปฏิบัติตามลำดับมานี่ โอย..เราไม่เคยทำสมาธิได้เลย เราไม่เคยตามลมหายใจได้เลย เราไม่เคยควบคุมลมหายใจได้เลยในบทที่ ๑ แหม..วันนี้ทำได้ ทำได้อย่างสบายๆ ชื่นใจไหมคะ ปีติปราโมทย์ไหม นั่นแหละ..แหม..เราก็อยู่กับทุกลมหายใจ ให้จิตนี้มีความปราโมทย์อยู่กับอาการของความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้น แล้วดูสิ..เวทนาเราไม่เคยควบคุมได้เลย ไม่เคยรู้จักมันอย่างชัดเจนเท่าวันนี้ ว่าสุขเวทนาเป็นอย่างไร ทุกขเวทนาเป็นอย่างไร วันนี้รู้จักมันชัดเจนแล้ว..ก็ควบคุมมันได้ มันไม่น่าปราโมทย์หรือ ไม่น่าปีติปราโมทย์หรือ นี่ไม่ต้องไปเอาอื่นก็ได้ เอาของจริงในปัจจุบันที่เราทำนี่นะคะก็ได้ นี่ก็ท่านก็บอกว่าในขั้นที่ ๒ ควบคุมบังคับจิตให้ปราโมทย์ 

    เอาละสมมุติว่าทำได้นะ ก็ต้องไปทำเอง ทีนี้พอในขณะที่จิตกำลังปราโมทย์ร่าเริงบันเทิงจิตนะ ต้องบอกว่ามันมีความร่าเริงมันมีความบันเทิงอยู่ในใจนี่ ท่านก็บอกว่าบังคับให้จิตนิ่งเป็นสมาธิ เห็นไหม..จากความปีติปราโมทย์ที่กำลังขึ้นอย่างนี้ ให้นิ่งเป็นสมาธิ ดูสิว่าพลังจิตมีมากแค่ไหน ถ้ามีมากก็บังคับให้มันนิ่งได้ทันที จากความปราโมทย์เป็นจิตนิ่ง สงบ เป็นสมาธิ นี่เป็นขั้นที่ ๓ ของหมวดที่ ๓ นี่เป็นการทดสอบนะ จากร่าเริงบันเทิง กำลังฟู ให้มันนิ่งอยู่กับที่ เฉยเป็นจิตที่เป็นสมาธิ สะอาด สว่าง สงบ เป็นลักษณะของจิตที่เป็นสมาธิอย่างที่เราเคยพูดกัน เป็นจิตที่บริสุทธิ์ เป็นจิตที่ตั้งมั่น เป็นจิตที่พร้อมจะทำการงาน คือลักษณะของจิตที่เป็นสมาธิ พูดง่ายๆ คือ สะอาด สว่าง สงบ นี่เป็นขั้นที่ ๓ ของหมวดที่ ๓ คือหมวดจิตตานุปัสสนา ทีนี้ในขณะที่จิตกำลังเป็นสมาธิ นิ่ง สงบ มั่นคง ขั้นที่ ๔ ท่านบอกว่าบังคับให้เป็นจิตปล่อย ปล่อยก็คือเป็นอิสระ จิตของเราจะเป็นอิสระได้ก็ด้วยการปล่อยจิตนั้นจากอะไร อะไรละที่มันทำให้คนเราไม่เป็นอิสระ ทำให้เป็นทุกข์เป็นร้อนอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความสุขสงบเลย อะไรละคะ..คะ..อะไรนะ ไม่ได้ยิน อัตตา..อัตตามันเกิดจากไหน ความยึดมั่นถือมั่น ถูก..อัตตาก็ถูก แต่ทีนี้เอาให้ชัดหน่อย คือความยึดมั่นถือมั่นด้วยตัณหาด้วยอุปาทาน ตัณหาคือความอยาก..มันอยากอยู่ตลอดเวลา อยากทั้งทางบวกและทางลบ แล้วก็พออยากขึ้นมามันก็ยึดว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น จะต้องเอาให้ได้อย่างนั้น เพราะฉะนั้นอันนี้คือทำให้จิตไม่เป็นอิสระใช่ไหมคะ บางทีต้องทำอะไรๆ ตามคนอื่นเขาว่า หรือตามสังคมเขาว่า เขากำหนดว่าต้องอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ในจิตไม่ได้เห็นดีด้วยเลย บ่อยๆ ที่มักจะเป็นอย่างนั้น นี่เป็นทาสเขาหรือเปล่า เพราะไม่ได้ทำด้วยความอิสระ

    นี่แหละค่ะท่านจึงบอกว่า ขั้นที่ ๔ ให้เป็นจิตปล่อย ขณะที่จิตนิ่งนี่ แม้แต่ความเป็นสมาธิก็ไม่เอา ให้เป็นจิตปล่อย แต่มันมีสมาธิอยู่ในนั้นนะคะ เป็นสมาธิอยู่ในนั้น แต่ตอนนี้ให้ยิ่งกว่าความเป็นสมาธิ ก็คือให้เป็นจิตที่ปล่อยเป็นอิสระ เหนือตัณหาอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง หรือที่สุดก็คือปล่อยความยึดมั่นในอัตตาตัวตน ว่าเป็นฉันนี่ออกไปเสีย ถ้าไม่มีคำว่าฉันอยู่นี่ มันว่าง เบาสบายจริงไหม ลองคิดดูสิคะจริงไหม เพราะไม่มีคำว่า..ฉัน อยู่นี่ มันว่าง เบาสบายจริงๆ แต่พอมีฉันอยู่นี่..มันหนัก เพราะฉันจะต้องอยู่ในกรอบ ในขนบธรรมเนียมประเพณี ในระเบียบ ในความดีงาม อะไรต่างๆ ที่เขากำหนดกันเอาไว้..ใช่ไหม ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นกลัวเขาว่าฉันจะไม่ดี ฉันจะเป็นคนใช้ไม่ได้นี่ เพราะอัตตาตัวฉันนี่ ฉะนั้นเราก็รู้นี่ เราก็ฉลาดมีสติปัญญาพอจะรู้ว่าอะไรถูกต้องอะไรดีงาม ก็ทำไปสิ ทำไมต้องเอาตัวฉันเข้ามาเป็นเครื่องผูกบังคับให้ทำ แล้วก็เป็นทุกข์เพราะฉันด้วยละ ตอนนี้ท่านจึงบอกว่าฝึกปล่อย ทำจิตปล่อย ไม่เอาเลย ไม่เอาอะไรเลยสักอย่างหนึ่ง ที่จะเป็นสิ่งทำให้ยึดมั่นถือมั่น เป็นอัตตาตัวตน นี่คือถ้าหากว่าไม่ใช่ทำได้ตลอดไปนะ แต่สมมุติในขณะนั้น ในขณะที่ปฏิบัติขั้นที่ ๔  ดูสิว่าขณะนั้นนี่ทำเป็นจิตปล่อยได้ไหม ถ้าทำได้ก็แสดงว่า ตั้งแต่ฝึกมาหมวดที่ ๑ ถึงหมวดที่ ๓ รวมแล้ว ๑๒ ขั้นนี่ ผู้ปฏิบัติผู้นั้นมีความสำเร็จในการปฏิบัติจิตให้เป็นสมาธิได้มากอย่างน่าพอใจ เพราะบัดนี้จิตนั้นมีฐานที่ตั้งมั่นคง พร้อมที่จะไปพิจารณาในหมวดที่ ๔ คือ ธัมมานุปัสสนา ได้ชัดเจน เพราะว่าเป็นหมวดที่ละเอียด ที่จะต้องใช้พื้นจิตที่สะอาด สว่าง สงบ แล้วก็ใช้สติปัญญาพิจารณา

    ฉะนั้น หมวดที่ ๓ ก็เรียกว่าเป็นหมวดที่ทดสอบพลังจิต คราวหน้าเราคงจะต้องพูดเรื่องหมวดที่ ๔ แน่นอนจะไม่มาทบทวนอีกแล้วนะคะ เพราะไม่นั้นไม่จบสักที ไปไม่ถึงสักที มีสงสัยอะไรก็ถามได้เลยค่ะ ..... น่าจะสำรวจค่ะ ถ้าเราสำรวจลงไปลึกแล้ว เราก็เห็นสาเหตุใช่ไหมคะ เราก็รู้ที่แก้ เรียกว่ารู้ปมที่จะแก้ใช่ไหมคะ แต่ถ้าเอาแต่เพียงว่า เออ..จิตมันยังไม่ดี มันยังโลภอยู่ มันยังโกรธอยู่ เพียงแค่นั้นมันก็ยังไม่เห็นปม มันรู้แต่มีอาการอย่างนี้ แต่ปมของอาการนี้มันอยู่ตรงไหน เพราะฉะนั้นก็น่าจะดูลงไปเลย แล้วก็ถ้าพิจารณาไปเรื่อยๆ นี่ ในทางธรรมถ้าผู้นั้นเป็นผู้ปฏิบัติอย่างอย่างต่อเนื่อง อย่างเข้มงวด ก็จะมองเห็นธรรมะที่จะเอามาใช้ ที่จะแก้ปมนั้นไปด้วย แล้วเสร็จแล้วก็ต้องฝึกปฏิบัติของตนเองด้วยนะคะ ไม่ใช่ฝึกไม่ใช่ดูให้เห็นแต่เพียงในสมาธิเท่านั้น เอามาฝึกในชีวิตประจำวัน แก้ไขพอมันจะทำอย่างนั้นอีก เตือนตัวเองได้ทัน จะเตือนได้ทันเพราะหมั่นดูอยู่ ลองไปฝึกดูสิคะในอาทิตย์นี้นะคะ ลองฝึกหมวด ๓ ก็ได้ ถ้าใครพอใจจะฝึกหมวด ๓ แต่ ..... เชิญค่ะ ….. คือว่าหมวดที่ ๓ นี่ อย่างที่บอกแล้วว่าเราจะทดสอบพลังจิตด้วยใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นก็จะมองเห็นว่า ท่านกำหนดให้การพลิกจิตนะ เหมือนกับการพลิกจิตตลอดเวลาใช่ไหม จากการที่เรารู้จักจิตเป็นอย่างไรแล้ว บางคนอาจจะหดหู่ บางคนอาจจะพอใจก็ได้ว่า เออ..เราได้ทำสิ่งที่ดีงามมาตลอดนะคะ แล้วก็ให้ปีติปราโมทย์ แล้วเสร็จแล้วก็ให้นิ่ง แล้วเสร็จแล้วก็ให้ปล่อย นี่จะเห็นว่าพลิกๆๆ เพื่อจะดูว่าทำได้ไหม จิตมีกำลังเพียงพอไหม

    ทีนี้ ที่คุณหมอพูดในตอนต้นนี่ ที่บอกว่า..ก็ได้ลองดูจิตของเราเอง ก็คือหมายความว่า คนดีนี่มักจะมาเพ่งโทษตัวเอง ซึ่งไม่ถูก คุณหมอไม่ได้ดูจิตนะ แต่คุณหมอเพ่งโทษตัวเอง เรียกว่าดูจิตก็เหมือนกันนะ แต่วิธีการนี่เพ่งโทษตัวเอง จนไม่เห็นความดีของตัวเองเลย นี่เขาเรียกว่าเพ่งโทษ คือมองเห็นนั่นก็ไม่ดี มองเห็นนี่ก็ไม่ดี เป็นไปไม่ได้ เราต้องมีดีบ้าง เราต้องมีดีอยู่บ้างแน่นอน มิฉะนั้นเราจะทำงานทำการมาจนถึงแค่นี้ไม่ได้ เราจะเป็นที่รักที่พอใจของเพื่อนฝูงของใครๆ ไม่ได้ เราจะมีอะไรที่เป็นเราอยู่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ ใช่ไหมคะ ยังไม่ได้พิจารณาในทางธรรม แต่มองในทางโลก เมื่อเวลาที่เกิดอะไรที่มันเป็นในทางลบขึ้นใช่ไหมคะ มันมีอะไรเกิดขึ้นในทางลบ คุณหมอก็มีความรู้สึกว่า แหม..นี่เราไม่ดีอย่างนั้นๆๆ ไปเสีย พิจารณาโทษตัวเองต่างๆ นานา นั่นยังไม่ใช่ในทางธรรม เพราะว่าในขณะนั้นคุณหมอมีแต่อารมณ์ ยังไม่ได้มีจิตที่อยู่กับสมาธิ ที่จะฝึกตามลมหายใจตั้งแต่ขั้นที่ ๑ มาตามลำดับ นี่ถ้าเป็นฝึกแบบสมาธิ ถ้าคุณหมอฝึกแบบนี้นะคะ ก็จะมองดูจิตนี่อย่างเป็นกลาง อย่างเป็นกลางวางใจเป็นกลาง ไม่ต้องบอกว่านี่ของฉัน ทำไมถึงเป็นอย่างนี้

    แต่เราพิจารณาแต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น พฤติกรรมที่มันแสดง แล้วก็เจาะลงไปให้เห็นว่านี่มันคืออะไร อย่างไร ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ มันเป็นจิตที่ถ้าจะแยกแล้ว หยาบหรือละเอียด ดีหรือชั่ว สะอาดหรือสกปรก แข็งกระด้างหรืออ่อนโยนอะไรอย่างนี้ แล้วเราก็แก้ไขของเราไป มองอย่างจิตเป็นกลาง เพราะอะไร ก็เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี่ไม่ใช่เป็นตราประทับตายตัว ไม่มีอะไรตายตัว อนิจจังเกิดขึ้นได้เสมอ และอนิจจังที่เกี่ยวกับจิตจะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะเจ้าของจิตพร้อมที่จะแก้ไข พร้อมที่จะแก้ไข พร้อมที่จะปรับปรุง พร้อมที่จะอบรมขัดเกลาให้ดีขึ้น ที่เรามาฝึกสมาธินี่ ก็เพื่อฝึกขัดเกลาจิตนี่แหละ ให้จิตที่หยาบเป็นจิตที่ประณีตละเอียด จิตที่สกปรกเป็นจิตที่สะอาด จิตที่อ่อนแอเป็นจิตที่เข้มแข็ง อย่างนี้เป็นต้น เพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้ ถ้าอย่างนี้ละมองอย่างนี้แล้วจะไม่หดหู่ ก็เพียงแต่ เออ..น่าสลดสังเวช มันไม่น่าเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่ว่าหดหู่จนกระทั่งรู้สึกว่า แหม..เรานี่ไม่มีที่อยู่ แล้วไม่รู้จะเอาตัวไปไว้ที่ไหน ไม่น่าอยู่ในโลก ถ้าคิดอย่างนั้นละคิดผิด ไม่ใช่ทางธรรม คิดไปในทางโลก และกิเลสกำลังมาบงการ ระวังนะคะ นี่กิเลสกำลังมาบงการ..ใช่ค่ะ ถึงจะยัง..หมวดที่ ๒ ละนะคะจะยังไม่ดีจริง แต่ก็พิจารณาได้ หมวดที่ ๑ นี่ แต่พิจารณาในทางธรรม อ้อ..อันนี้เพราะนิวรณ์อะไรมันเข้ามาเกาะเกี่ยว นี่เราเอาธรรมะเข้ามาจับ นี่ที่จิตเราตอนนี้เป็นอย่างนี้ เพราะนิวรณ์อะไรเข้ามาเกาะเกี่ยว กามฉันทะหรือพยาบาท หรือว่ากิเลสตัวไหนเข้ามาเกาะเกี่ยว นี่ค่ะเราดูในลักษณะเอาธรรมะเข้ามา หรือตัณหาอะไร อุปาทานอะไร

    นี่เราเอาธรรมะเข้ามาจับ แล้วเราจะไม่รู้สึกหดหู่จนเศร้าหมอง จนเป็นเรื่องของกิเลส เกิดอารมณ์ เกิดเวทนาขึ้นมา เพราะฉะนั้นพิจารณาอย่างนี้จะช่วยตัวเอง ช่วยใจของเราเองได้มาก สงสัยอะไรอีกหรือเปล่า ค่อยๆ ลองทำไป ข้อสำคัญก็คือ ฝึกให้ควบคุมลมหายใจให้ได้ ให้อยู่ ให้เสมอ แล้วก็จะเกิดประโยชน์ มีอะไรอีกไหมคะ ถ้ามีก็ถามได้ เอ..วันนี้ทำไมมืดเร็ว เวลาก็ยังเท่าเดิม ตอนแรกก็สว่างวันนี้ก็ ค่ะ..มีอะไรไหมคะ คือที่จริงนี่นะคะก็เหลืออีกสัก ๒ ครั้ง ก่อนจะออกพรรษา ก็มีวันเสาร์ที่ ๒๗ กับวันเสาร์ที่ ๔ เพราะออกพรรษาวันที่ ๑๐ ตุลาคม คราวหน้าก็จะพูดเรื่องหมวดธรรมหมวดที่ ๔ นี่ให้จบ แต่พูดนะพูดให้จบ แต่ว่าความเข้าใจและการปฏิบัติคงยังไม่จบนะคะ แล้วก็ที่พยายามพูดเรื่องอานาปานสติช้าๆ นี่ ก็เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่สนใจจะปฏิบัติธรรมเพื่อพัฒนาชีวิตของตนเองนะคะ ให้เป็นชีวิตที่มีความสุขสงบแล้วว่านั้นเถอะ เพราะว่ามันเป็นศิลปะของการพัฒนาชีวิต และในอานาปานสตินี่ เพื่อพอไปถึงหมวดธรรมก็จะเห็นมากขึ้นว่ามันรวมอะไรทั้งหมดนี่ เอาเข้ามาไว้ในเรื่องของธรรมะที่เราจะถือเป็นหลักในการพิจารณาได้ และในตอนต้นที่เราได้พูดกันมานี่เราก็พูดเรื่องศีลแล้ว เราพูดเรื่องนิวรณ์ เราพูดเรื่องกิเลส พูดเรื่องอะไรมาที่เป็นหลักพื้นฐาน ตามลำดับ เพราะฉะนั้นพอมาถึงอานาปานสติเราก็จะเรียกสิ่งเหล่านี้เข้ามาพิจารณาได้เร็วขึ้น ทีนี้ก็พูดง่ายๆ ก็คือว่าการที่ทุกท่านอุตส่าห์มานี่นะคะ ก็ไม่ทราบว่าต้องมาด้วยความฝืนใจบ้างหรือเปล่า บางคนอาจจะมาเพราะว่าเกรงใจ เคยมาตั้งใจมาแล้วก็ต้องมาให้ตลอด เดี๋ยวก็คุณแม่จะต่อว่า ว่ามาแล้วหายหน้าไปอะไรอย่างนี้นั่นอย่างหนึ่ง 

    อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ไม่ทราบว่าสะดวกกันหรือเปล่า ในการที่จะมาอะไรอย่างนี้ ก็พูดตามตรงก็คือว่า ไม่รังเกียจนะคะที่จะคุยกัน ที่จะพูดกันเรื่องธรรมะ เพราะถือว่ามันเป็นการแบ่งปันกัน แล้วก็เผื่อใครมีอะไรที่มันขัดข้องอยู่ในใจ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร หรือสนใจธรรมะข้อไหน แล้วยังไม่ชัดเจนอะไรอย่างนี้ เราก็จะได้พูดได้คุยกัน นี่ความประสงค์มีอันนี้ แต่ถ้าหากว่าจะเป็นการทำให้ผู้ที่มานี่ลำบากใจในการมา และเพราะเกรงใจหรือเพราะอะไรก็แล้วแต่นะคะ ก็บอกตามตรงว่า หยุดเมื่อไหร่ก็หยุดได้ว่านั้นเถอะ อันนี้ให้ไปพิจารณา ไปคิดเอาเองนะคะ แล้วก็มา บอกว่าจะเอาอย่างไร จะเอาอย่างไรในอาทิตย์ต่อไปโน่นนะ มาบอกว่าจะเอาอย่างไร จะต้องการอย่างไร ….. ที่มักจะเข้าใจผิด แล้วก็มาโทษว่าเราหกล้ม เราหกล้มเพราะเราไม่รู้ ก็เมื่อเราไม่รู้แล้วทำไมเราถึงไม่เรียน คนที่เข้ามาวัดนะ หรือเข้ามาหาธรรมะนี่ จริง..บางคนเขามาเพราะความทุกข์ แต่บางคนเข้ามาเพราะไม่ใช่ทุกข์ แต่เพราะเขารู้สึกว่าชีวิตที่เกิดมามันควรจะต้องมีอะไรมากกว่านี้ ไม่ใช่เพียงกินแล้วก็นอน หรือว่าทำการงาน แต่มันน่าจะมีอะไรยิ่งกว่านี้ที่ทำให้ชีวิตเต็ม เคยรู้สึกบ้างไหมว่าชีวิตนี่พร่อง ชีวิตทุกวันนี้มันพร่อง บางคนทั้งๆ ที่มีอะไรที่รักๆ ทั้งหลายนี่อยู่รอบตัว แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันพร่อง มันไม่อิ่มนั่นแหละ เพราะฉะนั้นคนที่มีความรู้สึกอย่างนี้เขาจึงอยากจะมาหาดูว่า บางทีธรรมะอาจจะมีอะไรมาให้บ้างละกระมัง เพราะว่ามันมีอะไรหมดทุกอย่างแล้ว แล้วมันขาดอยู่ตรงไหน 

    เพราะฉะนั้น เขาจึงเข้ามาหาธรรมะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกฝรั่งนี่ ที่เขาเข้ามานี่เขามาจากโลกวัตถุที่พร้อมทุกอย่าง และเขาก็มีอะไรพร้อม แต่เขาก็ยังไม่พบสิ่งที่เรียกว่าสุขจริงๆ ฉะนั้นที่เราพูดกันมาทั้งหมดนี่ มันเป็นเรื่องของทุกข์ทั้งนั้นนะ เรื่องของความทุกข์ แต่ทว่ามันมีวิธีการที่จะพูดกันหลายๆ อย่าง แล้วก็อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้แล้วว่า ถ้าหากว่าจะรู้ธรรมะ จะสนใจธรรมะให้เกิดประโยชน์ ต้องสนใจอริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ นี่ข้อแรกที่พระองค์ทรงตรัสเอาไว้นี่ ก็คือถึงเรื่องของทุกขสัจ คือเรื่องของความทุกข์ จะต้องศึกษาเรื่องทุกข์ อาการของความทุกข์ มันมีลักษณะอย่างไร เพราะฉะนั้นที่เราพูดถึงเรื่องของเวทนา ในหมวดเวทนานั่นแหละก็คือ ที่จะศึกษาถึงว่าอาการของความทุกข์ทั้งหลาย แม้แต่สิ่งที่สมมุติเรียกกันว่าสุข แต่คนเราไปหลงติดอยู่ในสุข ไปหลงตกอยู่กับคำว่าสุข และคิดว่ามันไม่ใช่ทุกข์ นี่แหละอันนี้เป็นเส้นผมบังภูเขา ที่ท่านบอกว่า เราจึงควรศึกษาเรื่องของเวทนาอย่างละเอียด แต่ที่เสนอมาว่าน่าจะได้มีการพูดคุยเป็นสนทนานี่ก็ไม่ใช่กลุ่มใหญ่ อันนี้ก็กลุ่มเล็กๆ ถ้าหากว่าจะเป็นการสนทนากัน ถึงเรื่องของธรรมะนี่ก็ไม่ขัดข้อง แต่เวลาถามอะไร ไม่เห็นมีใครถามอะไร นี่ที่มันมีคำถามขึ้นมาเพราะว่าเราพูดเรื่องอานาปานสติอย่างเป็นระบบ แล้วก็การปฏิบัติธรรมนี่ ก็น่าจะนึกดูนะ คุณเข้าวัดมาตั้ง ๒๐ ปีมาแล้ว แล้วเสร็จแล้วผลของการเข้าวัด ๒๐ ปีนี่มีอะไรติดอยู่บ้าง นี่เป็นคำถามนะที่ทุกคนควรจะนึก มีหลายคนที่พูดบ่อยๆ ฉันนะเหรอเข้าไปปฏิบัติสมาธิตั้ง ๑๐ ปีมาแล้ว ก็ยังไม่เห็นอะไร ก็ต้องย้อนถามตัวเอง ที่ปฏิบัติที่ ๑๐ ปีมาแล้วไม่เห็นอะไร ปฏิบัติอย่างไรมันถึงไม่เห็นอะไร เพราะถ้าปฏิบัติอย่างถูกต้องตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนแล้ว มันต้องเห็นอะไรสักอย่าง คือมันต้องมองเห็นอะไรสักอย่าง พูดง่ายๆ ก็คือว่าเข้ามาวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ บัดนี้ พ.ศ. ๒๕๔๖ แต่ในระหว่างช่วงนี้ ฉันก็เล่นๆ ไปๆ มาๆ เรื่อยๆ แล้วก็จะมาบอกตัวเองว่า เอ..เราไม่เห็นได้อะไรนี่ คนที่เข้ามาวัดนะที่ได้ยินบ่อยๆ 

    เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ค่ะ ขอบอกว่าการปฏิบัติธรรมจะได้ผลคือความสม่ำเสมอ ความสม่ำเสมอนี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าหากว่าการปฏิบัติธรรมไม่ทำสม่ำเสมอ ไม่มีวันได้หรอก เพราะอะไร เพราะมันเป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่ไม่สนุก พูดง่ายๆ ไม่สนุก ไม่เหมือนหนังที่เราดู เราได้หัวเราะ ละครน้ำเน่าทางทีวีมันขายดีทุกวันนี้เพราะอะไร เพราะคนเดี๋ยวก็หัวเราะ เดี๋ยวก็ร้องไห้กับมัน โดยขาดสติและปัญญาใช่เปล่า เพราะฉะนั้นอันนี้ค่ะการที่เรามาฝึกอันนี้ ก็คือต้องปฏิบัติให้สม่ำเสมอ เมื่อเข้าใจแล้วต้องเอาไปปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติแล้วมันขาดตอน แล้วก็น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ ที่ชีวิตปล่อยไป ฉะนั้นจะต้องการอะไรก็เอาไว้พูดกันอาทิตย์หน้า ถ้าต้องการว่า เออ..เราจะทำอะไรถึงจะช่วยให้เราเข้าใจธรรมะขึ้น สนุกขึ้น แล้วก็ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายในการปฏิบัติ ก็เต็มใจค่ะ เราคุยกันได้เรื่องของความทุกข์นี่คุยไม่จบหรอก คุยเท่าไหร่ก็ไม่จบ แต่พอคุยไปๆ จะเห็นที่จบเอง ที่จบของความทุกข์นี่จะมองเห็นเองว่ามันอยู่ตรงไหน แล้วจะมองเห็นด้วยว่าทำไมเราถึงไม่ยอมจบ นี่มันสำคัญตรงนี้ ทำไมเราถึงไม่ยอมจบ ทั้งๆ ที่มันมีที่จบ ทำไมถึงไม่ยอมจบ วันนี้ก็เกินเวลาไป ๑๐ นาทีแล้วนะคะ ค่ำมาก ก็ขอโทษด้วย ก็ขอความกรุณาไปทำการบ้านหน่อยนะ

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service