แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
แล้วก็มีท่านผู้ใดไปตั้งอธิษฐานจิตเพิ่มเติมหรือว่าแน่นอนบ้าง..มีไหม? เอาให้ถึง ๑๐ นาทีสักหน่อยก็จะดีนะ แต่ก็ยังดีเริ่มต้นมา ๕ หรือ ๑๐ นาที แล้วก็ทำทุกวัน ก็อนุโมทนานะคุณเทวี..จะนั่งสมาธิทุกวัน มีอีกไหมคะ..มีใครตั้งอธิฐานจิตอีกบ้างไหม? ตกลงเพิ่มวันโกนหรือเปล่าคะ หรือยังคงแค่วันพระ ยังเพิ่มอยู่นะคะ สัมมาวาจา..วันพระ และก็จะเพิ่มวันโกน เอาละแค่นี้ก็ยังดี ก็หวังว่าเราจะค่อยๆ เพิ่มไปอีกเรื่อยทีละน้อยๆ นะคะ
ทีนี้วันนี้ก็จะได้คุยกันว่า ทำอย่างไรจึงจะรักษาจิตนี่ให้สงบได้ คือนี่สิ่งที่เราทุกคนต้องการ ที่เข้ามาวัด ที่มาหาธรรมะ ก็เพื่ออยากให้มีจิตสงบ แล้วก็จิตสงบนี้ก็ทั้งในขณะที่นั่งสมาธิด้วย แล้วก็ทั้งในชีวิตประจำวันด้วย ต้องการไหมคะอันนี้ ต้องการความสงบในใจ ไม่ว่าจะอยู่ประจำวันเฉยๆ คืออยู่บ้าน อยู่ที่ทำงาน จะทำอะไรก็แล้วแต่ แล้วก็พอจะนั่งสมาธิสักทีก็..ทำไมมันรวมยากนัก เพราะใจไม่สงบ ก็อยากจะให้สงบ ลองมาช่วยกันคิดดูว่า ทำอย่างไรถึงจะทำให้ใจสงบได้ พระพุทธเจ้าท่านจะทรงสอนเสมอว่า สิ่งที่ควรทำก็คือ ต้องนึกย้อนไปดูว่า อะไรคือสาเหตุนะคะ อย่าลืมต้องหาสาเหตุเสมอ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นแล้วไม่ถูกใจ หรือถูกใจก็ตาม ค้นหาสาเหตุ อะไรเป็นเหตุที่ทำให้ใจไม่สงบ เคยไหมคะ? รู้สึกเราก็พูดกันบ้างเหมือนกันเมื่อตอนครั้งแรกๆ อะไรที่เป็นเหตุให้ใจไม่สงบ พอจะสงบเข้าละก็สงบไม่ได้..เคยสังเกตไหมคะ..อะไรเป็นเหตุ? อ้าว..สงบไม่ได้แล้วไม่รู้เหรอคะอะไรเป็นตัวกวนนะที่ทำให้จิตสงบไม่ได้ .. ความคิด คือพูดง่ายๆ ก็คือ ความคิด..อันนี้ถูกต้องนะคะ .. ความคิดในทางธรรมท่านเรียกว่า สังขาร คำว่าสังขารนี่แปลได้ ๒ อย่าง แปลว่าความคิดก็ได้ แปลว่าร่างกายก็ได้ คนทั่วไปก็มักจะรู้จักคำว่าสังขารในแง่ของร่างกาย แต่ในแง่ของคำว่า..ความคิด..เราอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคย เพราะฉะนั้นในทางธรรมท่านจึงมีบอกว่า ถ้าหยุดสังขารเสียได้จะเป็นสุข ความสงบ จะเกิดขึ้นถ้าหยุดสังขารเสียได้ เพราะฉะนั้นการหยุดสังขารนี่คือหยุดอะไรละคะ หยุดความคิด ความคิดอันนี้ก็เป็นความคิดเรื่อยเปื่อย คิดฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อไปเรื่อยไม่รู้อะไรเป็นอะไร นี่แหละหยุดความคิดเรื่อยเปื่อยที่ไม่เป็นเรื่องเป็นราวนี้เสียได้แล้ว จิตก็สงบเพราะไม่มีอะไรมารบกวน เหมือนกับน้ำในบ่อหรือน้ำในสระนี่ค่ะ ถ้าไม่มีใครโยนก้อนหินก้อนกรวดลงไป ไม่มีลมพัด ไม่มีฝนตกหนัก สังเกตไหมคะผิวน้ำเป็นอย่างไร .. นิ่ง ใส อาจจะมองเห็นถึงก้นบ่อก้นสระก็ได้
เช่นเดียวกับจิตของเราก็เหมือนกัน ความคิดที่สอดแทรกเข้ามานี่ก็เหมือนกับก้อนหินก้อนกรวด ที่ถูกเหวี่ยงเข้ามาเรื่อย จิตกำลังสงบก็ถูกกระแทก ก็เลยทำให้ระส่ำระสาย กระวนกระวาย วิตกกังวลต่างๆ แล้วก็สงบไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่า ความคิดนี้เป็นเหตุให้จิตนั้นสงบไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือความคิดอะไร? ความคิดอย่างไหน ความคิดเรื่อยเปื่อย ความคิดฟุ้งซ่าน ความคิดวิตกกังวล ความคิดอึดอัดขัดใจ ก็เกี่ยวกับใครละ? ความคิดทั้งหลายเหล่านี้เกี่ยวกับใคร เกี่ยวกับตัวเราเอง มันเรื่องของฉันทั้งนั้นเลย..ใช่ไหมคะ เรื่องของฉันทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นอะไรๆ ก็เกี่ยวกับตัวฉัน มันวางไม่ได้ มันหนักจริงๆ อันนี้แหละเป็นต้นเหตุ ถ้าเกี่ยวกับตัวคนอื่นตัวเขา..ไม่ค่อยเท่าไรละ แต่ถ้าเกี่ยวกับตัวฉันนี่ มันทำให้จิตนั้นฟุ้งซ่านเป็นอันมากทีเดียว ฉะนั้นถ้าหากว่าอยากที่จะทำให้จิตสงบ เราก็ต้องนึกว่าอะไรคือสาเหตุ นี่ก็จับได้ว่าเป็นเรื่องของความคิด แล้วความคิดนี่มันจะแตกกระจายไปอะไรต่ออะไรต่างๆ อีกเยอะ อีกมากมายก่ายกอง พอความคิดเกิดขึ้นมันก็จะนำเอาสัญญาต่างๆ สัญญาคืออะไร ความจำ ความจำในเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาแล้วมาสมทบ ถ้าหากเป็นเรื่องที่ไม่ถูกใจ ก็ยิ่งทำให้มึนงงอึดอัดขัดใจ จนถึงแค้นเคืองก็ได้ หรือถ้าหากว่าเป็นเรื่องที่สัญญาของความถูกใจความพอใจก็ฟุ้งซ่าน ตื่นเต้น เบิกบาน หัวเราะคนเดียว ไม่ได้มีใครหัวเราะด้วย ใครเขามาเห็นเข้าเขาก็แปลกใจ เพราะฉะนั้นพอความคิดต่างๆ เกิดขึ้นนี่ เราต้องรีบตามดูมันทันที มันเป็นความคิดที่สร้างสรรค์หรือเปล่า สร้างสรรค์คืออย่างไรละคะ ความคิดที่สร้างสรรค์คืออย่างไร? คิดแล้วใจเป็นอย่างไร คิดแล้วใจสงบ เย็นสบาย นั่นแหละความคิดสร้างสรรค์ แต่ถ้าหากว่าความคิดใดพอเกิดขึ้นในใจแล้ว..จิตไม่สงบ จิตกระวนกระวาย กระสับกระส่าย ฟุ้งซ่าน เดือดร้อนวุ่นวาย ความคิดอันนั้นก็เป็นความคิดที่ไม่พึงปรารถนา เพราะฉะนั้นเราก็ต้องกำจัดสิ่งที่มารบกวนจิตที่สงบของเราให้วุ่นวายสงบไม่ได้
สิ่งเหล่านี่ถ้าจะเรียกในทางธรรม ท่านเรียกชื่อว่า นิวรณ์ เคยได้ยินไหมคะ คำว่า..นิวรณ์.. นิวรณ์หรือนิวารณะ นิวรณ์ วันนี้อาจจะต้องจำหน่อยนะ หรือน้อยคนจะจำเก่งนะคะ จะได้ไปเล่าให้เพื่อนฟัง นิวรณ์หรือนิวารณะแปลว่าเครื่องกั้น มันเป็นเครื่องกั้น เครื่องปิดบังการกระทำความดีทุกอย่าง นี่เป็นตัวร้ายกาจมากนะ ร้ายกาจมากจริงๆ คำว่านิวรณ์นี่ เพราะฉะนั้นวันนี้คงต้องช่วยกันจำนิดหน่อย ทั้งทางโลกและทางธรรม อย่างเช่นกำลังจะดูหนังสือนี่..ตั้งใจจะดูหนังสือทบทวนที่อาจารย์สอนมาเมื่อเช้านี้ หรือจะดูหนังสือเพื่อสอบ พอเจ้านิวรณ์เข้ามาเป็นอย่างไร? เอ..เพื่อนคนนั้นของเรานะ ที่นัดกันไว้ว่าพรุ่งนี้จะไปเที่ยว เขาจำได้หรือเปล่านี่ หรือลืมไปแล้ว วุ่นวายอยู่นั่นละ ตกลงได้ดูไหมหนังสือ ไม่ได้ดูแล้ว หรือว่าคนนั้นนะว่าเรา .. ไม่น่าจะใช้คำพูดอย่างนี้เลย เขาว่ามา 7 วันแล้ว แต่สัญญาโผล่ขึ้นมาตอนนี้ ในขณะที่กำลังหยิบปากกาตั้งท่าจะดูหนังสือเตรียมสอบ ทบทวนที่ครูสอน ความคิดอันนี้มันเกิดขึ้นมา..นี่ก็เป็นนิวรณ์ เห็นไหมคะมันปิดกั้น แม้แต่จะทำความดีในทางโลก เช่น การเรียนหนังสือ หรือว่าการทำงาน หรือกิจอื่นๆ ก็ตาม มันปิดกั้น อันแรกทำให้ล่าช้า ให้เสียเวลา ไปจนกระทั่งถึงทำให้ย่อท้อ หมดกำลังใจ อยู่ในความลังเลสงสัย ไม่อยากทำเลย นี่นิวรณ์มันร้ายมากถึงขนาดนี้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่ต้องรู้จักนะคะ..ต้องรู้จัก ในทางธรรมนั้นท่านบอกว่าผู้ใดที่จะสามารถบรรลุธรรมได้ คือบรรลุธรรมถึงที่สุดนะ ถึงที่สุดที่ว่าเป็นผู้ตกกระแส เป็นพระโสดาบัน เคยได้ยินไหมคะ? เป็นพระสกิทาคามี เป็นพระอนาคามี จนถึงเป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่สามารถละนิวรณ์ได้ ไม่มีวัน เพราะนิวรณ์นี่จะทำให้อาสวะนี่ไหลออกมาเรื่อย ๆ อาสวะก็คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจากการสะสมของอนุสัย นี่จะไม่พูดมากนะคะ พูดมากเดี๋ยวก็จะงง จะเอาเป็นเรื่องๆ ไปก่อน เพราะฉะนั้นพอมันไหลออกมาอย่างนี้ ก็เลยทำให้จิตหยุดนิ่งไม่ได้ บรรลุไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องรู้จักเรื่องของนิวรณ์นี้เอาไว้ให้ดีๆ นิวรณ์นี้ก็เป็นลูกหลานของกิเลส
ผู้ใดยังไม่รู้จักกิเลสอีกคะ ไหนขอทวนนิดสิ..กิเลสคืออะไร? จำได้ไหม..กิเลสคืออะไร สิ่งเศร้าหมอง สิ่งสกปรก กิเลสที่มันเข้ามาอยู่กับจิตใจของใครก็ตามเถอะ ในขณะจิตนั้นนะกลายเป็นจิตเศร้าหมอง สกปรก จะว่าโสโครกก็ได้ ไม่ว่ากิเลสตัวไหนเข้ามา มันทำให้จิตเสียความเป็นปกติ ปกติของจิตก็คือ..เรียบ นิ่ง สม่ำเสมอ อย่างนี้นะคะ จิตปกติจะมีลักษณะอย่างนี้ สม่ำเสมอ นิ่ง สงบ เย็นสบาย เมื่อใดที่มันมีอาการกระเพื่อมขึ้นลง กระเพื่อมทีละน้อย นี่อาจจะกระดิกเป็นนิ้วก่อน กระเพื่อมทีละน้อย นี่กระเพื่อมเหมือนอย่างน้ำที่กระเพื่อมเป็นพริ้วๆ นิดเดียว นี่แสดงว่ามีอะไรเข้ามารบกวนแล้วมันจึงทำให้กระเพื่อม เสียความเป็นปกติไปนิดหนึ่งแล้ว ถ้าไม่ระวัง ปล่อยให้เข้ามามากๆ จากกระเพื่อมนิ้วเดียวก็เป็นทั้งมือ ก็เป็นทั้งแขน ก็เป็นทั้งตัว มันก็ซัดส่ายฟัดเหวี่ยงกันอยู่ข้างใน เคยเป็นไหม? เคยสังเกตข้างในไหม เคยเป็นอย่างนี้ไหมคะ เอาง่ายๆ อย่างเวลาเชียร์ฟุตบอลนี่เป็นอย่างไร เชียร์กีฬาของเรา หรือเอาพวกของเรายกเข้าไปทะเลาะวิวาทกับคนอื่นเขา ยังนึกออกเลยข้างในนี่มันเรียกว่ามันซัดเหวี่ยงเข้าหากัน มันต่อสู้ เรียกว่ามันทึ้งมันถองกันอยู่ข้างในนั่นแหละ เพราะฉะนั้นอันนี้นะเป็นลักษณะของจิตที่ผิดความเป็นปกติ เพราะฉะนั้นกิเลสท่านจึงเรียกเป็นสิ่งเศร้าหมอง มันทำให้จิตที่เคยสะอาดสะอ้านเป็นจิตที่สงบสบายนี่ เปลี่ยนไป เปลี่ยนลักษณะจากความเป็นปกตินั้น เป็นไม่ปกติ และไม่ปกติมากๆๆๆ เข้านี่ ก็เปลี่ยนที่อยู่ จากอยู่ที่บ้านไปอยู่ที่ไหน..นึกออกไหมคะ จากอยู่ที่บ้านไปอยู่ที่ไหน เขามีที่ให้อยู่..ก็ของโรงพยาบาลนะสิ ของคนที่จิตไม่ปกติมากๆ นะ เพราะอยู่บ้านไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนที่อยู่ ไปอยู่โรงพยาบาลโน่น เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่ต้องรู้จัก แบ่งออกเป็นกี่อย่าง..กิเลส ทวนนิดหน่อย ๓ อย่าง หนึ่ง .. โลภะ คืออยากได้ จะเอา มีอาการอย่างไร เขาบอกว่าให้ดูอาการอย่างไร เพราะเหตุว่ามันไม่มีตัวนี่ แต่ให้สังเกตอาการที่มันเกิดข้างในนี่ ถ้าโลภะหรือโลภเกิดขึ้นในจิต ในจิตนี่มีอาการอย่างไร? จะดึงเข้ามาคว้าเข้ามา คว้าเข้ามาหาเรา บางทีไม่ได้ตั้งใจโลภหรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลภ
เคยไปซื้อของลดราคาไหมคะ? ที่เขาประกาศลดราคาตามร้านตาม Department Store อะไรต่างๆ เคยเห็นไหม เขาเอามากองๆๆ ไว้ แล้วเราก็ไปซื้อ ชิ้นนี้ก็จะเอา ชิ้นนั้นก็จะเอา ชิ้นนั้นก็จะเอา กองอยู่ข้างหน้าเราเป็น ๑๐ หรือกว่า ๑๐ จริงๆ แล้วอาจจะเอา ๑ เท่านั้น แต่ในขณะที่เราทำอย่างนี้ เราคิดไหมว่านี่คืออาการของอะไร? คิดไหมคะ ไม่ได้คิดหรอกว่านี่คืออาการของ..โลภ เห็นแต่ว่านี่เป็นสิทธิของเรานี่นา เราจะเลือกนี่ เป็นสิทธิของเรา แต่นี่แหละเผลอสตินิดเดียว ถ้าสมมติว่าเราไม่ได้เป็นคนยืนหยิบเอาๆ แล้วเรามองดูนี่ น่ารักหรือน่าชัง กิริยาอย่างนี้ น่าชัง แล้วเราจะนึกในใจ โอย..น่าเกลียด ยายคนนั้นโลภจริง แล้วเราเองเคยทำอย่างนั้นบ้างไหม? นี่อย่าลืมนะ ต้องหันมาถาม..เราเองเคยทำอย่างนั้นบ้างไหม เพื่ออะไรถามนี่..เพื่อเตือนตัวเอง นี่คืออาการของความโลภ ทีนี้ถ้าตรงกันข้ามกับโลภคืออะไร โกรธ โกรธอาการเป็นอย่างไรคะ อยากผลักออกไป นี่มันตรงกันข้าม ที่ให้จำอาการไว้ จะได้สังเกตข้างในใจอย่างไรคะ ถ้าเมื่อใดใจเรานึกดึงเข้ามา เอามาๆ กำลังโลภแล้วนะ จะได้เตือนตัวเองทัน หรือว่าผลักออกไป ไป..ไปให้พ้นๆ อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ โกรธแล้วนะ และถึงขนาดนี้ละก็น่าเกลียดแล้วนะ ไม่น่าดูเลย จะได้เตือนตัวเองทัน ถ้าเตือนตัวเองไม่ทันละก็ อาละวาดใหญ่เลย ยิ่งน่าเกลียดใหญ่เลย นี่คืออาการของความโกรธ ใช่ไหมคะ? ตัวที่สอง ตัวที่สามคืออะไร? หลง..ชื่อว่าอย่างไรคะ โมหะ โลภะ โทสะ โมหะ นี่ตัวที่ ๓ ตัวที่สาม..หลง มีอาการอย่างไรคะ? จำได้ไหม เราเคยพูดกันแล้ว วนเวียน นี่น่ากลัวมาก มองไม่ค่อยเห็น อย่างที่เคยบอกว่า..เหมือนหมาไล่กัดหางตัวเอง วนเวียนๆๆ กัดก็ไม่ถึงสักที กัดไม่ค่อยถึงนะ แต่มันวนเวียนอยู่อย่างนั้นนะ หาทางออกไม่ได้ สนุกเหรอ? ก็ไม่สนุกหรอก ไปถามมัน มันก็ไม่สนุก แต่ก็วนเวียนอย่างนั้น ใครเคยวนเวียนอย่างนี้บ้าง เชื่อเลยว่าเคยทุกคน..ใช่ไหมคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาไหน? เวลาที่สงบอยู่คนเดียว หรือเวลาไหนอีกที่ร้ายนักละค่ะ เช้า กลางวัน เย็น กลางคืน เวลาไหน? ที่ชอบวนเวียนมากที่สุด เวลานอน..ใช่ไหมคะ เวลานอน นอนไม่หลับ ง้วง ง่วง พอหัวถึงหมอนนอนไม่หลับ คิดโน่นคิดนี่สารพัด จนต้องอาศัยยานอนหลับ เพราะอย่างนั้นพวก Tranquillizer ถึงขายดีนักอย่างไร ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นประโยชน์เลย
นี่แหละ..เพราะเจ้ากิเลสตัวนี้ เจ้าโมหะนี่แหละ วนเวียนๆๆ แล้วก็ไม่รู้ หรือบางทีพูดคุยอะไรกันนี่ คุยแล้วเรื่องนี้ อีกสองนาทีกลับมาพูดอีก สามนาทีกลับมาพูดอีก ห้านาทีกลับมาพูดอีก ไม่ยอมปล่อย เคยไหม..เคยพบเพื่อนอย่างนี้บ้างไหมคะ น่าเบื่อไหม น่าเบื่อด้วย น่ารำคาญด้วย บางทีถ้าสนิทกันก็บอกให้รู้ตัว แต่เขาก็หยุดไม่ค่อยได้ นี่เพราะเขาปล่อยให้อาการวนเวียนมันเกิดขึ้นมากๆ แล้วถ้าปล่อยไปอีกนี่ ทีนี้ก็จะไปตกเข้าอาการที่เขาเรียกว่าย้ำคิดย้ำทำ ใช่ไหมคะ? พูดซ้ำพูดซากๆ ไม่ยอมปล่อยเลย นี้คืออาการของโมหะ กิเลสตัวที่ ๓ น่ากลัวมากเลย ฉะนั้น จึงต้องสังเกตอาการของกิเลสตัวที่ ๓ ท่านเปรียบกิเลสว่ามีลักษณะเหมือนเสือ ใครปีเสือบ้าง? มีลักษณะเหมือนเสือเป็นอย่างไร เสือนี่มีลักษณะเป็นอย่างไรคะ ดุร้าย พอเห็นเสือเข้าจะวิ่งหนีไหม? เพราะอะไรเหรอคะถึงต้องวิ่งหนีเสือ กลัวมันกระโจนตะปบเอาใช่ไหมละ มันตะปบเอา ไม่ตายก็ปางตาย ถลกหนังหัวเลย เพราะฉะนั้น ท่านเปรียบกิเลสเหมือนเสือ มันมีอาการเหมือนเสือ เพราะมันมาแรง มันกระโจนใส่มันกระแทกใส่ มันจะเอาให้ตาย ทีนี้พอต่อมาคนนั้นนะได้รับการอบรม ฝึกฝน แนะนำ ขัดเกลา ความตกเป็นทาสของกิเลส ที่แสดงอาการโลภแรงๆ ชัดๆ หรือความโกรธชัดๆ อย่างน่าเกลียด หรือความหลงจนโงหัวไม่ค่อยขึ้นนี่ ได้รับการขัดเกลามากขึ้น จากแนะนำ อบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ หรือบิดามารดา รู้สึกตัวเข้า ทีนี้ก็ตัวกิเลสนี่ที่อาการเหมือนเสือ ก็ค่อยๆ ลดลง คำว่าลดลงคือมันไม่มีอาการแรงๆ ออกมาอย่างนั้น แต่มันยังซ่อนตัวอยู่ แล้วมันจะออกมาในรูปของนิวรณ์ นี่จำไว้นะคะ มันออกมาในรูปของนิวรณ์นี่ ก็จะเห็นยากหน่อย เพราะอะไรจึงยาก ท่านเปรียบนิวรณ์นี่เหมือนกับตัวแมลงหวี่ ตัวริ้น รู้จักไหมคะ? ตัวแมลงหวี่ ตัวริ้น เป็นอย่างไร รู้จักไหม? เปรียบกับเสือเป็นอย่างไร เล็กนิดเดียว สักปลายเล็บเรา ตัวมันเล็กนิดเดียว สักปลายเล็บเรา แต่ถ้าหากว่าเรานั่งที่ไหนก็ตามเถอะ แมลงหวี่มาตอมอยู่เรื่อย ตอมลูกในตาเป็นอย่างไร..รำคาญ รำคาญมากหรือน้อยละถ้ามันตอมอยู่เรื่อยๆ .. มาก ไม่เป็นอันทำอะไรได้ว่าอย่างนั้นเถอะ ถ้าถูกแมลงหวี่ตอมอยู่เรื่อยๆ นี่
แมลงหวี่ แมลงวัน ตัวริ้น อะไรก็ตาม ที่มันตอมอยู่เรื่อยๆ ทำอะไรไม่ได้ หรือเรียกว่าไม่เป็นอันจะทำอะไรได้ นี่แหละท่านจึงเรียกว่านิวรณ์เป็นสิ่งที่กั้นในการจะทำความดีทั้งหลาย ทั้งทางโลกและทางธรรม มันไม่น่ากลัวเหมือนเสือที่เอาตายเลย แต่มันก็ปางตายเหมือนกันแหละนะ ถ้าหากว่ามันมารบกวนอยู่เรื่อยๆ อย่างนี้ ท่านจึงแจกแจงเพื่อให้คนทั้งหลายนี่ได้รู้จักว่า สิ่งที่เรียกว่านิวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องกั้นของการทำความดี หรือเป็นเครื่องกั้นไม่ให้เข้าถึงความสำเร็จได้ มีอยู่ ๕ อย่าง ต้องช่วยกันจำหน่อยนะคะ ถ้าจำไม่ได้วันหลังจะพิมพ์ให้ แต่ต้องจำไว้ก่อน ข้อแรก ก็คือกามฉันทะ จำไม่ยากอันนี้ กามฉันทะ ฉันทะแปลว่าอะไร? ใครทราบบ้าง..นักเรียน แปลว่าอะไร .. ชอบ รัก ใช่ไหมคะ..ฉันทะ พอใจ มีความพอใจ มีความชอบ มีความรัก .. ฉันทะ .. ที่นี้รักในอะไรละ กาม กามคืออะไรคะ? กามก็จะเรียกว่า กามารมณ์ก็ได้ กามารมณ์ก็คือความรู้สึกรักใคร่ในทางเพศ ระหว่างหญิงชาย หรือจะเรียกว่ากามคุณ ๕ ก็ได้ กามคุณ ๕ ก็คือสิ่งที่ยั่วยุ ให้เกิดความหลงใหล พึงใจ ๕ อย่าง ตามองเห็นอะไร พอตามองนี่มองเห็นอะไร รูป ไม่ว่ารูปอะไรก็แล้วแต่ จะเป็นรูปคน รูปสัตว์ หรืออาการกิริยาต่างๆ หรือรูปภาพก็แล้วแต่ ตาก็มองเห็นรูป ฉะนั้นกามคุณอันแรกคือรูป ที่ผ่านเข้ามาทางตา อันที่สองคืออะไร? หู หูนี่ทำอะไร มีหน้าที่ทำอะไร? ได้ยิน..ใช่ไหมคะ? หูนี่มีหน้าที่ได้ยิน จำไว้นะคะ ไม่ได้มีหน้าที่อย่างอื่น เช่นเดียวกับตามีหน้าที่เห็น ธรรมชาติสร้างมานะ
ธรรมชาติสร้างมาอย่างนี้ บอกตานี่ให้มีตาสองข้าง เพื่อให้เห็นอะไรต่ออะไรที่เกี่ยวข้อง ที่ผ่านมา แล้วก็ให้หูมา ๒ ข้าง เพื่อให้ทำหน้าที่ได้ยิน ได้ยินอะไรๆ ที่ผ่านมา เพียงเพื่อเป็นความสะดวกในการสื่อสารในการติดต่อกันเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นหูก็ได้ยินเสียง กามคุณ ๕ นะ ๑) รูป ๒) เสียง ๓) กลิ่น..ทางจมูก ๔) รส..ทางลิ้น ๕) สัมผัส..ทางกาย นี่กามคุณ ๕ มี ๕ อย่าง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ซึ่งก็ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่ยังไม่ได้พูดถึงใจนะ เอาเพียงแค่ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่เป็นกามคุณ ๕ ถ้าพอเห็นรูป คนที่มีกามฉันทะ คือพอใจในกาม นี่พูดถึงกามคุณ ไม่พูดถึงกามารมณ์ละ กามารมณ์..เป็นที่รู้จักแล้ว ความรักใคร่พอใจระหว่างหญิงชาย จะไปนั่งที่ไหนก็เป็นนิวรณ์อย่างใหญ่ที่นั่นแหละ..ใช่ไหม? เอ..เมื่อไหร่เขาจะมารับเรา เมื่อไหร่เขาจะมาเยี่ยมเรา เมื่อเราเขาจะมาให้เห็นหน้า นี่ถ้าเป็นผู้หญิงนะ ข้างผู้ชายก็..เอ..วันนี้เขาจะไปไหนกับใครหรือเปล่า หรือว่าเขาสัญญาว่าจะไม่ไปเกี่ยวข้องกับใคร เขาก็ทำตามสัญญา นี่แหละ..กามารมณ์ ที่ทำให้คิดถึง นึกอยู่ แล้วก็ยังคิดไปถึงรสชาติของความเอร็ดอร่อยในทางกามารมณ์ ที่ได้เคยสัมผัสแล้วหรือได้เคยมีแล้ว และก็รุนแรงมาก น่ากลัวมาก เพราะที่ฆ่ากันเป็นศพๆ ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่เพราะอะไร? ถ้าเราดูหนังสือพิมพ์นะ เพราะกามารมณ์ หึงห่วงกันใช่ไหมคะ ระหว่างคู่รัก ระหว่างสามีภรรยา น่ากลัวมาก เพราะอย่างนั้น..กามฉันทะ ที่นี้มาพูดถึงกามคุณ ๕ ถ้าหากว่าเห็นรูป ก็อยากเห็นรูปที่เป็นอย่างไรคะ? ที่สวยงามที่ ถูกใจ ถ้าหากว่าได้ยินเสียง ก็อยากได้ยินเสียงที่ไพเราะ ถูกใจอีกเหมือนกัน ให้เขาพูดเพราะๆ สรรเสริญเยินยอ ยกยอชมไปเถอะ จริงหรือไม่จริงก็ยิ้มพอใจ กลิ่น อยากได้กลิ่น..หอม รส..รสอร่อย สัมผัส..นุ่มนวล สบายๆ ถ้าใครมาฟาดเข้าสักป้าบ ก็สัมผัสเหมือนกันแหละ แต่ไม่เอา..อย่างนี้ไม่เอา ไม่ถูกใจ เพราะฉะนั้นผู้ที่ตายแล้ว หรือทำบุญก็..โอ..ขอให้ได้ขึ้นสวรรค์ๆ เพราะหลงในอะไรทราบไหมคะ? หลงในอะไร นี่ที่ขออธิษฐานนะ ไม่ว่าจะทำบุญอะไร อธิษฐานแล้วอธิษฐานอีก ขอให้ฉันได้ขึ้นสวรรค์ ตายแล้วได้ไปสวรรค์ เพราะหลงในอะไร? ก็นี่แหละที่เราพูด ๕ อย่างนี่แหละ หลงในอะไร .. กามคุณ ๕ เพราะในสวรรค์นี่มีอะไรเป็นทิพย์หมดใช่ไหมละ
ที่เราได้ยินนะ..เราก็ยังไม่เคยไปนะคะ แต่ที่เราได้ยินมามีอะไรก็เป็นทิพย์ เปิดปุ๊บติดปั๊บว่าอย่างนั้นเถอะ จะเอาอาหารทิพย์ จะเอารูปทิพย์ คือนางฟ้า..จะต้องการนางฟ้างามๆ หรือนางฟ้าจะต้องการเทพบุตรสวยๆ หรือต้องการบ้าน ต้องการเป็นวิมาน ต้องการเป็นอะไร..มันได้ เปิดปุ๊บติดปั๊บ เพราะอย่างนั้นก็เลยอยากไปสวรรค์ แต่ไม่รู้ว่ากามคุณ ๕ นี่ มันโงหัวไม่ขึ้น ไปติดเข้าแล้วโงหัวไม่ขึ้น ไม่รู้ว่าโทษทุกข์ของมันร้ายแรงเพียงใด เพราะฉะนั้นย้อนกลับมานิวรณ์นะคะ นิวรณ์ข้อแรกนี่ กามฉันทะ ก็คือความพอใจในกาม ความพอใจในสิ่งที่สวยๆ งามๆ ถูกอกถูกใจ ทั้งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส แล้วก็ความพอใจตลอดถึงในเรื่องของกามารมณ์ ก็เคยมีเพื่อนที่เป็นผู้ปฏิบัติ ผู้ใหญ่แล้วละ ทำอาหารเก่งมากเลย แล้วก็ชอบทำอาหารถวายพระทุกวัน เขาก็เล่าให้ฟัง เล่าถวายท่านอาจารย์ ทำยังไงไม่ทราบนะเจ้าคะ นั่งสมาธิทีไร จิตไม่รวมสักที ท่านก็ถามว่าทำไมถึงไม่รวมละ มันเห็นแต่ไก่ลอยมา หมูลอยมา เนื้อลอยมา เครื่องอะไรต่างๆ ลอยมา เพราะฉะนั้นแทนที่จะสมาธิ มันก็..เอ..พรุ่งนี้จะทำอะไรดีๆ มันไปนึกอย่างนั้นเสียนะ เพราะฉะนั้นกามคุณ ๕ นี่น่ากลัวมากเลย มันมาเป็นอุปสรรค ถ้าหากว่าชอบที่ถูกใจ ทีนี้ถ้าไม่ถูกใจก็ขัดใจอีกแหละ มันไม่เป็นอย่างที่เราชอบ มันไม่ดีอย่างที่เราชอบ มันก็จะมาวุ่นวานอยู่ในจิต ในขณะที่นั่งสมาธิ นี่เป็นเรื่องของกามฉันทะ สงสัยไหมคะ ถ้าไม่สงสัย..เวลานั่งสมาธิละก็..วันนี้ไปนั่งสมาธิแล้วก็ดูนะ ว่านิวรณ์ตัวไหนเข้ามา กามฉันทะหรือเปล่า ตัวที่ ๒ ก็คือพยาบาท ตรงกันข้ามกับกามฉันทะ พยาบาทนี่คือนึกถึงแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องที่ขัดใจ เรื่องที่ไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ จนกระทั่งขัดเคือง โกรธแค้น แต่มันเบากว่าโทสะ มันกรุ่นๆ อยู่ในใจ นิวรณ์นี่นะคะมันกรุ่นๆ อยู่ในใจ มันไม่โพล่งออกมาเหมือนอย่างกิเลส นี่มันกรุ่นๆ อยู่ในใจ
เพราะฉะนั้นก็พอจะนั่งสมาธิให้สบายๆ นึกถึงคำพูดที่พูดจาหยาบคาย ส่อเสียด อะไรต่ออะไรต่างๆ ที่ได้ยินมา ไม่สบายใจ ไม่ถูกใจ เอามาขัดแค้น มาโกรธเคือง ทำไมอย่างนั้น ทำไมอย่างนี้ หรือขัดเคืองเรื่องอื่นๆ อีกก็สุดแล้วแต่ แต่เป็นไปในทางตรงกันข้ามกับกามฉันทะ ก็เอามานั่งคิดนั่งนึก แล้วอันนี้ก็ปล่อยไม่ได้ง่ายๆ ด้วยใช่ไหมคะ พอจะนอนเข้าก็ไปนึกถึงเรื่องที่ทำให้เราขัดใจ เรื่องที่ทำให้เราโกรธแค้น เรื่องที่ทำให้เราเสียใจต่างๆ เหล่านี้ ตัวที่ ๒ คือพยาบาท ทีนี้ตัวที่ ๓ จำยากนิดหน่อย..ถีนมิทธะ .. ถีนมิทธะ จำได้ไหมคะ..ถีนมิทธะ หมายถึงอาการที่อ่อนเพลียละเหี่ยใจ ไม่มีเรียวแรง ตื่นนอนแต่เช้าก็ลุกไม่ขึ้น ทั้งที่เมื่อคืนก็นอน ๑๒ ชั่วโมง นอนอยู่บนที่นอนนะ ๑๒ ชั่วโมง แต่พอตื่นเช้าลุกไม่ขึ้น ไม่มีแรง จะคิดอะไรก็ไม่อยากคิด อยากนอนทอดหุ่ยมันอยู่อย่างนั้นนะ พอถูกเคี่ยวเข็ญให้ลุกจากที่นอน ก็ลุกอย่างไม่เต็มใจ อย่างไม่ถูกใจ เดินสะเปะสะปะ เอาไปแปะตรงนั้นอีก ไปนั่งแปะตรงนั้นอีก พอถูกแซะจากตรงนั้นก็ไม่นั่งแปะตรงโน้นอีก อย่างนี้ตลอดเวลา จะส่งอะไรให้ทำ ไม่อยากทำ จะไม่เอาอะไรเลยสักอย่าง จะอ่อนเปลี้ย เพลียใจ ละห้อยละเหี่ย หดหู่ เหี่ยวแห้ง เคยเป็นไหมคะ เคยไหมบางวันเคยเป็นไหมคะ .. นั่นแหละหดหู่เหี่ยวแห้ง เพราะอะไรละเคยหาสาเหตุไหมคะ มันมาจากเหตุอะไรที่ทำให้หดหู่เหี่ยวแห้ง หมดกำลังใจ สิ้นหวัง ชีวิตนี้มันมืด ทั้งที่พระอาทิตย์ก็ส่องแสงแดงจ้า เพราะอะไร? ไม่ได้ดั่งใจ เพราะการที่จะเอาให้ได้อย่างใจตัว ตั้งความหวังไว้มาก แล้วเผอิญไม่เป็นอย่างที่หวัง แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งหมดหนทาง หรือบางทีก็ไปทำอะไรผิดพลาดเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้เจตนา แต่เผอิญมันเกิดขึ้น แล้วก็ไม่มีใครเขาถือโทษอะไรมากมาย แต่เจ้าตัวนี่เป็นคนจิตใจบาง..อ่อน ก็เอามาคิดแล้วคิดอีก เสียอกเสียใจไม่รู้หาย จนรู้สึกเหมือนกับตัวเป็นคนไม่มีค่า นับถือตัวเองไม่ได้ เคารพตัวเองไม่ได้ รังเกียจตัวเอง เคยเป็นไหม? นี่..เพราะฉะนั้นท่านถึงบอกอย่างไรคะว่า ให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ในใจเสมอ เตือนใจเอาไว้เสมอ เพื่ออะไร? เพื่อจะได้ไม่ทำผิดพลาดอย่างไรละคะ เพราะบางทีเราทำอะไรผิดพลาด พูดผิดหรือทำผิด โดยไม่ได้ตั้งใจ มีบ่อยๆ ใช่ไหมคะ นี่เพราะเราขาดสติในขณะนั้น
ท่านจึงแนะนำให้มีสติเอาไว้เสมอ ยิ่งการพูดเรา .. เคยพูดเรื่องสัมมาวาจาเอาไว้แล้วนี่ ต้องการสติมากๆ เลย ถ้ามีสติอยู่ก็จะควบคุมวาจาคำพูด ให้เป็นคำพูดที่เป็นสัมมา คือถูกต้อง ไพเราะ น่าฟัง เกิดประโยชน์ ไม่เบียดเบียนใคร ให้ต้องเสียอกเสียใจ เพราะฉะนั้นอันนี้นะคะ จึงต้องระมัดระวังมากเลย ให้มีสติสัมปชัญญะเสมอ พอมีมีสติสัมปชัญญะเสมอ..แล้วเราก็จะสามารถรักษาจิตของเรานี่ให้อยู่ในความเป็นปกติได้ เคยเห็นไหม เคยเห็นคนที่ละเหี่ยเพลียใจไหมคะ ท่านก็แนะนำว่า ถ้าหากว่าเกิดความละเหี่ยเพลียใจอย่างนี้ .. ต้องแข็งใจ อย่าอยู่นิ่ง ลุกขึ้นวิ่ง ออกกำลังกาย เล่นกีฬา ถ้าหากว่ามีเพื่อน หรือมีพี่น้องนะคะ ให้ฉุดให้พาไปออกกำลังกาย จะดีมาก ถ้าปล่อยให้อยู่เฉยๆ เลือดลมไม่เดิน ก็ยิ่งมึนตื้อ ไม่อยากทำอะไรเลย เพราะฉะนั้นเป็นอันตรายมากนะ ถีนมิทธะนี่อันตรายมากทีเดียว เพราะว่ามันจะทำให้เกิดการย้ำคิดย้ำทำ วนเวียนอยู่แต่เรื่องของตัวเรื่องเดียวเท่านั้นนะ จะมองฟ้า จะมองดิน อย่างที่เคยเล่าถึงในดาราฝรั่งคนหนึ่ง เป็นดาราตุ๊กตาทองด้วย แต่พอเกิดอาการถีนมิทธะขึ้นในจิตของตัวเอง ไม่พูดกับใครเลย ตื่นขึ้นก็มานั่งที่เก้าอี้ แล้วก็มองเพดาน คำที่เขาพูดคือ Good Moring คำเดียว แล้วก็นั่งอยู่อย่างนั้น แฉะอยู่อย่างนั้น พอถึงกลางคืนก็ Good Night ไม่ลุกจากที่นั่นด้วย แต่เขามีภรรยาที่ดีมาก ภรรยาที่น่ารัก เข้าใจอาการของสามี แล้วก็เป็นกำลังใจอย่างยิ่ง ก็เรียกว่าปลุกปลอบกันเป็นเวลา ๒ ปี ถึงฟื้นตัวขึ้นมาได้ แล้วพอเขาฟื้นตัวขึ้นมาก็มีนักหนังสือพิมพ์ไปสัมภาษณ์ นักข่าวไปสัมภาษณ์ เขาก็เล่าให้ฟังว่า ๒ ปีนั้นนะ เหมือนกับเขาอยู่ในนรกไม่มีผิดเลย เขารู้ว่ามันไม่ดี แต่เขาฝืนใจเขาที่จะดึงตัวเองให้ลุกขึ้นมาไม่ได้ แน่นอนที่สุดถ้าเขาไม่มีภรรยาที่เป็นคู่ทุกข์คู่ยาก เข้าใจและอดทน ประคับประคองถึงขนาดนั้น เขาก็คงต้องไปอยู่โรงพยาบาลเสียคนไปเลย แต่นี้เขาลุกขึ้นมาได้ในผลสุดท้าย ทั้งที่เคยเป็นดาราตุ๊กตาทอง แต่เกิดมีความรู้สึกว่าเรานี่คงจะไม่มีความสามารถแสดงภาพยนตร์ได้อีกเลย อะไรๆ ที่ตัวเคยมีดีๆ ดูถูกตัวเองไปหมดว่าเป็นไปไม่ได้ นี่คืออาการของถีนมิทธะ
คอยสังเกตตัวเองนะคะ ถ้าวันไหนตื่นแต่เช้า ไม่อยากลุก ต้องรีบดีดตัวเองให้ลุกจากเตียงให้ได้ ถ้ามิฉะนั้น มันจะดึงตัวเองไม่ขึ้น อาการอันนี้มันมีแต่ทรุดหนักได้อย่างรวดเร็วด้วย ทีนี้ตัวที่ ๔ อุทธัจจะ .. อุท..อุทธัจจะ แต่ไม่ใช่สะกด อ-อุ-ด นะ ไม่ใช่อุดอันนั้น อุท..สะกด ท-ทหาร อุทธัจจะ แล้วก็ ธ-ธง ไม้หันอากาศ จ-จาน จ-อะ-จะ อุทธัจจะแปลว่าฟุ้งซ่าน คิดฟุ้งซ่าน ตรงกันข้ามกับถีนมิทธะ ถีนมิทธะนี่คิดตก คือหมายความว่าจิตนี่ตกลงๆ เรียกว่าจิตตกต่ำ จิตอ่อน ไม่มีแรง แต่อุทธัจจะกุกกุจจะมันตรงกันข้าม มันฟุ้งๆ ฟูขึ้นไปข้างบน อย่างพวกสร้างวิมานในอากาศนะ เคยได้ยินไหมคะ? นั่นละพวกนั้น..สร้างวิมานในอากาศ มองอะไรมันแจ่มจ้าไปหมด ในขณะที่ถีนมิทธะมองอะไรมันมืดไปหมด นี่มันตรงกันข้าม แต่ก็อยู่บนพื้นฐานของความเลื่อยลอย ไม่มีพื้นฐานของความจริงอยู่เลย เรียกว่าล่องลอยเหมือนกันทั้งสองอย่าง น่ากลัวเหมือนกัน นี่ก็ฟุ้งซ่านไปกับความคิดนั่นเอง คือสังขารคิดปรุง แต่ปรุงไปในทางฟุ้งซ่าน มองอะไรอาจจะเห็นดีเห็นงาม เห็นเด่นเห็นดัง แล้วก็เกี่ยวกับตัวเองนั่นแหละ เรียกว่าสร้างวิมานให้แก่ตัวเอง สร้างปราสาท สร้างชื่อเสียง สร้างอะไรต่ออะไรต่างๆ ให้แก่ตัวเอง นี่อุทธัจจะ เมื่อกี้พูดถึง..อุทธัจจะนะคะ ฟุ้งซ่าน ทีนี้มีอีกตัวหนึ่งเป็นข้อที่ ๔ ต่อจากอุทธัจจะ .. กุกกุจจะ กุก..ก-อุ-ก กุก แล้วก็ กุจ..ก-อุ-จ กุจ แล้วก็ จะ..จ-อะ จะ .. กุกกุจจะ จำไว้นะ สนุกดีนะคะ ยิ่งจำยากนะยิ่งสนุกดี อุทธัจจะ..ฟุ้งซ่าน กุกกุจจะ..นี่แสดงถึงลักษณะของความรำคาญ อึดอัด หงุดหงิด หงุดหงิดในข้อที่ว่าเสียใจในสิ่งที่ล่วงไปแล้ว คือหมายความว่ามานั่งรำพึงรำพัน โอ..เราไม่ควรพูดอย่างนั้นเลย เราไม่ควรทำอย่างนั้นเลย เราไม่ควรอย่างนั้น เราไม่ควรอย่างนี้ หรือเราควรจะดีกับเขามากกว่านี้นะ เราควรจะเห็นใจเขามากกว่านี้นะ ทำไมเราถึงใจดำอย่างนั้น ตำหนิติเตียนตัวเองในสิ่งที่ล่วงไปแล้ว แก้ได้ไหม? แก้ไม่ได้ นี้แหละแบบเดียวกัน ย้ำคิดย้ำทำ แต่ว่าคนละลักษณะ เขาก็เลยจัดมาไว้เป็นคนละข้อ
ทีนี้ข้อสุดท้าย วิจิกิจฉา อันนี้จำง่าย เพราะเคยได้ยินใช่ไหมคะ วิจิกิจฉาคืออะไร? วิจิกิจฉา นี่เธอตกอยู่ในอาการวิจิกิจฉาแล้วนะ เป็นอย่างไรอาการวิจิกิจฉา ลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ นี่แหละวิจิกิจฉา และอันนี้ละก็เป็นกันตลอดวันเลย เคยสังเกตตัวเองไหมคะ เป็นกันตลอดวัน เอ..วันนี้จะทำอาหารอะไรถวายพระดีนะ เอ..องค์นั้นท่านออกหรือเปล่า ท่านจะฉันไหม นี่อย่างนี้เป็นต้นนะ เราจะทำถวายท่านดีหรือไม่ดี เข้าไปร้านอาหาร..สั่งอะไรดีนะ ที่จานเด็ดๆ เขานะ บริกรก็มาอธิบายให้ฟัง เธอจะเอาอะไรๆๆ เอาอยู่นั่นละ แต่ตกลงไม่ได้สักที นี่วิจิกิจฉานะคะ แต่ว่าไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่ เห็นเป็นธรรมดา แต่ขอถามนิดเดียวนะคะว่า เสียเวลาหรือเปล่า เสียเวลาไหม? ในระหว่างที่วิจิกิจฉาจะเอาอะไรๆ จะไปไหน ทั้งๆ ที่รู้แล้ว หรือไประหว่างทางเราจะหยุดตรงไหนดี ขับรถไปด้วยกัน..นี่วิจิกิจฉาในชีวิตประจำวัน วิจิกิจฉาไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันของมนุษย์ และทำให้มนุษย์นี้เสียเวลา นอกจากเสียเวลาแล้ว เสียอะไรอีก..รู้สึกไหมคะ? คนที่..เธอจะเอาอะไร เธอว่าอย่างไร เธอจะไปไหนฉันไปด้วยถ้าเห็นคนอย่างนี้น่าเอ็นดูไหม? ไม่น่าเอ็นดูหรอก น่ารำคาญ น่าสงสาร ทำไมโตจนป่านนี้แล้ว ตัดสินใจอะไรของตัวเองไม่ได้สักอย่าง แม้แต่เรื่องเล็กๆ เห็นไหมคะ? ทีนี้ถ้าปล่อยให้เรื่องเล็กๆ อย่างนี้กลายเป็นนิสัยอยู่เรื่อยๆ พอโตขึ้นไป ถึงเวลาทำงานทำการเป็นหัวหน้าเขาเป็นอย่างไร ตัดสินใจอะไรได้ไหม? .. ยาก .. ใครเป็นลูกน้องของหัวหน้าวิจิกิจฉาอย่างนี้ .. กรรม .. พูดได้อย่างเดียว .. กรรม .. จริงๆ เลยไม่รู้จะทำอย่างไรถึงจะพ้นไปได้ และจะไม่มีวันจะนำลูกน้องให้เจริญก้าวหน้า ที่จะพัฒนาความคิด คุณภาพ ประสิทธิภาพให้เกิดขึ้นกับลูกน้อง ทำไม่ได้ เพราะตัวหัวหน้าเองปล่อยให้วิจิกิจฉาเข้าครอบงำเสียแล้ว ถ้าปล่อยไว้ให้มีวิจิกิจฉาเรื่อยตั้งแต่ยังเล็กๆ ในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ มันกลายเป็นนิสัยใช่ไหมคะ? ติดตัว แล้วพอโตขึ้นไปทำการทำงานก็แก้ไขยาก เพราะฉะนั้นอย่าดูถูกนะ อย่าดูถูกว่า..โอ..ไม่เป็นอะไร..นิดเดียวเองๆ ฟังพูดนิดเดียวเอง..บอกตรงๆ นะคะ..หมั่นไส้ ได้ยินใครที่บอกว่า..นิดเดียวเองค่ะๆ นี่ละนิดเดียวนี่แหละทำให้นิสัยเสียจนตาย นี่ให้ระวังไว้ ฉะนั้นอย่าประมาทว่านิดเดียวเอง ต้องแก้ไขทันที ฉะนั้นวิจิกิจฉาจึงเป็นนิวรณ์ที่ตัวร้ายมาก ตัวร้ายมากเลย เพราะทำให้คนไม่สามารถที่จะเป็นผู้ที่มีความมั่นใจในตัวเองได้ เป็นคนตัดสินใจผิดถูกไม่ได้ วิจารณญาณในการที่จะชี้ว่าอะไรดี อะไรงาม อะไรเหมาะ ไม่สามารถจะทำได้ ขาดความเป็นหัวหน้าคน ขาดความสามารถในการที่จะทำงานให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี วิจิกิจฉาจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
ท่านเปรียบนิวรณ์เป็นน้ำชนิดต่างๆ วิจิกิจฉานี่นะคะ ท่านเปรียบเหมือนน้ำอยู่ในที่มืด ถ้าสมมติเราเห็นน้ำอยู่ในที่มืด มันมืดหมด แต่เรารู้ว่าตรงนั้นเป็นน้ำ เป็นอย่างไรคะที่ท่านเปรียบวิจิกิจฉาเป็นน้ำอยู่ในที่มืด น่ากลัวไหม? น่ากลัว ถ้าเราจะก้าวลงไปในน้ำนั้นนะ ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งเลย ไม่รู้ว่าในน้ำมืดๆ นั้นนะ มีจระเข้อยู่หรือเปล่า มีงูอยู่หรือเปล่า หรือมีศพเน่าลอยอยู่ หรือมีอะไรที่เป็นพิษร้ายน่าเกลียดน่ากลัว เราไม่มีทางรู้ นี่ท่านจึงเปรียบวิจิกิจฉาเหมือนน้ำอยู่ในที่มืด ทำไมถึงว่าน้ำในที่มืด เพราะมันรวมเอาอะไรเข้าไว้ในวิจิกิจฉา คนที่ตัดสินใจอะไรไม่ได้ อะไรก็ลังเลสงสัยไปเสียทุกอย่าง ต้องขอผู้นำเอาไว้เรื่อย ฉลาดหรือโง่ มีความเขลาอยู่ ใช่ไหมคะ ในวิจิกิจฉานะมันซ่อนความเขลาเอาไว้ ความเขลาที่เรียกว่าโง่ เพราะฉะนั้นถ้ายอมปล่อยให้มันติดนิสัยไปเรื่อยๆ ก็เท่ากับเราพอกพูนอะไรละคะ พอกพูนอะไร ความฉลาดหรือความโง่ ใช่..พอกพูนความโง่ให้เพิ่มมากขึ้น สมองไวๆ ไอคิวสูงๆ ที่เคยเป็นก็กลับเตี้ยต่ำหมด เพราะฉะนั้นทิ้งไม่ได้ มันเป็นลูกน้องของอวิชชา วิจิกิจฉาเป็นลูกน้องของอวิชชา ที่มันทำให้โง่เขลา ไม่ยอมคิดอะไรด้วยเหตุด้วยผล ท่านถึงเปรียบเหมือนน้ำในที่มืด ส่วนกามฉันทะ ท่านเปรียบเหมือนน้ำที่มีสีต่างๆ พอเรามองลงไปในน้ำ สีเขียว สีแดง สีเหลือง มันอาจจะต้องประกายของพระอาทิตย์หรืออะไรก็ได้ มองดูในน้ำนี้สวยจริงๆ เหมือนของจริงหรือของหลอก ของหลอก มันเป็นมายา ไม่ใช่ของจริง แต่เผอิญมันมีแสงกระทบมา ก็เลยทำให้เกิดเป็นสีพริ้วเหมือนสีรุ้งก็ว่าได้ ก็ไปติด นี่คือลักษณะของกามฉันทะ ทีนี้พอเป็นพยาบาท ท่านก็เปรียบเหมือนน้ำเดือด น้ำเดือดอยู่ในกา เป็นอย่างไรคะ พร้อมที่จะลวกให้ไหม้เลยนั่นแหละ นี่คือพยาบาท
น้ำใสได้ไหมคะ..ได้ ถ้าแหวก แข็งใจเสียหน่อย แข็งใจหน่อยเอื้อมมือไปแหวกจอกแหน เราก็จะเห็นน้ำใสได้ เพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่า ถ้าเกิดถีนมิทธะขึ้น อย่านอนทอดหุ่ยตัวแข็งอยู่อย่างเดียว ให้ทำอย่างไร รีบลุกขึ้นให้ได้ใช่ไหมคะ? ลุกขึ้นวิ่ง ลุกขึ้นออกกำลังกาย เล่นเทนนิส แบดมินตัน ว่ายน้ำ อะไรก็แล้วแต่ นี่ก็จะทำให้มีชีวิตจิตใจมากขึ้น ท่านก็เปรียบถีนมิทธะเหมือนน้ำที่มีจอกแหน นี่ก็จะทำให้เห็นถึงสภาพของจิตนะคะ ท่านอธิบายอย่างนี้ จิตที่มืดครึ้มนะ..ถีนมิทธะ พออุทธัจจะกุกกุจจะท่านก็เปรียบเหมือนน้ำที่พริ้วเป็นระลอก รู้จักน้ำที่พริ้วเป็นระลอกใช่ไหมคะ ถ้าใครไปนั่งที่ใกล้แม่น้ำใหญ่หรือใกล้ทะเล นั่นแหละพริ้วเป็นระลอก ก็มองดูสวยดีใช่ไหมคะ แต่ถ้ามองดูนานใครแพ้น้ำก็เวียนหัวได้ นี่คือลักษณะของอุทธัจจะกุกกุจจะ ท่านเปรียบเป็นน้ำ คือนิวรณ์ท่านเปรียบเหมือนน้ำ ๕ อย่าง ทีนี้ดูให้ชัดเข้าไปอีกว่านิวรณ์นี้เกี่ยวข้องกับกิเลสอย่างไร กิเลสตัวแรกคืออะไรคะ? พูดแล้ว โลภะ มีอาการดึงเข้ามาหาตัว อยากได้ ทีนี้มาดูนิวรณ์ ๕ ตัว ตัวแรก กามฉันทะจะมีอาการอย่างไร ดึงเข้าหาตัว เพราะชอบนี่ใช่ไหมคะ ชอบ ถูกใจ เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ไพเราะ ที่งดงาม นุ่มนวล ถูกอกถูกใจ ก็มีอาการดึงเข้าหาตัว เพราะฉะนั้น เจ้ากามฉันทะนี่ลูกน้องของใคร? ลูกน้องของโลภะ เห็นไหมคะ? มันกลุ่มเดียวกัน แต่ทีนี้พอแยกออกมาเพื่อให้เห็นชัดขึ้น ว่าเมื่อโลภะที่แรงๆ เป็นกิเลสนี่มันเบาบางลง ออกมาในลักษณะไหน? ออกมาเป็นลักษณะของนิวรณ์ที่ชื่อว่า กามฉันทะ เพราะฉะนั้นพอไม่เห็นโลภะตัวใหญ่ อย่าเพิ่งคิดว่า โอ..ฉันไม่มีแล้ว..โลภะ ดูไปก่อนๆ จะได้ค่อยๆ ขัดมันไปให้หมด
ทีนี้กิเลสตัวที่ ๒ คืออะไรคะ โทสะ มีอาการอย่างไรคะ? ผลักออกไป ทีนี้นิวรณ์ตัวที่ ๒ คืออะไร พยาบาท ก็มีอาการอย่างไรละคะ ผลักออกไปเหมือนกัน..ใช่ไหมคะ? เพราะพยาบาท ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ เพราะฉะนั้นพยาบาทนี่ก็คือลูกน้องของ..โทสะนั่นเอง..ใช่ไหม? คือไม่แรงเท่าโทสะ เหมือนเสือที่ตะปบตายเลย แต่ออกมาในรูปที่กรุ่นๆๆ อยู่ในใจตลอดเวลา ตัดไม่ขาด ลอกไม่ออก ก็ทำให้ลำบากเหมือนแมลงหวี่ตอมในตา ทีนี้อีก ๓ ตัว อีก ๓ ตัวข้างหลังนี่นะคะ ตัวที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ถีนมิทธะมีลักษณะอย่างไร ที่อธิบายให้ฟังแล้ว เด็ดขาดไหม ตัดอะไรไหม ย้ำคิดย้ำทำ หรือ อุทธัจจะกุกกุจจะ ก็ย้ำคิดย้ำทำ แต่คนละทาง อันนี้ฟุ้งขึ้นไปเป็นวิเศษหมด อาจจะยิ้มตลอดวันเลยก็ได้ ในขณะที่ถีนมิทธะหดหู่ตลอดวัน แต่มันแบบเดียวกัน เพียงแต่อันหนึ่งไปสูง ฟุ้งซ่าน ขึ้นสวรรค์เป็นวิมานในอากาศ แต่อีกตัวหนึ่งตกต่ำ ลงนรก อะไรทำนองนั้น แต่ก็อยู่ในลักษณะของอาการที่คิดแล้วคิดอีก คิดไม่ตก ตัดไม่ได้ ตัวที่ ๕ วิจิกิจฉา ลังเลสงสัย เป็นอย่างไรอาการ ตัดตรงเลยหรือเปล่าว่าจะไปไหน..ไม่ แต่มีอาการอย่างไรคะ? วนเวียนๆ เพราะฉะนั้นทั้ง ๓ ตัวนี่แหละ ถีนมิทธะก็ดีวนเวียนไหมคะ? อุทธัจจะกุกกุจจะก็ดีวนเวียนไหม? วิจิกิจฉาก็ดีวนเวียนไหม? เพราะฉะนั้นนิวรณ์ ๓ ตัว ตั้งแต่ตัวที่ ๓ ๔ ๕ ก็คือลูกน้องของโมหะนั่นเอง นี่แหละคือลักษณะของนิวรณ์ ที่เป็นเครื่องกั้นมิให้ผู้คนที่ตั้งใจจะทำอะไรให้ดี ให้เรียบร้อย ให้สำเร็จอย่างรวดเร็วด้วยนี่..ทำไม่ได้ เพราะมันมาคอยขัดขวางในลักษณะนี้ เป็นกามฉันทะบ้าง พยาบาทบ้าง ถีนมิทธะบ้าง อุทธัจจะกุกกุจจะบ้าง วิจิกิจฉาบ้าง สงสัยอะไรไหมคะ? อย่าลืมสิที่ถามแล้วถามอีกนะ .. ให้ดูที่อะไร .. กิเลสก็เหมือนกันดูที่อะไร อาการที่เกิดขึ้นที่ใจ ดูอาการที่เกิดขึ้น ถ้าดึงเข้า ถ้าผลักออก ถ้าวนเวียน เพราะฉะนั้นอาการนี้ต้องจำไว้ เพราะจัดเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า กิเลสตัวไหนเข้ามา หรือนิวรณ์ตัวไหนเข้ามา ฉะนั้นถ้าหากเรารู้ว่ามันเข้ามาเมื่อไหร่ และอะไรเข้ามา เราจะได้แก้ไขจัดการ ปล่อยเล่นกับมันไม่ได้ อย่าเป็นเพื่อนกับมันเป็นอันขาดนะคะ อย่านึกว่านิวรณ์นี่มันน่ารักดี เลี้ยงไว้ดูเล่น ถ้าใครเลี้ยงนิวรณ์ไว้ดูเล่น รับรองเปลี่ยนที่อยู่แน่ๆ ลำบากกับพี่น้อง ลำบากกับสังคมด้วย เพราะฉะนั้นอย่าเลี้ยงไว้เลย แต่ต้องรู้จักมัน
แล้วการจะกำจัดนิวรณ์ ก็ไม่ใช่ของง่ายด้วยนะ ไม่ใช่ของง่ายๆ ที่จะกำจัดได้ แต่ว่ามีทางทำได้สำเร็จ ถ้าใครทำได้สำเร็จ ก็แน่นอนละ จิตก็สงบสบาย ไม่ต้องถูกมันมารบกวน สามารถจะทำการงานอะไรได้ เรียบร้อย สบายดี นั่งสมาธิก็ได้ จะเล่าเรียนศึกษาอะไรก็ได้ จะทำการงานก็ได้ อุปสรรคที่จะมาขวางกางกั้นก็น้อย เพราะจิตมันว่าง พอจิตว่าง สบาย สมองก็แจ่มใส สติปัญญาก็มาพร้อม สัมปชัญญะก็รู้ตัวทั่วพร้อม ก็เรียกว่าเป็นคนที่ปกติ มีความเป็นปกติ ฉะนั้นนิวรณ์เป็นสิ่งที่ต้องกำจัด..จำไว้นะคะ นิวรณ์เป็นสิ่งที่ต้องกำจัด กำจัดให้มันละลายออกไปทีละน้อยๆๆ ถ้าเราสามารถละลายกิเลสได้แล้ว ก็ต้องมาละลายนิวรณ์ไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ โดยไม่ประมาท ทีนี้นอกจากจะกำจัดนิวรณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และก็เป็นรากเหง้าที่สำคัญนะคะ ที่เป็นตัวอุปสรรคใหญ่ที่สำคัญของการทำจิตให้สงบแล้ว ก็อยากจะเสนอว่า สิ่งที่จะทำรบกวนจิตไม่ให้สงบอีกอย่าง ที่จริงก็เป็นลักษณะอยู่ในนิวรณ์นั่นแหละ คือการเพ่งโทษผู้อื่น เป็นไหม? การเพ่งโทษผู้อื่น นี่แหละ..ถ้าอยากมีจิตสงบสบาย หยุดการเพ่งโทษ .. เข้าใจไหมคะว่าการเพ่งโทษคืออย่างไร เห็นความผิดของคนอื่นตลอดเวลา ตัวเองนี่หาไม่พบ หาความผิดไม่พบ พบแต่ความดี นี่แหละคือการเพ่งโทษผู้อื่น ในสังคมทุกวันนี้ที่ไม่ค่อยถูกอกไม่ค่อยถูกใจกันนี่ จนกระทั่งถึงทะเลาะเบาะแว้ง หรือว่าฆ่าฟันกัน ก็เริ่มต้นจากการเพ่งโทษกันและกัน มองเห็นแต่ความผิดของคนอื่น ตัวเองไม่มี เพราะฉะนั้นในขณะที่ไปเพ่งโทษเขานี่ พอจะนั่งสมาธิหรือจะทำการงาน การเพ่งโทษนี่มาอยู่ในนิวรณ์ตัวไหน..ลองนึกสิคะ มาอยู่ในอาการของนิวรณ์ตัวไหน? ๕ ตัวที่พูดเมื่อกี้นี้ พยาบาท..เพราะมันไม่ถูกใจนี่ใช่ไหมคะ ที่เราเพ่งโทษเขานี่เพราะมันไม่ถูกใจ เขาไม่ควรทำอย่างนั้น เขาไม่ควรเป็นอย่างนี้ ทำไมเขาเป็นอย่างนั้น ก็มันเรื่องของเขานะถ้าเขาจะเป็นจริงนะคะ ถ้าอยู่ในวิสัยที่เราจะแนะนำได้ แก้ไขได้ เราก็ทำสิ ถ้าพ้นวิสัยเราก็อย่าไปยุ่งกับเขาไม่ดีกว่าหรือ ถ้าถึงจังหวะที่เราจะช่วยเขาได้ เราจึงค่อยทำ
เพราะฉะนั้นถ้านิวรณ์ตัวพยาบาทเกิดขึ้นนี่ ท่านแนะนำว่าให้ปลูกเมตตาให้เกิดขึ้นในใจให้มากๆ เมื่อรู้สึกเพ่งโทษใครว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น ทำไมถึงโง่อย่างนั้น ทำไมถึงไม่รู้อะไรเสียบ้างเลยอย่างนี้ ให้ปลูกเมตตาให้เกิดขึ้นมากๆ คือให้สงสารที่เขาเป็นอย่างนั้น ถ้าหากว่าเขารู้ตัว เขาคงไม่อยากทำนะ ทุกคนก็อยากให้คนรัก ไม่อยากให้คนเกลียด แต่ที่เขาทำอย่างนั้น ก็เพราะเขาไม่ฉลาดพอที่จะแก้ไขตัวเองได้ เขาถึงทำอย่างนั้น และถ้าเราเป็นคนฉลาด ต้องขอบใจบุญกุศลที่เราเกิดมาเป็นคนฉลาด เราจึงสามารถรู้ผิดชอบชั่วดี เราก็ควรแผ่เมตตาให้กับผู้ที่เขลาให้มากขึ้น แต่มิได้ปล่อยไปอย่างนั้นนะคะ ถ้าอยู่ในโอกาสที่จะแก้ไขได้ ก็แก้ไขได้ และแก้ไขขึ้น ทีนี้ถ้าเป็นกามฉันทะ ท่านแนะนำว่ากามฉันทะนี่ชอบสิ่งสวยๆ งามๆ นี่ เพราะฉะนั้นในทางธรรมนี่ กามฉันทะถ้ามันเกิดมีมากขึ้น ท่านให้พิจารณาสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งสวยๆ งามๆ คืออะไรคะ คือสิ่งที่เป็นอสุภะ อย่างพวกผู้ที่เป็นหมอเป็นพยาบาลนี่ น่าจะชนะนิวรณ์ตัวนี้นะ เพราะว่าอยู่กับอสุภะ สิ่งที่เป็นปฏิกูล สิ่งที่เป็นของเน่าๆ เหม็นๆ ของเสียๆ จากที่เราเห็น..จากคนไข้ จากการรักษา จาการชำแหละศพ อะไรต่างๆ เหล่านี้ น่าจะช่วยได้มากเชียว ถ้าหากว่าเอามาพิจารณาแล้วละก็ น่าจะชนะนิวรณ์ตัวนี้ได้นะคะ ฉะนั้นท่านก็ให้พิจารณาอสุภะ ถ้าใครมีกามฉันทะในเรื่องใดมากๆ .. ดูอสุภะ .. อย่างเวลาเข้าห้องน้ำนี่ เราไม่ใช่หมอไม่ใช่พยาบาล ไม่มีโอกาสไปดูศพชำแหละ หรือว่าคนเจ็บป่วยที่แผลน่ากลัว เข้าห้องน้ำตอนเช้าหรือตอนไหนที่เป็นเวลาของเรานะ เห็นไหมอสุภะ..ที่อยู่ในโถนั่นนะ นั่นแหละเอามาพิจารณาได้ ที่เราบอกต้องกินให้อร่อย ต้องทำอย่างนั้นสีถึงจะสวย มีกลิ่นหอม นี่อย่างนี้ไม่ถูกนี่ ประดิษฐ์ประดอยทำเสร็จ กินเสร็จเอร็ดอร่อยลิ้น ชั่วครู่กลายเป็นอะไร? กลายเป็นปฏิกูล..ใช่ไหมคะ เป็นปฏิกูลอยู่ในนั้นแล้ว หมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ ก็จะช่วยตัวเราเองให้ลดการทำ ให้เสียเวลาน้อยลง และก็ลดการยึดติดในสิ่งเหล่านั้นได้ด้วย
ทีนี้ในอาการของถีนมิทธะ ท่านก็บอกว่าให้เพ่งสิ่งที่เป็นแสงสว่าง นี่ถ้าพูดถึงในแง่ทางธรรมนะคะ ที่พูดว่าให้ออกกำลังอะไรต่ออะไรนั่นนะ เป็นการแนะนำว่าควรจะต้องทำเช่นนั้น แต่ในทางธรรมท่านก็บอกว่า ถีนมิทธะ มองอะไรมืดมันไปหมดนี่ มันห่อเหี่ยว มันไม่เห็นแสงสว่าง ฉะนั้นท่านบอกว่าให้พยายามเพ่งว่า รอบตัวเรานี่คือแสงสว่าง ทั้งหมดนี่เป็นแสงสว่าง อย่าไปเห็นว่ามันเป็นความมืด มันเป็นแสงสว่างแห่งความหวัง มันเป็นแสงสว่างที่จะส่องให้ทางแก่ชีวิต เพื่อให้เกิดกำลังใจขึ้น ฉะนั้นท่านให้มองเห็นเป็นอาโลกสัญญา คือให้เห็นเป็นแสงสว่าง ทีนี้ถ้าเป็นอุทธัจจะกุกกุจจะ ฟุ้งซ่านอยู่เรื่อย อันนี้ก็ต้องใช้ปัญญา ใช้ปัญญาที่จะมองให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว มันไม่มีอะไรที่จะเป็นตัวตนจริงๆ เลยสักอย่างเดียว ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เป็นมายาทั้งนั้น ที่ฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา มันหาใช่สิ่งจริงไม่ พอมาถึงวิจิกิจฉาก็ยิ่งต้องใช้ปัญญาเพิ่มมากขึ้น ให้มองเห็นปัญญาที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอน ก็จะชัดเจนยิ่งขึ้นตามลำดับ แล้วก็ค่อยๆ ละลายนิวรณ์ไปได้ทีละน้อยๆ นี่ก็เรียกว่าต้องกำจัดในสิ่งที่คิดว่าเป็นอุปสรรค หรือท่านผู้ใดนึกถึงอุปสรรคอย่างอื่นได้อีกไหมคะ..ของนิวรณ์นี่ ที่มันมาเป็นเครื่องส่งเสริมให้นิวรณ์เจริญนะ..นึกออกไหมคะ ถ้านึกไม่ออกก็เอาไปนึกต่อที่บ้านก็ได้นะคะ ทีนี้ทางหนึ่งก็เราตั้งใจกำจัดนะคะ เราตั้งใจกำจัดสิ่งที่เป็นต้นเหตุให้จิตไม่สงบ หยุดการเพ่งโทษ และก็รู้จักนิวรณ์ทั้ง ๕ อย่าคบมันเป็นเพื่อน แล้วก็พยายามที่จะละลายมันให้มากที่สุดที่จะมากได้ ทีนี้อีกทางหนึ่ง ก็คือเพิ่มพูนกำลังใจให้เกิดปีติปราโมทย์ ในขณะที่เราอยากจะให้มีจิตสงบนี่ ถ้ามันมีอะไรมารบกวน ลองเพิ่มพูนกำลังใจให้เกิดปีติปราโมทย์ ปิติก็คือความอิ่มใจ ความพอใจ ความยินดี เบิกบาน ด้วยการนึกถึงสิ่งดีงามต่างๆ ที่ได้กระทำมาแล้ว จะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เป็นไร พอนึกขึ้นมาแล้วมันรู้สึกอิ่มใจ เพราะสิ่งนั้นนะได้ทำไปโดยจิตที่บริสุทธิ์ นึกออกไหมคะ? พอนึกขึ้นมาแล้ว แหม..อิ่มใจ มันทำให้จิตปลื้มขึ้นมา มีไหม นั่นแหละ เอามานึกให้บ่อยๆ
พอจิตมันวุ่นวาย มันรู้สึกว่าตัวเรานี่ไม่มีค่าเสียเลยนะ ทำอะไรไม่ถูกเลยสักอย่างหนึ่ง ไม่เห็นมีใครชอบ นึกถึงอันนี้ขึ้นมา จิตมันจะสงบ เพราะมันเกิดปีติ จิตมันก็ชื่นบานขึ้น สดชื่นขึ้น มีกำลังใจ มันเกิดความสงบ แล้วก็รีบ..ถ้าสมมติกำลังนั่งสมาธิ ถ้าหากใช้วิธีดูลมหายใจ ก็รีบตามลมหายใจ หรือใครใช้ พุทโธ ก็รีบเดิน การปฏิบัติสมาธิตามวิธีที่ได้เล่าเรียนมาหรือที่ถูกกับจริตนิสัย จิตก็จะสงบไปได้ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ ถ้าใครได้ทำความดีที่เป็นสิ่งใหญ่โตมากยิ่งขึ้นก็ยิ่งดี ยิ่งนึกขึ้นมาแล้วมันอิ่มใจ มันพอใจ แต่ระวังนิดเดียว อย่าให้กลายเป็นอุทธัจจะ คือพอนึกถึงความดีของเราขึ้นมาแล้ว..อย่าให้กลายเป็นอุทธัจจะ คืออะไรคะ..อย่าไปฟุ้งกับมัน พอไปนึกขึ้นมาแล้ว เออ..เลยตัวลอยเลย แหม..เรานี่ใช่เล่นนะ ได้ทำความดีที่ทำยากนะ ใครๆ เขาก็ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ อย่างนี้ แต่เราทำได้ เลยสนุกสนาน เพิ่มพูนตัวตนอัตตาต่อไป เลยลอยไปไหนก็ไม่รู้..นอกโลกไปเลย สมาธิแตกกระจาย ไม่เหลือเลย นี่ระวังตรงนี้ นึกเอาไว้เพียงให้เกิดกำลังใจ ให้จิตสงบ ให้จิตปีติยินดี แล้วก็เดินการปฏิบัติต่อไป หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวันที่จิตกำลังระสำระส่ายก็เหมือนกันนะคะ ก็ลองนึกดูในสิ่งเหล่านี้ ก็จะช่วยให้จิตนั้นมีความสบาย เบิกบานมากขึ้น นี่เป็นอย่างหนึ่งคือนึกถึงกุศลธรรมที่ได้บำเพ็ญมา ในตอนกลางคืนก่อนนอนก็เหมือนกัน อยากขอเสนอแนะค่ะ ถ้าใครนอนไม่หลับ ไม่สบาย อย่าไปคิดอะไรวุ่นวาย หรือคิดอะไรที่มันเศร้าหมอง คิดแต่สิ่งดีๆที่เราได้ทำไปแล้ว ถ้าวันนี้ได้ทำอะไรไปก็เอาวันนี้สดๆ ร้อนๆ มานึก แล้วก็จะยิ้มกับสิ่งนั้น แล้วก็บอกตัวเราเอง เออ..พรุ่งนี้ต้องทำอีก หรือถ้าวันนี้ไม่มี เมื่อวานนี้ก็ได้ วันก่อนก็ได้ เอามานึก จะได้ชื่นใจ เป็นกำลังใจ แล้วก็จะทำให้นอนหลับสบาย ถ้าฝันก็ฝันดี พอตื่นขึ้นก็สดชื่นแจ่มใส แล้วถ้าสมมติว่าเผอิญในขณะที่นอนคืนนี้..มันเกิดหยุดหายใจ ในขณะที่จิตคืนนี้นี่ แหม..มันชื่นบาน สงบ เบิกบาน แน่นอนนะ ไม่ไปทุกขคติ มันดีอย่างนี้ด้วย ไม่ไปทุกขคติแน่นอน ฉะนั้นขอให้นึกเอาไว้นะคะ จะได้มีความสุขกันทุกคนๆ ในเวลาก่อนนอน ที่จริงก็มีเรื่องที่จะพูดอีก..แต่กลัวจะไม่จบใน ๑๕ นาทีนี้ เพราะกะว่าจะให้จบเลย ๖ โมงครึ่ง ก็กลัวจะค่ำเกินไป จะพูดถึงเรื่องการนึกถึงทานที่บริสุทธิ์ นี่ก็จะทำให้มีจิตใจที่เบิกบานมากยิ่งขึ้น เอาไว้คราวหน้าดีไหมคะ เดี๋ยวจะค่ำเกินไป.