แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
อุบาสิกา คุณรัญจวน : มันมีโทษอย่างไรของการมีสมาธิสั้น มันทำให้ผู้ที่มีสมาธิสั้นเสียประโยชน์อย่างไร ตลอดไปจนกระทั่งถึงการที่จะทำอะไรต่ออะไรต่อไปข้างหน้าด้วย ฉะนั้นเมื่อวันก่อนนี้ไม่ได้พูดว่าสิ่งที่จะช่วยในการแก้ไขหรือว่าพัฒนาอบรมสมาธิสั้นได้ดีนี่ อันหนึ่งก็คือลมหายใจ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการทำสมาธิภาวนา ที่จะช่วยได้มาก ที่จะช่วยผ่อนลมหายใจที่สั้น ให้เป็นลมหายใจยาวขึ้นมาได้ เพราะอย่างที่พูดกันเมื่อคราวที่แล้วว่า คนที่สมาธิสั้นนี้ก็สังเกตได้หลายอย่าง อย่างหนึ่งก็การหายใจไม่ค่อยจะผ่อนคลาย มักจะเป็นลมหายใจที่สั้น แล้วก็อาจจะเร็วอะไรทำนองนี้ ฉะนั้นถ้าหากว่าเราได้แนะนำการปรับเปลี่ยนลมหายใจ หรือชวนให้เล่นเรื่องลมหายใจ พอตื่นเช้าขึ้นก็ลองมาชวนกัน ในการทำสมาธิสั้นให้ยาวขึ้นนี้ ก็ต้องรู้จักเรื่องของลมหายใจ ว่าลมหายใจมันมีกี่อย่างที่เราจะนำมาใช้ในการที่จะพัฒนา หรือว่าแก้ไขในเรื่องลมหายใจสั้น ให้เกิดลมหายใจที่ผ่อนคลาย ประเดี๋ยวเราก็จะได้พูดในเรื่องชนิดของลมหายใจนะคะ แต่ก็บอกได้ว่าการที่จะใช้ลมหายใจช่วยนี้ จะเป็นวิธีใช้ที่เป็นธรรมชาติที่สุด จะไม่ลำบาก แล้วก็อาจจะสนุกด้วย ถ้ารู้จักเล่นนะคะ เล่นกับลมหายใจก็จะรู้สึกสนุกด้วย ทีนี้ประเดี๋ยวก็ไว้ไปฟังในเรื่องของสมาธิภาวนาที่เกี่ยวกับอานาปานสติ เราก็จะพูดเรื่องลมหายใจกันให้มากขึ้น ทีนี้ก็อยากจะเริ่มว่าสมาธิภาวนานี้ ก็คงเคยได้ยินแล้วใช่ไหมคะ แล้วก็คงเคยปฏิบัติกันแล้วด้วย เรื่องของสมาธิภาวนา หมายความว่าอะไร มาทำสมาธิภาวนานี้ คือมาทำอะไร
ผู้ร่วมสนทนา : ...
อุบาสิกา คุณรัญจวน : มานั่งสมาธิ นั่งทำไมล่ะ
ผู้ร่วมสนทนา : ...
อุบาสิกา คุณรัญจวน : นั่งสมาธิจดจ่ออยู่กับลมหายใจ แล้วเรายู่บ้านสบาย ๆ ไม่ต้องมานั่งจดจ่อกับลมหายใจให้ลำบากไม่ดีกว่าหรือ
ผู้ร่วมสนทนา : ...
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ทำอะไรก็อยู่กับลมหายใจ
ผู้ร่วมสนทนา : ...
อุบาสิกา คุณรัญจวน : คือก็เรียกว่าสมาธิภาวนานี้ มันมีคำที่เหมือนกันอยู่อีกสองคำนะคะ ในความหมายเดียวกัน สมาธิภาวนา แล้วก็กรรมฐาน แล้วก็จิตตภาวนา มีอยู่สามคำ ซึ่งมีความหมายอันเดียวกัน ที่ว่ามีความหมายอันเดียวกัน ก็คือหมายความว่า มันเกี่ยวกับการที่จะพัฒนาจิต ชีวิตประกอบด้วยกาย แล้วก็จิต ทีนี้กายเราก็พัฒนามัน ดูแลมัน ด้วยเรื่องอาหาร การรับประทาน การออกกำลังกาย อากาศ น้ำบริสุทธิ์ อะไรต่าง ๆ เหล่านี้นะคะ ทีนี้พอมาถึงในเรื่องของจิตนี้ก็มักจะถูกละเลย ไม่ค่อยได้มีการดูแลมัน เพราะอะไร
ก็เพราะอันแรก ก็คือมองไม่เห็น ไม่เห็นจิต กายนี้มันมองเห็นอยู่ แต่จิตนี้มันมองไม่เห็น เพราะฉะนั้นก็เลยไม่ค่อยสนใจที่จะดูแลมัน ทั้ง ๆ ที่มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิต ทำไมถึงสำคัญที่สุดของชีวิต ก็เพราะว่ากายอันนี้จะทำอะไร ๆ ก็ตาม มันแล้วแต่การบงการของจิตใช่ไหมคะ จิตเป็นผู้สั่ง แต่เราก็ละเลยตัวสำคัญของชีวิตนี้ คือจิต ปล่อยมันไปตามเรื่องตามราว ไม่ค่อยที่จะได้ดูแลเอาใจใส่เท่าที่ควร เพราะฉะนั้นมนุษย์ไม่น้อยที่ถูกจิตนี้พาเถลไถลออกนอกหนทาง จนกระทั่งตกเหว ตกน้ำ ตกอะไรไปต่าง ๆ นานา เจ็บป่วยกันสารพัด เจ็บป่วยทางข้างใน ก็เพราะขาดการดูแลจิต ฉะนั้นการที่จะมาทำสมาธิภาวนานี้ ก็คือการที่เราจะมาดูแล บำรุง รักษาสิ่งที่เรียกว่าจิต ให้มีความเจริญ ให้มีความแข็งแรง จิตก็ต้องการความแข็งแรงเหมือนกัน ไม่ใช่เฉพาะร่างกาย แล้วก็ต้องการความมั่นคง หนักแน่น เข้มแข็ง ต้องการความแหลมคม ความเฉลียวฉลาด จิตนี่ต้องการทั้งนั้นเลย ฉะนั้นการที่จะมาปฏิบัติสมาธิภาวนา เขาเรียกว่ามาบำรุงรักษาจิต มาทำการบำรุงรักษาจิตด้วยวิธีการที่ท่านได้แนะนำเอาไว้ คือด้วยการปฏิบัติสมาธิภาวนาวิธีต่าง ๆ ทีนี้ที่เรียกว่าสมาธิภาวนา คำว่าภาวนานี่ก็คือทำให้เจริญ ความหมายของภาวนา ทำให้เจริญ ก็ทำให้เจริญด้วยวิธีการปฏิบัติ ให้จิตนั้นมีความมั่นคง การมาทำสมาธิก็เพื่อให้จิตมีความมั่นคง หนักแน่น อย่างที่ว่าแล้ว
ทีนี้อีกคำหนึ่งที่ใช้คำว่า กรรมฐาน ก็คือมาปฏิบัติสมาธิภาวนานี่แหละ ความหมายของมันถ้าพูดตามชื่อของคำ ก็คือว่าทำจิตให้มีฐานที่ตั้ง สิ่งใดที่มีฐานที่ตั้ง สิ่งนั้นก็มีความมั่นคง สมาธิภาวนาทำให้มั่นคง กรรมฐานทำให้จิตมีฐานที่ตั้ง จิตที่เลื่อนลอย อ่อนแอ แล้วก็โลเล เหลวไหล ไม่รู้จะไปไหนมาไหน ก็เพราะมันไม่มีฐานใช่ไหมคะ ไม่มีฐานที่ตั้ง เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีฐาน ไม่มีทุ่นเกาะ มันก็ล่องลอยไปตามเรื่อง ฉะนั้นกรรมฐานนี้ บางคนเขาก็บอกว่าเขาไม่ได้มาทำสมาธิภาวนา แต่เขามาทำกรรมฐาน ก็คือความหมายอันเดียวกัน แต่เรียกชื่อต่างกัน หรืออีกชื่อหนึ่งคือจิตตภาวนา
จิตตภาวนา ก็คือการทำจิตให้เจริญ ตรงตัวเลย จิตไหนที่เจริญอยู่แล้วก็ทำให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก จนเป็นจิตที่ใช้การได้ พาชีวิตไปได้อย่างถูกทิศทาง ไม่หลงหายไปทางไหน แล้วก็ดำเนินชีวิตไปได้ด้วยความตลอดปลอดภัย แล้วก็อย่างถูกต้อง
ฉะนั้นคำสามคำนี้นะคะ จะเรียกชื่อว่าอะไรก็ไม่แปลกหรอก เพราะความหมายของมัน ก็คือการที่จะมาฝึกอบรมจิตให้มั่นคง ให้จิตนั้นมีความมั่นคง ให้จิตนั้นมีฐานที่ตั้งไม่ล่องลอย แล้วก็ให้จิตนั้นมีความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้น นี่คือความหมายของการที่มาทำสมาธิภาวนา สมาธิภาวนาคืออะไร ก็อย่างที่พูดแล้ว ทีนี้เพื่ออะไรล่ะ สรุปตอบได้ใช่ไหมคะ ทำสมาธิภาวนาเพื่ออะไร มันก็คือคำอธิบายของสมาธิภาวนาเมื่อกี้นี้ ก็เพื่อการพัฒนาจิต ให้เป็นจิตที่มีฐานที่ตั้ง มั่นคง อาจหาญ เด็ดเดี่ยว คล่องแคล่ว ว่องไว สารพัดจะพูดในทางที่ดี ที่จะพาจิตไปในทางที่ดี เพื่อให้จิตนำชีวิตไปได้อย่างถูกต้อง หรืออีกนัยหนึ่งก็อาจจะบอกว่า เพื่อการพัฒนาจิตธรรมดา ๆ นี้ให้เป็นจิตที่มีคุณภาพ ให้มีสมรรถภาพในการทำการงาน ทั้งทางโลกและทางธรรม แล้วก็จะมีประโยชน์มากอีกอย่างหนึ่ง ก็คือว่าจะทำให้จิตนี้สามารถอยู่นิ่ง สงบ เย็น ไม่ปรุงแต่ง ไม่คิดโน่นคิดนี่ คิดไปข้างหน้า คิดไปข้างหลัง แต่ไม่ได้คิดอยู่กับเฉพาะหน้าที่กำลังเป็นอยู่ ฉะนั้นถ้าหากว่าจิตใดได้รับการพัฒนาถูกต้อง ก็จะสามารถนำชีวิตให้ดำเนินไป แล้วก็ให้ดำรงอยู่ในความถูกต้องได้ทุกขณะ แล้วก็จะเป็นชีวิตที่มีความสุข มีความสงบ มีความเย็น อะไร ๆ ที่เป็นความสบายก็จะอยู่กับจิต
ทีนี้พอพูดถึงจิตนี่นะคะ คำถามนะคะว่าจิตอยู่ตรงไหน พอพูดถึงจิต นึกไหมว่าจิตอยู่ตรงไหน ไม่ได้นึกนะคะ คิดแต่ว่ามีจิตล่ะ ก็ทราบแล้วว่าสมาธิภาวนาก็คือการมาพัฒนาจิต ให้เป็นจิตที่เจริญ ไม่ให้เป็นจิตป่าเถื่อน ว่าอย่างนั้นเถอะ โดยมากมนุษย์เราไม่ค่อยรู้หรอกว่าจิตของตนป่าเถื่อน มักจะคิดว่าจิตเราดีเสมอ เป็นจิตดี เป็นจิตเก่ง เป็นจิตใช้ได้ เป็นจิตอะไรพิเศษกว่าคนอื่นเขา ใช่ไหมคะ ส่วนมากมนุษย์เรามักจะคิดอย่างนั้น โดยไม่รู้หรอกว่าจิตของเราเป็นจิตป่าเถื่อนบ่อย ๆ ป่าเถื่อนเป็นอย่างไร ก็คือตอนไหนที่มันคิดจะเอาอย่างเดียว คิดจะโลภ คิดจะโกรธ คิดจะหลง มันก็ดุร้ายใช่ไหมคะ ดุร้ายป่าเถื่อนเหมือนสัตว์ป่า ลิงป่า ม้าป่า วัวป่า ควายป่า นั่นแหละลักษณะของจิตที่กำลังอาละวาด เพราะเป็นจิตที่ไม่มีระเบียบ ไม่มีวินัย ไม่เคยได้รับการพัฒนา ฝึกฝน อบรม เคยเป็นไหม อาละวาดจนอยากจะส่งเสียงดังฟาดหัวฟาดหางนั่นน่ะ ถ้าอยู่คนเดียวก็เต็มที่ ถ้าอยู่คนเดียวในห้องก็เต็มที่ นั่นแหละจิตป่าเถื่อน ทีนี้คนเราไม่ค่อยรู้ว่าลักษณะอย่างนี้คือความป่าเถื่อน พวกสัตว์ป่าทั้งหลายเขาได้มา เขายังต้องมาฝึกเลย เป็นลิงก็ต้องฝีกให้เชื่อง เป็นช้าง เป็นม้า ก็ต้องฝึกให้เชื่อง จนกระทั่งใช้งานใช้การได้ ทีนี้จิตของมนุษย์นี่ แหม มันวิเศษ วิเศษกว่าจิตของสัตว์ทั้งหลายเยอะแยะเชียว ฉะนั้นถ้าได้รับการฝึกเสียสักหน่อยเท่านั้น จะต้องดีเป็นแน่ คือจะต้องใช้ประโยชน์ได้มากกว่าบรรดาสัตว์ป่าทั้งหลาย หลายร้อยเท่า ไม่ต้องพูดถึงวิธีที่เขาฝึกสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะลิงนี่นะคะที่เขาจะเปรียบว่า เวลาเขาจะเปรียบจิตที่ป่าเถื่อนของคนนะคะมักจะเปรียบกับลิง เพราะว่ามันล่อหลอก หน้าไหว้หลังหลอก เจ้าเล่ห์เจ้ากล ขี้ลักขี้ขโมย พวกลิงนี้มันเป็นสารพัด เขาก็มักจะเปรียบกันกับจิตของคน
ทีนี้ถ้าจะถามว่า เอ๊ะ จะพัฒนาจิตนี่จะพัฒนาที่ไหน เพราะว่าจิตนี้มันเป็นนามธรรม ไม่มีตัวตนให้จับต้องเหมือนอย่างกาย ไม่มีตัวตนให้จับต้อง มันเป็นนามธรรม แล้วก็จะรู้จักจิตนี้ได้อย่างไร อันนี้เป็นสิ่งที่ตอบยากนะคะ เพราะมันเป็นนามธรรมจริง ๆ ก็จะต้องอาศัยมาเปรียบกับความรู้สึก เคยรู้สึกทุกข์รู้สึกที่ไหน เวลาทุกข์รู้สึกที่ไหน ในสิ่งที่เรียกว่าตัวเรานี้รู้สึกที่ไหน ข้างนอกหรือข้างใน ค่ะ ข้างในนะคะ เรารู้สึกข้างใน เวลาร้อนเราก็รู้สึกข้างใน เวลาเย็นเราก็รู้สึกข้างใน เพราะฉะนั้นจะบอกว่าจิตคืออะไร ไม่มีตัวให้ดู แต่ทว่าอาการที่แสดงออกมานี้ นั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่าความรู้สึก เพราะฉะนั้นถ้าใครมาถามว่าจะดูจิตจะดูอย่างไร ก็คือดูลงไปที่ความรู้สึก ความรู้สึกที่เกิดขึ้นข้างใน จิตอยู่ตรงไหน จิตอยู่ตรงนั้นแหละ อยู่ตรงความรู้สึกนั่นแหละ เพราะฉะนั้นการที่จะมาพัฒนาจิต ก็เท่ากับว่าพัฒนาจิตที่มีความรู้สึกเป็นป่าเถื่อนต่าง ๆ ความรู้สึกที่คิดจะเอาแต่ใจตัว เอาให้ได้อย่างใจ จะเป็นโลภ เป็นโกรธ เป็นหลง ก็ตามที จะเอาให้ได้อย่างใจ พัฒนาความรู้สึกที่ป่าเถื่อน ที่เห็นแก่ตัวเหล่านั้น ให้เป็นความรู้สึกที่ดีงาม เป็นความรู้สึกที่ปรารถนาดีที่หวังดี อยากจะให้อะไรดี ๆ แก่ตัวเอง แล้วก็ให้แก่คนอื่นด้วย ไม่ใช่ให้แก่ตัวเองเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็คือการพัฒนาความรู้สึกที่มันเป็นไปในทางลบ ให้เป็นไปในทางบวก
ทีนี้จะพัฒนามันได้อย่างไร ก็มีวิธีการหลายอย่าง วิธีการทำสมาธินี้ท่านว่ามีหลายสิบวิธี ตั้งสี่สิบกว่าวิธี แต่ว่าวิธีที่พระพุทธเจ้าท่านทรงใช้อยู่มาก แล้วก็เป็นวิธีที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด ก็คือวิธีอานาปานสติ ท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้หลาย ๆ คนคงเคยปฏิบัติสมาธิมาแล้วนะคะ ทีนี้จะเคยใช้วิธีใดก็ไม่เป็นไร แล้วก็อาจจะใช้วิธีที่เคยปฏิบัติมาแล้ว เคยชินแล้วก็ได้ผลต่อไปก็ได้ แต่สำหรับอานาปานสติที่เราจะคุยกันในวันนี้นั้น ก็ถือเสียว่าลองฟังดู แล้วก็ถ้าจะลองเอาไปปฏิบัตินี่ อาจจะเป็นทดลองดูก็ได้ว่าจะปฏิบัติแล้วจะได้ผลไหม ถ้าหากว่าได้ผลก็ลองทำต่อไป ถ้าไม่ได้ผลก็กลับไปใช้วิธีที่เคยถูกกับอัธยาศัย ทีนี้อานาปานสติที่พระพุทธเจ้าท่านทรงใช้ ก็คือการปฏิบัติสมาธิภาวนาด้วยการใช้ลมหายใจเป็นเครื่องกำหนด อานาปานะ หมายถึง ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ทีนี้ท่านก็ได้อธิบายแบ่งแยกเรื่องของลมหายใจนี้เอาไว้เป็นระบบ คือในการที่จะมาทำสมาธิภาวนานี้จะต้องทำให้ครบถ้วน เพื่อจะได้สามารถพัฒนาความรู้สึกที่มันไม่ค่อยจะถูกต้องไม่ค่อยจะดีงาม ให้เป็นความรู้สึกที่ถูกต้องดีงามขึ้นมา มันก็ต้องอาศัยทุกอย่างพร้อมกันขึ้นมา ท่านก็จึงบอกว่าอันแรกต้องพัฒนากายอบรมเรื่องของกายทั้งหมด แล้วเสร็จแล้วก็อันที่สองพัฒนาเวทนา พัฒนาคือปรับปรุงอบรมมันฝึกมัน กาย แล้วก็เวทนา อ่านว่า เว-ทะ-นา นะคะ ไม่อ่านว่า เวด-ทะ-นา ถ้า เวด-ทะ-นา นั้นเป็นคำไทย ที่แปลว่าสงสาร แต่ เว-ทะ-นา นี่แปลว่าความรู้สึก พอพัฒนาหรืออบรมเวทนาแล้ว ก็ไปอบรมจิต แล้วก็จากจิตก็ขึ้นไปถึงการที่จะนำธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้เข้ามาอบรมกาย เวทนา จิตนี้ ให้เกิดเป็นความรู้สึกที่ดี เป็นจิตที่มีคุณภาพ มีสมรรถภาพ มีศักยภาพที่จะทำอะไร ๆ ๆ ให้เกิดประโยชน์ได้ นี่พูดอย่างเข้าใจง่าย ๆ นะคะ
เพราะฉะนั้นในเรื่องของอานาปานสตินี้ ก็แบ่งออกเป็น ๔ หมวด สี่หมวดดังที่กล่าวแล้วเมื่อกี้นี้ คือ ๑. หมวดกาย ๒. หมวดเวทนา ๓. หมวดจิต ๔. หมวดธรรม แบ่งออกเป็นสี่หมวด ทีนี้ในสี่หมวดนี้ก็จะเป็นโครงสร้าง คือโครงสร้างของ ๔ หมวด จากหมวด ๑ ไปหมวด ๒ หมวด ๓ หมวด ๔ มันจะมีความสัมพันธ์กัน พระองค์ได้ตรัสไว้อย่างมีความสัมพันธ์กัน ในการที่จะมาทำสมาธิภาวนาก็ต้องทำสมาธิภาวนาพร้อมทั้งกาย ทั้งเวทนา ทั้งจิต ทั้งธรรม ทีนี้ก่อนที่จะไปพูดถึงทั้งหมดนี้นะคะ ก็อยากจะพูดให้ทราบสั้น ๆ ว่า โดยทั่ว ๆ ไปถ้าในการปฏิบัติสมาธิภาวนาด้วยวิธีอื่นก็อาจจะไม่เน้นในเรื่องของลมหายใจ แต่ในเรื่องอานาปานสติภาวนานี้ท่านบอกว่า ให้ดูว่าลมหายใจนี้มันมีอยู่ ๒ อย่าง ลมหายใจนี่ คือลมหายใจที่เป็นกายเนื้อ แล้วก็เป็นกายลม หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือว่า ที่เรียกว่ากายนี่ ที่ร่างกายนี่เป็นกายเนื้อ คืออย่างนี้ ที่เป็นเนื้อเป็นหนังที่เราจับได้ตั้งแต่ศีรษะะจรดเท้า นี่เราเรียกว่ากายเนื้อ อย่างที่สองนี้คือกายลม กายลมก็คือลมหายใจ
ทีนี้โดยทั่วไปเราก็มักจะนึกว่าลมหายใจนี้มีประโยชน์เพื่อทำให้มีชีวิตอยู่ ไม่ตาย แต่จริง ๆ แล้วลมหายใจนี้มีประโยชน์มากกว่านั้น คือสามารถจะทำให้จิตที่มันวุ่นวาย สงบเย็นได้ หนักแน่นมั่นคงได้ถ้ารู้จักใช้ให้ถูกวิธี ฉะนั้นในหมวดกายนี้ท่านก็จะมีวิธีบอก แล้วก็ฝึกอบรมให้รู้ว่าลมหายใจมี ๒ อย่างนะ คือกายเนื้อแล้วก็กายลม แล้วก็กายลม -ลมหายใจนี้สามารถที่จะช่วยพัฒนากายเนื้อ หรือว่าอบรมกายเนื้อให้มีความเป็นปกติ ให้มีความสุข ให้มีความสบายได้ด้วย มันสัมพันธ์กัน แล้วก็ถือว่าเป็นพื้นฐานเป็นเบื้องต้น สำหรับหมวดกายนี้เหมือนกับเราสร้างบ้าน เราก็จะต้องลง เขาเรียกลงอะไร ลงพื้น ลงพื้นบ้าน เขาเรียกอะไรนะคะ ที่ลงซีเมนต์ ลงคอนกรีต ลงอะไรนี่ ลงฐานของบ้าน เขาเรียกอย่างนั้นใช่ไหมคะ ที่จะต้องทำให้แข็งแรงเพื่อให้สามารถรับน้ำหนักของบ้านได้ เขาเรียกอย่างนั้นหรือเปล่า จะตอกเสาเข็ม หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ต้องให้แข็งแรง เพราะฉะนั้นในหมวดกายนี้เป็นหมวดที่ท่านเน้น ว่าจะต้องศึกษาให้รู้ ให้เข้าใจ ให้ชัดเจน เพื่อจะเป็นฐานสำหรับที่จะพิจารณา หรือว่าปฏิบัติในหมวดเวทนา หมวดจิต แล้วก็หมวดธรรมต่อไปข้างหน้า
ทีนี้พอไปถึงหมวดเวทนา มันหมายความว่าอะไร นี่ยังไม่พูดถึงหมวดกายโดยละเอียดนะคะ เพียงแต่บอกว่ามันมีกายเนื้อ มันมีกายลม สำหรับที่เราจะมาใช้เป็นเครื่องมือหรือเป็นเครื่องกำหนดในการปฏิบัติสมาธิภาวนา แต่ว่าพอไปถึงหมวดเวทนา เวทนาอันนี้คือความรู้สึก ท่านบอกว่าเรื่องของความรู้สึกนี้เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจ ให้ชัดเจน เพราะว่าคนเราจะทุกข์จะสุขอะไร มันก็อยู่ที่คำว่าเวทนา ถ้าเราสามารถปรับเวทนาให้เป็นเวทนาที่มีความสบาย ไม่ก่อความเดือดร้อนให้แก่จิตข้างใน ชีวิตนี้ก็เป็นสุข ที่ตรงจุดของเวทนานี้เป็นจุดที่ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ อยู่ที่เวทนาคือความรู้สึก ทีนี้เวทนานี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ตรงนี้เป็นจุดที่ท่านบอกว่าต้องสังเกตให้ดี เวทนาคือความรู้สึก ความรู้สึกถูกใจ ไม่ถูกใจ ชอบ ไม่ชอบ เกิดขึ้นเมื่อไหร่คะ อย่างขณะที่นั่งอยู่นี้มีเวทนาไหม เวทนานี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ก็บางสิ่งกระทบที่เราเรียกว่าอะไร ใครนึกได้บ้าง สิ่งกระทบเราเรียกว่าอะไร ผัสสะ ผัสสะ ผัสสะที่มันจะมากระทบทางไหน ตา ตามองเห็น เห็นอะไร ตาเห็นอะไร เห็นรูป หรือบางทีก็รูปนั้นแสดงท่าทางอะไรต่ออะไรต่าง ๆ แล้วเกิดความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ ถูกใจหรือไม่ถูกใจ นี่เป็นผัสสะ นี่พูดอย่างสั้นที่สุด ที่จริงผัสสะนี้ยังจะต้องประกอบกันด้วยสามอย่าง แต่ถ้าพูดตอนนี้เดี๋ยวจะงงหรือจะเวียนหัว ก็จะพูดแต่เพียงว่าเวทนาเกิดขึ้นตรงจุดของผัสสะ ผัสสะที่ผ่านมาทางตา ตาเห็นรูป ผ่านมาทางหู ได้ยินเสียง ผ่านมาทางจมูก ได้กลิ่น ผ่านมาทางลิ้น ได้รส ผ่านมาทางกาย ได้สัมผัส แล้วก็ผ่านมาทางใจหรือทางจิตข้างใน ท่านเรียกว่าธรรมารมณ์ ฉะนั้นอันนี้ตรงจุดของผัสสะเป็นจุดที่จะก่อให้เกิดเวทนา แล้วโลกนี้จะเป็นโลกสว่างหรือโลกมืด ก็ตรงจุดที่เวทนาเกิดใช่ไหมคะ ถ้าเวทนานั้นเป็นเวทนาที่นำความพอใจ นำความถูกใจมาสู่ แหม โลกนี้ก็เป็นของเรา อย่างที่ว่าวันนี้รู้สึกโลกนี้เป็นของเรา เป็นของฉัน อะไร ๆ มันดูดีไปหมดเลย มันแจ่มใส มันสว่าง นี่เพราะเวทนาใช่ไหมคะ แต่ถ้าหากว่าเวทนานั้นเป็นเวทนาที่ไม่ถูกใจ เป็นเวทนาที่ทำให้รู้สึกความหวังหมดหวัง สิ้นหวัง โลกที่สว่างก็กลายเป็นมืด ชีวิตนี้ดูไม่มีความหมาย บางทีถึงกับไม่อยากอยู่เลย ที่พูดอย่างนี้เพื่อจะเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของเวทนา ความสำคัญของเวทนาว่ามันมีอำนาจอิทธิพลต่อมนุษย์ถึงขนาดนี้ ที่รักกันชอบกันก็เพราะมีความรู้สึกที่ดี คือเวทนาถูกใจ ถ้าหากว่าไม่รักไม่ชอบก็เวทนาไม่ถูกใจ ก็เพราะมันผ่านมาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วมันเกิดความรู้สึกไม่ถูกใจ
เพราะฉะนั้นเรื่องของเวทนานี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่ทุกคนควรจะต้องศึกษาให้รู้ว่ามันมีอำนาจอิทธิพลต่อจิตใจของมนุษย์มาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านก็บอกว่าสิ่งที่ควรจะต้องระมัดระวังมาก ก็คือเวทนาที่เรียกว่าความสุขหรือสุขเวทนา ทำไมท่านถึงบอกให้ระวังให้มากในเรื่องสุขเวทนา เพราะอะไร เพราะถ้าบอกว่าเป็นสุขแล้วเป็นอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ ชอบ ถ้าบอกว่าเป็นสุขเวทนาก็ติด ติดใจ ติดสุขเวทนา ชอบ เพราะฉะนั้นท่านจึงบอกว่าให้ระมัดระวังสุขเวทนาให้มาก เพราะมันติดง่าย มันติดเหนียวแน่น ติดแล้วก็ยึดมั่น และก็ไม่ยอมปล่อย อย่างพระพุทธสาวกองค์หนึ่งไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าเพื่อขอพระพุทธโอวาทสั้น ๆ ท่านกราบทูลว่าขอสั้น ๆ เพื่อท่านจะได้ฟังเอาไว้ แล้วก็นำไปใคร่ครวญ จะออกไปอยู่ป่าแต่ลำพัง ไปปฏิบัติธรรม สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนสั้นที่สุดก็คือว่า ถ้าหากว่าตาเห็นรูป แล้วก็พอใจในรูปนั้น แล้วก็มีความติด มีความเพลิดเพลิน นี่ท่านใช้คำว่ามีความติดมีความเพลิดเพลินในรูปนั้น แล้วก็นึกถึงรูปที่พอใจนั้น ท่านก็บอกว่าทุกข์เกิดแล้วนะ พระองค์ที่ไปทูลถามน่ะชื่อพระปุณณะ ท่านก็บอกทุกข์เกิดแล้วนะปุณณะ ถ้าไปติดสุขเข้านี่ทุกข์เกิด ท่านไม่พูดถึงเรื่องความทุกข์เลย ทำไมท่านถึงไม่พูดถึงเรื่องทุกข์ ก็เพราะว่าพระพุทธสาวกองค์นี้ก็มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการปฏิบัติมากพอสมควรอย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งพอพูดถึงทุกข์นี้อยากเข้าใกล้ไหมคะ ไม่อยากล่ะ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ทุกข์ อยากวิ่งหนีกันทั้งนั้น แต่พอพูดถึงสุขวิ่งเข้าหา อยากได้สุข อยากมีสุข เพราะฉะนั้นที่สั้นที่สุดนี่พระพุทธองค์ทรงรับสั่งว่า ถ้าหากว่าตาเห็นรูปแล้วพอใจ เพลิดเพลิน ติดใจในรูปนั้น ทุกข์เกิดแล้วนะ เช่นเดียวกันถ้าได้ยินเสียง โอ๊ย เสียงนี้ไพเราะจับใจ ติดใจเพลิดเพลินในเสียง อยากได้ยินอีก ก็ทุกข์เกิดแล้วนะ นี่ติดสุขใช่ไหม ติดสุข แต่อะไรเกิด ทุกข์เกิด ติดสุขแต่ทุกข์เกิด นี่น่าจะลองจำให้ดี ๆ ติดสุขแล้วทุกข์เกิด ทำไมถึงทุกข์เกิดล่ะคะ ทำไมติดสุขแล้วทุกข์เกิด เพราะอะไร เพราะไปยึดมั่น ยึดมั่นในเสียงนั้น ยึดมั่นในรูปนั้น ยึดมั่นในกลิ่นนั้น ในรสนั้น ในสัมผัสนั้น ยึดติดอกติดใจ เพราะฉะนั้นเมื่อยึดติดอกติดใจก็ดิ้นรน อยากจะได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้สัมผัส ได้ลิ้มรสบ่อย ๆ พอไม่ได้เข้าเป็นอย่างไร นี่แหละทุกข์ล่ะ พอไม่ได้เข้าก็ทุกข์ ดิ้นรน ไม่มีความสุขเลย แล้วก็อาจจะใช้วิธีการด้วยประการต่างๆ กิเลสทั้งหลายก็พรั่งพรูมา โลภบ้าง โกรธบ้าง อะไรทั้งหลายเหล่านี้มันก็พรั่งพรูมา เพราะฉะนั้นอันนี้ท่านจึงบอกว่าถ้าติดสุขนี่แหละให้ระมัดระวัง เพราะว่ามันจะนำทุกข์มาสู่ เพราะในพระพุทธศาสนานั้นท่านก็อธิบายไว้ว่า จริง ๆ แล้วสุขนี่ไม่มีหรอก ความสุขนี่ไม่มี มันเป็นแต่เพียงว่าขณะใดที่ความทุกข์จางไป คนก็บอกสุขแล้ว หรือได้อะไรอย่างที่ใจต้องการ โอ้ สุขแล้ว แต่ประเดี๋ยวมันก็หายไปใช่ไหมคะ สุขที่ว่าสุขแล้วนี่ประเดี๋ยวมันก็หายไป ไม่เคยอยู่ ใครมีความสุข พบความสุข แล้วอยู่จนเดี๋ยวนี้บ้าง มีไหมคะ ไม่มี มันมาแล้วมันก็ไป แล้วถ้าเราไปติดมันเข้าเท่านั้นแหละ มันก็ดึงเราไปเลยเชียว ดึงฉุดกระชากลากถูไป ให้ติดตามกันไป คงเคยตามกันมาบ้างแล้วล่ะนะคะ ไม่มากก็น้อย นั่นแหละสุขนั้นมันจึงคือทุกข์ เพราะมันทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นในหมวดเวทนานี้นะคะ ในการฝึกปฏิบัติก็จะพิจารณาทั้งสิ่งที่เป็นทุกขเวทนา แล้วก็สิ่งที่เป็นสุขเวทนา แต่ที่ท่านจะเน้นมากที่สุดก็คือพิจารณาเรื่องสุขเวทนานี้ให้มาก ๆ ให้รู้จักลักษณะอาการของมัน จนกระทั่งอยู่เหนือมันได้ ไม่ให้สุขเวทนามามีอำนาจเหนือเรา เห็นเสียแต่เพียงว่า โอ้ มันเป็นธรรมดาอย่างนั้นเอง มันเกิดแล้วก็ดับ มันมาแล้วก็ไป ไม่มีอะไรคงที่
ทีนี้พอผ่านการพิจารณาหมวดเวทนาไปแล้วก็จะไปพิจารณาหมวดจิต ทีนี้ตรงพิจารณาหมวดจิตนี่แหละ เป็นการที่จะฝึกพัฒนาอบรมจิตโดยตรง จะเรียกว่าจะเป็นการฝึกจิตให้หนักแน่นมั่นคง จนกระทั่งมีพลังจิตก็อยู่ในหมวดนี้ ในหมวดที่สามที่เป็นหมวดจิตนี้นะคะ ทีนี้ในหมวดจิตนี้ก็พิจารณาที่ตรงไหน ก็ตรงที่ความรู้สึกอีกเหมือนกัน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในจิต อันแรกก็ดูสิว่าภายในนี้มีความรู้สึกอย่างไร ขณะนี้เป็นอย่างไรคะ ลองดูข้างในของแต่ละท่านดู เป็นอย่างไรขณะนี้ ข้างในนี้เป็นอย่างไร สบาย นิ่ง หรือว่าสับสน หรือว่าวุ่นวาย หรือว่าไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง อ่อนเปลี้ย เป็นอย่างไรบอกได้ไหม ดูได้ไหมขณะนี้จิตข้างในนี้ นี่ก็คือดูความรู้สึกที่มันมีข้างใน ฉะนั้นในตอนแรกก็ให้พิจารณาดูสภาวะความเป็นไปของภายในจิตของตน เสร็จแล้วก็ฝึกจิตนี้ให้เป็นจิตที่มีความสุข คือมีความปีติ มีความปราโมทย์ ลองดูสิว่าเราจะบังคับจิตที่มันอยู่ของมันธรรมดาอย่างนี้ ให้มันเป็นจิตที่มีความปีติ ปราโมทย์ ปีติคืออย่างไรคะ ยินดี อิ่มใจ นั่งอยู่อย่างนี้เราก็ลองดูสิ เราจะบังคับความรู้สึกที่มีอยู่ข้างในนั้นน่ะ ให้เป็นความรู้สึกที่ปีติปราโมทย์ขึ้นมาได้ไหม ลองดูสิทำได้ไหม แต่อันนี้นะคะเราคงยังทำไม่ค่อยได้ เพราะเรายังไม่ได้เริ่มฝึกจากหมวดที่หนึ่งมา คือหมวดกายหมวดเวทนาเรายังไม่ได้เริ่มฝึก นี่เป็นแต่เพียงพอพูดให้ทราบ พอพูดให้ทราบว่าหมวดนี้เขาทำอะไรเท่านั้นนะคะ เพราะฉะนั้นเราก็คงยังทำยาก แต่วิธีที่จะฝึกนี้มันก็อาจจะมีหลายอย่าง เช่น สมมติเรานั่งอยู่เฉย ๆ แล้วอยากจะให้จิตเรามีความสุข เราทำอย่างไร นึกถึงอะไร เออ นึกถึงเรื่องอะไรที่มันให้ความสุขแก่เรา ที่เราเคยได้ผ่านพ้นได้ผ่านมาแล้ว เรารู้สึกพอนึกขึ้นมาทีไร มันปลื้มใจ มันอิ่มใจ มันมีความสุข มันยิ้มได้ นี่เขาเรียกว่าอภิจิตเกิดปีติขึ้น ทีนี้ถ้าเราทำได้เอง พอนึกเราสามารถจะบังคับมันได้เอง ก็แสดงว่าที่เราฝึกมาตั้งแต่หมวดกายแล้วก็หมวดเวทนานี้ แสดงว่ามันได้ผล เพราะฉะนั้นพอมาถึงหมวดจิต มันถึงใช้อำนาจที่เราได้พิจารณามาแล้วบังคับจิตในหมวดที่สามนี้ได้ พอให้มันปีติปราโมทย์แล้ว ทีนี้ก็จะให้มันเป็นจิตที่นิ่ง คือขณะที่มันกำลังสุขสบายนี่ สุขสบายสนุกสนานอยู่นี่ นิ่ง ให้เป็นจิตที่นิ่ง คือให้เป็นจิตเป็นสมาธิ หยุด ถ้าหากว่าฝึกมาแล้วจากหมวดหนึ่ง สอง แล้วก็ขั้นที่หนึ่งของหมวดสาม ขั้นที่สองของหมวดสาม เราก็จะทำให้มันนิ่งได้ คือคล้าย ๆ กับเรากำลังวิ่งนี่นะคะ ถ้าพูดถึงทางกายกำลังวิ่งอย่างเร็ว บังคับให้หยุดทันที ถ้าทำได้ไม่หกล้มหัวคะมำลงไป นี่พูดถึงข้างนอก เราก็ฝึกวิ่งมาเก่งน่ะ พอถึงพอจะหยุดเราก็หยุดได้ เช่นเดียวกับการฝึกข้างใน ในขณะที่จิตนี้ แหม ปีติปราโมทย์มีความสุข นิ่ง เป็นสมาธิ นิ่ง สามารถทำได้ นิ่ง นิ่งเป็นสมาธิมั่นคงแข็งแรง เอ้า ทีนี้นิ่ง ก็อยู่กับจิตนิ่งนี่สักพักใหญ่ เดี๋ยวสั่งใหม่เป็นจิตปล่อย ปล่อย ปล่อยให้หมด ปล่อยอะไร ก็คือปล่อยสิ่งที่มันยึดมั่นถือมั่นอยู่ข้างในของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ นึกออกไหมคะ สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นที่สุดของมนุษย์ทั้งหลายนี้คืออะไร ยึดมั่นในอะไร ตัวตน ในอัตตาตัวตน ยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน ในอุปาทาน นี่ก็สมมติว่าเราทำได้ เราก็จะปล่อยหมดเลย ข้างในนี่นะจะเป็นความรู้สึกปล่อยหมดเลย ปล่อยคือว่าง เป็นอิสระ ไม่ไปติดยึดอยู่กับอะไรเลยสักอย่างเดียว เป็นจิตว่าง โปร่ง สบาย เย็น ที่เขาเรียกว่าสุญญตา นี่เป็นการทดสอบว่าที่ฝึกมาจากหมวดหนึ่งหมวดสอง พอมาถึงหมวดสามนี้ทำได้อย่างนี้ไหม ถ้าทำได้อย่างนี้ผู้ปฏิบัติก็เก่งมากแหละ ได้ฝึกจริงเอาจริง จนกระทั่งทำได้ บังคับจิตได้
ทีนี้พอบังคับจิตได้มาถึงขนาดนี้ในหมวดสาม ก็เรียกว่าจิตนี้พร้อมแล้วที่จะปฏิบัติในหมวดธรรมต่อไป ที่ท่านเรียกว่าเป็นหมวดวิปัสสนา การทำวิปัสสนา ที่ผ่านมาแล้วนี้ก็เป็นเรื่องของการทำความสงบ สมาธิ สมถะ ก็มีปัญญาประกอบด้วยตามระยะทาง แต่ยังไม่ถึงปัญญาล้วน ๆ พอมาถึงหมวดธรรมนี้จะพิจารณาในเรื่องของธรรมะที่เรียกว่าวิปัสสนา ก็จะเป็นเรื่องของการพัฒนาปัญญาโดยตรงแล้วก็ล้วน ๆ ก็โดยมีสมาธิที่เรามีมาแล้วในหมวดหนึ่ง สอง สาม เป็นพื้นฐาน ทีนี้พอในหมวดธรรมนี่จะพิจารณาอะไร ก็พิจารณาอย่างที่เราเคยพูดกันมาแล้ว คือพิจารณาในเรื่องของไตรลักษณ์ เริ่มต้นด้วยอนิจจัง แต่เอาแต่อนิจจังอย่างเดียว จนเห็นชัดเจนในอนิจจังนั้น จนกระทั่งเกิดนิพพิทา เบื่อหน่าย ไม่เอาอีกแล้ว พอแล้ว แล้วก็เบื่อจริง ๆ วาง วิราคะ และผลที่สุดก็ดับไปเลย คือดับความยึดมั่นถือมั่น ผูกพัน อะไรต่ออะไรต่าง ๆ เพราะเห็นอนิจจังชัดเจน อย่างที่ได้พูดกันเป็นตัวอย่างบ้างในคราวที่แล้ว ถ้าหากว่าพอมาถึงขั้นสุดท้ายของหมวดธรรม สลัดทุกอย่างออกไปหมด ไม่เอาอะไรอีกเลย ก็เป็นอันว่าเราได้ปฏิบัติสมาธิภาวนาถึงที่สุด สัมฤทธิ์ผลแล้ว นี่เราพูดประเดี๋ยวเดียวก็จบ แต่ทำตลอดชีวิตก็ไม่ทราบว่าจะจบไหมนะคะ แต่ถ้าเราค่อยทำค่อยไป เราก็มองเห็นผล ก็จะเกิดขึ้นได้ ก็ไม่ต้องหนักใจก่อนลงมือ
นี่ก็เรียกว่าเป็นโครงสร้างของอานาปานสติ แบ่งออกเป็นสี่หมวด หมวดแรกคือหมวดกาย เน้นเรื่องของลมหายใจ ทำความรู้จักกับลมหายใจ ลักษณะอาการต่าง ๆ ของลมหายใจ จนรู้จักว่าจะใช้ลมหายใจอย่างไหนเพื่อประโยชน์อะไร แล้วก็จะไม่ใช้ลมหายใจอย่างไหนเลยเพราะมันไม่เป็นประโยชน์ แล้วก็จะรู้จักควบคุมลมหายใจให้นิ่งให้สงบได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องของหมวดที่หนึ่ง พอหมวดที่สองหมวดเวทนา ก็จะศึกษาเรื่องของเวทนาทุกอย่างทุกชนิด ทั้งที่เป็นสุข ทั้งที่เป็นทุกข์ ทั้งที่คลุมเครือไม่รู้ว่าสุขหรือทุกข์แน่ ๆ แล้วผลที่สุดก็ต้องควบคุมเวทนานั้นให้ได้ อย่าให้มันมีอำนาจเหนือชีวิตเหนือจิตใจอีกต่อไป แล้วต่อไปก็เป็นหมวดที่สามคือหมวดจิต ตอนนี้ก็ทดสอบฝึก อบรมกำลังของจิตเหมือนดั่งที่ว่าแล้ว เรียกว่าสร้างพลังจิตกันนี่ก็จะดูแล้วว่าจะใช้พลังจิตได้มากน้อยแค่ไหน แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะเตรียมจิตเอาไว้ทำวิปัสสนาในหมวดธรรมคือหมวดที่สี่ เพราะในการทำวิปัสสนาหรือในการใคร่ครวญพิจารณาธรรม ต้องการพื้นจิตที่สะอาด สงบ แล้วก็ว่าง มั่นคง หนักแน่น เพื่อจะได้พิจารณาธรรมได้อย่างมีเหตุผล แล้วก็เข้าถึง แล้วก็ลึกซึ้งได้ นี่ก็เป็นเรื่องของอานาปานสติภาวนาอย่างย่อ ๆ ก่อนนะคะ ถ้าถึงเวลาที่จะไปฝึกปฏิบัติกันจริง ๆ ในแต่ละหมวด ก็จะต้องมีรายละเอียดมากกว่านั้น แต่ที่เราพูดกันนี้ก็ไม่คิดหรอกว่าเราจะมาทำรายละเอียดหมดทั้งสี่หมวด เราลองเริ่มกันเฉพาะหมวดกายก่อนนะคะ ทีนี้ในหมวดกายนี้ก็เป็นหมวดที่จะเน้นการศึกษาเรื่องของลมหายใจ หมวดกายนี้นะคะเน้นการศึกษาเรื่องของลมหายใจในลักษณะอาการต่าง ๆ เพื่อจะดูว่าลมหายใจที่เราหายใจอยู่ทุกวัน ๆ นี้เคยสังเกตบ้างไหมว่ามีกี่อย่าง เคยสังเกตไหมคะ
ผู้ร่วมสนทนา : ...
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก รู้อันนี้ เพราะว่าถ้ามันไม่เข้าไม่ออกมันก็ตาย เพราะฉะนั้นทุกคนก็จะรู้ว่าเข้าออกนี่ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
ผู้ร่วมสนทนา : ...
อุบาสิกา คุณรัญจวน : แล้วก็ลมหายใจสั้น แล้วก็ลมหายใจยาว ทีนี้ในขณะที่หายใจอยู่นี้ รู้ไหมว่ากำลังหายใจอยู่ เมื่อไหร่เข้า เมื่อไหร่ออก นี่กำลังเข้าหรือกำลังออก บอกได้ไหมอันนี้ ที่กำลังหายใจอยู่เดี๋ยวนี้ บอกได้ไหมนี่เข้าหรือออก ต้องมาสูดกันใช่ไหมคะ พอมาสูดกันถึงจะบอกได้ เข้า ออก เพราะถ้าไม่สูดก็บอกไม่ได้ นี่ท่านบอกว่าทำไมถึงควรมาฝึกอานาปานสติภาวนา ก็เพื่อจะได้มีสติ นี่เราหายใจกันอยู่ตลอดเวลาน่ะเพราะเรายังมีชีวิตอยู่ แต่เราหายใจอย่างไม่มีสติใช่หรือเปล่า มนุษย์ทั่วไปหายใจอย่างไม่มีสติ อะไรพิสูจน์ล่ะ ก็เพียงแต่ว่าขณะนี้ออกหรือเข้ายังตอบไม่ได้เลย นี่แหละท่านเรียกว่าหายใจอย่างไม่มีสติ เพราะฉะนั้นเมื่อหายใจอย่างไม่มีสติ เวลาพูดล่ะ ก็มักจะเผลอสติใช่ไหมคะ เวลาทำล่ะ ก็มักจะเผลอสติ เพราะสติมันไม่ได้อยู่ประจำอยู่ในจิต ฉะนั้นการมาฝึกอานาปานสติภาวนาก็เพื่อมุ่งฝึกสติ หรือที่จริงสมาธิภาวนาทุกแบบน่ะก็มุ่งฝึกสติ แต่สำหรับแบบนี้ก็ใช้ลมหายใจเป็นเครื่องกำหนด ฉะนั้นเราก็รู้เข้า ออก ยาว สั้น แล้วรู้อะไรอีกลักษณะอาการของลมหายใจ เคยลองหายใจเองไหม เอ้า ทีนี้เอายาวก่อน ลมหายใจยาวนี่แหละ มีอย่างเดียวเท่านั้นหรือ หรือว่าลมหายใจยาวนี้แหละมันอาจจะมีหลายอย่าง ยาวหลายอย่าง ได้เคยสังเกตไหมคะ เอ้า ลองหายใจดูสิ ลองหายใจยาว (เสียงสูดลมหายใจเข้าออก) นี่ อย่างที่หายใจให้ดูเป็นตัวอย่างนี่ เป็นอย่างไรคะ ยาวอันนี้เป็นอย่างไร (เสียงสูดลมหายใจเข้าออก) ยาวธรรมดาไหมคะ ไม่ธรรมดา เป็นยาวที่เป็นอย่างไร (เสียงสูดลมหายใจเข้าออก) ยาวแรง ยาวลึก มีประโยชน์อย่างไรบ้าง หรือมันเกิดประโยชน์อะไรบ้าง หรือไม่เกิดประโยชน์เลย เราจะหายใจยาว แรง ลึก เมื่อไหร่ (เสียงสูดลมหายใจเข้าออก) สังเกตไหมคะว่ามันเหมือนกับเราพูดว่าอะไร เราทำอย่างนี้ (เสียงสูดลมหายใจเข้าออก) ถอนหายใจอีกแล้ว ใช่ไหม คล้าย ๆ กับว่าถอนหายใจอีกแล้ว เหน็ดเหนื่อยอะไรหนักหนา ผู้ใหญ่ชอบว่าเด็ก ที่จริงผู้ใหญ่ก็ถอนบ่อย ๆ ถอนหายใจอีกแล้ว นั่นเพราะฉะนั้นพอเราหายใจยาวลึกนี่รู้สึกไหมคะ ที่ถอนหายใจนี้เพื่ออะไร เพราะมันมีอะไรอัด ขัด อยู่ข้างใน ก็ถอนหายใจเหมือนกับไล่มันออกไป ไล่มันออกไป มันไล่สิ่งที่ขัดนั้นออกไป เพราะฉะนั้นหายใจยาวลึกจะมีประโยชน์อย่างไร ช่วยผ่อนคลายสิ่งที่มันอึดอัดมันแน่นอยู่ข้างใน หายใจยาวลึกไล่มันออกไป หรือหายใจแรงก็คล้าย ๆ กัน ทีนี้นอกจากยาวลึกแรง แล้วยาวอย่างไรอีก มีอีกไหมคะ มีไหม ลองหายใจดูสิคะ มีไหม ลองหายใจดู ยาวเบา ๆ ยาวเบา ๆ ลองหายใจยาวเบา ๆ สิคะ เป็นอย่างไรยาวเบา ๆ สบายไหม สบาย ถ้ายาวเบา ๆ สบาย แสดงว่าในขณะที่หายใจยาวเบา ๆ นั้น ภาวะข้างในเป็นอย่างไร สบาย คือมันไม่มีอะไรอึดอัดขัดอยู่ข้างใน มันก็หายใจไปได้สบาย ๆ ยาวสบาย ๆ แต่ระยะของความยาว อย่างหายใจยาวสบาย ๆ กับยาวอย่างลึกแรงนี่ ระยะของความยาว อย่างไหนยาวกว่ากัน
ผู้ร่วมสนทนา : ...
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ยาวกว่าหรือคะ ลองดูใหม่สิคะ
ผู้ร่วมสนทนา : ...
อุบาสิกา คุณรัญจวน : อันนี้ก็ได้เหมือนกัน จะบอกว่าอย่างเบายาวกว่า ก็ต่อเมื่อผู้นั้นอยู่ในอารมณ์ที่สงบ ที่สบาย แล้วก็อยากจะผ่อนคลาย ก็หายใจยาวสบาย ๆ ไปเรื่อย ๆ จนถึงที่สุด แต่โดยปกติเราจะเห็นว่าถ้ายาวแรงลึกนี่มันต้องตั้งใจไล่ออกไป เพราะฉะนั้นมันต้องลึกและมันก็ต้องแรง มันถึงจะยาวไล่ลึกออกไปได้ เพราะฉะนั้นเป็นอันว่ายาว แรงลึก เบาสบาย แปลว่าในระยะของมันนี้อะไรจะยาวจะสั้นกว่า แต่ละคนไม่เหมือนกัน จะกำหนดว่าต้องครึ่งนาที หรือว่าเศษสามส่วนสี่นาที แต่ละคนกำหนดไม่ได้ เพราะว่าลมหายใจของแต่ละคนก็ไม่ค่อยจะเท่ากัน แต่ก็บอกได้ว่าถ้าหากว่าหายใจเป็นปกติ เดี๋ยวลองดูหายใจปกติสิคะ แต่ละท่านสังเกตไหมว่าลมหายใจปกติของเรานี้แค่ไหน ปกติที่เราหายใจอยู่นี้แค่ไหน
ผู้ร่วมสนทนา : ...
อุบาสิกา คุณรัญจวน : สั้นนิดเดียวเหรอคะ เหนื่อยไหมคะ เข้าออกไวนี่เหนื่อยไหมคะ อ้า ก็รู้สึกว่าเหนื่อย เพราะฉะนั้นถ้ารู้สึกว่าเหนื่อย ก็ควรจะปรับลมหายใจที่สั้นเข้าออกไวนี้ ให้เป็นลมหายใจที่มีระยะผ่อนคลายยาวออกไป ก็จะค่อยสบายขึ้น ทีนี้ลองดูสิคะ จับได้หรือยังคะแต่ละท่าน ว่าลมหายใจปกตินี่ขนาดไหน แล้วก็เป็นลมหายใจค่อนข้างยาวหรือค่อนข้างสั้น คือหายใจธรรมดา ๆ เป็นลมหายใจค่อนข้างยาวหรือลมหายใจค่อนข้างสั้น
ผู้ร่วมสนทนา : ...
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ค่อนข้างสั้นนะคะ เป็นปกติธรรมชาติ ค่อนข้างสั้น สั้นนี่ขนาดไหนคะ ขนาดประมาณไหนของช่วงอกของช่องอก
ผู้ร่วมสนทนา : ...
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ถ้าแค่นี้ล่ะก็ค่อนข้างสั้น ถ้าแค่นี้ค่อนข้างสั้น ควรจะมาประมาณสักแค่ไหนจะรู้สึกสบาย
ผู้ร่วมสนทนา : ...
อุบาสิกา คุณรัญจวน : อ้า ถ้าประมาณขนาดนี้ได้ก็จะสบาย ฉะนั้นถ้าหากว่าท่านผู้ใดที่มีลมหายใจขนาดนี้ ขนาดสั้นมาก ก็ลองนั่งเล่นกับลมหายใจเหมือนอย่างผู้ที่มีสมาธิสั้น เราชวนกันมาเล่นกับลมหายใจ จะนั่งเข้าแถวกัน หรือว่าจะยืน หรือจะหันหน้าเข้าหากัน แล้วก็ลองหายใจโดยกำหนดพร้อมกัน จะเอาสั้นก่อน จะเอาสั้นขนาดยาว หรือว่าจะเอายาว เรานัดกัน โดยการหายใจแต่ละครั้งนี้ให้รู้ลักษณะของการหายใจอย่างที่เป็นที่ตกลง ว่านี่นะยาวธรรมดาขนาดนี้ ยาวแรงขนาดนี้ ยาวลึกขนาดนี้ ยาวสบาย ๆ ขนาดนี้ นี่เราตกลงกัน แล้วเสร็จแล้วก็พอมาถึงลมหายใจสั้น มีกี่อย่าง สั้นธรรมดาก็ประมาณนี้ บางทีก็สั้นมากจนกระทั่งหายใจติด ๆ กัน ที่เราจะเรียกว่าเป็นสั้นกระชั้นถี่หรือค่อนข้างถี่ เหมือนกับหอบไม่ถึงหอบ แต่คล้ายกับหอบ อย่างนี้จะเป็นอย่างไร เหนื่อย หนัก แล้วก็จดจ่ออะไรไม่ได้ จิตใจจะไม่สบายเลย เพราะฉะนั้นอันนี้เราจะต้องพยายามมาลองหัดหายใจกัน โดยขยายลมหายใจที่สั้นให้ยาวออกไปทีละน้อย ๆ ๆ ลองดูสิคะ ถ้าเรานั่งตัวตรง แล้วก็สมมติว่าลมหายใจสั้นขนาดนี้ ลองหายใจสั้นขนาดนี้ สบายไหม ในส่วนตัวไม่สบาย ไม่สบายขยายออกไปอีกหน่อย ขยายคือให้ยาวลงไปอีกนิด ลงไปได้อีกนิด ก็ยังไม่สบายทีเดียว ลองเอาให้ยาวลงไปอีกนิด ถ้ามันสักขนาดครึ่งหนึ่งนี่ค่อยยังชั่ว ค่อยสบายขึ้น นี่ต้องสังเกตตัวเอง แล้วก็ลองดูต่อไปว่าถ้าขนาดครึ่งหนึ่งนี้เรียกว่าสบายเป็นปกติ ข้างนอกข้างในมันมีอาการปกติ สบายดีแล้ว จะถือว่านี่เป็นลมหายใจธรรมชาติของเรา ก็แล้วแต่จะเลือกนะคะ แต่ถ้ารู้สึกว่าถ้าจะให้สบายกว่านี้ ลงไปอีกสักนิดหนึ่ง ใต้ครึ่งอก เกินครึ่งอกไปอีกสักนิดหนึ่ง จะรู้สึกว่าจะหายใจสบายไปเรื่อย ๆ อันนี้แล้วแต่แต่ละบุคคล นี่เรียกว่าถ้าเราจะฝึกลมหายใจ จากลมหายใจสั้นให้เป็นลมหายใจยาว เพื่อให้ใจสบายขึ้น จิตใจสบายขึ้น ผ่อนคลายขึ้น ก็ลองใช้จากสั้นขยายออกไป ขยายออกไปทีละน้อย แล้วพอมันรู้สึกว่าเหนื่อย เอ้า หายใจยาวลึกไล่ออกไป ยาวลึกไล่ออกไป ไล่ออกไปเพื่อให้มันหมดสิ่งที่อึดอัด แล้วก็ลองมาตั้งต้นใหม่ ในเวลาที่หายใจมีบางท่านแนะนำว่า ถ้ารู้สึกว่าเราจะหายใจ แล้วก็จะกำหนดไม่ได้ว่าจะให้มันหายใจเข้าแค่ไหน ก็อาจจะใช้มือผสมขึ้นมา เอาขึ้นหายใจเข้าสุดลมหายใจ ทีนี้หายใจออกคว่ำมือ ปล่อยจนสุดลมหายใจที่ออก เข้า ออก เข้า ออก เริ่มต้นด้วยการลองฝึกอย่างนี้ก่อนก็จะดี เริ่มต้นด้วยการเข้า ออก ช้า ๆ เข้า ออกก็คว่ำมือลง จนกระทั่งรู้สึกว่าหายใจปกติได้แล้วทีนี้ไม่ใช้มือ มาลองดูสิว่าพอเราหายใจด้วยการใช้มือนี่มันช่วย พอหายใจเข้าสุดเหมือนกับมันช่วยยกลมหายใจ แล้วเสร็จแล้วพอออกก็เหมือนกับปล่อยมันออกไปให้สุด พอหายใจได้อย่างสบายดีแล้ว ตอนนี้ก็ลองฝึกลมหายใจเข้าโดยไม่ต้องใช้มือ ลองฝึกลมหายใจเข้าโดยไม่ต้องใช้มือ จากหายใจสั้นแล้วก็ขยายให้ยาว แล้วก็ขยายให้ยาว พร้อม ๆ กับยาวเมื่อไหร่จะรู้สึกว่าใบหน้า กล้ามเนื้อ มันผ่อนคลาย ความยิ้มแย้มมันจะออกขึ้นมาเองทีละน้อย นี่พูดถึงว่าเราจะลองใช้ลมหายใจให้เป็นประโยชน์ในการที่จะผ่อนคลายความอึดอัดข้างใน หรือว่าความร้อนรนข้างใน ให้เป็นความเย็นขึ้นทีละน้อยนะคะ
ทีนี้พอมาพูดถึงเรื่องของการฝึกลมหายใจในหมวดกายของอานาปานสติ ท่านก็แบ่งออกเป็นสี่ขั้น ขั้นที่หนึ่ง ท่านบอกว่าผู้ปฏิบัติทำหน้าที่อย่างเดียว ตามลมหายใจยาว หายใจยาวอย่างเดียว ขั้นที่หนึ่งตามลมหายใจยาว คำว่าตามลมหายใจยาว ก็คือว่า พอหายใจยาวเข้า แล้วก็หายใจยาวออก ตามลมหายใจยาวอย่างเดียว เพื่อให้รู้จักลมหายใจยาวให้ทั่วถึงทุกอย่างทุกชนิด อย่างง่าย ๆ ก็อย่างที่เราพูดแล้ว อันแรกลมหายใจยาวธรรมดา อันที่สองลมหายใจยาวแรง อันที่สามลมหายใจยาวลึก นี่เอาเพียงแค่สามอย่างเท่านั้นนะคะ ถ้าไปลองเล่นกับลมหายใจด้วยตัวเองจะพบมากกว่านี้ จะพบมากกว่าสาม จะมีได้ถึงสี่ถึงห้าลมหายใจยาว ทีนี้เวลาตามนี่หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่าจะต้องเอาความรู้สึกของเรา หรือสติ จะเรียกว่าสติก็ได้ จ่ออยู่ที่ตรงช่องจมูก เพราะลมหายใจจะเข้าทางช่องจมูกใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นพอมันเข้านี่ใจจดจ่อไม่ไปไหนเลย ท่านจึงบอกว่าอานาปานสตินี้ใช้ลมหายใจเป็นเครื่องกำหนด จดจ่ออยู่ตรงนี้ พอลมหายใจเริ่มผ่านเข้า ลมหายใจไม่มีรูปร่างแต่มันมีความเคลื่อนไหวใช่ไหมคะ มันมีอาการเคลื่อนไหว เพราะฉะนั้นพอมันเคลื่อนเข้าช่องจมูก กำหนดความรู้สึกตามไปตลอด ตามอะไร ตามความเคลื่อนไหวของลมหายใจที่เคลื่อนเข้ามาในตัวเรา ดูสิว่าลมหายใจยาวธรรมดาที่กำลังฝึกตามอยู่นี้มันไปถึงไหน มันไปถึงไหนก็คือตามจนสุดสายของลมหายใจ พูดว่าสุดสายของลมหายใจ เข้าใจไหมคะ คือลมหายใจมันหยุดแล้ว มันหยุดอยู่ตรงแค่นี้ มันไม่ไปต่อแล้ว นี่คือสุดสายของลมหายใจ เช่นหายใจเข้า (เสียงสูดลมหายใจ) นี่หยุดแล้ว ทีนี้พอหยุดแล้วมันจะทำอย่างไร ก็ต้องออก ก็ตามออกมา ตามเข้า แล้วก็ตามออก ไม่ค่อยสนุกหรอกนะคะ แต่ลองตามไปจนตามได้แล้วถึงจะรู้สึกสนุก พอหายใจเข้า ตาม ตามความเคลื่อนไหวของลมหายใจ พอมันหยุด ตอนที่จะตามออกนี่ยาก ผู้ปฏิบัติส่วนมากก็จะมาถามว่า ลมหายใจออกมันสั้นกว่าลมหายใจเข้าใช่ไหม ก็ตอบว่าไม่ใช่ มันเท่ากัน สมมติว่ามันเข้านี่มันยาวสักคืบหนึ่ง สมมตินะคะ พอหายใจเข้านี่มันยาวสักคืบหนึ่งหรือว่าสักหกนิ้ว พอออกมันก็ต้องมีความยาวเท่ากัน แต่ที่มันไม่เท่ากันเพราะผู้ตามตามไม่ทัน คือพอมันหยุดสุดสายนี่ตั้งสติตามออกไม่ทัน ปล่อยให้มันออกไปก่อน เพราะฉะนั้นก็เลยเหมือนกับว่าลมหายใจออกสั้นกว่าลมหายใจยาว พูดอย่างนี้เข้าใจไหมคะ ทีนี้ลองดูนะคะ ลองตามลมหายใจธรรมดา แล้วก็พอมันเข้าสุดสาย ในส่วนตัวนี่จะใช้วิธีอึดเอาไว้หน่อยหนึ่ง สำหรับใหม่ ๆ นี่นะ ใหม่ ๆ นี่ต้องอึดเอาไว้ พอรู้ว่านี่มันสุดแล้วมันจะไม่ไปต่อแล้ว อึด อึด อึดใจนิดเดียวเท่านั้นเอง แล้วก็พอตั้งสติว่านี่กำลังจะออกแล้วนะ แล้วก็ตามมันให้ติดเชียว เอาความรู้สึกตามติด ส่งมันจนกระทั่งมันออกพ้นช่องจมูก แล้วเสร็จแล้วก็คอยรับมันมา มันไม่กลับมาทันทีหรอก มันจะเว้นสักนิดหนึ่ง แล้วมันก็จะกลับมา ก็รับมัน แล้วก็ตามมันออก ถ้าผู้ใดตามเข้าตามออกได้คล่องแคล่ว เอาสักสิบครั้งเป็นอย่างไร ตามเข้าตามออกสักสิบครั้ง ถ้าตามได้ไม่ขาดสายก็นับว่าเก่งแล้ว เอ้า ลงมือนะคะ ลอง ตั้งตัวตรง เพราะว่าเราจะใช้ลมหายใจเข้าออก เพราะฉะนั้นต้องนั่งตัวตรง ลมหายใจจะได้เดินเข้าออกได้อย่างสบายคล่อง ๆ เอายาวสบาย ๆ ของใครยาวแค่ไหนก็แค่นั้น แต่ทั้งออกทั้งเข้าให้เท่ากัน มันหลุดไปบ้างก็ไม่เป็นไร ตั้งต้นใหม่ ถ้าถึงสิบแล้วก็ยกมือให้ทราบ สบาย ๆ นะคะ ตอนนี้ลมหายใจยาวสบาย ๆ คงจะทั่วถึงสิบกันแล้วนะคะ ตามได้ทั่วดีไหมคะ ตามได้ตลอดสายไหมคะ ตลอดสายคือหมายความว่าทั้งเข้าและออกไม่ขาดตอนเลย ลมหายใจไม่ไปไหนอยู่กับจิตของเราตลอดเวลา นั่นเรียกว่าไม่ขาดสาย ตลอดสาย ไม่ค่อยตลอดหรือคะ
ผู้ร่วมสนทนา : ...
อุบาสิกา คุณรัญจวน : อ๋อ ไม่หรอกค่ะ ตามออกเลย ตามธรรมชาติของลมหายใจ ค่ะ ธรรมชาติ เพียงแต่ที่แนะนำเคล็ดนิดหนึ่งนั่นน่ะ เพราะกลัวว่าจะไม่ค่อยรู้ว่ามันสุดแล้ว แล้วก็เลยปล่อยให้มันออกไปเสียก่อน ก่อนที่จะตามมันทัน แล้วก็จะมาคิดว่าลมหายใจออกสั้นกว่าลมหายใจเข้า แต่ว่าถ้าหากว่าผู้ใดตามได้
ผู้ร่วมสนทนา : ...
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ค่ะ นี่อย่างไรคะ เพราะว่าพอตอนที่มันสุดสายตอนเข้าเราจับมันไม่ทัน
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน: อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่อันนี้เพียงแต่ว่าเราตกลงกัน ว่าเราจะเอาหายใจสบาย ยาวสบาย ๆ ทีนี้ถ้าอาจารย์กำหนดว่ายาวสบาย หายใจยาวสบายของอาจารย์แค่นี้ สมมตินะคะ สมมติว่าแค่นี้ แล้วครั้งต่อไปแค่นี้ได้ไหม
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ค่ะ ก็จะขาดเกินนิดหน่อยคงไม่เป็นไร แต่อย่างไรก็ให้ตามให้ได้ตลอดสายก็แล้วกัน
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ยังหรอกนี่เพิ่งครั้งแรก
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : เอามันออกมาค่ะ ตามออกมา ตามออกมาด้วย
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ไม่ค่ะ ต้องตามออกมาค่ะ ถ้าเข้าคือสมมติเหมือนกับว่า เราเป็นเจ้าของบ้านนะคะ แล้วก็มีแขกวีไอพีมาบ้าน ก็เอสคอร์ทเขาตั้งแต่เข้าบ้าน จนกระทั่งส่งหน้าประตูบ้านออกไปเลย
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ไม่มาคอยค่ะ ก็เพียงแต่ว่าพอเข้า ตาม แล้วก็ตามออก พร้อมๆ กับเข้า แล้วเราก็คอยอยู่ตรงนี้สำหรับลมหายใจครั้งต่อไปที่จะเข้า แล้วก็จะออก ลักษณะอย่างนี้ตลอด
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ค่ะ ดีค่ะ ถ้าง่ายแล้วก็ดีมากเลยค่ะ
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : อ๋อ ค่ะ ง่ายใช่ไหมคะ อันนั้นเป็นขั้นที่สามค่ะ ที่เราจะมาเฝ้าคอยอยู่ตรงนั้น ตรงนี้มันมีความประสงค์ว่าจะให้สังเกตลักษณะอาการของลมหายใจแต่ละอย่าง ว่าเมื่อหายใจ เช่น เมื่อกี้นี้เราเริ่มต้นด้วยหายใจสบาย ๆ ยาวสบาย ๆ ความรู้สึกของเราเป็นอย่างไร เมื่อลมหายใจ คือเมื่อกายลมมันยาวอย่างสบาย ๆ แล้วกายเนื้อรู้สึกอย่างไร กายเนื้อรู้สึกสบายด้วยไหม นี่ต้องการจะให้รู้จักลักษณะของลมหายใจแต่ละอย่าง ว่ามันให้ผลต่อกายเนื้ออย่างไร เราจะได้จำไว้ว่าลมหายใจอย่างนี้ดีนะ น่าจะเอามาให้เกิดบ่อย ๆ คือหายใจอย่างนี้บ่อยๆ แล้วกายเนื้อก็จะได้สบาย สบายก็คือสงบ สบาย เย็น เราจะได้หายใจบ่อย ๆ ฉะนั้นในขั้นที่หนึ่งนี้ จุดประสงค์เพื่อจะให้รู้จักลมหายใจยาวทุกอย่างทุกชนิด พร้อมกับสังเกตลักษณะอาการของมันด้วย ว่ามันมีผลต่อกายเนื้ออย่างไร เพราะฉะนั้นถึงให้ตามซ้ำไง ให้ตามซ้ำ แล้วก็อีกอย่างหนึ่งการตามขึ้นตามเข้าตามออกนี้ จะมีประโยขน์สำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ ผู้ปฏิบัติใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคยกับการทำสมาธิ มันจะหลุดหายเร็ว ๆ นี่นะคะ ให้จิตนี้ตามไปเรื่อย มันเป็นการบังคับใช่ไหมคะ ไม่ให้หลุดหายไปไหน จิตนี้มันจะต้องตามอยู่เรื่อย ไม่หลุดไปไหน ต้องอยู่กับลมหายใจตลอดทางเลย ตลอดทาง เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าหลุดไปเมื่อไร ก็คือจิตไม่เป็นสมาธิแล้ว ถ้าจิตอยู่กับลมหายใจทั้งเข้าและออกอย่างนี้ตลอด ก็เป็นสมาธิตลอดเวลา เพราะมันไปวิ่งเล่นไม่ได้ ว่าอย่างนั้นเถอะ มันหนีไปเที่ยวไม่ได้ มันต้องอยู่กับลมหายใจตลอด มีสงสัยอีกไหมคะ ถ้าไม่มี ลองหายใจยาวลึก เอาห้าครั้งพอ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเหนื่อย
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ใช่ เพราะฉะนั้นถึงได้บอกห้าครั้งก็เหนื่อยแล้ว
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ถ้าลึกล่ะก็มันมักจะลึกถึงที่สุดเลยล่ะค่ะ สุดของอาจจะถึงสะดือล่ะมั้ง ถ้าแรงนี่บางทีมันอาจจะแรง ยาวแรงแต่ไม่ลึกถึงที่สุดก็ได้ เป็นอย่างไรคะตามได้ตลอดไหม ตามง่ายกว่าไหม ตามง่ายกว่ายาวสบายไหม ง่ายกว่าเพราะมันแรงใช่ไหมคะ ความเคลื่อนไหวของลมหายใจมันก็แรง ทำให้เราตามได้ง่าย ไม่ค่อยพลาด แล้วเป็นอย่างไรคะหายใจยาวลึก มีผลต่อกายเนื้ออย่างไร สบายไหม เหนื่อย ไม่สบาย เพราะฉะนั้นก็คงจะไม่ใช้ลมหายใจยาวลึกมาเป็นลมหายใจธรรมชาติใช่ไหม ธรรมชาติตามปกติของเรา เราจะใช้เฉพาะในบางกรณี เช่น อย่างที่พูดเมื่อกี้ มีอะไรอึดอัดแน่น หรือต้องไล่มันออกไป เพราะฉะนั้นก็พรวดมันออกไปเลย อย่างนั้นเป็นต้น ทีนี้ลองยาวแรง แล้วสังเกตว่าต่างกับยาวลึกอย่างไร สักห้าครั้ง ห้าแล้วนะคะ ต่างกับยาวลึกอย่างไร สังเกตได้ไหมคะ คือสั้นกว่า สั้นกว่ายาวลึกนิดหน่อย
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ทำไม ครูอ้อยเวลาหายใจยาวแรงเลยหรือเปล่าคะ ทำไมถึงเหนื่อยล่ะ ตั้งใจมากไปเวลายาวลึกนี่เห็นเป็นอย่างไร
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : เอ๊ะ ทำไมต้องใช้กล้ามเนื้อ คือกล้ามเนื้อนี้ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ อย่าไปกระตุ้นกล้ามเนื้อให้มากเกินไป ปล่อยให้ลมหายใจเป็นไปตามธรรมชาติ
ทีนี้ลองอีกสักครั้งนะคะ ทีนี้สลับกันเลยตามใจ ยาวธรรมดาบ้าง ยาวลึกบ้าง ยาวแรงบ้าง สลับกันเลยรวมแล้วสักสิบครั้งตามสบาย แต่ขอให้จับให้ได้ว่ามันแตกต่างกันอย่างไร และขณะนี้เป็นยาวอะไร อย่าให้มันสับสนกัน มีอะไรที่รู้สึกว่ายังขัดข้องเกี่ยวกับเรื่องลมหายใจยาวไหมคะ
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ที่จริงตอนออกนี่ทำไมถึงต้องใช้แรงขับ มันอ่อนลง หมายความว่าลมหายใจมันอ่อนลง
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : อ๋อ เข้าไปเยอะ แล้วมันไม่ออกเยอะ (หัวเราะ) แล้วไปแอบอยู่ที่ไหน คือ อาจจะเป็นว่านี่เราเพิ่งเริ่มทำนิดหน่อยครั้งแรกนะคะ เพราะฉะนั้นก็ตั้งใจมาก ตั้งใจมากมันก็มีความเกร็งอะไรอย่างนี้ มันก็ผิดธรรมชาติไป แต่ถ้าลองไปฝึกดูที่บ้านก็จะค่อย ๆ เห็นว่าเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรที่จะแตกต่างอย่างที่ว่านะคะ อย่างเช่นพอหายใจยาวลึกนี่ (เสียงสูดลมหายใจยาวลึก) นี่ก็มองดู ก็นั่ง ก็ไม่ได้ต้องตั้งท่านะ ไม่ตั้งท่าเลยนะ นี่หายใจยาวลึก (เสียงสูดลมหายใจยาวลึก) มันก็ออกมาธรรมดา ทีนี้ถ้าแรง มันก็เหมือนหายใจยาวลึกนะ แต่ว่ามันไม่ลึก มันแรงคือมันเพิ่ม มันมีน้ำหนักที่แรง แต่ว่ามันไม่ลึกเท่ากับที่มันยาวลึก ถ้ายาวลึกนี่ส่วนมากมันจะะร่วงถึงสะดือ หายใจมันถึงขนาดนั้น มีอะไรเกี่ยวกับหายใจยาวไหมคะ ที่เราฝึกกันนี้เพียงนิดเดียวนะคะ นิดเดียว ที่เขาฝึกกันนั่นน่ะ เฉพาะตามลมหายใจยาวเท่านั้นน่ะก็เป็นอาทิตย์ ๆ อย่างเดียว คนฝึกคือผู้ปฏิบัตินี้ พอบอกว่าวันนี้จะเริ่มขั้นที่หนึ่งของหมวดที่หนึ่ง ก็ทำหน้าเอือมระอา เพราะเขาเบื่อที่จะต้องตามไปตามมา แต่ว่าต้องตาม เพื่ออะไร เพื่อว่าจะต้องขยายความรู้จักลักษณะของลมหายใจยาว ให้มากยาวออกไปอีก แล้วก็ชัดเจน เหมือนกับเราฝึกการใช้อาวุธนี้นะคะ มันมีอาวุธหลายอย่าง จะมีโล่ มีแหลม มีดาบ มีกระบี่ มีอะไรก็แล้วแต่ ต้องรู้จักมันทุกอย่างอย่างถี่ถ้วน รู้จักวิธีใช้มัน พอถึงเวลาจะใช้จะได้หยิบมันมาใช้ได้ทันท่วงที ไม่ไปหยิบสับสนกันแล้วก็ถูกเขาแทงตาย เพราะฉะนั้นอันนี้ท่านถึงให้ฝึกให้บ่อย ๆ ให้มาก ๆ ยิ่งใครฝึกชำนาญเท่าไหร่ ก็ใช้ประโยชน์ได้มากเท่านั้น แล้วก็จะเป็นพื้นฐานขึ้นไปสู่การใช้ ประเดี๋ยวก็จะเห็นว่าจะมีประโยชน์มากในการที่จะใช้ในขั้นที่สี่ ที่เราจะรู้จักควบคุมบังคับลมหายใจ ว่าเมื่อไหร่ต้องการลมหายใจอะไร แล้วพอในขณะที่ฝึกไป เราก็ดูลมหายใจอย่างไหนสบายพอใจ เราก็เลือกใช้อย่างนั้น ว่า เออ อันนี้เป็นลมหายใจที่หายใจแล้วรู้สึกเราสบาย สบายคือกายเนื้อนี่สบาย แล้วใจนี่มันก็สบาย มันก็เย็น มันก็สงบไปด้วย ส่วนอย่างอื่นเอาไว้ใช้ในกรณีพิเศษ เมื่อเราต้องการใช้มันเท่านั้นเอง
เอ้า ทีนี้ลองหายใจสั้น ยังมีเวลา ลองหายใจสั้นสักหน่อย หายใจสั้นก็จะมีกี่อย่างนะคะ หายใจสั้นมีกี่อย่าง สั้นหนัก สั้นเบา สั้นมาก สั้นมากอย่างที่ว่าสั้นกระชั้นถี่ที่เหมือนกับว่าเหนื่อยหอบมา นั่นแหละสั้นกระชั้นถี่ อย่างนี้ถึงแม้ไม่ได้ลองเราก็รู้ ว่าเราจะใช้มันไหม เราไม่ใช้ ยกเว้นว่ามีเหตุการณ์บังคับที่ทำให้เราต้องมีความตกใจมาก ตื่นตระหนก หรือว่าวิ่งหนีใครเขามา นั่นแหละมันก็สั้นกระชั้นถี่ แล้วก็รู้เอง ถ้าใครที่ฝึกลมหายใจจนกระทั่งเป็นนิสัย ก็จะค่อย ๆ ปรับสั้นกระชั้นถี่ทันทีเลยให้เป็นสั้นยาว แล้วก็เป็นหายใจยาวออกไปทีละน้อย ๆ ก็จะช่วยทำให้กายเนื้อนี้มีความสบายขึ้น นี่คือประโยชน์ที่เราจะใช้มันเมื่อถึงคราวที่ต้องใช้ เอ้า ทีนี้ลองตามลมหายใจสั้นนะคะ สั้นหนักสักสามครั้ง สั้นหนัก (เสียงสูดลมหายใจเข้าออก) ตามเข้าพอได้ แต่ตามออกไม่ค่อยทัน ใช่ไหมคะ เพราะมันสั้นมาก เพราะฉะนั้นยิ่งต้องกำหนดสติให้มากขึ้น จดจ่อเมื่อมันสุดสายของลมหายใจ พอไหวไหมคะ ทีนี้สั้นเบา ลองสั้นเบาสักห้าครั้ง สั้นเบา ๆ ยากกว่าสั้นหนักไหมคะ ยากกว่าเพราะมันเบา โดยเฉพาะตามออก ส่วนสั้นกระชั้นถี่ไม่ต้องลองก็ได้ รู้อยู่แล้ว (เสียงลมหายใจสั้นกระชั้นถี่) แบบนี้สั้นกระชั้นถี่ แล้วมันก็เหน็ดเหนื่อย นี่เป็นขั้นที่สองของอานาปานสติในหมวดกาย คือขั้นที่หนึ่ง ตามลมหายใจยาว ขั้นที่สอง ตามลมหายใจสั้น พอไปถึงขั้นที่สาม ทั้งยาวทั้งสั้นมันสลับกันหมด ตอนนี้เพื่อที่จะดูว่าผู้ปฏิบัติเก่งแค่ไหนแล้วในการที่จะรู้จักลมหายใจ ถึงสามารถสลับกันได้ เดี๋ยวก็จะเป็นยาวสั้น เดี๋ยวก็สั้นถี่ เดี๋ยวก็ยาวลึก ยาวแรง สลับกันไปเรื่อย แล้วก็สามารถจะใช้มันได้ทันท่วงทีด้วย ฉะนั้นในขั้นที่สามนี่ ก็จะฝึกทั้งสั้นทั้งยาวสลับกันไปหมด เพราะฉะนั้นไปลองฝึกเองที่บ้านก็ได้นะคะ พอมาถึงขั้นที่สี่นี่แหละจะต้องควบคุมลมหายใจ และตอนนี้แหละค่ะเรียกว่าเฝ้าดูอย่างที่อาจารย์ถามเมื่อกี้ ขั้นที่สี่นี้ให้เฝ้าดูแล้ว ไม่ต้องตาม ถือว่ามีความชำนาญในการที่จะตาม แล้วก็มีสติอยู่กับตัวมากพอสมควร แล้วก็เพื่อที่จะให้จิตมีความสงบมากขึ้นด้วย ขั้นที่สี่นี้จึงให้เฝ้าดูอยู่ตรงช่องจมูก แต่จะมีจุดมุ่งหมายว่าเฝ้าดูเพื่ออะไร แต่ขั้นที่หนึ่ง สอง สาม ต้องการให้มีความชำนาญในการรู้จักลมหายใจ แล้วก็ต้องการให้สติติดต่อกัน ให้จิตเป็นสมาธิไม่ให้วอกแวก จึงให้วิ่งตามให้ตลอด เฉพาะขั้นที่หนึ่ง สอง สาม ที่ไปเป็นการบ้านนี่พอเข้าใจไหมคะหรือสงสัย คือวันอังคารที่จะถึงนี้ก็เป็นวันพระ เพราะฉะนั้นเราก็งด ก็มีเวลาอยู่บ้านอาทิตย์หนึ่งที่จะลองฝึกดูเป็นอย่างไร ฝึกขั้นที่หนึ่ง สอง สาม
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : (หัวเราะ) เพราะว่าเฝ้าดูใช่ไหมคะ นี่เห็นไหมเหมือนอย่างอาจารย์ปลูกต้นไม้
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ก็ไม่ผิดค่ะ แต่ว่า
ผู้ร่วมสนทนา: ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ไม่ใช่ค่ะ คือตอนนี้นี่เรากำลังจะฝึกอานาปานสติหมวดกาย เราก็ต้องไปตามลำดับขั้น เพราะถ้าหากว่าเรากระโดดข้ามขั้น ก็อาจจะขาดความชำนาญในการที่จะรู้จักลมหายใจทุกอย่างทุกชนิด และการที่จะหยิบใช้มันก็อาจจะไม่ทันท่วงที ประโยชน์คือตรงนี้แหละค่ะ พอคล่องแล้วเราก็ไปอยู่ขั้นที่สี่แล้วค่ะ ไปอยู่ขั้นที่สี่ แล้วจะกระโดดไปโหมดธรรมเลยก็ได้ ก็มีวิธีที่จะกระโดด เพราะว่าเราจะไปเอาทั้งสี่หมวดนี่ ผู้ปฏิบัติที่ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติจริง ๆ ก็อาจจะไม่มีความพากเพียรพอ มีวิธีกระโดด แต่ตอนนี้ยังไม่พูดเรื่องกระโดด เอาไปตามขั้นก่อน มีอีกไหมคะ มีคำถามอีกไหมคะ
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ก็นั่นน่ะสิคะ ก็ลองหายใจดูอย่างที่อาจารย์อธิบายเมื่อกี้ที่อธิบายถูกพูดถูก เพราะฉะนั้นอาจารย์ก็ลองหายใจอย่างที่อาจารย์พูด เอ้า ลองหายใจยาวธรรมดาก่อน สบายๆ คราวนี้ยาวแรง
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ค่ะ คือหมายถึงช่วงของระยะความยาวของลมหายใจจากนี้เข้าไป เพราะฉะนั้นเมื่อมันยาว มันก็ต้องเข้าไปจนกระทั่งถึงสุดท้ายนี่มันจะถึงสะดือสุดท้าย ทีนี้ถ้าหากว่ามันเพียงแค่แรงแต่มันไม่ลึก มันก็จะอยู่เหนือสะดือ ถ้าเป็นลมหายใจสบาย ๆ นี่แล้วแต่ละคน บางคนอาจจะสบายแค่ครึ่งอก บางคนอาจจะสบายใต้ครึ่งอก อะไรอย่างนี้ อันนี้แล้วแต่ แล้วก็เลือกเอาลมหายใจที่สบาย พยายามฝึกจนกระทั่งมันเป็นลมหายใจธรรมชาติของเรา เพื่อว่าเราจะได้มีกายเนื้อที่สบาย พร้อมกับใจก็สบายด้วย เพราะลมหายใจนี้มีประโยชน์ต่อใจ ก็คือทำใจให้สงบสบายได้ ซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยได้ใช้ ใช้แต่เพียงว่าเป็นเครื่องหายใจให้มีชีวิตอยู่ แต่ที่จริงใช้ถูกต้องแล้ว จะสามารถนำความสงบเย็นมาสู่ใจได้ มีอะไรไหมคะ มีคำถามไหมคะ
ผู้ร่วมสนทนา: ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : หนักอยู่ข้างเดียว ทำไม หายใจจมูกข้างเดียวหรือเปล่า
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : อ๋อ หมายความว่าตรงจมูกหรือเปล่า หรือว่าในข้างในอก
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : ที่หายใจอยู่ข้างเดียวนี่ มันไปอยู่ตรงด้านซ้ายหรือเปล่าคะ
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : อยู่ที่ปอด มันไม่น่าเป็นนะ ก็ทีนี้ลองนั่งตัวตรง นั่งตัวตรง แล้วก็ลองหายใจสบาย ๆ ธรรมชาติคนเดียว อาจจะรู้สึกว่ามันจะคล่องขึ้น ลมหายใจอาจจะไหลคล่องขึ้น
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : หนักข้างขวานี่เป็นเพราะหลานไปอยู่ใกล้ ๆ ตัวหรือเปล่า (หัวเราะ) เพราะว่าหลานไปพิงอยู่ข้างขวา แต่หลานนี่ดูเขาเก่งนะ บอกให้หลับตาหายใจ เขาก็นั่งหลับเชียว แต่ไม่รู้หายใจหรือเปล่า (หัวเราะ) แต่ว่านั่งสงบได้ดี เรียบร้อย เก่ง
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : อาจจะเป็นอย่างนั้น ต้องไปนั่งคนเดียว แล้วก็นั่งตัวตรงสบาย ๆ ทำใจให้สบาย ๆ อย่ากังวล นี่เรามานั่งหายใจด้วยกัน มันก็ต้องมีความกังวลบ้างล่ะ ไม่มากก็น้อย
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : แต่มันไม่เป็น มันไม่เป็น มีอะไรอีกไหมคะ มีคำถามไหมคะ
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : อ๋อ ที่พูดถึงเรื่องจิต หมวดที่สามใช่ไหม จิต คือที่เขาบอกว่าจิตปล่อยนะคะ เขาใช้คำว่าจิตปล่อย ก็หมายความว่าปล่อยสิ่งที่ผูกมัดรัดรึงทุกอย่าง แม้แต่ได้กำหนดเอาไว้ในตอนขั้นที่สาม คือหมายความว่าก่อนที่จะมาถึงจิตปล่อย เราบังคับให้จิตเป็นสมาธิใช่ไหมคะ แม้แต่การบังคับจิตให้เป็นสมาธิ เราก็ไม่เอา เราปล่อยหมดทุกอย่าง แต่ในความปล่อยนั้นน่ะ ความเป็นสมาธิน่ะมันมีอยู่ในตัว เพราะฝึกมาเยอะแล้วนี่ ฝึกมาตั้งหมวดหนึ่งก็สี่ขั้น หมวดสองสี่ขั้น เป็นแปดขั้น แล้วหมวดที่สามอีกสี่ขั้น สิบสองขั้น เรียกว่าฝึกพื้นนี่ ที่เราฝึกอย่างนี้นะคะมาตลอด เพราะฉะนั้นมันก็มีสมาธิซ่อนอยู่ในตัว ทีนี้พอถึงเวลาจิตปล่อย เพราะความที่มันมีสมาธิแล้ว มันจึงสามารถบังคับจิต นึกถึงจิตที่มันกำลังจะเอานั่น กำลังจะเอานี่ กำลังจะยึดนั่นยึดนี่นะคะ แต่เราบังคับ ไม่เอา ปล่อย วางหมดเลย ข้างในบอกปล่อย วางหมดเลย แล้วมันรู้สึกเป็นอิสระ และในขณะนั้นจะเบาสบาย เคยไหม เคยลองบ้างไหม ถ้าหากผู้ใดเคยลองนะ คุณก้อยเคยไหม
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน : เออ เคยบ่อยนะนั่นน่ะ เพราะฉะนั้นเข้าใจใช่ไหมที่พูดนี่ ถ้าหากว่าผู้ที่เคยนะ ให้อาจารย์ลอง ลองดู เวลาที่อะไรมะรุมมะตุ้มอยู่ในหัวหรืออยู่ในจิต ไม่เอา ปล่อยไปให้หมด ไม่เอา นี่พูดอย่างโลก ๆ นะ ขนาดพูดอย่างโลก ๆ นี่ ถ้าปล่อยไม่เอาสักอึดใจเดียว มันว่างอึดใจเดียวเหมือนกัน ถ้าปล่อยได้สักสองนาที มันก็ว่างสักสองนาที แล้วแต่เราจะปล่อยได้เท่าไหร่ ลองดูสิคะ แหม คำไม่เอานี่ ตัวเองชอบมากเลย ไม่เอา ไม่เอากับมัน ขอโทษนะฟังดูมันยาว แต่คือเราไม่เอากับมัน มันคืออะไร มันคือตัวยุ่งที่มันเป็นปัญหา ที่มาทำให้เราลำบาก ต้องมึนงง ต้องอะไรสารพัด ไม่เอากับมัน ไป ไปให้หมด ปล่อย ไม่เอา พอไม่เอาจริง ๆ เท่านั้นแหละ แล้วก็หายใจยาวลึก ไล่มันไปอีกสักหน่อย โอ้ มันเบาจริง ๆ ในชั่วขณะนั้นมันเบาจริง ๆ แล้วถ้าเราหมั่นทำบ่อย ๆ มันก็ต่อกัน ๆ มันก็จะยาวได้มากขึ้น จากสักหนึ่งนาที มันก็อาจจะเป็นสองนาที สามนาที ห้านาที แล้วถ้าหมั่นทำบ่อย ๆ มันก็จะเป็นนิสัยขึ้นมาทีละน้อย ๆ ลองดูเถอะ ลองดูแล้วจะรู้ความแตกต่าง ลองนึกจิตที่มันยึดเหนี่ยวเหนียวแน่น กับจิตที่มันปล่อย เหมือนกับมือนี้ เราไม่ยอม ไม่ยอมที่จะปล่อยที่เรากำ แต่มือนี้เราแบ เราปล่อยวาง อาจารย์เปรียบดูก็รู้ใช่ไหมคะ เรากำอย่างนี้ มันหนัก มันเจ็บ แล้วก็มันแน่น มันอึดอัด เอ มือนี้เป็นอิสระ อิสระไม่มีอะไร นี่เปรียบสภาพจิต แต่ถ้าเราปล่อยมันหมดทั้งสองมือ อิสระจริง ๆ ไม่มีอะไรมาข้องแวะเลย มีอะไรไหมคะ ลองดูนะคะ อันนี้ลองฝึกดูค่ะ ถ้าลองฝึกดูที่บ้านแล้วก็จะได้ประโยชน์ ถ้าต้องการเป็นผู้มีอิสระจะได้ประโยชน์ค่ะ
ผู้ร่วมสนทนา : ….
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ปล่อยวางกับตัดใจหรือคะ ถ้าจะว่าไปโดยผลนี่นะคะ มันก็เหมือนกัน แต่ทีนี้ตัดใจมันค่อนข้างจะเป็นทางโลก คือหมายความว่าเราตัดใจแต่เรายังอาลัยอาวรณ์อยู่ แต่เอาเหอะ ต้องตัดใจมัน ไม่ตัดใจมันจะไม่ไหว ก็ต้องตัดใจมัน แต่ถ้าหากว่าปล่อยวางนี่ เราปล่อยวางอย่างมีสติ สมาธิ มีปัญญา เราใช้ธรรมะ โดยเฉพาะก็ไตรลักษณ์ของพระพุทธเจ้าเข้ามาเป็นหลักในการพิจารณา โอ๊ย อะไรมันก็ไม่เที่ยง นี่ถ้าบอกว่าตัดใจ แล้วก็เอาธรรมะเข้ามาสอดเข้ามาเลย ว่าอะไรมันก็ไม่เที่ยง มันไม่มีอะไรคงที่สักอย่าง มันมาแล้วก็ไป มันเปลี่ยนไปแปรปรวนตลอดเวลา แล้วก็จะต้องตบท้ายด้วย จะไปเอาอะไรกับมัน เราตบท้าย จะไปเอาอะไรกับมัน มันก็ต้องเป็นอยู่อย่างนี้ เราจะยึดจะแบกจะอะไรไว้ เราก็ช่วยไม่ได้ เราจะไปเอาอะไรกับมัน เพราะฉะนั้นเราจะทำอย่างชนิดปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ เราก็ไม่ทิ้งนะคะ ไม่ทิ้ง ยังช่วยอยู่ยังอะไรอยู่ แต่ทำอย่างปล่อยวางไม่ดีหรือ เราจะได้ไม่หนัก แทนที่จะทำอย่างยึดแบกเอาไว้ เราก็หนัก นี่ค่ะมันก็เหมือนกัน ถ้าจะว่าไปก็เหมือนกัน นี่ค่ะที่เรามาศึกษาปฏิบัติธรรมก็เพื่อให้เรารู้จักตัดใจโดยไม่ทุกข์ ตัดใจโดยไม่ทุกข์ ถ้าตัดใจแล้วทุกข์ มันก็ตรมตรอม ตรมตรอมตลอดไปจนถึงสุดท้าย ดังนั้นมาหาธรรมะก็เพื่ออันนี้ เพื่อให้รู้วิธีที่ทำอย่างไรถึงจะปล่อยมัน แล้วเราก็เป็นอิสระเบาสบาย แล้วก็ยังสามารถทำหน้าที่ที่จะช่วยเหลือกันต่อไปอีกด้วย มีอะไรอีกไหมคะ ถ้าไม่มี ก็เป็นวันเสาร์หน้านะคะ แล้วก็ถ้ารู้สึกว่าสองครั้งมากไปเมื่อไหร่ ก็ลดได้เหลือครั้งเดียวนะคะ ไม่ขัดข้องเลย