แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ธรรมสวัสดีค่ะ เมื่อคราวที่แล้วในรายการวรรณกรรมกับธรรมะ ก็ได้กล่าวถึงว่าชีวิตคือการแสวงหา คือแสวงหาอย่างไรและควรจะมีเป้าหมายอย่างไร แล้วก็ได้ยกตัวอย่างหนังสือพุทธประวัติสำหรับยุวชนหรือพุทธประวัติสำหรับนักศึกษา เพื่อที่จะเป็นตัวอย่างในการแสวงหาของท่านผู้ประเสริฐพระองค์หนึ่งนะคะ ซึ่งเชื่อว่าท่านผู้ชมก็ได้รู้จักพระประวัติของท่านเป็นอย่างดีแล้ว แล้วก็ในการที่จะอุปมาอุปไมยให้เห็นง่ายๆ ดิฉันก็ได้หยิบเอาหนังสือวรรณกรรมสำหรับเด็กที่ชื่อว่าแมวล้านๆ ตัวในภาษาอังกฤษมาเล่าให้ฟังว่าในเรื่องนั้นมันแสดงความอยากอย่างไร คือมันแสดงถึงต้นเหตุของความทุกข์อันเกิดจากความอยากนั้นคืออย่างไร ก็หลังจากที่ตากับยายได้แมวเล็กๆ น่ารักเอาไว้แล้วเลี้ยงตาม ตามความปรารถนาแล้วนะคะ ทีนี้เราก็มาดูว่าในเรื่องนี้มันมีต้นเหตุอะไรที่ทำให้เจ้าแมวเป็นฝูงใหญ่ๆ นั่นมากัดกันตายไปจนหมดสิ้น
ถ้าจะว่าไปแล้ว สาเหตุมันก็มาจากความอยากของยายเป็นเบื้องต้นใช่ไหมคะ ยายอยากมีแมว ความอยากอันนี้ก็เป็นเหตุปัจจัยให้ยายพูดกับตาขอให้ตาไปช่วยหาแมวสวยๆ มาเลี้ยงสักตัวนึงเถอะ ตาก็เกิดความอยากที่จะไปหาแมวตามคำขอร้องของยาย แล้วตาก็เดินไปพบแมวเข้าฝูงหนึ่ง เสร็จแล้วตาก็เกิดความอยากอีกแล้วว่า อยากจะได้แมวสวยๆ ไม่อยากเอาแมวขี้เหร่ ก็เมื่อไปพบแมวฝูงใหญ่เข้า ถ้าหากว่าตาเป็นคนที่รู้จักที่จะตัดสินใจ ตาก็คงจะมองดูแล้วเห็นตัวไหนสวยก็คงจะเลือกแล้วก็อุ้มหยิบกลับมา ปัญหาก็คงหมด แต่นี่ตาไม่อย่างนั้นตามีความอยาก แต่เสร็จแล้วเกิดความลังเลไม่แน่ใจ ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกตัวไหนดี ก็กลับบ้านพร้อมกับปล่อยให้แมวทั้งฝูงนี่เดินตามกลับมาบ้านด้วย พอมาถึงบ้านเข้า ยายบอกตาก็เลือกตัวสวยๆ สิ แทนที่ตาจะเลือก ตาก็กลับไปถามอีกแล้วว่าไหนตัวไหนสวย ตัวไหนสวย เจ้าแมวนั้นมันก็มีธรรมชาติหรือมีสัญชาตญาณที่อยากจะสวยอยากจะเด่นอยากจะดังเหมือนอย่างสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแต่ละตัวก็ต่างก็ร้องตะโกนว่าฉันสวยฉันสวยฉันสวยล้วนแล้วแต่อยากสวย แล้วก็ด้วยอำนาจของความอยากซึ่งมันเกิดความโลภขึ้นมา อยากจะเป็นแมวตัวที่สวยจริงๆ
และเมื่อได้ยินตัวอื่นก็ร้องว่าฉันก็สวยเหมือนกัน ฉันก็สวยเหมือนกัน ต่างก็เลยเกิดโทสะคือเกิดความโกรธซึ่งกันและกันที่มีตัวอื่นๆ จะมาแข่งความสวยกับฉัน เมื่อบรรลุแก่อำนาจโทสะจนกระทั่งเก็บโทสะนั้นไว้ไม่ได้ก็เลยตรงเข้ากระโจนเข้าฟัดกันกัดกัน จนผลที่สุดก็เลยตายไปหมดทั้งสิ้น ถ้าจะถามว่าแมวทั้งฝูงเหล่านั้นนี่ตายไปด้วยเหตุอันใด คำตอบก็คือว่าตายไปเนื่องจากเหตุของความอยากนั่นเอง ทีนี้ส่วนเจ้าลูกแมวขี้เหร่ที่เหลืออยู่ตัวหนึ่งไปแอบอยู่ในพุ่มไม้ ทำไมถึงไม่ตายไปกับเพื่อนแมวทั้งฝูงนั่นด้วยแล้วก็ยังอุตส่าห์ได้อยู่มีความสุข ได้กินอิ่มได้นอนหลับอยู่กับตากับยายด้วยความผาสุกต่อไป คำตอบก็ง่ายๆ อย่างที่เด็กๆ จะเข้าใจได้นะคะด้วยการอุปมาอุปไมย ก็บอกได้ว่าเพราะเจ้าลูกแมวขี้เหร่ตัวนั้นนี่มันรู้ใจของมันเองว่าใจของมันนี่เป็นอย่างไร ถ้าพูดตามทางโลกก็บอกว่ามันรู้จักตัวของมันดี มันคงจะได้ส่องกระจกดูตัวของมันเองเสมอกระมัง แต่แมวไม่มีกระจกเราก็บอกได้ว่ามันส่องกระจกใจของมัน มันมองเห็นแล้วไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปแข่งกัน ไม่มีประโยชน์อะไร มันตัดความอยากที่จะไปแข่งกับเขาเสียเพราะว่าในบรรดาฝูงแมวที่ต่างก็ร้องว่าฉันสวยฉันสวยฉันสวยนั่นน่ะ ถ้าหากว่าไปดูกันจริงๆ ก็คงจะต้องมีแมวที่ขี้เหร่อีกเยอะแยะเลยที่รวมอยู่ในกลุ่มพวกที่คิดว่าตัวเองสวย แต่ด้วยสัญชาตญาณของความอยากไม่มองดูตัวเองไม่สำรวจตัวเอง ก็ร้องตะโกนว่าฉันสวยฉันสวยแล้วก็เพราะความอยากที่จะเอาให้ได้อย่างใจ ก็เลยกระโจนเข้ากัดกันจนผลที่สุดก็คือความย่อยยับของชีวิตไม่มีชีวิตเหลืออยู่เลย
ฉะนั้นอันนี้แหละต้นเหตุของความอยากเป็นเหตุให้แมวทั้งฝูงนั้นน่ะต้องถึงแก่ความตายไป ทีนี้ส่วนต้นเหตุของการที่ทำให้แมวทั้งฝูงนี่มาถึงบ้านตาบ้านยาย ก็อยากจะขอเชิญชวนท่านผู้ชมลองใคร่ครวญดูสักนิดหนึ่งว่าอะไรคือต้นเหตุ ท่านก็คงตอบได้เองว่าก็ตาสิคือต้นเหตุ เพราะความที่ตาเป็นคนลังเล เป็นคนที่ไม่แน่ใจไม่รู้จักตัดสินใจจึงได้พาแมวทั้งฝูงมาถึงบ้าน และมิหนำซ้ำพอมาถึงเข้าแทนที่จะเลือกกลับไปร้องถามเสียอีกว่าตัวไหนสวยตัวไหนสวย นี่เกิดจากความลังเลไม่แน่ใจวนเวียนอยู่กับความคิดของตัวเองจนตัดสินใจไม่ได้ อย่างตานี่นะคะนอกจากว่าจะมีความอยาก ที่เราเรียกได้ว่ามีความโลภเกิดขึ้นในใจแล้ว คือมีความอยากในลักษณะของความโลภที่เราเรียกว่าโลภะเกิดขึ้นในใจแล้ว ตานี่ยังมีกิเลสตัวอื่นแฝงอยู่ในตัวในขณะนั้นอีกตัวหนึ่งนั่นก็คือตัวโมหะ โมหะก็คือความหลง ความหลงนั่นหมายถึงลักษณะของความคิดที่วนเวียนวนเวียนอยู่นั่น แล้วตัดสินใจไม่ได้ มัวแต่ถอยหน้าถอยหลัง จะเอาดีหรือไม่เอาดี มันเหมือนกับอยู่ในที่มืด มองไม่เห็นแสงสว่าง ก็เลยหยิบอะไรไม่ถูก ตัดสินใจไม่ได้ เหมือนอย่างบางทีบางคนคิดอะไรวนเวียนอยู่เรื่องเดียวนั่นแหละ จะกินก็คิด จะนอนก็คิด จะนั่งก็คิด ทำงานไปเที่ยวแม้แต่เข้าไปนั่งดูหนัง ตาก็มองดูหนังที่จอ แต่ใจก็คิดวนเวียนอยู่กับเรื่องเดียว เรียกว่าคิดเป็นวันเป็นคืน เป็นอาทิตย์ เป็นเดือน บางคนหนักมากเข้าก็หลายๆ เดือน เป็นปีก็มี ไม่ยอมตัดทิ้งเลย
ถ้าหากว่าขณะใดที่ใจนั้นตกอยู่ภายใต้ความวนเวียนอันนี้นะคะ สิ่งนั้นนั่นแหละเราเรียกว่า เป็นเรื่องของโมหะ ลักษณะของโมหะ คือการตัดสินใจไม่ได้ ลังเลสงสัยไม่แน่ใจ และตัวโมหะนี่แหละเป็นตัวที่ร้ายกาจที่สุด ถ้าหากว่าเราจะมานั่งคิดดู เราจะรู้สึกว่าเราอยู่ในภาวะของความวนเวียนนี่ อยู่ตลอดเวลา ยิ่งในสภาวะของสังคมปัจจุบันนี้ ที่มีปัญหาซับซ้อนที่เข้ามาทับถมตัว ทำให้จิตใจของเราเคร่งเครียด เพราะการงานบ้าง เพราะส่วนตัวบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็เพราะเรื่องของเศรษฐกิจ ทำให้เรามีความทุกข์เป็นอย่างมาก มันก็มาจากต้นเหตุของความอยาก แต่ความอยากนี้ก็จะแยกออกไปในลักษณะของตัวกิเลส 3 ตัว คือตัวโลภะบ้าง โทสะบ้าง แล้วก็โมหะบ้าง อย่างเจ้าแมวทั้งฝูงนั่นมันแสดงให้เห็นชัดทั้งโลภะ คือความอยากที่จะเป็นคนสวยอยากที่จะเป็นแมวสวย อยากที่จะให้ตายายเก็บเอาตัวไปเลี้ยง และในขณะเดียวกันจากความอยากนี่เมื่อไม่ได้อย่างใจก็เกิดโทสะขึ้นมาเกิดความโกรธ ตกอยู่ในอำนาจของโทสะแล้วก็กัดกัน ทำลายกันจนตายเหี้ยนเตียนไปหมด แล้วก็จากการที่มันทั้งมีโลภะความโลภ และก็ทั้งโทสะความโกรธ มันคิดว่าโลภนี่ดีโกรธนี่ดี เมื่อโกรธขึ้นมาแล้วเราใช้กำลังกายเข้าทำร้ายกันเป็นการแสดงอำนาจ บางทีจะได้สมใจละกระมัง นี่โมหะ โมหะทำให้คิดว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้น โมหะคือความหลงนี่คิดว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้นละกระมัง แต่ความเป็นจริงมันไม่เป็นเช่นนั้นแล้วเลยก็พากันตายไปหมด แต่เจ้าลูกแมวขี้เหร่มันรอดพ้นไปเสียได้ เพราะเหตุว่าแต่แรกเริ่มมันไม่อยากเสียแล้วไม่อยากจะไปแข่งขันกับเขาเสียแล้วมันก็เลยตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นที่ยกตัวอย่างเรื่องแมวล้านๆ ตัวขึ้นมานี่นะคะก็เพียงเพื่อที่จะชี้ให้บรรดาเยาวชน หรือคุณหนูเด็กๆ นี่ ได้มองเห็นว่าอยากขึ้นมาเมื่อไหร่นี่นะ มันเป็นความทุกข์ทั้งนั้น แม้แต่อยากรับประทานไอศกรีม แล้วก็ไม่ได้รับประทานสมความปรารถนา มันก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่นั่นแหละ มันรู้สึกบางทีก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะความโกรธที่ไม่ได้อย่างใจ หรือว่าอยากจะไปเที่ยวกับเพื่อน จะไปเที่ยวที่แห่งใดก็ตามทีเถอะ ที่เดี๋ยวนี้เขาพากันไปอยู่มากๆ นั่น แล้วไม่ได้ไปสมใจเพราะคุณพ่อคุณแม่ไม่อนุญาต มันก็รู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมา นี่ต้นเหตุนี่จากความอยากทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่นะคะ
เจ้าชายสิทธัตถะทรงทราบดีว่า ความอยากนี่แหละคือต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เพราะฉะนั้นจึงทรงใช้ความพยายามพากเพียรทุกอย่างทุกประการที่จะแก้ไขที่จะกำจัดความอยากที่เป็นต้นเหตุให้มันหายไปเสียจากใจให้จงได้นะคะ เพราะฉะนั้นพระองค์ก็ทรงศึกษาค้นคว้าพากเพียรหลายอย่างหลายประการ จนผลที่สุดก็ทรงทราบอย่างแน่ชัดแก่พระทัยว่าความทุกข์เกิดมาจากความอยากคือตัณหา และตัณหาความอยากอันนี้มันแยกออกได้เป็นว่าความอยากตามใจชอบ อย่างที่เขาเรียกว่าอยากในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อยากได้พบรูปอะไรที่สวยๆ รูปของตัวเราเองก็อยากแต่งตัวให้สวยให้งาม พรมน้ำหอมให้หอม เสื้อผ้าแพรพรรณตามสมัยนิยมทั้งหญิงทั้งชาย เสียงก็อยากได้ยินเสียงเพราะๆ ฟังดนตรีไพเราะ แต่ความไพเราะนี้อาจจะขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยหรือรสนิยมของแต่ละคนไพเราะของคนหนึ่งอาจจะฟังน่าเกลียดน่าชังของอีกคนหนึ่งก็ได้ แต่ก็เรียกว่าตามใจของตัว รูปเสียงกลิ่น ก็อยากได้กลิ่นหอมๆ เช่นน้ำหอมที่ถูกใจ ดอกไม้ที่หอมที่ถูกใจได้กลิ่นที่ถูกใจเช่นนี้เป็นต้น รสก็รสอร่อย เมื่อถึงเวลาจะรับประทานก็จะขอรับประทานสิ่งที่ชอบที่ถูกกับลิ้น จะเปรี้ยวหวานมันเค็มก็ต้องตรงกับรสที่เราเคยชินมาอยู่เป็นเวลานาน รูป เสียง กลิ่น รส แล้วก็สัมผัสที่มาถูกต้องตัว สัมผัสที่มาถูกต้องตัวนี้อาจจะถูกโดยลมฟ้าอากาศก็ได้ร้อนนักแดดจัดนักไม่ถูกใจ หนาวมากนักไม่ถูกใจ ชอบอุ่นๆ พอสบายหรือบางคนขี้ร้อนอาจจะชอบเย็นมากหน่อย บางคนขี้หนาวก็อาจจะชอบให้มันอบอุ่นมากขึ้นมาสักหน่อย นี่เรียกว่าสัมผัสนั้นอาจจะมาจากอากาศก็ได้ หรืออาจจะมาจากการสัมผัสของเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่เราใช้อยู่ก็ได้อย่างเช่นบางคนก็จะไม่ชอบผ้าที่มีเนื้อหยาบหรือว่าสาก เพราะว่าทำให้รู้สึกคันตัวแล้วก็ไม่สบาย หรือว่าบางคนก็จะพอใจกับผ้าที่มีเนื้อละเอียดเหมือนอย่างเป็นแพรพรรณอย่างนั้นเป็นต้น สัมผัสนี้อาจจะมาจากเครื่องนุ่งห่มก็ได้ หรืออาจจะมาจากการสัมผัสของบุคคลก็ได้ การสัมผัสจากบุคคล บางทีก็ชอบใจ ถ้ามานุ่มนวลละเมียดละไม ถ้ากระแทกกระทั้นก็รู้สึกไม่ถูกใจ นี่ก็เรียกว่าเป็นความอยากที่ในภาษาทางธรรมท่านเรียกว่า เป็นกามตัณหา
กามตัณหาคือความอยากในสิ่งที่พอใจต่างๆ นานา แล้วเรายังจะแจกออกเป็นรายละเอียดตามรสนิยม ตามความต้องการของแต่ละคนได้อีกมากมาย แต่สรุปลงได้ง่ายๆ ว่า พอใจ กามตัณหานี้ก็คือพอใจในรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส เหมือนอย่างตายายนั่น เมื่อจะอยากได้แมว ยังอยากได้แมวสวยเลย อยากได้รูปสวยๆ พอได้แมวตัวนั้นเข้าไปแล้ว เพราะว่ามันสกปรก ก็จัดแจงไปอาบน้ำอาบท่าให้มันสะอาดสะอ้าน กลิ่นของมันจะได้ดี แล้วก็เลี้ยงดูให้มันอิ่มหนำสำราญ เสียงมันก็ใสเข้า เมื่อมันร้องมันก็ไพเราะ เมื่อเวลาไปสัมผัสจับตัวมันขนฟูนิ่มน่าดู นี่เห็นไหมคะ มันอยู่ในเรื่องของกามตัณหาทั้งนั้น รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส แม้ว่าเราจะดูเพียงเรื่องง่ายๆ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่มันก็ไม่พ้นไปจากสิ่งนี้ ถ้าเรื่องที่ใหญ่ขึ้นไปอีก อย่างเรื่องกริมในวิมานไม้ฉำฉา นั่นก็ต้องรูปสวย รูปหล่อเอาไว้ก่อน อย่างอื่นไม่เป็นไร ยอมได้ แล้วก็จนกว่าจะพบว่ารูปหล่อนี่ บางทีมันก็กลวงข้างใน ไม่มีความหมายอะไรเลย เรื่องของความหล่อ เมื่อนั้นแหละ จึงจะรู้สึกอยากจะเปลี่ยนแปลง แต่กริมก็พอใจทั้งรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส ที่ได้รับจากคนที่ตนพึงพอใจ แต่ถ้าหากว่ารูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือว่าหลายๆ อย่างมันเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม มันก็จะเกิดความไม่ชอบใจ ไม่พอใจขึ้นมาทันที แล้วมันก็จะเป็นปัญหาขึ้นมาในใจ แล้วก็เป็นความทุกข์ นี่ก็เป็นตัณหา หรือความอยากประการแรก
ความอยากประการที่สองก็คือ ภวตัณหา อยากมีอยากเป็น อยากมีอย่างนั้นอย่างนี้ อยากมีเสื้อสวย อยากมีคู่รักหล่อ หรือว่าอยากมีคู่รักงาม ถ้าเป็นผู้ชาย อยากมีบ้านสวยๆ อยู่ อยากมีเครื่องดนตรีชิ้นที่ต้องการ แล้วก็อยากจะมีอะไรต่ออะไรต่อไปอีก นี่เรียกว่าอยากมี อยากเป็น อยากเป็นดารา อยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่ อยากเป็นผู้มีอำนาจ อยากเป็นคนเด่นในสังคม ตลอดจนกระทั่งอยากมี อยากเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งใหญ่โตอะไรต่ออะไรต่างๆ นี่เป็นเรื่องของภวตัณหา อยากมีอยากเป็น
และอันที่ 3 ก็คือตรงกันข้าม ประเดี๋ยววันนี้อยากมีอย่างนี้อยากเป็นอย่างนี้ รุ่งขึ้นเปลี่ยนใจเสียแล้ว ไม่อยากมีอย่างนั้นอีกแล้วไม่อยากเป็นอย่างนั้นอีกแล้ว ขอเปลี่ยนไม่เอา ขอเลือกเป็นอย่างอื่น ก็เรียกว่าวิภวตัณหา ฉะนั้น ในเรื่องของตัณหาหรือเรื่องของความอยากนี่ เราก็แยกออกไปได้เป็นว่า ความอยาก ในความพอใจ ทางรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส แล้วก็ความอยากที่จะมีอย่างนั้นอยากเป็นอย่างนั้น ซึ่งถ้าลองนั่งเขียนดูนะคะ มีเวลาว่างลองนั่งเขียนดู อาจจะพบเยอะเลยทีเดียวว่า ที่เราอยากที่จะมีที่จะเป็นมันมีอะไรบ้าง แล้วก็ลองเรียงลำดับดูอีกทีหนึ่งนะคะที่เขียนได้นี่ว่าอยากมีสักสิบอย่าง อยากเป็นสักยี่สิบอย่าง แล้วลองเรียงลำดับความสำคัญว่าอยากมีอะไรมากที่สุดอยากเป็นอะไรมากที่สุด แล้วก็ถ้าจะใช้ปัญญาใคร่ครวญประกอบก็ลองดูว่าในบรรดาสิ่งที่เราอยากมีแล้วก็อยากเป็น อะไรบ้างที่เมื่อมีแล้วมันเป็นประโยชน์แก่ชีวิต อะไรบ้างที่มันเป็นแล้วมันมีประโยชน์แก่ชีวิต และคำว่ามีประโยชน์แก่ชีวิตในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าจะมีประโยชน์แก่ชีวิตของเราคนเดียวแต่มีประโยชน์แก่ชีวิตของผู้อื่นที่เราอยู่ร่วมกันด้วย เช่นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน เพื่อนฝูงในวงการเดียวกัน คนทีี่อยู่ในสังคมเดียวกันตลอดจนกระทั่งถึง ผู้คนที่อยู่บ้านเมืองเดียวกันนะคะ ถ้าเราลองเขียนดูอย่างนี้เราอาจจะได้คิด แล้วถ้าหากว่าเราได้คิดแล้วเราก็เห็นว่าการมีการเป็นเช่นนั้นไม่มีประโยชน์ เกิดวิภวตัณหาขึ้นมาอย่างนี้เราไม่เรียกว่าความไม่อยากมีไม่อยากเป็นที่เป็นวิภวตัณหา อันนี้มันไม่เป็นโทษเพราะเหตุว่ามันเป็นปัญญาเสียแล้วคือมันรู้ด้วยปัญญาเสียแล้วว่า สิ่งที่เราไม่อยากมีไม่อยากเป็นนี่เพราะมันไม่เกิดประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าเรารู้สึกไม่อยากมีไม่อยากเป็นด้วยปัญญา มันไม่เป็นวิภวตัณหาเพราะมันไม่เกิดทุกข์ เพราะเรารู้จักแก้ไขแต่ถ้าหากว่าเราไม่อยากมีไม่อยากเป็น ด้วยความอยากที่อย่างชนิดที่เรียกว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความร้อนรนแล้วก็ต้องดิ้นรนแก้ไขกระเสือกกระสนให้พ้นจากสภาวะของความมีความเป็นเช่นนั้นไป อันนี้เป็นโทษนะคะ เหมือนอย่างบุคคลที่ตอนรักกันก็รักกันปานจะกลืนกิน แล้วก็จะต้องอยู่ร่วมชีวิตกันให้ได้ พออยู่ร่วมกันไปได้สักสามเดือนหรือว่าหกเดือนเกิดเบื่อหน้ากันอย่างถึงที่สุด ความที่อยากจะกลืนกินกันนี่ ตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นความอยากจะขายทิ้งเสียแล้ว ไม่อยากจะอยู่ใกล้กันอีกต่อไป ก็พยายามดิ้นรนจะให้พ้นจากสภาวะของความเป็นสามี หรือของความเป็นภรรยา หรือของความที่ไม่ต้องการเป็นสามีไม่ต้องการเป็นภรรยา พูดง่ายๆ ไม่ต้องการมีสามีไม่ต้องการมีภรรยา ไม่ต้องการเป็นสามีไม่ต้องการเป็นภรรยาอีกต่อไป นี่ก็เรียกว่าเป็นวิภวตัณหา ที่พยายามที่จะดิ้นรนให้พ้นออกไป ฉะนั้นถ้าจะคิดดู มันก็มีเรื่องของความอยากสามอย่างนี่นะคะ ถ้าพูดตามคำธรรมดา หนึ่งก็อยากได้อะไรตามใจของตัว ถ้าหากว่าได้สมประสงค์ก็หัวเราะยินดี แล้วก็คิดว่าสิ่งนี้เป็นความสุข พอใจยินดีกับมัน อยากมีนั่นอยากเป็นนี่ พอได้มีได้เป็นสมใจก็ หัวเราะเป็นสุข ลิงโลดอิ่มเอิบไปหลายวัน พอซาๆไป เกิดความไม่ชอบเบื่อหน่าย ก็จะเกิดเป็นความไม่อยากมีไม่อยากเป็น แล้วทีนี้ก็ดิ้นรนไป รวมความว่าความอยากของมนุษย์นี่ มันอยู่ในสามอย่างนี้ค่ะ ไม่นอกเหนือไปจากสามอย่างนี้ได้
พระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบแล้วก็เห็นว่านี่แหละคือต้นเหตุของความทุกข์ ความทุกข์นั้นมันมีเหตุมาจากสิ่งใด มันคือมีเหตุมาจากความอยาก เพราะฉะนั้นพระองค์ก็ทรงกระทำด้วยความพากเพียรอย่างแรงกล้าอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะประหารความอยากนี้ให้ออกไปได้ ความอยากนี้เกิดจากอะไรก็ทรงมองเห็นว่าต้นเหตุของความอยากนี้ก็คือเพราะมีฉันเป็นผู้อยากนั่นเอง ถ้าหากว่าไม่มีฉันเป็นผู้อยากก็ไม่รู้ว่าความอยากนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะมันไม่มีใครเป็นผู้อยากเสียแล้ว สำหรับวันนี้ธรรมสวัสดีนะคะ