แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ธรรมสวัสดีค่ะ เมื่อคราวที่แล้วเราได้พูดกันในหัวข้อที่ว่าชีวิตคือการแสวงหานะคะ สำหรับที่เราใช้หัวข้อว่าชีวิตคือการแสวงหา ก็ขอย้อนทวนสักนิดหนึ่งนะคะว่า เราได้กล่าวกันว่าส่วนมากเราพอใจที่จะใช้ชีวิตเพื่อการแสวงหา แต่ถ้าจะถามตัวเองว่าแสวงหาอะไร รู้สึกน้อยคนเหลือเกินที่จะสามารถตอบได้ว่าที่กำลังวิ่งแสวงหาอยู่ทุกวันนี้แสวงหาอะไร แล้วก็เพื่ออะไร แสวงหาเอามาไว้ทำไมนะคะ แล้วก็เราก็ได้พูดกันถึงบุคคลในวรรณกรรมหลายคนแล้วก็หลายเรื่อง ที่มีตัวอย่างหรือบทบาทในวรรณกรรมนั้นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะของการแสวงหาในรูปแบบที่แม้จะดูต่างๆ กัน แต่ทว่าจุดหมายปลายทางของการแสวงหาถ้าดิฉันจะกล่าวโดยสรุปเพียงคำเดียวว่าท่านเหล่านั้นหรือบุคคลเหล่านั้นแสวงหาอะไรกัน คำๆ เดียวที่จะตอบได้คือ ความสุข ใช่ไหมคะ ที่เราทำทุกอย่างอยู่ทุกวันนี้ เหน็ดเหนื่อยสายตัวจะขาด ไม่ว่าเราจะบอกว่าเพื่อตัวเราเองหรือเพื่อผู้อื่นก็ตาม ก็เพื่อความสุขที่เพื่อผู้อื่นก็คือเพื่อผู้ที่เรารัก ถ้าคนที่เรารักเป็นสุขเราก็พลอยเป็นสุขไปด้วย เพราะฉะนั้น การที่เราแสวงหานี่ก็สรุปแล้วก็เพื่อความสุข
ทีนี้เกี้ยวในเรื่องบ้านพิลึก ก็แสวงหาเพราะจิตใจของเกี้ยวก็มีความกระวนกระวาย กระวนกระวายด้วยความไม่แน่ใจว่าอะไรคือความถูกต้อง เซเซ่ก็แสวงหาเพราะว่าในจิตใจของเซเซ่ในเรื่องต้นส้มแสนรัก มันเต็มไปด้วยความว้าเหว่ วังเวง แม้จะมีพี่น้องมากมายหลายคน มีบ้านที่ไม่โตนัก แล้วก็เต็มไปด้วยผู้คน เพราะว่าเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ในหัวใจของเซเซ่เองก็รู้สึกว้าเหว่ วังเวง เพราะมันแห้งเหี่ยว มันเฉาเพราะมันขาดความรัก ก็แสวงหา เพราะคิดว่าถ้ามีความรักเมื่อไหร่ จิตใจก็คงจะอบอุ่นเป็นสุขกระมัง
หรือลำยองก็เหมือนกัน ลำยองก็แสวงหาสิ่งที่ลำยองเรียกว่าเป็นความสุข แต่เพราะความที่ไม่สู้จะฉลาดนัก ลำยองก็คิดเอาว่าถ้าฉันมีเงินมากๆ คงจะสุขกระมัง ถ้าฉันได้เสพกามมากๆ ตามใจชอบจนอิ่มคงจะสุขละมัง แต่แล้วก็ไม่เห็นสุขสักที อย่างที่ลำยองคิดว่ามันจะสุข กริมก็เช่นเดียวกัน แสวงหาความรัก ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกเศรษฐี มหาเศรษฐี เงินทองก็ช่วยไม่ได้ เพราะกริมคิดว่าการที่จะได้รักใครสักคนหนึ่ง แล้วคนนั้นเขารักเราอย่างที่เรารักเขา แต่มีเงื่อนไขอยู่อย่างหนึ่งว่าคนนั้นนี่ต้องเป็นหนุ่มรูปหล่อสมาร์ทสวยงามด้วย กริมถึงจะพอใจ แล้วบางทีเราจะเป็นสุขกระมัง หรืออาสาก็คิดว่าถ้าได้เงิน แล้วก็คงจะเป็นความสุข ทองแท้ก็คิดว่าถ้าพบผู้หญิงสักคนที่รักเขาจริงๆ ไม่ทิ้งเข้าไปอีกล่ะก็เขาคงจะเป็นสุขกระมัง นี่ก็แสวงหา แสวงหากันในจุดหมายที่ว่าแสวงหาอย่างนั้นบ้างอย่างนี้บ้าง แต่สรุปลงก็ด้วยคำว่าความสุข เช่นเดียวกับ คุณดิษ คุณรสสุคนธ์ที่เป็นพ่อแม่ของกริม ก็คิดว่าการมาร่วมชีวิตกัน เริ่มต้นก็ด้วยความรักแต่เมื่ออยู่ไปอยู่ไปความขัดแย้งมันเกิดขึ้นก็เลยแยกทางจากกัน คือแยกการร่วมชีวิตกันแต่ยังอยู่ในหลังคาบ้านเดียวกัน แต่เสร็จแล้วก็ชีวิตของคนทั้งสองนั้นก็ได้พบแต่ความระทมทุกข์ ความขมขื่น แม้จะดูภายนอกก็ยังคงกินได้ ยังคงนอนหลับๆ ตื่นๆ บ้างเหมือนคนทั้งหลาย แต่จิตใจนั้นเหี่ยวแห้งเต็มที เพราะความสุขที่คิดว่าจะพบไม่พบ
วิสูตรก็เหมือนกัน เกิดมาเป็นลูกเจ้าคุณบุญหนักศักดิ์ใหญ่ พี่น้องหลายคนใครๆ ก็รู้ว่ามั่งมีเงินทอง แต่ชีวิตของวิสูตรตั้งแต่เล็กจนโตก็หาเหมือนพี่น้องอื่นไม่ ก็กลับเป็นคนที่แห้งแล้งด้วยความรัก แห้งแล้งความรัก ไม่ได้รับความรักอย่างที่ตนต้องการ จนกระทั่งเมื่อไปอยู่เมืองนอก พอจะมีชื่อมีหน้าได้พบบุคคลที่ถึงแม้ว่าจะต่างชาติ แต่ก็ดูจะเข้าใจให้ความรัก ความอบอุ่น แต่เสร็จแล้วสิ่งนั้นก็ไม่อยู่นาน สิ่งที่ได้ความสุขก็หายไป วิสูตรก็เลยเกิดมีความรู้สึกว่าที่เขาเรียกว่าความสุขนี่ แล้วเราก็เคยได้มาแล้ว เพราะเราได้ไปพบพ่อแม่ชาวอังกฤษ ที่ให้ความรักความอบอุ่นความห่วงใยความอาทร ประหนึ่งว่าเป็นลูกแท้ๆ แล้วก็ยังได้ไปพบผู้หญิงอังกฤษที่ดีมากคนหนึ่ง คือมาเรียที่แสนจะเข้าใจ แต่แล้วจู่ๆ อุบัติเหตุในชีวิตที่เกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษก็ทำให้เขาต้องจากผู้ที่เขารัก ความสุขที่คิดว่ามันอยู่ในมือเรานี่มันสุขจริงหรือ หรือว่ามันเป็นเพียงมายาเท่านั้น ดิฉันคิดว่าประสบการณ์ที่วิสูตรได้รับ มันเป็นประสบการณ์ในชีวิตที่เหมือนกับทดสอบ ทดสอบหัวใจของเขาเพื่อให้รู้ว่า สิ่งที่หัวใจจริงๆ ของมนุษย์ต้องการนี่มันคืออะไร ถ้าเราจะตอบว่าความสุข แล้วทำไมความสุขที่เคยได้มามันไม่อยู่ ทำไมมันถึงหายไป ทำไมมันถึงจางคลายไป มันเป็นของจริงของแท้ หรือว่ามันเป็นแต่เพียงสิ่งที่เป็นมายาเท่านั้น วิสูตรก็แสวงหา แล้วก็ยังคงแสวงหาต่อไป
คุณหญิงกีรติก็แสวงหาความรัก เหมือนอย่างที่ดิฉันได้กล่าวแล้ว แล้วเธอก็จบชีวิตด้วยคำที่ว่าฉันพอใจฉันภูมิใจ ที่แม้จะตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็มีคนที่รัก คือฉันก็มีคนที่รักตายพร้อมกับความรู้สึกถึงคนที่ตัวรักอยู่ในใจ แต่ก็บอกได้ว่าตายไปพร้อมกับความรู้สึกที่ ว้าเหว่ เศร้าสลด เพราะเหตุว่าความรักนั้นจะเกิดความสุขในความรู้สึกของชาวโลกทั่วทั่วไปก็คือ เมื่อความรักนั้นมีการตอบแทน
พลายมลิวัลล์ก็มีความรัก มีการแสวงหาความรักจากนายเผือก และหัวใจของพลายมลิวัลล์ก็แตกสลาย เมื่อชีวิตของนายเผือกนั้นน่ะถูกรถราง รถยนต์รางที่ก็เพราะความโกงของพลายมลิวัลล์ ด้วยความขี้อิจฉาริษยาของพลายมลิวัลล์นั่นเอง แกล้งปล่อยให้รถยนต์รางนี้มันแล่นไปเพื่อจะให้ทับเด็กชายน้อยๆ ที่ดูเหมือนกับว่านายเผือกนี่รักทะนุถนอมเหลือเกิน แล้วก็พลายมลิวัลล์เกิดความอิจฉา แต่เสร็จแล้วเจ้ารถยนต์รางนั่นแทนที่มันจะไปทับเด็กน้อยที่พลายมลิวัลล์แสนเกลียดชัง มันก็กลับไปทับนายเผือกผู้เป็นที่รักของพลายมลิวัลล์ เมื่อนายเผือกสิ้นชีวิต หัวใจของพลายมลิวัลล์ก็พลอยแตกสลายไปด้วย
และคนสุดท้ายที่ดิฉันได้พูดถึงในคราวที่แล้วก็คือ ฉันทสุภลิจฉวี นี่เป็นเจ้าชายในราชวงศ์ของกษัตริย์ลิจฉวีพระองค์หนึ่ง ในสมัยก่อนโน้นเป็นผู้ที่แสวงหาอย่างยิ่ง แล้วก็ด้วยความรู้ความฉลาดความสามารถของตนเองก็ได้ประสบความสำเร็จในทุกทาง ความสำเร็จอันสูงสุดจนคนทั้งหลายนี่ถึงแม้ว่าภายนอกจะนิยมยินดี แต่ในใจก็มีไม่น้อยคนที่มีความรู้สึกอิจฉาแล้วก็ริษยา แล้วก็คงจะถามตัวเองว่าเมื่อไหร่นะ เราถึงจะได้ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด พรั่งพร้อมด้วยเกียรติยศ ทรัพย์สินเงินทอง ครอบครัวบริวาร ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องเลยสักอย่างเดียว เมื่อไหร่เราจะเป็นเช่นนั้นบ้าง แต่เสร็จแล้วสิ่งเหล่านั้นก็หาอยู่คงที่ไม่ เพราะวันหนึ่งนี่มันก็มีอาการที่เลื่อนไหลหายไป ฉันทสุภลิจฉวีซึ่งเคยมีอะไรต่ออะไรพร้อม ก็กลับต้องประสบเคราะห์กรรมจนกระทั่งถึงกับ ต้องถูกไปจองจำคุมขังอยู่ แล้วในตอนสุดท้ายก็สามารถที่จะออกมาจากที่คุมขังนั้นได้ด้วยสติปัญญาความสามารถของตน แล้วก็ใช้สติปัญญานั่นแหละแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้เป็นความถูกต้อง แล้วก็ยังประโยชน์สุขให้แก่ส่วนรวม ให้แก่ชาติบ้านเมือง แต่แล้วฉันทสุภลิจฉวีก็มองดูประสบการณ์ของชีวิตที่มันขึ้นขึ้นลงลงเหมือนกับน้ำ ประเดี๋ยวก็ไหลลง ประเดี๋ยวก็ไหลขึ้นไปเรื่อยเรื่อยโดยตลอด ว่าสิ่งนี้มันจริงไหม ใครสามารถจะกั้นกระแสน้ำได้บ้าง ใครสามารถจะจับกระแสน้ำให้อยู่ที่ได้รับ ไม่ให้มันดิ้นไปไหน กระแสน้ำตอนนี้ฉันชอบ เพราะมันใสเย็นสะอาดแล้วก็มันมีความรู้สึกอุ่นขึ้นมา ก็อยากจะจับให้มันอยู่ ก็ไม่สามารถจะจับได้ จะต้องปล่อยให้มันไหลเลื่อนไป ฉันทสุภลิจฉวี คงจะได้มองเห็นความจริงข้อนี้จากประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมา ที่มันไม่มีอะไรอยู่ที่เลยสักอย่าง เพราะฉะนั้น ฉันทสุภลิจฉวี จึงได้แสวงหาสิ่งที่คิดว่าอาจจะมีอะไรที่มันจะมีความหมาย มากกว่าชื่อเสียงเกียรติยศทรัพย์สินเงินทองบริวาร ที่ตนเคยมีอยู่บ้างกระมัง
นี่ก็พูดว่า บุคคลเหล่านี้ต่างแสวงหา แล้วใครได้แสวงหาโดยประสบผลสำเร็จ ตรงตามจุดประสงค์ที่วางเอาไว้บ้าง เท่าที่กล่าวมาแล้ว เพียงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ของชีวิตแต่ละชีวิตนะคะ เราไม่กล่าวถึงจนจบสุดสิ้นชีวิตของเขา เพราะเราไม่ได้ติดตามไม่ได้มีโอกาสติดตามจนจบสิ้นชีวิต แต่เราดูการแสวงหา ในชั่วระยะของเหตุการณ์ ตามที่กล่าวเอาไว้ในวรรณกรรมแต่ละเล่ม
ก็เห็นจะพูดได้ว่าเกี้ยวในบ้านพิลึกนั้น เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการแสวงหา เพราะในตอนสุดท้าย เกี้ยวก็ได้ประสบสิ่งที่เขาแสวงหาคือความถูกต้อง ว่าอะไรคือความถูกต้องในการดำรงชีวิต และเกี้ยวก็สามารถพบสิ่งที่เขาแสวงหาว่าความถูกต้องของการดำรงชีวิตคืออย่างนี้แหละ อย่างที่เขาดำเนินชีวิตกันอยู่ภายในบ้าน กับพ่อแม่แล้วก็พี่สาวคือแก้ว แล้วเกี้ยวก็มีความมั่นใจ แน่ใจ เกิดความสุข ความอบอุ่นแล้วก็ความปลอดภัย คือเกิดความมั่นคงในการที่จะดำเนินชีวิตเช่นนั้นต่อไป
แต่ส่วนเซเซ่ นั้น เพราะเหตุว่าเขาแสวงหาด้วยความอยากด้วยความหิว หิวโหยในความรักอย่างชนิดไม่รู้ อิ่ม ถึงแม้จะเป็นความรักที่มิใช่ความรักระหว่างเพศซึ่งมันร้อนแรงและร้อนรนเหลือเกินก็ตาม เป็นความรักเป็นตามธรรมชาติของมนุษย์ ของเด็กน้อยๆ คนหนึ่งที่อยากจะมีผู้ที่อยู่ใกล้เคียงปลอบประโลม ให้ความรักความเข้าใจ ให้ความอบอุ่น ให้คำแนะนำ ให้คำส่งเสริมให้กำลังใจที่ถูกต้อง
แต่เมื่อความรัก ภพที่เป็นตัวของความรักคือความรักที่เซเซ่แสวงหาภพนั้น มันเป็นตัวตน มันเป็นบุคคลคือตัวโปรตุก้า เมื่อชีวิตของโปรตุก้า ทั้งตัวตนทั้งร่างกายจิตใจของเขามันต้องสลายไปตามธรรมชาติเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น หัวใจของเซเซ่ ก็เลยพลอยสลายไปด้วย เพราะฉะนั้นการแสวงหาของเซเซ่ก็ต้องเรียกว่าเฟเลีย (failure) ล้มเหลว ไม่สามารถที่จะทำให้จิตใจที่โหยหาของเขานี่เกิดความอิ่มเต็มขึ้นมาได้ มันยังคงโหยหา วังเวงว้าเหว่ต่อไปอีก น่าสงสาร และน่าเห็นใจเป็นที่สุด
ลำยองก็ตาม กริม อาสา ทองแท้ คุณดิษ คุณรสสุคนธ์เหล่านี้ก็ตาม คงอยู่ในบรรดาผู้ที่แสวงหา แล้วก็ล้มเหลว ทำไมถึงล้มเหลวก็เพราะเหตุว่า ผลจากการแสวงหานั้น เขาเหล่านี้ก็ยังคงประสบกับความว้าเหว่ ความร้อนรน ความเศร้าหมอง ความขมขื่น ความเจ็บปวดต่อไปอีก จนกระทั่งบางคนก็ถึงกับสิ้นชีวิตลงไปในท่ามกลางการแสวงหานั้น อย่างเช่นลำยองเป็นต้น
ส่วนวิสูตร ศุภลักษณ์ ณ อยุธยา ในเรื่องละครแห่งชีวิต ของหม่อมเจ้าอากาศดำเกิง ก็ได้แสวงหามาโดยตลอดดังกล่าวแล้ว แต่เพราะว่าวิสูตรคงจะมีสติพออยู่ในใจ ที่จะมองเห็นว่าสิ่งที่เขาแสวงหามาเรื่อยตั้งแต่เล็กๆ นะเขารู้สึกว่าเขาขาดความรัก เขาขาดความยกย่องเชิดชู เขาขาดคนเอาใจใส่ เมื่อเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษ เขาได้รับสิ่งที่เขาขาด เรียกว่ามาครบทีเดียว แล้วอาจจะมากเกินคาดว่าเขาได้รับเช่นนั้น แต่เสร็จแล้วเขาก็ไม่สามารถจะรักษาสิ่งนั้นไว้ได้ มันสลายหายไป เมื่อถึงเวลาที่มันจะหมดไป วิสูตรก็คงได้บทเรียนจากประสบการณ์อันนี้ เพราะฉะนั้นวิสูตรก็ค่อยๆ ตั้งสติ ประคองใจแล้วก็รักษาใจ ไม่ให้ล่วงล้ำถลำลงไปในความผิดพลาดที่เขาได้แสวงหามาแล้วอีก เพราะเขารู้ว่าเมื่อเขาแสวงหาเช่นนั้นแล้วนี่เขาเกิดความทุกข์ พอเกิดความทุกข์เพราะเหตุว่ามันไม่ได้สมประสงค์ แล้วหรือพอได้สมประสงค์มันก็หายไป มันก็ทำให้หัวใจของเขานี่เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นเขารู้ว่าสิ่งที่เราแสวงหาก็เพื่อให้เราเกิดความสุข แต่ถ้าแสวงหาแล้วเกิดเป็นทุกข์ขึ้นมา มันจะมีประโยชน์อะไรเล่าในการแสวงหานั้น เพราะฉะนั้นวิสูตรก็เลยตั้งสติระมัดระวังใจของเขา เมื่อเขากลับมาเมืองไทยเขาก็คงมาพบกับความขึ้นๆ ลงๆ ของชีวิตจากการกระทำของพี่น้องที่เขาได้พบบ้าง จากการกระทำของบรรดาเพื่อนฝูง เหตุการณ์ที่เขาได้พบบ้าง แต่วิสูตรก็พยายามที่จะศึกษาสิ่งเหล่านั้น แล้วก็มองให้เห็นสิ่งเหล่านั้นเหมือนกับว่าเป็นของธรรมดา ดิฉันเคยเรียกวิสูตรว่า วิสูตรผู้ปลงตก ก็คือปลงตกเสียแล้วจากการยึดมั่นถือมั่นว่าจะต้องเอาอย่างนั้น อย่างนี้ให้ได้ แต่เขาจะมองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเขา แล้วก็เหตุการณ์ที่เกิดกับตัวเขา ด้วยความทั้งไม่ยินดี และไม่ยินร้ายนะคะ
ส่วนคุณหญิงกีรติ ก็อย่างที่ว่าแล้ว หมายความว่าการแสวงหาของคุณหญิงกีรตินั้นก็ล้มเหลวนั่นเอง เพราะว่าเธอคงสิ้นลมหายใจไปพร้อมๆ กับความทุกข์ที่ยังมีอยู่เต็มหัวใจ พลายมลิวัลล์ก็เช่นเดียวกัน พลายมลิวัลล์นั้นก็แสวงหาด้วยความอยากดิ้นรน ทุกหัวใจที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นหัวใจที่แสวงหาด้วยความอยาก ด้วยความดิ้นรนทั้งสิ้น แต่ความอยากความดิ้นรนนี่มันไม่ค่อยสิ้นสุด มันไม่ค่อยเต็มได้ง่ายๆ ไม่มีใครจะถมหัวใจที่เต็มไปด้วยความอยากให้มันเต็มได้ มันจะมีแต่พร่องอยู่เรื่อยไม่มีอะไรจะถมเต็มได้
มาถึงฉันทสุภลิจฉวีก็คงจะอาศัยสติ ปัญญา พร้อมๆ กับการที่ได้รับการอบรมฝึกฝนมาจากท่านอาจารย์วิศวามิตรองค์ก่อนๆ คือองค์ที่ได้เป็นครูอาจารย์มา ได้ฝึกฝนอบรมด้วยความเมตตา ด้วยการสั่งสอน ทั้งลงโทษ แล้วก็ทั้งชมเชยทั้งให้รางวัล ทั้งช่วยชี้แนะ ทั้งตะล่อม ทั้งบอกตรงๆ ทุกอย่างทุกประการ ประกอบกับฉันทสุภลิจฉวี ก็เป็นบุคคลที่มีธรรมชาติเป็นผู้ที่มีสติปัญญา ที่พร้อมจะรับการสั่งสอนอบรมที่ถูกต้อง แล้วก็น้อมนำเข้ามาฝึกฝนตนเอง เพราะฉะนั้นในตอนท้าย ฉันทสุภลิจฉวีก็จึงหยุดการแสวงหาในทางโลก คือหมายถึงชื่อเสียงเกียรติยศนั้นด้วยการสละชีวิต แล้วก็สละอนาคตของการเป็นจักรพรรดิ หรือเป็นกษัตริย์ ของลิจฉวีมาเป็นผู้ที่เป็นครูอาจารย์เพื่อสั่งสอนลูกศิษย์ที่สำนักของวิศวามิตรต่อไป
สำหรับฉันทสุภลิจฉวี หรือที่มาเป็นท่านอาจารย์วิศวามิตรองค์ต่อไปในที่สุดนั้น ก็เห็นจะกล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการแสวงหา เพราะอะไรจึงประสบความสำเร็จ เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่สามารถที่จะมีความสุข แล้วก็มีความพอใจในการแสวงหานั้น มีความสุขมีความพอใจในการทำงาน ที่สามารถจะสอนอบรมลูกศิษย์ของตน ให้เป็นผู้ที่มีความรู้มีความเข้าใจอันถูกต้องจนสามารถที่จะดำรงจิตของตนไว้ในที่ถูกต้อง ไว้ในหนทางที่ถูกต้อง เพื่อจะไปสามารถดำรงชีวิตในทางโลกอย่างถูกต้องต่อไป ไม่ว่าจะไปรับผิดชอบอยู่ในตำแหน่งหน้าที่การงานใด
ฉะนั้นสรุปความว่า ถ้าหากว่าเราจะต้องแสวงหา เราหนีไม่พ้นการแสวงหาตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ยังคงแสวงหาไปเรื่อยๆ ทีนี้เราจะแสวงหาอย่างไรถึงจะถูก ดิฉันเข้าใจว่าก่อนที่จะเริ่มต้นแสวงหาสิ่งใดก็ตาม เราควรที่จะมีเป้าหมายในชีวิตของการแสวงหาว่าเราจะแสวงหาอะไร ก่อนที่จะออกเดินทางแสวงหานะคะ จะออกเดินทางด้วยกายจริงๆ หรือจะแสวงหาด้วยใจก็ตามควรจะมีเป้าหมายว่าเราแสวงหาสิ่งนั้นเพื่ออะไร
ถ้าเราจะสรุปการแสวงหาว่าต้องการแสวงหาความสุข ก็ควรที่จะใคร่ครวญถึงความหมายของคำว่าความสุขให้ชัดเจน ว่าความสุขอันนั้นมันหมายถึงอะไร ความสุขอันนั้นมันหมายถึงอะไร แต่ความสุขเช่นนี้คงจะเป็นความสุขที่เราต้องการ อยากจะให้มันยั่งยืนอยู่ในหัวใจ แล้วก็หยุดการแสวงหาของเราได้ ไม่ต้องไปแสวงหาอีกต่อไป
ซึ่งการที่เราจะตั้งเป้าหมายเพื่อแสวงหาเช่นนี้นั้น หาความสุขที่ยั่งยืนแล้วก็หยุดการแสวงหาได้นั้น ดิฉันคิดว่าเราน่าจะเริ่มต้นด้วยการถามตัวเองว่า ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้เกิดมาทำไมแล้วก็เกิดมาเพื่ออะไร เพื่อประโยชน์ของตัวเราเองเท่านั้น หรือเพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ ที่เราอยู่ร่วมโลกกันอยู่ในเรือลำเดียวกัน สุขก็สุขด้วยกัน แล้วก็ช่วยกันให้สุขยิ่งๆ ขึ้น อันเป็นความสุขที่จะเป็นที่ยั่งยืนสถาพร เช่นนั้นใช่หรือไม่ ดิฉันก็ขอจบรายการวรรณกรรมกับธรรมะวันนี้ ด้วยการขอฝากคำถามไว้ต่อท่านผู้ชม จนกว่าเราจะพบกันอีกในคราวหน้า ธรรมสวัสดีค่ะ