PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง
  • เรียนรู้ธรรมะจากชีวิตของฌ็อง โดมินิค โบบี้
เรียนรู้ธรรมะจากชีวิตของฌ็อง โดมินิค โบบี้ รูปภาพ 1
  • Title
    เรียนรู้ธรรมะจากชีวิตของฌ็อง โดมินิค โบบี้
  • เสียง
  • 12897 เรียนรู้ธรรมะจากชีวิตของฌ็อง โดมินิค โบบี้ /upasakas-ranjuan/2024-05-17-05-17-54.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง
ชุด
โครงการฝึกอบรมตนฯ รุ่น12
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • อุบาสิกา คุณรัญจวน : ธรรมสวัสดีค่ะ วันนี้จะเล่าเรื่องชีวิตจริงของผู้ชายคนหนึ่งให้ฟัง ผู้ชายคนนี้ก็ยังเป็นคนที่อยู่ในวัยฉกรรจ์ วัยฉกรรจ์นี่ก็อายุ 44 ปี เป็นวัยที่กำลังว่องไวคล่องแคล่วที่จะทำการงาน เฉลียวฉลาด มีความคิดสร้างสรรค์ สติปัญญาแหลมคม แล้วก็มีประสบการณ์ในชีวิตในหลายเรื่องหลายแง่หลายมุม ขอให้ฟังอย่างพินิจพิเคราะห์นะคะ 

    เขาเป็นบรรณาธิการของนิตยสารสตรีรายสัปดาห์ที่ชื่อว่า แอล (ELLE) ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นนิตยสารแนวหน้าที่มีชื่อเสียงกว้างขวางมาก เพราะฉะนั้นคนที่จะมานั่งเป็นบรรณาธิการบริหารของนิตยสารอย่างนี้ได้ก็ไม่ใช่คนธรรมดา ต้องเป็นคนที่มีอะไรพิเศษในตัวหลายอย่างที่ผู้อำนวยการและก็บุคคลทั่วไป คือผู้อ่าน มีความเชื่อถือในความรู้ความสามารถ เชื่อถือในฝีมือในการทำงานทุกอย่าง ชื่อของเขาก็คือ ฌ็อง-โดมินิก โบบี้ (Jean-Dominique Bauby) นามสกุลว่า โบบี้ (Bauby) 

    แล้ววันหนึ่งเขาก็เกิดประสบอุบัติเหตุ เส้นโลหิตในสมองแตกแต่ไม่แตกทั้งหมด เส้นที่แตกนั้นเป็นเส้นที่มันมาอุดตันการติดต่อระหว่างร่างกายกับสมองกับประสาทต่าง ๆ เพราะฉะนั้นหลังจากที่ได้รับการดูแลรักษานี่ เขาสลบไปยี่สิบวัน คำว่าสลบคือไม่รู้สึกตัวเลยเป็นเวลายี่สิบวัน พอฟื้นขึ้นมาก็อยู่ในลักษณะเบลอ ๆ ไม่รู้อะไรแน่นอนเป็นเวลาอีกสองสามสัปดาห์ จากนั้นน่ะถึงค่อยเริ่มรู้สึกตัวเต็มที่ เมื่อเริ่มรู้สึกตัวเต็มที่เขาก็รู้สถานะของชีวิตของเขา ว่าขณะนี้เขาอยู่ในสถานะที่น่ากลัวร้ายแรงเพียงใด เป็นสถานะที่เขาไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะต้องมาพบอย่างนี้ เพราะว่าเขาอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าเป็นอัมพาตทั้งตัว เขาเรียกในภาษาอังกฤษว่า Locked-in syndrome คือทั้งตัวนี่ตั้งแต่นี้ลงไป เคลื่อนไหวไม่ได้เลย ไม่มีความรู้สึก แม้แต่นิ้วก็กระดิกไม่ได้ ตายหมด 

    แต่ว่าจากข้างบนนี้ขึ้นไป เขารู้เรื่องหมดทุกอย่าง สมองยังดีเหมือนเดิม สติสัมปชัญญะ ยังรู้เรื่องอะไรต่ออะไรหมด ใครพูดอะไรก็รู้เรื่องได้ยิน แต่ว่าสิ่งที่เขาจะโต้ตอบกับคนรอบข้างได้นี่ มีแต่เพียงเปลือกตาข้างซ้ายเขาเท่านั้น คือเปลือกตาข้างขวานี่ จักษุแพทย์เขามาเย็บติดกันเชียว เพราะว่าเปลือกตาข้างขวาไม่เคลื่อนไหว มันก็เลยทำให้พวกหมอเขาเกรงว่าเดี๋ยวลูกนัยน์ตานี่จะพลอยเสียไปด้วย เขาก็เลยมาเย็บติดเสีย เพราะฉะนั้นที่โบบี้ใช้ได้นี่ก็คือดวงตาข้างซ้ายอย่างเดียว และการโต้ตอบก็คือการเลิกเปลือกตาข้างซ้ายนี่ขึ้น 

    เพราะฉะนั้นพอเขารู้ตัวว่า สมองสติปัญญาเขา สัมปชัญญะทุกอย่าง เขาพร้อม เขารู้เรื่องหมด วิธีที่เขาจะทำให้พวกหมอพวกพยาบาลเข้าใจว่า เขาไม่ใช่คนตายซากนะ คือไม่ใช่ตายหมดทั้งร่างกายนะ แต่เขายังรู้เรื่อง เขาก็ทำในวิธีกะพริบ กะพริบตาข้างซ้าย คือเปลือกตาข้างซ้ายนี่ พยายามกะพริบให้ถี่ ๆ ๆ ๆ เพื่อให้เป็นที่สังเกตกับพวกหมอพยาบาลที่กำลังดูแล ว่าเขารู้เรื่อง หมอพยาบาลก็เลยเข้าใจว่า เออ คนไข้คนนี้ไม่ใช่คนตายซากที่ตายหมดทั้งเนื้อทั้งตัว สมองก็ตายไปด้วย แท้จริงสมองเขานี่เขายังทำงานได้ เหมือนกับเมื่อเขาเป็นคนปกติ ทีนี้เขาจะทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อเขาเป็นคนที่ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่นี่ก็จัดว่าเขาเป็นคนที่ว่องไวคล่องแคล่ว ในชีวิตไม่ใช่คนที่นั่งอยู่เฉย ๆ เป็นคนที่นอกจากเฉลียวฉลาดแล้ว ก็ยังเป็นที่รักของเพื่อนฝูง เพื่อนฝูงก็มีความรักใคร่โบบี้มาก ก็คงจะเป็นเพราะนิสัยใจคอก็คงจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เข้ากับเพื่อนได้ ก็มีเพื่อนมาก เรียกว่าเพื่อนนี่หลายกลุ่ม หลายฐานะ หลายวัย ก็เป็นที่รักของเพื่อน 

    แล้วเขาก็มีลูกน่ารักอยู่สองคน ลูกชายก็อายุสิบขวบ ลูกสาวก็แปดขวบ ทีนี้เขาก็นึกว่าเขาจะทำอย่างไรในเมื่อมันเกิดพลิกผันชีวิตของเขามาอย่างนี้ เขาก็พยายามนึก แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้ยินข่าวว่าใคร ๆ นี่พูดถึงเขา ว่าโบบี้นี่เป็นผักไปเสียแล้ว ก็คงเข้าใจคำว่าเป็นผัก ก็คือคนที่นอนไม่รู้เรื่อง เหมือนผักเหมือนผลไม้ แต่เขารู้ว่าเขาไม่ใช่ผัก เพราะเขายังเข้าใจ ใครพูดอะไรเขาก็ได้ยินหมด เขาสามารถโต้ตอบกับคนที่มาพูดมาอะไรกับเขาได้ ด้วยการเลิกเปลือกตาซ้ายของเขา เพื่อให้คนนี่เข้าใจ ว่าเขามีความต้องการอะไรอย่างไร จะพูดอย่างไร มีความคิดอย่างไร ผลที่สุดเขาก็เลยทำการเขียนจดหมาย ออกจดหมายข่าว เพื่อแจ้งให้เพื่อน ๆ ทั้งหลาย หรือคนทั้งหลายที่ว่า ว่าเขาเป็นผักนี่ เขาไม่ได้เป็นอย่างนั้น เขายังมีความคิด มีสมอง มีความรู้อะไรทุกอย่าง 

    วิธีที่เขาพูด เขาเขียนจดหมาย ก็เขียนด้วยเปลือกตาซ้ายของเขานี่แหละ ก็ลองนึกดูนิ้วเนิ้วก็เขยื้อนไม่ได้ แล้วเขาทำได้อย่างไร วิธีที่สื่อสารของโบบี้ก็คือว่า ตัวอักษรในภาษาอังกฤษนี่เราก็รู้ว่ามีทั้งหมดยี่สิบหกตัว ก็ตั้งต้นตั้งแต่ตัว A ถึงตัว Z เรียงลำดับกันไป ทีนี้ก็มีนักภาษาศาสตร์คนหนึ่งนี่ เขาก็จับตัวอักษรยี่สิบหกตัวนี่มาเรียงเสียใหม่ โดยเรียงตามความถี่ของการใช้ ความถี่ของการใช้ ก็หมายความว่า ในยี่สิบหกตัวนี่ ตัวไหนที่คนมาใช้เขียนใช้พูดมากที่สุดก็เอามาเริ่มต้น เพราะฉะนั้นใครที่จะมาคุย มาสนทนา หรือว่ามาติดต่อสื่อสารกับโบบี้จะต้องท่องตัวอักษรตัวพยัญชนะที่เขาเปลี่ยนใหม่ คือเปลี่ยนลำดับของมันเสียใหม่ยี่สิบหกตัวนี่ให้คล่อง แทนที่จะตั้งต้นด้วยตัว A เขาก็เริ่มต้นด้วยตัว E S A R I N T U L แล้วก็ O M D P C F B V H G J แล้วก็ Q Z Y X K W ก็หมายความว่า นักภาษาศาสตร์คนนั้นเขามองเห็นว่า E S A R อะไรพวกนี้เป็นตัวพยัญชนะที่ใช้มาก ส่วนตัว K ตัว W นี่ใช้น้อย เขาก็เลยไปไว้ข้างท้าย 

    เพราะฉะนั้นคนที่จะมาติดต่อกับโบบี้จะต้องท่องอักษรยี่สิบหกตัวที่เรียงตามลำดับความถี่ให้ได้ แล้วก็โบบี้เขาก็มีคำตอบของเขานี่อยู่ในสมอง หรือมีสิ่งที่เขาจะพูดนี่อยู่ในสมอง ฉะนั้นคนที่จะมาสื่อสารกับโบบี้ก็จะต้องทำหน้าที่ว่าตัวอักษรทั้งยี่สิบหกตัวนี่ไปเรื่อย ๆ ทีละตัว ๆ ๆ แล้วโบบี้เขาก็จะฟัง เพราะหูของเขายังได้ยิน พอถึงตัวนี้เป็นตัวที่เขาต้องการจะใช้ เขาก็จะเลิกเปลือกตาขึ้น ก็ได้ตัวหนึ่งนะ ได้ตัวพยัญชนะตัวเดียวนะ นี่ก็จากตัวเดียวนี่เขาต้องผสมเป็นคำ เพราะฉะนั้นคนที่ต้องการจะได้คำตอบจากเขา ก็ต้องอ่าน อ่านตัวพยัญชนะทั้งยี่สิบหกตัวตามความถี่ไปอีก อ่านไปเรื่อย ๆ สมมติว่าเขาอยากจะพูดคำว่า WANT สมมุตินะ WANT ก็สะกด W A N T คนที่จะพูดด้วยก็ต้องพูดคำนี้ไปสี่คำ คือหมายความตัวอักษรนี่ไปสี่ครั้ง พอเขาได้ตัว W เอาไว้ตัวหนึ่ง เขาเลิกเปลือกตา คนนั้นก็จะเก็บ W ไว้ พอตัวต่อไปก็ว่าไป พอถึง E S A เชื่อว่าโบบี้ต้องเลิกเปลือกตาของเขาทันทีเมื่อตัว A มาถึง เพราะ W มันต้องสะกดตามด้วย A  นี่ก็ว่าไปอีกจนกระทั่งได้ N แล้วก็ได้ T  รวมว่าคำหนึ่งนี่โบบี้จะต้องเลิกเปลือกตาของเขาสี่ครั้ง W A N T  WANT ก็สี่ครั้ง แต่คนที่จะต้องอ่านนี่อาจจะต้องอ่านมากหลายครั้ง นี่เป็นวิธีสื่อสาร แล้วโบบี้เขาก็เขียนจดหมายข่าวถึงเพื่อนของเขา ส่งไปให้รู้ว่าบัดนี้เขารู้เรื่อง เขายังสามารถทำอะไรต่ออะไรได้เหมือนคนทั้งหลาย เพียงแต่เขาเคลื่อนไหวตัวเขาไม่ได้เท่านั้นน่ะ 

    ทีนี้เรื่องนี้เขาให้ชื่อว่า ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ ที่เขาให้ชื่อว่าชุดประดาน้ำและผีเสื้อ เพราะเหตุว่าวิธีการที่รักษา ซึ่งเขาบอกว่าธรรมดาโรคเส้นโลหิตสมองแตกนี่มันเป็นเรื่องที่ตายกันไปหมดแล้วทั้งนั้น แต่วิทยาการทางการแพทย์ของฝรั่งเศสในตอนนั้นนี่ก็เรียกว่าเก่งมากล่ะ ก้าวหน้ามาก เพราะฉะนั้นเขาถึงพยายามเก็บเอาไว้ได้ แทนที่จะตายไปทันที ก็ไม่ตายทันที แต่เขาเก็บเอาไว้ได้ แต่วิธีเก็บที่เขาคาดว่าเขาอาจจะรักษาได้ต่อไปในอนาคต เขาก็เหมือนกับฝังตัวโบบี้นี่ลงไปในไม้ที่เหมือนกับเป็นกางเขน  แล้วเสร็จแล้วก็มีการผูกมัดรัดอะไรต่ออะไรต่าง ๆ ซึ่งเขาเปรียบเหมือนกับว่าเขานี่ต้องอยู่ภายในเสื้อชุดประดาน้ำ แล้วก็ต้องอยู่เหมือนกับชุดประดาน้ำนี่อยู่ใต้น้ำอยู่ตลอดเวลาเลย เพราะถ้าหากว่าไม่สวมชุดประดาน้ำใต้น้ำ โผล่ขึ้นมามันก็จะต้องตาย เพราะฉะนั้นลักษณะของเขานี่ก็คือตัวแข็ง อยู่อย่างนี้แล้วก็มีครอบแก้วครอบหัว ครอบแก้วนั้นก็จะมีท่ออากาศหายใจ ใครเป็นใครที่เคยไปดำน้ำก็คงจะรู้ นี่เขาก็เปรียบตาซ้ายของเขาเหมือนกับครอบแก้ว ที่เขาจะรู้เรื่อง แล้วก็มองเห็น แล้วก็ตอบโต้ สื่อสารกับใคร ๆ ได้ แต่ทว่าตัวเขานี่ต้องจมลงไปอยู่ในเสื้อประดาน้ำ แต่ว่าสมองของเขาหรือจิตใจของเขาสามารถจะโบยบินไปที่ไหน ๆ ก็ได้ เหมือนกับผีเสื้อที่ไปสูบรสหอมหวานจากมวลดอกไม้ต่าง ๆ 

    เพราะฉะนั้นเขาก็เปรียบให้เขาฟัง เปรียบให้คนทั้งหลายรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่นิ่ง เขาไม่ได้อยู่เฉย เพราะฉะนั้นข้างในของเขา สมองก็ดี จิตใจก็ดี เขาทำงานอยู่ตลอดเวลา เขาไม่ได้อยู่เฉย ๆ เลย แล้วก็หลังจากที่เขาเขียนสารถึงเพื่อน คือเขียนจดหมายข่าวถึงเพื่อนเดือนละฉบับ เขาก็ตั้งใจว่าเขาจะต้องทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น นั่นก็คือเขียนหนังสือเป็นเล่ม แล้วเขาก็เขียนหนังสือออกมาเป็นเล่ม คือเล่มนี้มีความยาว 130 หน้า แยกออกเป็นบทได้ 29 บท แล้วก็เป็นหนังสือที่น่าอ่านมาก ที่ว่าน่าอ่านเพราะเป็นหนังสือที่มีสาระ มีแก่นสาร มีความคิดที่น่าติดตาม แล้วก็มีความรู้สึกที่แสดงออกมาให้เห็นต่อคนที่ได้อ่านหนังสือเรื่องนี้ มีนักวิจารณ์ที่กล่าวขวัญถึงนี่อย่างน่าฟังมากมายหลายเรื่องทีเดียวแหละ 

    แล้วก็พอหนังสือเล่มนี้ เขาโบบี้เป็นอยู่ในชุดคือเป็นอัมพาตทั้งตัวนี่ มีชีวิตอยู่ด้วยการมีลมหายใจประมาณ 15 เดือน  6 เดือนล่วงแล้วนี่เขาเขียนสารถึงเพื่อนเขา แล้วก็ต่อมาอีกสักไม่กี่เดือนน่ะ เดือนกรกฎาคม สิงหาคม เขาเริ่มเขียนหนังสือเรื่องนี้ โดยวิธีเขียนก็มีสำนักพิมพ์ฉบับหนึ่งซึ่งต้องการน่ะ ต้องการต้นฉบับจากโบบี้ ก็ส่งบรรณาธิการคนหนึ่งมา บรรณาธิการในสำนักเขานี่ ให้มาทำงานกับโบบี้ทุกเวลาบ่าย บรรณาธิการเป็นผู้หญิง บรรณาธิการคนนี้ชื่อโกล๊ด (Claude) แล้วก็เป็นคนที่มีความอดทนมากเลย เพราะเขาจะต้องมานั่งทำงานกับโบบี้ แล้วก็ขานตัวอักษรทั้ง 26 ตัวตามความถี่ที่จัดใหม่นี่ เขาบอกว่าเป็นล้าน ๆ ครั้ง แล้วส่วนโบบี้ก็ต้องเลิกเปลือกตาของตัวเองเพื่อจะโต้ตอบเป็นแสน ๆ ครั้ง เพราะว่าในการเขียนหนังสือนี่ วิธีเขียนของเขานี่ ก็แน่นอนล่ะ ใครจะเขียนหนังสือก็ต้องมีโครงเรื่องเอาไว้แล้วใช่ไหม แต่อย่างคนธรรมดานี่เราก็เขียนโครงเรื่องลงในกระดาษ เริ่มต้นบท 1 เป็นอย่างไร  2 3 4 จนจบเป็นอย่างไร แต่โบบี้เขาต้องมีเค้าโครงเรื่องทั้งหมดอยู่ในสมอง แล้วในสมองของเขานี่พอมีเค้าโครงเรื่องแล้ว เขาก็ต้องแจกแจงออกเป็นบท เริ่มต้นบทที่ 1 เป็นอย่างไร บทที่ 2 บทที่ 3 ที่ 4 เป็นอย่างไร แล้วในแต่ละบทนั่นล่ะจะเริ่มด้วยประโยคอะไร จะมีคำพูดอะไร จะมีเนื้อความอะไร ทุกอย่างนี่เขาต้องเก็บไว้ในสมองหมด และก็แต่ละประโยคนั้นน่ะจะใช้คำพูดอะไรถึงจะเป็นสำนวนภาษาที่เหมาะสม สละสลวย คมคาย ชัดเจน ชวนให้คนอ่านเข้าใจได้ รู้เรื่องได้ และเขาต้องเก็บสะสมเรื่องทั้งหมดนี่อยู่ในสมองทั้งหมดเลย แล้วแต่ละประโยคที่เขาคิดนี่จะพลาดไม่ได้ คือจะไปเอาหน้ามาอยู่หลัง หลังมาอยู่หน้า สลับกันสักคำหนึ่งก็ไม่ได้ ถ้าสลับกันสักคำหนึ่งต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ลองนึกดูเถอะ คนธรรมดานี่มีครบหมด เขียนอะไรเข้ายังหลง ๆ ลืม ๆ ได้หน้าลืมหลัง ทิ้งนั่นทิ้งนี่ เอ๊ะ นี่เขาทำได้อย่างไร น่าจะคิด นี่เขาทำได้อย่างไร นี่เขาบันทึกเอาไว้ในสมองหมดทุกอย่าง แล้วก็เริ่มวิธีเขียนหนังสือเขาด้วยวิธีนี้ ซึ่งบรรณาธิการที่มาทำงานร่วม คือโกล๊ด ก็ไม่รู้หรอกว่าเรื่องของโบบี้นี่มันจะเป็นอย่างไร มันจะออกไปทางไหน เพราะโบบี้ไม่สามารถจะอธิบายให้ฟังด้วยปากได้ ว่านี่นะเรื่องของผมนี่มันจะดำเนินอย่างนี้ มันจะไปอย่างนี้ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของบรรณาธิการที่มาช่วยเขียนให้นี่ทำได้อย่างเดียว คืออ่านตัวอักษรพยัญชนะ 26 ตัวตามลำดับความถี่ อ่านไปเรื่อย อ่านไปเรื่อย จนกว่าโบบี้เลิกเปลือกตาข้างซ้ายเมื่อไหร่ เขาก็หยุดแล้วก็จดอักษรตัวนั้นลงไป ถ้าสมมติเขาเลิกเปลือกตาตรงตัว L ก็เขียนตัว L ลงไป แล้วก็อ่านไปอีก ทวนไปอีก จนโบบี้เลิกเปลือกตาอีกครั้ง ได้อีกตัว เขาหยุดตรงไหนก็รีบเขียนไปผสมได้เป็นคำ แล้วก็จากคำก็ค่อย ๆ ผสมเป็นประโยค แล้วจากประโยคก็ค่อย ๆ รวมเป็นบรรทัด แล้วก็เป็นบท แล้วก็จากแต่ละบทนี่แหละจึงจะรวมออกมาเป็น จัดแยกออกมาเป็น บทตอนตามลำดับของแต่ละบทนี่ในเล่มจะเริ่มต้นอย่างไร ทั้งหมดนี่เขาใช้เวลา 2 เดือน ด้วยวิธีนี้เขาใช้เวลา 2 เดือน ก็ต้องนับว่าเป็นความอดทนเข้มแข็งอย่างยอดเยี่ยมของทั้งผู้แต่ง แล้วก็ของทั้งบรรณาธิการนั่น แล้วก็เชื่อว่าเขาต้องมีความเห็นใจซึ่งกันและกัน ซึ่งเมื่อโกล๊ดได้รับคำถามเกี่ยวกับการทำงานอันนี้ เขาก็บอกว่าเขามีความสุขมากเลยที่เขาได้มานั่งทำงานกับโบบี้ ทั้ง ๆ ที่ว่าไปแล้วเขาก็เป็นผู้อ่านและก็เป็นผู้เขียน ผู้เขียนตามคำที่โบบี้ผสมคำออกมาจนจบเรื่องใน 2 เดือน ในเดือนกรกฎาคมและก็เดือนสิงหาคม แล้วเสร็จแล้วโกล๊ดก็ไป คงจะไปเรียบเรียงให้เรียบร้อย แล้วก็พอเสร็จเป็นต้นฉบับก็มาอ่านทบทวนกันอีกทีหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ใช้เวลาประมาณ 3 อาทิตย์ เขาก็ได้เป็นหนังสือเล่มนี้ออกมา สำนักพิมพ์ก็ไปรีบพิมพ์อย่างเร็ว พิมพ์ออกมาในวันที่ 6 มีนาคม 39  เขาบอกว่าพิมพ์มา 25,000 เล่ม เกลี้ยงในพริบตาเดียว สำนักพิมพ์ก็พิมพ์เพิ่มอีกทันทีอีก 30,000 เล่ม ก็หมดในทันทีอีกเหมือนกัน สรุปแล้วก็กล่าวได้ว่าหนังสือนี้เขาพิมพ์รวมแล้วสัก 300,000 กว่าเล่มภายใน 2 เดือน สถิติการพิมพ์ขายดีมาก แล้วประเทศต่าง ๆ ก็ติดต่อมาขอลิขสิทธิ์เพื่อเอาไปแปล รวมแล้ว 21 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย 

    ประเทศไทยนี่ก็เป็นประเทศที่ 4 ที่ไปติดต่อขอลิขสิทธิ์มาพิมพ์ ในเอเซียนี่ก็มีญี่ปุ่น จีน เกาหลี เกาหลีเป็นประเทศแรกของเอเซียที่ติดต่อไป รวมแล้วมี 21 ประเทศ ก็แต่ละประเทศก็ไปพิมพ์ออกแล้วก็เป็นหนังสือขายดี ก็เชื่อว่าพอจะเข้าใจว่าที่ขายดีเพราะอะไร  เพราะหนึ่ง กิตติศัพท์ ความกว้างขวาง ความมีชื่อเสียง หรือเรียกว่า popularity ของโบบี้ ตั้งแต่เขายังเป็นคนที่มีสุขภาพปกติธรรมดาในฐานะบรรณาธิการบริหารของนิตยสารแอล ซึ่งไม่ใช่ใครจะเป็นได้ง่าย ๆ แล้วเขาก็เล่าว่าแม้เมื่อโบบี้มาเป็นอัมพาตแล้ว มองดูก็ไม่มี ไม่น่าจะมีหวังหรอกที่จะกลับไปทำงานได้อีก แต่ผู้อำนวยการของนิตยสารแอลก็ยังคงชื่อของโบบี้ไว้ ว่าเป็นบรรณาธิการบริหารอยู่ตลอดไป คือไม่ได้ตัดชื่อโบบี้ออก แม้ว่าตัวเขาเป็นอัมพาตอยู่ในโรงพยาบาล นี่ก็คงเป็นเครื่องรับรองได้อย่างหนึ่งล่ะว่า ถึงคุณสมบัติของความสามารถในการทำงาน แล้วก็คุณสมบัติลักษณะส่วนตัวของเขา เป็นที่นิยมและเชื่อถือเพียงใด เพราะฉะนั้นหนังสือเรื่องนี้ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง อย่างที่ว่าขายดีทั่วโลกที่รับไป ที่รับไป แล้วของเมืองไทยเราก็เอามาพิมพ์ด้วย แต่ว่าหลังจากที่หนังสือออกได้ 3 วัน  คือออกพิมพ์ครั้งแรก 3 วัน เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พอถึงวันที่ 9 มีนาคม โบบี้ก็เกิดหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน อีก 3 วันต่อมาเขาก็เสียชีวิต อายุเพียงแค่ 45 ปี ก็เป็นที่กล่าวขวัญถึงหนังสือเรื่องนี้ว่าเป็นทั้งจะเรียกว่าเป็นนวนิยายก็ได้ จะเป็นความเรียงก็ได้ จะเป็นเรื่องเล่าสั้น ๆ ก็ได้ หรือจะเรียกว่าเป็นประวัติของเขาก็ได้ เพราะว่าอ่านจบเราก็พอรู้ รู้ความเป็นความมาของโบบี้ ว่าเขาเป็นอย่างไร เขาทำงานอะไร เขามีชีวิตอย่างไร ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมาประสบอุบัติเหตุ เพราะว่าในหนังสือสั้น ๆ เล่มนี้  เขาพูดถึงประสบการณ์จริงที่มีที่ชีวิตเขาผ่านมา ทั้งในอดีต และก็ในปัจจุบัน แล้วก็ตลอดถึงทุก ๆ สิ่งที่ผ่านมาในชีวิตเขาด้วย รวมทั้งจินตนาการที่เขาใส่ผสมลงไปในหนังสือเรื่องนี้  แล้วก็มีผู้อ่านก็บอกว่า ในการที่เขามองโลกในมุมต่าง ๆ ที่เขามาเล่าให้ผู้อ่านฟังนี่ เป็นการมองด้วยสายตาที่เฉียบคม ไม่ใช่มองอย่างทื่อ ๆ หรือตื้น ๆ เพราะฉะนั้นหนังสืออันนี้แม้จะเรื่องสั้น คือหมายความว่าเล่มไม่ยาว เนื้อเรื่องไม่ยาว แต่ก็เป็นที่ประทับใจของคนทั่ว ๆ ไป แล้วก็ยังมีอารมณ์ขัน เพราะชีวิตของเขาโดยปกติเขาเป็นคนมีอารมณ์ขัน เรียกว่ารุ่มรวยอารมณ์ขัน เมื่อมาเขียนหนังสืออย่างคนที่เป็นอัมพาตทั้งตัว อารมณ์ขันก็ยังปรากฏอยู่ 

    นอกจากนี้ถ้อยคำโวหารเปรียบเทียบคมคาย เฉียบคม ประทับใจ มีคำวิจารณ์ของนักเขียน นักวิจารณ์ต่างประเทศ คือในยุโรปก็ตาม ในอเมริกาก็ตาม มากมายหลายคน แต่คนหนึ่งนี่ที่อยากจะพูดให้ฟัง คำวิจารณ์ของนักเขียนนักวิจารณ์คนนี้เขาก็พูดสั้น ๆ แต่มีความหมาย เขาบอกว่าลีลาการเขียนภายใต้ความกดดัน คือลีลาอันสูงส่ง เขาบอกคำพูดอันนี้น่าจะเป็นคำพูดของเฮมิงเวย์ (Hemingway) นะ ถ้าใครเป็นนักอ่านก็คงจะได้ยินชื่อเฮมิงเวย์หรอก เป็นนักเขียนที่ได้รับรางวัลโนเบล เขียนหนังสือเก่งมาก แต่เขาบอกว่าใครจะพูดก็ตามเถอะ แต่มันมีความจริงในหนังสือที่ชื่อว่าชุดประดาน้ำและผีเสื้อนี่ เพราะลีลาการเขียนนี่เขาบอกว่าสูงส่งมาก ซึ่งแต่ละคำนี่ต้องใช้พลังเหนือมนุษย์ ไม่ใช่พลังธรรมดา พลังเหนือมนุษย์ กว่าจะเค้นออกมาได้สักหนึ่งคำ ภาษารื่นไหล ไม่รู้สึกขัดหูขัดความรู้สึกในการที่อ่านเลย ไม่ใช่ภาษาโทรเลขจากเตียงคนเจ็บ นี่ต้องชมว่านักวิจารณ์คนนี้ใช้ภาษาอุปมาเก่งมาก 

    คำว่าภาษาโทรเลขหมายความว่าอะไร เข้าใจบ้างไหม ใครเคยอ่านโทรเลข สั้น ๆ ห้วน ๆ แล้วถ้าไปโดนคนเคาะโทรเลขขี้หลงขี้ลืมเข้าไปอีก ก็ทำให้ภาษามันขาดตอนขาดวิ่นต่าง ๆ แต่เขาบอกว่านี่ไม่ใช่ภาษาโทรเลขจากเตียงคนเจ็บ คาดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบภาษาที่ลื่นไหล น่าอ่านอย่างนี้ เปี่ยมด้วยอารมณ์ขัน ร่าเริงชวนสนุก แหลมคมเหมือนรสชาติของลูกแอปริคอตที่ใช้ทำอาหาร อันนี้ก็ถ้าใครเคยรับประทานลูกแอปริคอตแล้วก็ชอบ ก็จะรู้รสว่าเป็นอย่างไร แต่ของเราก็นึกดูว่าเราเอาผลไม้ไทยอะไรมาทำอาหาร มันอร่อยติดใจอย่างไรก็นึกอุปมาเอาเองก็แล้วกัน ทรงพลัง ก็หมายถึงว่าถ้อยคำโวหารที่ใช้ทรงพลัง ดุจก้าวย่างที่มั่นใจของหนุ่มน้อยที่นัดหมายกับสาวครั้งแรก เขาคงว่าหนุ่มน้อยที่นัดกับสาวครั้งแรกคงไม่ใช่หนุ่มน้อยสมัยนี้นะ สมัยนี้มีพลังตลอดเวลา แต่สมัยก่อนน่ะไปนัดกับสาวน้อยครั้งแรกมันคงตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เพราะไม่รู้ว่าการนัดครั้งแรกนี่จะเป็นอย่างไร จะล้มเหลวหรือจะสัมฤทธิ์ผล แต่เขาบอกว่าหนังสือของโบบี้เรื่องนี้ทรงพลังดุจก้าวย่างที่มั่นใจของหนุ่มน้อย หนุ่มน้อยคนนี้มั่นใจมาก ว่าไปหาสาวน้อยคนนี้คราวนี้ต้องชุ่มชื่นเบิกบานเป็นแน่ มีความมั่นใจอยู่ในนั้น อ่านแล้วคุณจะหลงรักชีวิตอีกครั้ง อ่านเล่มนี้จบแล้วจะหลงรักชีวิตอีกครั้ง เท่าที่ฟังเพียงแค่นี้รู้สึกว่าอ่านแล้วจะหลงรักชีวิตบ้างไหม มีความรู้สึกอย่างนี้ขึ้นบ้างไหม เอ้า ถ้าไม่มีก็นึกต่อไป 

    ทีนี้ในความรู้สึกของผู้อ่านเป็นอย่างไร ในส่วนตัวเองที่อ่านจบแล้วนี่ คือเราฟังเนื้อเรื่องฟังชีวิตของเขาแล้ว มันก็จะต้องรู้สึกว่า โอ้โฮ มันคงเต็มไปด้วยความขมขื่น คับแค้น ขัดเคืองชีวิตโชคชะตา เรากำลังอยู่บนสวรรค์แท้ ๆ แล้วอยู่ดี ๆ ทำไมถึงถูกผลักตกลงมาจากสวรรค์ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยอย่างนี้ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น จะไม่ปรากฏลักษณะที่จะทำให้ผู้อ่านนี่รู้สึกอึดอัด หรือว่าบีบหัวใจ หรือว่าพลอยคับแค้นขมขื่นไปกับชีวิตของเขาด้วย ไม่มี นี่แสดงถึงว่าในจิตใจของผู้เขียนเป็นอย่างไร เขามีความรู้สึกอย่างไร เขาถึงไม่แสดงความรู้สึกอะไรต่าง ๆ นี่ออกมาเลย ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความรู้สึกเสียเลยนะ เพราะเหตุว่าผู้ที่เป็นหมอพยาบาลนี่ ก็ไม่ใช่ว่าจะมีความนุ่มนวล อ่อนโยน มีเมตตาต่อคนไข้ ทุกคนเคยไปโรงพยาบาลน่ะหรือไปหาหมอ ก็ย่อมจะต้องรู้จักลักษณะของหมอและพยาบาลทั่ว ๆ ไป บ้างก็มีน้ำใจ แต่บ้างก็กระชากกระชั้น กระแทกกระทั้น เหมือนกับคนไข้เป็นไม้ ไม่ใช่มีเนื้อที่มีเลือดเนื้อ เขาก็โดนทำอย่างนี้เหมือนกัน บางคนคือเขานี่มีทั้งหมอทั้งพยาบาลสารพัด เขาต่างก็มารุมดูว่าเคสของเขานี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วจะแก้ไขอย่างไร แล้วจะทำให้มันดีขึ้นได้อย่างไร เพราะอย่างนั้นเยอะเชียวที่มา บางคนก็อาจจะอ่อนโยนนุ่มนวล แต่ว่าบางคนก็กระแทกกระทั้น เวลาอาบน้ำที เวลาโกนหนวดที เขาก็รู้สึกเหมือนกับมีดโกนอันนั้นน่ะ คงจะเป็นมีดโกนที่ใช้มาเป็นเวลานานแล้ว มันก็ทั้งทื่อทั้งอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ หรือบางทีก็บีบเขา บีบมือเขานี่ จับมือเขาจนเจ็บ หรือว่าจับเขาอยู่ในท่าที่ทำให้เขาเจ็บปวด ไม่ได้ทำให้อยู่ในท่าที่สบาย ไม่ว่าจะเป็นท่านั่งหรือท่านอนก็ตาม บางทีก็อยากจะรีบกลับบ้าน ก็จะแกล้งปิดวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่โบบี้จะได้รับ เหมือนกับว่าเป็นความบันเทิง หรือเป็นความที่รู้สึกว่าตัวไม่ถูกทิ้งอยู่คนเดียว แกล้งปิด หรือบางทีก็ไม่เปิดช่องที่เขาต้องการ ทั้งที่เขาส่งสัญญาณแล้วนะ สัญญาณจากลูกนัยน์ตาของเขาแล้วนี่ ก็มีอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่ว่าบางครั้งเขาก็อาจจะพูดเหมือนอย่างกับถูกกดดันนิดหน่อย แต่เขาจะต้องลงเอยด้วยว่า เออ ที่จริงน่ะเขาก็ดีกันทุกคนแหละ แล้วผมก็รักเพชฌฆาตของผมทุกคน เพราะฉะนั้นแม้ว่าเขาจะได้รับความกระทบกระเทือนบ้าง แต่ผลที่สุดเขาจะต้องลงเอยด้วยความเมตตา เมตตาเห็นใจบรรดาผู้คนทั้งหลาย นี่คือสำนวนของเขา อย่างเราได้ยิน เออ ผมก็รักเพชฌฆาตของผมทุกคน เราก็ยังอดยิ้มไม่ได้ นี่เขายังมีอารมณ์ขันที่เขาจะรู้สึกอย่างนี้ แต่ว่าเราคนอ่านนี่เราไม่รู้สึกเลย ไม่รู้สึกว่าเราถูกบีบคั้นหัวใจจากการอ่านที่เขาเขียนอย่างนี้ จะมีบ้างก็เมื่อเรามีความรู้สึกสงสาร เช่น เขาก็จะมีบทหนึ่งซึ่งพูดถึงวันที่จะได้พบกับลูกสองคน แล้วก็ภรรยาที่เป็นแม่ของลูก วันนั้นก็จะเป็นวันที่เขาเองเจ็บระบมไปหมดเลย เพราะว่าเขาจะนั่งเก้าอี้รถนี่ออกไปข้างนอก คือขอให้ช่วยกันเข็นเขาออกไป เพื่อที่จะได้ไปสูดอากาศข้างนอกห้อง ข้างนอกห้องพักของเขา ทีนี้ทางที่จะออกจากห้องพักของเขา กว่าจะไปถึงชายหาดที่เขาอยากจะไปนี่ มันขรุขระ มันเป็นหลุมเป็นบ่อ เพราะฉะนั้นเขานี่กระดอนขึ้นกระดอนลง เจ็บก้นนี่เหลือประมาณ แต่เขาก็ไม่บ่นเลย เพราะว่ามันเป็นวันที่มีความสุขที่เขาได้อยู่กับลูก ๆ  ลูกสองคน ลูกผู้ชายก็น่ารักเฉลียวฉลาด เวลาเขาพูดกับพ่อน่ะ เขาจะเหมือนกับจะให้พ่อนี่ชุ่มชื่นใจ เขาจะเรียกพ่อเขาว่า เป็นอย่างไรเกลอแก้ว หรือเกลอเก่าสบายดีไหม อะไรทำนองนี้ แล้วเขาก็ตอบกันด้วยวิธีเลิกเปลือกตา ลูกก็จะต้องรู้อักษรอย่างนี้ที่ใช้ความถี่นี่ แล้วลูกสาวก็จะร้องเพลง แล้วก็เล่นกายกรรมที่เขาได้ไปฝึกหัดมา ให้เขารู้สึกภูมิใจ เป็นวันที่เขามีความสุข เพราะฉะนั้นแม้มันจะเจ็บปวดจะลำบากอย่างไร เขาก็พร้อมที่จะทน เพราะเป็นวันเดียว หรืออย่างอีกวันหนึ่งเพื่อน ๆ นี่ก็จะมาเยี่ยมเขาเสมอ เขาเป็นคนที่เพื่อนรัก และเพื่อนก็คงเห็นใจที่เกิดชะตากรรมอย่างนี้ แต่เขาก็รู้ว่าเพื่อนเหล่านั้นนี่มาไกล เพราะว่าโรงพยาบาลที่เขาอยู่นี่อยู่ริมชายทะเลทางด้านเหนือของฝรั่งเศส บ้านเขาหรือว่าถิ่นฐานของเพื่อนฝูงก็มักจะมาจากปารีส ก็ต้องขับรถกันเป็นหลายชั่วโมงกว่าจะมาเยี่ยมเขาได้ แต่เขาก็มองดูจากประตูที่แง้มอยู่แล้วมองออกไป ก็จะเห็นว่าเพื่อนคนหลายคนนี่กว่าจะเข้ามาถึงตัวเขาได้นี่ ยืน ถ้าเราใช้คำไทยคือยืนทำใจอยู่ข้างนอก แล้วก็จนกระทั่งสามารถรักษาเสียงให้ปกติได้ เช็ดน้ำตาเสียก่อน ถึงจะเดินเข้ามาทักทายเขา เหมือนอย่างกับว่าเป็นคนปกติ แล้วเขาก็แอบเห็นด้วยว่าบางคนมาแอบมองแล้วก็วิ่งกลับปารีสไปเลย โดยไม่ได้เข้ามาในห้องเพื่อมาเยี่ยมก็มี ก็คงจะเป็นคนที่ทนไม่ได้ที่จะเห็นเพื่อนอยู่ในลักษณะอย่างนี้ แต่ก็มีเพื่อนหลายคนเหมือนกัน บางคนนี่จะทำเหมือนกับเขาเป็นคนปกติ ไม่ใส่ใจกับอาการ พอมาถึงก็จะมาจูบหน้าผากเหมือนกับเคยทำกัน เสร็จแล้วก็จะเอาตัวของโบบี้ใส่รถ แล้วก็พาออกไปข้างนอก โบบี้ก็อยากจะไปชายทะเล คือหมายความว่าไปชายหาดน่ะที่ติดกับทะเล แล้วก็เพื่อนก็เข็นไป ๆ ก็ถามพอหรือยังล่ะ กลับหรือยัง โบบี้ก็จะส่ายหัว เขาบอกเขาจะส่ายหัวทั่วทุกทิศเท่าที่เขาจะทำได้ เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะทำได้ เขาจะส่ายหัวเพื่อแสดงว่ายังไม่กลับ ยังไม่กลับ เขายังต้องการจะไปต่อไป ก็ไปจนกระทั่งสุดชาย เราก็นึกว่าเขาจะไปทำอะไร พอไปถึงตรงนั้นเข้าสุดชายนี่ เขาก็สูดกลิ่นที่เขาพอใจแล้วก็คิดถึงมานานเต็มที่ ในขณะที่คนอื่นบอก โอ๊ย เหม็น เหม็นกลิ่นน้ำมัน แต่โบบี้บอกว่าเขาไม่มีวันหรอกที่เขาจะเหม็นกลิ่นมันทอด ก็คงนึกเถอะ มันฝรั่งทอดน่ะก็เป็นของที่เขาชอบกินกัน เป็นของธรรมดา แต่บัดนี้เขาไม่สามารถจะกินอะไรได้เลย นอกจากต้องใช้ใส่อาหารทางท่อ เพราะฉะนั้นเพียงแต่ขอให้เพื่อนนี่เข็นไปเถอะ ไปจนสุดทางนี่ แล้วเราก็อดขันไม่ได้ โธ่ เพื่ออะไร เพื่อไปสูดกลิ่นมันทอดให้ชื่นหัวใจเสียหน่อย เพราะว่าไม่ได้ลิ้มรสมานาน ขอสูดกลิ่นก็เอา นี่ก็จะมีที่เป็นอารมณ์ขัน ๆ ซึ่งก็คงไม่ขันหรอก น่าเศร้ามากกว่า แต่เขาไม่เขียนให้มันเศร้า เขาไม่ต้องการให้คนอ่านนี่มันมีความเศร้าสลด หรือว่าเจ็บปวดอะไรไปกับเขาด้วย เขาไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเขาก็เลยพูดในเรื่องที่ทำให้คนอ่านก็รู้ว่าเขาชอบอะไร ต้องการอะไร จะทำอะไร แต่ในอารมณ์ของคนปกติ เพราะฉะนั้นนักเขียนนักวิจารณ์ในยุโรปนี่เขาก็วิจารณ์ออกมาน่าอ่านมากเลย หลาย ๆ นักวิจารณ์ที่เขียนมาให้ฟัง 

    ทีนี้ก็อาจจะถามว่า มาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังทำไม อาจจะมีคำถามของคนที่นั่งอยู่ที่นี่ มาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังทำไม ใครพอจะตามได้บ้างว่าที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังน่ะเล่าให้ฟังทำไม ถึงได้บอกให้ฟังอย่างพินิจพิเคราะห์ ถ้าฟังอย่างพินิจพิเคราะห์ก็จะรู้จุดหมายในการเล่า ใครจะบอกได้ว่าเล่าเรื่องนี้ให้ฟังทำไม  

    ผู้ร่วมสนทนา : อาจารย์คงอยากจะให้กำลังใจกับพวกเราด้วยน่ะคะ ว่าเจออุปสรรคอะไรนี่อย่าท้อถอยง่าย ๆ นะคะ  

    อุบาสิกา คุณรัญจวน : ถูก 

    ผู้ร่วมสนทนา : อันนี้ต้องเรียกว่าเหนือมนุษย์เลยนะคะ คนเราคงจะมีกำลังใจทำอย่างนี้ได้ ถ้าเกิดเราฟังเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้เสริมกำลังใจขึ้นมา ถ้าสมมติว่าเราอยู่ในภาวะที่ถูกกดดันหรืออะไรอย่างนี้นะคะ เราควรจะมีกำลังใจสู้แล้วก็มองโลกในแง่ที่ว่า มันมีโอกาสที่จะทำสิ่งที่ดี ๆ 

    อุบาสิกา คุณรัญจวน : ก็ถูก ที่เพชรรัตน์พูดมาก็ใช่ ถ้าหากว่าใครฟังเรื่องนี้อย่างพินิจพิเคราะห์ ก็จะรู้สึกว่าเรื่องนี้นี่มันไม่ใช่เรื่องหนังสืออ่านเล่นธรรมดา แต่มันเป็นเรื่องที่ให้กำลังใจ ชี้หนทาง แล้วก็อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า เราจะมองเห็นว่าเขามีชีวิตอยู่ได้อย่างไรตลอดเวลา 15 เดือนนี้อย่างที่ไม่ทนทุกข์ทรมาน จนเหมือนกับตกนรก แม้ว่าร่างกายเขาก็ทนทุกข์ทรมานเหลือเกิน ก็เพราะเขาเป็นคนที่มองในแง่ดี แล้วก็ในเรื่องนี้บทสุดท้ายนี่ บทต้นเขาก็จะพูดถึงว่าเขาเพิ่งจะออกมาจากโคม่า พอจะเริ่มรู้สึกตัวว่าอยู่ในสถานะอย่างไร แต่เราก็ไม่รู้หรอกว่าเหตุที่เขาเป็นนี่มันเพราะอะไร และเขาก็ไม่เคยพูดตรง ๆ  จนเราอ่านบทสุดท้ายนี่ เราก็เดาได้เลย อ๋อ เหตุที่ทำให้เขาเส้นโลหิตในสมองแตกนี่ ก็นอกจากการที่เขาทำงานหนัก แน่นอนน่ะ งานนี้เป็นงานหนัก งานในหน้าที่ งานหนัก แล้วไหนงานจะต้องสมาคม จะต้องติดต่อ จะต้องรับผิดชอบอะไรอื่น ๆ นี่ ตลอดทั้งวันก็ไม่มีเวลาว่าง ว่างั้นเถอะ แล้วในวันนั้นนี่เป็นวันที่เขาเหน็ดเหนื่อยมาก แต่พอกลับมาถึงที่สำนักงานก็พบโน้ตที่เขียนบอกว่า มีคนสำคัญของประเทศ เป็นผู้หญิงคนหนึ่งบอกให้เขาโทรศัพท์กลับไป ก็คือโทรมาแล้วไม่พบ ต้องการพูดด้วย ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นบุคคลสำคัญของบ้านเมืองฝรั่งเศส และอันที่จริงก็เป็นคนที่นิตยสารแอลก็ยกย่องชมเชย แล้วก็ชอบ แต่มันเกิดความผิดพลาด ผู้หญิงคนนั้นก็มาต่อว่า โทรศัพท์ต่อว่า ว่านิตยสารแอลนี่คล้าย ๆ กับทำลายภาพพจน์ ทำให้บุคลิกลักษณะของเขาเสีย แล้วก็ทำอย่างนี้มาหลายครั้งแล้วด้วย โบบี้ก็มองหาเหตุว่าอะไรเป็นเหตุ ก็ปรากฏว่าช่างภาพใหม่ ช่างภาพฝีมือใหม่ของนิตยสาร ซึ่งไปเอาภาพของผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นมาลง แล้วก็จริง ๆ อย่างที่เขาต่อว่า คือเป็นภาพที่ไม่น่าดู แทนที่จะมองดูสง่าผ่าเผย ก็ไม่น่าดู คนนั้นเขายิ่งใหญ่น่ะ เขาก็เลยมาต่อว่า คงจะต่อว่าอย่างรุนแรงน่ะ เพราะประโยคสุดท้ายที่โบบี้เขาเขียนเอาไว้ในย่อหน้านั้นเขาก็บอกว่าเพิ่งรู้ ว่าการแพ้อย่างหมอบราบคาบแก้วนี่เป็นอย่างไร คือเขาไม่มีทางต่อสู้ เพราะว่า อันหนึ่งก็คือว่าถึงแม้ว่าจะได้ตรวจทานกันอย่างดี แต่ภาพนี้ไม่รู้มันเล็ดลอดสายตาไปได้อย่างไร ก็ต้องยอมรับความผิดพลาด และอันที่สองก็ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นก็คงจะต้องใช้ถ้อยคำรุนแรงอะไรต่าง ๆ มากมาย แล้วเขาก็คงจะเป็นคนทระนงตัวคนหนึ่งเหมือนกันในความรู้ความสามารถอะไรของตน ก็คงจะเป็นความกดดันน่ะ แล้วก็ในวันนั้นนั่นแหละที่เส้นโลหิตในสมองเขาแตก แต่เขาก็ไม่เคยพูด ไม่เคยกล่าวขวัญถึงว่า นี่ เพราะอย่างนั้นเพราะอย่างนี้ แต่เราอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์เราก็จะรู้ ว่าที่มาที่ไปมันเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นอันหนึ่งที่เขาเป็นที่รักของเพื่อนก็เห็นจะตอบได้ว่า เพราะเขาไม่เพ่งโทษคนอื่น เขามองอะไรในแง่ดี แล้วก็พยายามที่จะแก้ไขสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นนี่ให้มันเป็นไปด้วยความราบรื่น จนตลอดชีวิตของเขาเขาไม่เพ่งโทษ ทั้งที่เขามีสิทธิ์ที่จะพูดนะ แต่เขาก็ไม่พูด ฉะนั้นเล่าเรื่องนี้ทำไม ก็อย่างที่เพชรว่านี่ก็อย่างหนึ่งล่ะ ก็ถูก ฟังแล้วก็น่าจะมีกำลังใจ สำหรับคนที่ขี้แพ้ ขี้เกียจ อยากจะถอยหลังหนี ไม่เดินหน้ากับอะไรเลย แล้วก็ตกอยู่ภายใต้กิเลส กิเลสเอาไปกิน ตัณหาเอาไปกิน อุปาทานเอาไปกินตลอดเวลา ถ้าหากว่าโบบี้เขาปล่อยชีวิตของเขาอยู่ภายใต้ของกิเลส ตัณหา อุปาทาน เขาจะมีโอกาสยังรู้จักกันไหม คนจะยังรู้จักเขาไหม นี่ได้อ่านเรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อพิมพ์ออกมาในเมืองไทยใหม่ ๆ ก็เมื่อ พ.ศ.41 เก้าปีมาแล้ว ตอนที่อ่านทีแรกก็มีความรู้สึกเห็นใจ แล้วก็อยากจะให้พวกหมอพยาบาลทั้งหลายที่ชอบทำกับคนไข้เหมือนกับเป็นท่อนไม้น่ะได้สำนึก มีจิตใจเห็นใจบ้าง โดยเฉพาะคนไข้ที่เป็นอัมพาต อย่าคิดว่าเขาไม่รู้เรื่อง เขารู้เรื่องก็มี มีอย่างนี้ มีตัวอย่างอย่างนี้ นั่นเป็นความรู้สึกครั้งแรกที่อ่าน แต่พอหยิบมาอ่านอีกก็เลยนึกอยากจะมองหาแง่มุมของธรรมะ โบบี้ไม่ใช่นักธรรมะ ไม่ใช่พุทธศาสนิกชน เขาก็มีการประพฤติปฏิบัติในชีวิตของเขาเหมือนอย่างคนธรรมดา ๆ ทั่วไป แต่เมื่อเราฟังเรื่องของเขาแล้วนี่ เรามองเห็นแง่มุมธรรมะในชีวิตของเขาบ้างไหม มองเห็นบ้างไหม เราก็ฟังเรื่องของธรรมะมาเป็นเวลาเดือนหนึ่งแล้ว เกือบเดือนหนึ่งแล้ว มองเห็นบ้างไหมมีธรรมะอะไรอยู่ในนี้บ้าง อนิจจัง มองเห็นอนิจจังของชีวิต ก็จริงน่ะ อะไรอีก ขันติ อะไรอีก มีจิตสัมปชัญญะของเขา ทำหน้าที่ในฐานะเป็นผู้เขียน เป็นนักเขียน เป็นบรรณาธิการเก่า ทำหน้าที่จนถึงที่สุด ก็ถูก มีอะไรอีก 

    ผู้ร่วมสนทนา : มีความรู้สึกว่าเห็นใจเขามากนะคะ เขาเป็นบุคคลที่มีสติปัญญา มีความเฉลียวฉลาด แต่ว่าเขาไม่ได้มีโอกาสได้พบพระธรรม ถ้าหากว่าเขาได้มีโอกาสรู้จักธรรมะแล้ว ความเฉลียวฉลาด ศักยภาพในการเรียนรู้ มุมมองของเขานี่ แม้จะเพียงไม่กี่ที คิดว่าเขาคงจะสามารถน้อมนำใจเขาให้ที่จบชีวิตลงได้อย่างดีกว่า 

    อุบาสิกา คุณรัญจวน : ก็ดีหรอกที่มีใจเอื้อเฟื้อ ไปนึกถึงว่า แหม ถ้าเขารู้ธรรมะได้ศึกษาธรรมะ เขาก็จะมีโอกาส ก็เชื่อว่าเขาคงจะมีโอกาสจริง คนฉลาดอย่างนี้ก็คงจะมีโอกาสถ้าหากว่าเขาสนใจจริงนะ แต่เขานึกอยากจะสนใจจริงก็คงจะมีโอกาส นี่ในธรรมะที่เราพูด ๆ กันมาไม่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้เลยเหรอ เอ้า อย่างโบบี้นี่เราจะถือว่าเขาเป็นคนรู้จักชีวิตไหม เขารู้จักชีวิตไหม รู้จักอย่างไร รู้จักข้อไหน เราไม่รู้ คือเราไม่ได้รู้จักเขาใกล้ชิดตั้งแต่ตอนแรกเริ่ม เราก็ไม่ทราบหรอกว่าเขารู้จักไหมว่าชีวิตคืออะไร เขาอาจจะไม่คิด ไม่มีเวลาจะคิดว่าชีวิตคืออะไร แต่เขาเกิดมาแล้วเขาเป็นคนมีสามัญสำนึกที่อาจจะสูงกว่าคนธรรมดา เขาก็รู้ด้วยตัวเองว่าเขาจะต้องทำอะไรให้ดีที่สุด เต็มความสามารถของเขา เขาอาจจะไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร แต่เขาต้องรู้ว่าชีวิตนี้อยู่เพื่ออะไร นี่เป็นสิ่งที่เขารู้ แล้วก็ที่เราว่าเขารู้ ก็เพราะจากการกระทำของเขาในระยะสุดท้ายของชีวิต 15 เดือนนี้แหละ เขารู้ว่าคนเรานี่เมื่อมีลมหายใจแล้วนี่อยู่เพื่ออะไร มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เพราะฉะนั้นแม้จะอยู่ตกอยู่ในปัญหา ถ้าจะว่าไปธรรมดา ๆ นี่ เรียกว่าเขาตกอยู่ในความทุกข์ไหม ทุกข์มหาศาลน่ะ หลายคนอาจจะบอกว่าหมอฉีดยาฉันให้ตายเสียเถอะ อย่าปล่อยให้ฉันอยู่ทรมานเลย เพราะว่าในขณะที่เขาฟื้นขึ้นมาใหม่ ๆ นี่ ก็มีหมอที่รักษาเขาคนหนึ่ง คือมีเยอะน่ะหมอ แต่คนหนึ่งนี่ หมอเขามาเล่าให้ฟังว่าเขานี่ได้คุยกับภรรยาเขา ถามว่าถ้าเธอเป็นโรค LIS คือ Locked-in Syndrome อัมพาตทั้งตัวอย่างนี้ เธอจะทำอย่างไร ภรรยาเขาตอบว่า ถ้าฉันเป็นน่ะเหรอ อย่ารักษา ปล่อยให้ตายเลย หมอที่เป็นสามีเขาก็บอก ผมก็ตอบภรรยาเขาว่าถ้าผมเป็น LIS ผมก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อนะ นี่เขาคุยกับโบบี้ แล้วโบบี้ก็ตอบก็ด้วยเปลือกตาของเขานั่นแหละ ว่าผมดีใจที่หมอเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง คำพูดของหมอนี่พูดธรรมดา ๆ แต่คนฟังฟังแล้วรู้สึกอย่างไร ถ้าโบบี้เขาฟังเขาต้องบอกว่าผมดีใจที่หมอพูดที่เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง หมอก็คงจะรู้สึกว่าโบบี้อาจจะไม่อยากอยู่ก็ได้เพราะตกอยู่ในสภาพอย่างนี้แล้ว แต่นี่หมอคนนี้ต้องบอกว่านักจิตวิทยาชั้นสูงเชียว แล้วก็เป็นนักจิตวิทยาที่ประณีตด้วย ต้องใช้คำว่าประณีต ประณีตในคำพูดของเขา ซึ่งเป็นคำเล่าธรรมดา ไม่ได้ตั้งหน้าจะมาปลอบใจโบบี้ นะ มีกำลังใจนะ มันมีหวังหายนะ สักวันหนึ่งวิทยาการทางการแพทย์เจริญเขาคงรักษาได้ เขาไม่ได้มาพูดคำดาษ ๆ อย่างนี้ แต่เขาพูดธรรมดา เล่าเรื่องของเขาเองธรรมดา เพราะเขารู้ว่าคนฉลาดอย่างโบบี้คงจะฟังรู้เรื่อง อาจจะเป็นประโยคปลอบใจธรรมดาอย่างนี้ก็ได้ที่ให้กำลังใจอย่างหนึ่งแก่โบบี้ ที่เล่าให้ฟังนี่นะคะ ในความรู้สึกส่วนตัวนี่ ถ้าเราเป็นคนช่างสังเกตทั้งตาหู ทั้งตา ทั้งหู แล้วก็ทั้งจิตใจของเราโดยละเอียด เราจะได้จากอะไรทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา พอผ่านเข้ามาเราก็จะเห็นเลย เออ นี่สิ่งอะไรนะที่ได้ แล้วน่าจะเป็นตัวอย่าง ถ้าเราจะไปทำอะไร ไปพูดอะไร ไปเขียนอะไรอย่างนี้บ้างนี่ เราได้อะไรมาไว้ในใจเราบ้างไหมนะ ในสมองเรามีบ้างไหมนะ เพราะฉะนั้นที่พูดวันหนึ่งที่บอกว่าตาหูจมูกลิ้นกายใจนี่ ธรรมชาติให้มาเป็นอะไร จำได้ไหม เป็นเครื่องมือของการศึกษา จะไปใช้ศึกษาเพียงในห้องเรียน ก็ดีพอ แต่ยังไม่ดีถึงที่สุด ต้องรู้จักเอามาใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาต้องรู้จักสังเกต รู้จักใคร่ครวญ รู้จักพิจารณาให้ลึกซึ้ง จนเกิดวิจารณญาณขึ้น นี่แหละมันก็จะเกิดประโยชน์กับชีวิต เพราะฉะนั้นนี่เพียงที่เราพูด เพียงที่เราอ่านมาอย่างนี้ ถ้าใครที่ได้ฝึกวิจารณญาณให้เกิดขึ้น จะเก็บอะไรไปเป็นประโยชน์กับตัวเองได้หลายอย่าง เขาเรียกว่าเก็บเพชรพลอยเข้าไป เป็นประโยชน์กับเรา เอาไปใช้ตรงนั้นตรงนี้เมื่อโอกาสเหมาะ ฉะนั้นถ้าหากว่าไม่รู้จักใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจให้เกิดประโยชน์ที่แท้จริง ก็ไม่คุ้มที่ธรรมชาติให้มา ฉะนั้นการที่จะมองอะไรไปเรื่อย ๆ มันก็จะไม่พัฒนาจึงควรที่จะพัฒนาตนเองด้วยวิธีนี้ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเราจะนึกว่า เออ โบบี้นี่เขายังยอมอยู่ เขาไม่คิดว่าตายเสียดีกว่า แต่กลับพยายามใช้สมองสติปัญญา แล้วก็ลมหายใจที่ยังมีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่าที่เขาจะทำได้ เพราะประโยชน์สูงสุดก็คนได้อ่านแล้วก็ได้กำลังใจจากเขา ได้แง่คิด ได้มุมมองในชีวิต แล้วก็ได้เลียนแบบวิธีที่จะอยู่ในโลกนี้อย่างกล้าหาญ ให้เห็นว่าคุณค่าของการมีลมหายใจนี่มีคุณค่ายิ่งกว่าอย่างอื่น อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านรับสั่งแล้วว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ยากนักหนา เพราะฉะนั้นใครที่ด่วนตายทำลายชีวิตตัวเองนี่ ไม่ใช่คนฉลาดเลย ทำลายสิ่งมีค่าที่ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้พบอีก เพราะฉะนั้นก็พูดได้ว่าเขารู้เรื่องของชีวิตไหม เขารู้ เขารู้เรื่องของชีวิต โดยเขาก็ไม่ได้ศึกษาไม่ได้เข้าโรงเรียนในทางนี้ แต่ชีวิตที่เขาผ่านมานั่นแหละมันสอนเขา ถ้าหากว่าผู้ใดมองชีวิตอย่างศึกษา อย่างวิจารณญาณ จะได้บทเรียนของชีวิตนี่มาสอนชีวิตของเราเอง ให้ก้าวต่อไปอย่างฉลาดขึ้น อย่างเจริญขึ้น อย่างเกิดประโยชน์แก่ชีวิตที่แท้จริง แต่ถ้าตลอดเวลาชีวิตนี่ ไม่สังเกต ไม่พิจารณา ไม่ตริตรึกอะไรทั้งสิ้น ยอมปล่อยให้ไปอยู่เป็นทาสของโลภะ โทสะ โมหะ ตัณหา อุปาทาน ก็แน่นอนจะไม่มีวันคิดอย่างโบบี้เป็นอันขาด แม้จะเข้าไปอบรมฝึกอบรมธรรมะ ไปเข้าคอร์สอบรมธรรมะสักกี่คอร์สก็ตาม จะไม่คิดได้อย่างนี้ ถ้าไม่ฝึกจิตใจของเราให้เป็นผู้รู้จักสร้างวิจารณญาณจากการสังเกตให้ละเอียดลออมากขึ้น เพราะฉะนั้นก็พูดได้ว่าเขารู้เรื่องของชีวิต นี่เราก็ย้อนมา โอ้ ที่ท่านอาจารย์ท่านพูดเสมอว่า เราควรจะได้สอนให้เด็ก ๆ รู้จักนะ ตั้งคำถามว่าชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไม อยู่เพื่ออะไร นี่มันเป็นประโยคที่สำคัญจริง ๆ เป็นคำพูดธรรมดา แต่เป็นประโยคที่สำคัญ สำคัญเพราะจะทำให้คน ๆ นั้นน่ะตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมามองชีวิตอย่างมีความหมาย แล้วก็รู้จักคุณค่าของชีวิต แล้วก็ใช้ชีวิตนั้นให้คุ้มค่าแก่การที่ได้มีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ใช้สำมะเลเทเมาตกเป็นทาสของกิเลส อย่างที่ส่วนมากเราเป็นกันอยู่ แม้จะมาอยู่ในสภาพของผู้ประพฤติธรรมก็ตาม ยังอดไม่ได้ที่จะหลงตกไปเป็นทาสของกิเลส ทาสของความรัก ทาสของความโกรธ ทาสของความเกลียด ความกลัว ความอิจฉาริษยา ความอยากได้ เบียดเบียนประทุษร้าย สารพัด ลองย้อนนึกดูจริงไหม จริงหรือเปล่า เอาอย่างเบาะ ๆ ครึ่งของชีวิตที่ผ่านมานี่เราปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้นใช่หรือเปล่า ถ้าใครไม่เป็นก็เป็นกุศล และควรจะก้าวหน้าต่อไป แต่ถ้าใครเป็นก็ให้รีบรู้สึกตัว แก้ไขเสีย ดึงตัวออกมาให้พ้น ถ้าไม่พ้นก็จะไม่ก้าวหน้า จะไม่มีชีวิตที่เจริญในทางธรรมได้ ทีนี้ถ้าเราจะดูต่อไป แล้วเขาทำได้อย่างไร ที่เขาเขียนหนังสือออกมาได้อย่างนี้ เรานี่แหละ อย่างเรา ๆ นี่แหละมีพร้อม กระดาษ ดินสอ เทป วิทยุ โทรทัศน์ เครื่องมือ พิมพ์ดีด คอมพิวเตอร์ เยอะแยะสารพัด ทำได้อย่างนี้ไหม เขามีหลักธรรมหรือมีข้อธรรมะอะไรที่อยู่ในจิตของเขา เขาจึงสามารถเขียนหนังสือได้ด้วยการเลิกเปลือกตา ความสามารถมีแค่นั้นเอง แต่ก็แน่ล่ะต้องมีผู้ช่วย ถ้าไม่มีผู้ช่วยก็ทำคนเดียวไม่ได้ แต่ถึงจะมีผู้ช่วยก็เถอะก็หลายคนก็ไปเปล่า เขามีอะไร อันแรกทีเดียวเขามีอะไรลองนึกสิคะ ความมุ่งมั่น ความมุ่งมั่นที่จะทำ ความมุ่งมั่นที่จะทำนี่เกิดจากอะไร อะไรที่ทำให้เขาไม่ปล่อยชีวิตให้มันล่วงเลยไปเปล่า ๆ หรือตกจมอยู่ในความเศร้าหมอง อะไร ธรรมะข้อไหนที่ทำให้เขารู้สึกว่า เออ เราควรต้องอยู่นะ ยังไม่ควรตาย ธรรมะข้อไหน อะไรนะ 

    ผู้ร่วมสนทนา : ศรัทธา 

    อุบาสิกา คุณรัญจวน : ศรัทธาอะไร 

    ผู้ร่วมสนทนา : ศรัทธาในการที่ยังมีชีวิตอยู่ 

    อุบาสิกา คุณรัญจวน : ศรัทธาในชีวิต อะไรล่ะทำให้เขานึกเกิดศรัทธาขึ้นมาได้ ข้อธรรมที่สำคัญที่สำคัญของชีวิตของมนุษย์ ความทุกข์ ซึ่งอันนี้เราพูดถึงเรื่องความทุกข์ของคน ๆ หนึ่ง แต่เขาไม่ได้ยอมแพ้ความทุกข์ เขาเอาชนะความทุกข์ได้อย่างไรและชนะได้อย่างวิเศษด้วย คนที่จะรู้ว่าอะไรเป็นเช่นนั้นเองน่ะ คนนั้นต้องมีธรรมะข้อไหน ก็สติล่ะสิ เชื่อไหมว่าเขาต้องมีสติคิดขึ้นมาได้ทีเดียวว่า เออ เรายังต้องไม่ตาย ชีวิตนี้ยังมีค่า แล้วเราก็ยังมีความสามารถ นี่เขาต้องมีสติ สติมันเตือนเขา ทุกคนน่ะถ้ามีสติประจำใจก็จะรู้จักยับยั้งรั้งตัวเองไม่ให้กระทำสิ่งใดที่เป็นไปในทางลบ ทีนี้นอกจากสติ พอมีสติ สติจะพาอะไรมา พาปัญญามา ในสตินั้นก็มีปัญญาอยู่ด้วย คือปัญญานี้ก็แซมอยู่แล้ว ก็มีปัญญาอยู่ด้วย แต่ทีนี้เมื่อมีสติมาเป็นอันดับแรก เขาก็นึกทีเดียวว่า เออ ถ้าอย่างนั้นล่ะก็เราจะทำอะไร เขาก็เรียกปัญญามาใช้ ปัญญาก็มาช่วยทำหน้าที่ นำความรู้ความสามารถที่เขาเคยมีเอามาประกอบกัน ทีนี้เพื่อที่จะให้มันทำสำเร็จ เพราะว่าในกรณีของโบบี้ไม่ใช่ของง่าย สติธรรมดาเฉย ๆ ก็ยังจะไม่พอ จะต้องมีอะไรด้วย มีสติ มีปัญญา สติกับปัญญามารวมกันมันช่วยให้เกิดอะไร 

    ผู้ร่วมสนทนา : สัมปชัญญะ 

    อุบาสิกา คุณรัญจวน : สัมปชัญญะ สัมปชัญญะคืออะไร ความรู้ตัวทั่วพร้อม เพราะว่าในกรณีของเขาก็นึกดูสิ เขาจะต้องคิดเรื่องทั้งหมดน่ะเอาไว้ในหัว แล้วก็แต่ละเรื่องนี่ต้องคิดเป็นประโยค แล้วก็ต้องแต่งถ้อยคำในแต่ละประโยคนั้นน่ะ ให้มันสละสลวย ให้มันตรงจุด ให้มันมีความหมาย ให้มันคมคาย ให้มันได้อารมณ์อะไรทั้งหลาย สารพัดน่ะ แล้วก็ยังออกมาทีละคำ ๆ  เพราะฉะนั้นเพียงแค่สติ เพียงแค่ปัญญา ก็มีมากอยู่พอสมควร แต่จะต้องมีสัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อม คือมีช่องโหว่ได้ไหม จะต้องไม่ปล่อยให้จิตของตนนี้มีช่องโหว่เลย ต้องมีสติสัมปชัญญะ สติปัญญาสัมปชัญญะอยู่เต็มที่ นั่นก็คือไม่ปล่อยให้จิตล่องลอย ไปคิดอื่น ไปปรุงอื่น ต้องอยู่กับสิ่งเดียวเรื่องเดียวที่กำลังทำอยู่นี้อย่างไม่ไปอื่นเลย นี่สัมปชัญญะคือความรู้ตัวทั่วพร้อมทุกขณะ เพราะว่าผิดคำเดียวเท่านั้นน่ะต้องเริ่มต้นใหม่ เขาจึงต้องพร้อม พร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจจะบอกว่ามากกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะอย่างนั้นผู้วิจารณ์คนนั้นจึงบอกว่า เป็นการเขียนหนังสืออย่างเหนือมนุษย์ ใช้พลังอย่างเหนือมนุษย์ พลาดไม่ได้เลย ทีนี้เมื่อมีสติ ปัญญา สัมปชัญญะ แล้วควรจะมีอะไรอีก ในบางครั้งถ้าเผื่อบังเอิญมันเกิดจะอ่อนลงสักหน่อย ก็มีสมาธิ สมาธิ ความตั้งมั่น กำลังใจของความตั้งมั่นที่จะเข้าไปหนุน เพื่อให้สติปัญญาสัมปชัญญะนั้นมั่นคงอยู่ตลอด ไม่พลาด ไม่อ่อน มั่นคง เข้มแข็ง พร้อมถ้วนบริบูรณ์ จนกระทั่งสามารถทำงานนั้นสำเร็จได้ สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ นี่ที่ท่านอาจารย์ท่านเรียกว่าธรรมะสี่เกลอ และท่านก็เห็นว่าเรื่องของการมีธรรมะสี่เกลอเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เป็นพื้นฐานที่จะช่วยแก้ปัญหาของชีวิต ช่วยแก้ความทุกข์ และก็เป็นพื้นฐานที่จะทำให้เจริญในการทำจิตตภาวนาต่อไป ถ้าผู้ใดพร้อมอยู่ด้วยสติปัญญาสัมปชัญญะสมาธิทุกขณะ ชีวิตพรหมจรรย์คือการประพฤติพรหมจรรย์จะเดินไปได้รวดเร็วขึ้น มั่นคง หนักแน่น รู้จุดหมาย ไม่หลงทาง ผู้ที่นั่งอยู่ที่นี่มีผู้ใดที่ยังไม่เห็นชัดในความมีคุณประโยชน์ของสติ ของปัญญา ของสัมปชัญญะ ของสมาธิ ที่ยังไม่เห็นประโยชน์ หรือยังมองไม่เห็นว่าทั้งสี่อย่างนี้จะทำงานร่วมกันอย่างไร  ที่ท่านอาจารย์ท่านว่าเป็นธรรมะสี่เกลอนี่จะทำงานร่วมกันอย่างไร อะไรเป็นตัวนำ สติเป็นตัวนำ ทำไมสติถึงเป็นตัวนำ เราจะรู้สึกว่าเราจะพูดว่า เออ คนนั้นน่ะเขาเป็นคนมีสติตลอดเวลา ถ้าเราพูดถึงใครในลักษณะอย่างนี้หมายความว่าอะไร ทำในสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ถูกต้องนี่เราจะมองที่อะไร เช่น ยกตัวอย่างให้ฟังสิ เช่น ไม่หลงลืม ไม่ลืมปิดประตูบ้าน ไม่ลืมลูกกุญแจทิ้งเสีย ไม่ลืมทำกระเป๋าสตางค์หาย หรือบางทีไม่ลืมถนนหนทางว่า เอ๊ะ นี่ฉันอยู่ที่ไหน เป็นต้น นั่นก็ได้หรอก ก็จะดูว่าถ้าคนที่ไม่หลงลืมมักจะจำอะไรได้ว่าอะไรอยู่ที่ไหนอย่างไรในส่วนที่เกี่ยวกับตัวเอง ก็เรียกว่า เออ เป็นคนมีสติ ทีนี้เราจะดูที่ไหนอีก ที่เราพูดว่า เออ พูดถึงผู้นั้นเขาเป็นคนมีสติ นอกจากจะดูในการไม่หลงลืมในส่วนชีวิตประจำวัน หรือในส่วนที่ตัวเกี่ยวข้องแล้ว จะดูที่ไหนอีก ที่ว่า เออ คนนั้นเขามีสติจะดูที่ไหน ที่จะแสดงว่ามีสติหรือไม่มีสติดูที่อะไร อะไรนะ ผัสสะการกระทบ อ้าว ผัสสะเกิดขึ้นมันมักจะทำให้เกิดอะไรล่ะ ถ้าหากสติมาไม่ทัน พอผัสสะเกิดขึ้นเท่านั้นน่ะ จะผ่านทางตาก็ดี หูก็ดี จมูกกลิ่นอะไรก็ดี มันเกิดอะไรขึ้น เอ้า นึกดูสิ นี่ แหม สุนันท์นี่ จัดดอกไม้สวยนะ สวยทุกวันเลย แล้วก็รู้จักเปลี่ยนแบบต่าง ๆ ด้วย แล้วก็ประหยัดด้วย ไม่ต้องไปซื้อดอกไม้มา ก็จัดได้สวยงามน่าดู คำพูดนี้เป็นผัสสะกับสุนันท์ไหม แล้วเกิดอะไรกับสุนันท์ สุนันท์รู้สึกเกิดอะไรพอได้ยินเข้า ก็ดีใจใช่ไหมล่ะ ใจมันผิดจากความเป็นปกติแล้วใช่ไหมล่ะ อะไรล่ะที่ทำให้จิตผิดปกติ เขาเรียกว่าอะไร ความดีใจ เสียใจ ถูกใจ ไม่ถูกใจ เขาเรียกว่าอะไร เวทนา ทีนี้ถ้าพูดเป็นคำธรรมดา อะไรนะ ก็ความรู้สึก ทีนี้มันจะมีอะไรอีกถ้าเราจะบอกว่า เออ คนนั้นน่ะเขาไม่มีสติเลยตอนนี้ เพราะเขามีความรู้สึก เราก็ไม่พูด เพราะมันไม่รู้เรื่อง เราจะใช้คำว่าอะไร อารมณ์ เข้าใจหรือเปล่านี่ที่พูด เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะดูว่ามีสติหรือไม่มีสติคนนั้นนี่ นอกจากจะดูว่านั่นก็ลืม นี่ก็ลืมแล้ว จะดูได้ที่ตรงไหนอีก อารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีผัสสะกระทบ นั่นแหละนี่ก็แสดง ถ้าเขามีสติ พอผัสสะเกิดขึ้นเป็นอย่างไร พอมีสติ ถ้าเป็นคนมีสติ พอผัสสะเกิดขึ้นจะพลุ่งออกมาไหม ก็ไม่พลุ่ง ไม่พลุ่งทั้งบวกทั้งลบ เพราะสติมันมาทัน ก็ยับยั้งเอาไว้ได้ นี่ไม่ควรนะ นั่นแหละมันก็พร้อม ๆ กับที่พาอะไรมาด้วย ปัญญามาด้วย พาปัญญาตามมาด้วย ปัญญาก็จะบอกว่าอย่างไร ปัญญาก็จะบอกว่าอย่างไรรู้หรือเปล่า ว่าผัสสะนั้นเป็นอย่างไร มันไม่เที่ยงนะ มันเกิดแล้วก็ดับ หรือจะว่าอย่างไรอีก มันสักแต่ว่า มันสักแต่ว่า สักแต่ว่านี่ตีความหมายอะไรได้บ้าง สักแต่ว่าเพราะมันเกิดแล้วก็ดับ มันสักแต่ว่าเพราะมันเกิดแล้วก็ดับ มันไม่ได้อยู่คงที่ ไม่ได้อยู่ยืนนาน เพราะอย่างนั้นอย่าไปโง่ยึดมั่นมันเลย หรือมันสักแต่ว่า สักแต่ว่าอะไร ก็ในปัจจเวกนั่นอย่างไร ก็สักแต่ว่าธาตุเท่านั้นเอง มันไม่ได้มีตัวตนอะไรให้ยึดมั่นถือมั่น นี่สติ หยุด ควบคุมอารมณ์ได้ แล้วปัญญา ก็ที่ควบคุมอารมณ์ได้นี่ เพราะสติมันมีปัญญาซ่อนอยู่ด้วย แล้วก็อาจจะเป็นการฝึกหัดอบรมตัวเอง ปัญญานั้นก็จะบอกให้ชัดลงไปเลยอีกว่า เออ มันไม่จริง มันมายาน่ะ มันเกิดแล้วก็ดับ มันสักแต่ว่าเท่านั้นเอง สักแต่ว่าธาตุ เอาไปให้ถึงที่สุดมันไม่เหลืออะไรเลย ไปยึดมั่นมันทำไม หมั่นสอนหมั่นอบรมตัวเองอย่างนี้ นั่นก็คือการเพิ่มพูนปัญญา ให้เกิดขึ้นทุกขณะ ทีนี้ในบางครั้งมันก็มีหลุดบ้างใช่ไหมล่ะ ก็หมั่นฝึกอบรมตัวเองอยู่ แต่บางครั้งมันก็หลุด เข้าใจคำว่าหลุดใช่ไหมคะ นั่นแหละบางครั้งมันก็มีหลุด นี่มีหลุดเพราะอะไรล่ะ เพราะมันยังไม่มีอะไรมาช่วย 

    ผู้ร่วมสนทนา : สมาธิ 

    อุบาสิกา คุณรัญจวน : สมาธิด้วย นี่ที่เรากำลังพูดถึงธรรมะสี่เกลอ เพราะมันไม่มีอะไร ไม่มีสัมปชัญญะเข้ามาช่วย เพราะฉะนั้นความรู้ตัวทั่วพร้อมมันจึงยังไม่พร้อม บางครั้งมันก็เลยหลุดไปบ้าง แต่ถ้าหมั่นฝึกอยู่เสมอ สัมปชัญญะก็เกิดขึ้นด้วย ความรู้ตัวทั่วพร้อมก็เหมือนกับจะพร้อม พร้อมอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับทหารที่เขาฝึกในสมรภูมิ ฝึกยุทธวิธีการรบอย่างช่ำชอง ฝึกอย่างหนักตลอดทั้งวันทั้งคืน ถึงเวลาออกศึกเมื่อไหร่พร้อม ไม่มีถอยหลัง นั่นคือความสัมปชัญญะที่รู้ตัวทั่วพร้อม ทีนี้สัมปชัญญะ ปัญญา จะหนักแน่นก็ต้องอาศัยกำลังของสมาธิ สมาธินี่ก็จะหนุน ต้านเอาไว้ ไม่ให้ถอย ไม่ให้ล้ม ให้มั่นคง ให้หนักแน่น ให้อยู่ได้ เพราะฉะนั้นก็จึงควรทำความเข้าใจกับธรรมะสี่เกลอ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เรารู้แล้ว ได้เรียนได้พูดถึงกันมาแล้ว แต่ทีนี้ท่านอาจารย์ท่านรวบเอามาให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เพื่อจะทำให้เข้าใจง่าย แล้วก็มองเห็นความเกี่ยวเนื่อง มองเห็นความร่วมมือกัน ที่ควรจะต้องไปด้วยกัน แล้วก็ใช้ด้วยกัน ให้เกิดประโยชน์ได้ในชีวิตประจำวันตลอดเวลา มันก็เป็นประโยชน์กับเรานั่นแหละ ทีนี้อย่างโบบี้นี่เขาก็ไม่เคยได้ศึกษา เขาอาจจะศึกษาจิตวิทยามาบ้าง เพราะเขาก็เป็นคนรอบรู้ แล้วก็เขาก็รู้อะไรกว้างขวางมากมาย เขาก็อาจจะรู้เรื่องของสติบ้าง รู้เรื่องของปัญญาบ้าง หรือได้ยินคำว่าสมาธิบ้าง แต่ก็เชื่อว่าไม่ละเอียดลออ ไม่ลึกซึ้ง เพราะเขาไม่ได้เป็นผู้ที่ศึกษาทางนี้โดยตรง แต่ทำไมเมื่อถึงเวลาคับขัน เรามองจากการกระทำนะ จากงานที่เขาทำและวิธีที่เขาทำงานของเขา ก็อยากจะบอกว่า เออ ทำไมเขาถึงมีสติ มีปัญญา มีสัมปชัญญะ มีสมาธิ พร้อมอยู่เสมอ จนงานเขาสำเร็จได้ ก็เห็นจะต้องพูดว่านี่เป็นธรรมะสี่เกลอที่เขามีโดยธรรมชาติ พิเศษทีเดียวแหละ แต่เขาไม่รู้หรอกว่านี่คือธรรมะสี่เกลอ แล้วก็ไม่รู้ว่าแต่ละอย่าง ๆ มันมีคุณสมบัติอย่างไร แต่เผอิญเขาเป็นคนพิเศษ พิเศษในตัวของเขาเอง ที่สมองก็ชั้นเลิศ วิจารณญาณก็ชั้นเลิศ ความมุ่งมั่นความศรัทธาในชีวิตก็ชั้นเลิศ ถึงไม่ยอมแพ้ และข้อสำคัญเขาก็มองเห็นคุณค่าของการมีชีวิต ขอให้มีลมหายใจอยู่เถอะ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ ตราบนั้นนี่แหละยังมีความหวัง หวังที่จะพัฒนาตัวเอง ที่จะแก้ไขปัญหาชีวิต ที่จะทำอะไรทุกสิ่งที่เห็นว่ามันไม่ดี มันเลวร้าย ให้มันดีขึ้น ให้มันก้าวหน้าขึ้น ทำได้อย่างนี้ ฉะนั้นก็จงเห็นคุณประโยชน์ของลมหายใจ นอกจากจะช่วยให้มีชีวิตอยู่ ถ้าเรารู้จักใช้มัน มันก็จะช่วยให้เราได้มีความสุขสงบเย็นด้วย โบบี้เขาก็บอก ว่าเขาเองนี่เขาชอบวันสงบสงัด วันที่ไม่มีเสียงอะไรรบกวน นี่ก็เป็นสิ่งที่เรา ๆ ทั้งหลายน่าจะนำมาคิด แล้วก็มาเตือนใจมาถามตัวเราเอง ว่าเรานี้ยังพอใจในความสงบสงัดอยู่ไหม ลองถามตัวเองสิ พอใจในความสงบสงัดอยู่ไหม ให้เลือกเอาระหว่างความสงบสงัด กับความสนุกสนานบันเทิงด้วยเครื่องอุปกรณ์ กิจกรรมอะไรต่าง ๆ ที่เคยผ่านมา ถ้าให้เลือกเอาจะเลือกอะไร เลือกความสงัดก็ต้องอนุโมทนาด้วย ทุกคนหรือเปล่าที่เลือกความสงัด หรือว่าเปล่าหรอกมาลองชิมดู ถ้าหากว่าใครที่พอใจในความสงัด นั่นก็เรียกว่าผู้นั้นมีจิตใจที่อะไร ที่พร้อม ที่พร้อมจะเข้าสู่เนกขัมมะ เข้าใจเนกขัมมะใช่ไหม เนกขัมมะคืออะไรนะ หลีกออกจากกาม ก็สิ่งที่บันเทิงเริงรื่นทั้งหลายเขาเรียกว่าอยู่ในกาม ตกอยู่ในกาม กามตัณหา เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดที่พอใจในเนกขัมมะ ก็คือนั่นแหละ พอใจที่จะเข้าสู่ความสงบสงัด เพื่อที่จะประพฤติธรรม อบรมจิตของตนเอง ให้เข้าสู่ความเป็นผู้ประพฤติธรรมที่งดงาม ถูกต้อง สะอาดหมดจดยิ่งขึ้น นี่มันมีคำถามที่ควรจะรู้จักฝึกเอามาถามตัวเอง เพื่อให้เรารู้จักตัวเราเองยิ่งขึ้น และเนกขัมมะนี้ก็อยู่ในความหมายของอริยมรรคข้อไหน ได้ยินสวดอริยมรรคมีองค์แปดกันแล้วไม่ใช่เหรอ สัมมาสังกัปโป สัมมาสังกัปปะ คือการพอใจในเนกขัมมะ หวังว่าจะไม่จำได้แต่ชื่อนะ เอาเข้าสู่ใจด้วยถึงจะเกิดประโยชน์จริง ลองศึกษาเรื่องธรรมะสี่เกลอ แล้วก็ลองเอามาใช้ เกิดปัญหาขึ้นเอามาใช้ แล้วจะเห็นคุณค่า แล้วก็จะเป็นทางนำไปสู่การศึกษาความเข้าใจในเรื่องธรรมะที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น เช่น อริยมรรคมีองค์แปด เรื่องของขันธ์ห้า เบญจขันธ์ที่มันของธรรมดา ๆ แต่ทำไมมันถึงเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งปวง ลองพิจารณาด้วยความสงบ เพราะฉะนั้นก็อยากจะขอแนะนำทุกคนว่าให้รู้จักอบรมตนเอง ให้เป็นผู้มีความสังเกตละเอียดลออให้มากยิ่งขึ้น ในทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือเรื่องใหญ่โตที่เกิดขึ้นกับชีวิตก็ตาม มันมีความหมายและมีคุณค่าทั้งนั้นถ้าทุกคนจะรู้จักเรียนรู้จากมัน โดยเฉพาะเมื่อเป็นผู้ปฏิบัติธรรม พบอะไร ผ่านอะไร เห็นอะไร ดึงเข้ามาทันที เอ๊ะ นี่มันจะอยู่ในธรรมะข้อไหนนะ หรือเรื่องนี้เราจะเอาธรรมะข้อไหนมาใช้เพื่อจะแก้ปัญหานี้ ถ้าหมั่นคิดพิจารณา ดึงเข้ามาหาธรรมเสมอไป ธรรมะจะเจริญ ธรรมะจะเจริญเพราะนำมาคิด มานึก มาตริตรองอยู่ตลอด ไม่ปล่อยทิ้งให้อยู่แต่ในตัวหนังสือ หรือในสมุดจด หรือในเทป แต่นำเข้ามาสู่ใจ เคยได้ยินใช่ไหมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ว่าการจะเกิดมาเป็นมนุษย์นี่แต่ละครั้งนี่มันยากแสนเข็ญ เคยได้ยินใช่ไหม หรือไม่เคยทราบ ไม่ใช่ง่าย ๆ ท่านเปรียบหลายอย่าง แต่ที่มองเห็นชัดก็อย่างที่ท่านเปรียบว่า เหมือนกับในทะเลหนึ่งน่ะ มีคนเขาโยนกระชุ กระชุแน่นอนน่ะตามันก็กว้าง ๆ แต่มันคงสานด้วยไม้ไผ่มันก็เบา แล้วก็มีห่วงเล็ก ๆ อยู่ที่ขอบกระชุนั่น และกระชุนี้ก็ถูกลมเหนือพัดเหนือ จะเอาไปทางเหนือ ลมใต้พัดจะไปทางใต้ ตะวันตกจะพัดตะวันตก ตะวันออกจะพัดตะวันออก หมุนอยู่ตลอดเวลากระชุนั่นน่ะ แล้วก็ในทะเลนั้นก็มีเต่าตัวหนึ่งอยู่ก้นทะเล แล้วตาบอดด้วย ร้อยปีมันถึงจะโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ แล้วท่านก็ถามว่า พระองค์ก็ถามพระพุทธสาวกว่า เธอคิดว่าเต่าตัวนั้นน่ะจะสามารถเอาหัวของมันนี่ใส่ไปในห่วงของกระชุนั่นได้ไหม เต่าตาบอดด้วย ร้อยปีถึงจะโผล่ขึ้นมา กระชุนั่นก็หมุนติ้วอยู่ตลอดเวลา แล้วห่วงก็แค่นี้ แล้วเต่าตาบอดนี่สามารถเอาหัวของมันสอดใส่ลงไปในห่วงนั่นน่ะได้ไหม ไม่ได้ เพราะมันเหลือวิสัยนะ ดูจะเหลือวิสัย ตาบอดด้วย แล้วห่วงก็เล็กนิดเดียว แล้วลมก็พัดตลอดเวลา นั่นแหละท่านบอกว่าการเกิดเป็นมนุษย์มันยากอย่างนั้น ยากเหมือนที่เต่าตาบอดจะเอาหัวสอดเข้าไปในห่วงของกระชุนั่นน่ะ แล้วไม่คิดเสียดายเหรอ เออ กว่าเราจะได้ความเป็นมนุษย์นี่นะไม่ใช่ของง่าย ไม่รู้ว่าอีกเมื่อใดเราจะได้ความเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นคนที่ฆ่าตัวตายนี่น่าเสียดายที่สุด เพราะตัดโอกาสของชีวิตที่จะทำความเจริญก้าวหน้ารุ่งเรือง ไม่ว่าเจริญทางโลกหรือทางธรรม หมดโอกาส เพราะเกิดชาติหน้ารู้หรือว่าเราจะเกิดมาเป็นคน ถ้ามีชาติหน้าจริง แต่ตอนนี้มันจริง ปัจจุบันนี้วันนี้แน่ ๆ เราเป็นคน เรายังมีสมอง สติปัญญา มีลมหายใจ ที่จะใช้ทุกอย่างที่เรามีที่ธรรมชาติให้มา เพื่อเกิดประโยชน์กับชีวิต เพราะฉะนั้นใครที่คิดทำลายชีวิตนี่น่าเสียดายแทน คิดเสียใหม่นะ หมดเวลาพอดี ธรรมสวัสดีค่ะ 

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service