แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ถ้าคิดว่าเรื่องของการปฏิบัติธรรมนี่ เราจะอาศัยอานาปานสตินี่เป็นแนวทางของการปฏิบัติ ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนกระทั่งถึงสุดท้าย สุดท้ายนี่คือหมายความว่าจนกระทั่งเราจะสามารถทำจิตของเราให้สงบ แจ่มใส แล้วก็เยือกเย็นได้ ซึ่งอันนี้ก็เป็นจุดประสงค์ของผู้ที่เข้ามาปฏิบัติธรรมทุกคน ถ้าอย่างนี้ละก็การที่จะต้องฟังเพื่อให้ติดต่อกันก็เป็นความจำเป็น เอาละ..ตกลงนั่งตามสบายทุกคนแล้วนะคะ ทีนี้ก็จะขอทวนนิดหน่อยว่า เมื่อคราวที่แล้วเราก็ได้พูดถึงหมวดที่หนึ่งพอสมควรนะคะ คือพูดซ้ำอีกครั้งหนึ่งเรื่องของหมวดที่หนึ่งนี่พอสมควร เพราะเหตุว่าเป็นหมวดที่เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติ ก็อยากจะขอย้ำว่า การปฏิบัติแบบอานาปานสตินั้นก็เริ่มต้นด้วยการรู้จักหมวดกาย ให้รู้ว่ากายนี่มีสองอย่าง คือกายเนื้อและกายลม เราจะรู้จักแต่กายเนื้อ คืออันนี้นะคะ แล้วก็กายลมนี่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก กายลมนั้นก็คือหมายถึงลมหายใจ ลมหายใจนี่ในทางการแพทย์จะถือว่าเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม อันนี้ก็ไม่ทราบนะคะ แต่ในทางธรรมนี่ ในทางธรรมะนี่ถือว่าครึ่งต่อครึ่ง เพราะว่าลมหายใจนี่เราไม่สามารถจะเห็นรูปร่างของมันได้ มันไม่มีรูปร่างแต่ทว่ามันมีความเคลื่อนไหวได้ มันจะเคลื่อนเข้าเคลื่อนออก เคลื่อนเข้าเคลื่อนออก แล้วเราก็สัมผัสกับอาการที่เคลื่อนได้ แล้วก็จะเคลื่อนหนักเคลื่อนเบาเพียงใดเราก็สามารถจะรู้ได้ ขึ้นอยู่กับวิธีของการหายใจ ท่านจึงถือว่ากายนั้นมีสองอย่างคือ กายเนื้อและกายลม ลมหายใจนั้นมีหน้าที่ที่ปรุงแต่งกายเนื้อ หรือเรียกชื่อในทางธรรมว่ากายสังขาร คำว่าสังขารนี่แปลว่าร่างกายก็ได้ ส่วนมากก็รู้จักในฐานะที่เป็นร่างกาย แต่ในที่นี้สังขารแปลว่าปรุงแต่ง คำว่าปรุงแต่งก็เหมือนอย่างแม่ครัวปรุงแต่งกับข้าวอยู่ในครัว นึกออกใช่ไหมคะ เรามี อะไรละ..ผัก เนื้อ ไก่ หอมกระเทียม เครื่องแกง อะไรต่ออะไรก็แล้วแต่ ก็มาผสมๆ กันเข้า ลงหม้อลงกระทะก็เป็นกับขึ้นมาอย่างหนึ่ง นั่นแม่ครัวก็ปรุงแต่ง แต่ปรุงแต่งออกมาเป็นวัตถุ แต่ที่นี้สำหรับกายลมที่มันปรุงแต่งกายเนื้อนี่ ก็คือหมายความว่ามันอาจที่จะทำให้กายเนื้อนี่มีความสบายก็ได้ ไม่สบายก็ได้ นี่ถ้าหากว่าสังเกตนะคะ ถ้าไม่สังเกตก็จะไม่รู้ว่าร่างกายของเรานี่ที่มันมีความสบาย เนื่องจากเพราะลมหายใจมันสบาย มันไม่ติดขัดไม่อึดอัด แล้วมันก็หายใจเป็นสายต่อเนื่องกันไปได้เรียบร้อยดี กายมันก็สบายผ่อนคลาย จะเคยสังเกตหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่ให้ลองดูนะคะ หรือบางทีเรารู้สึกว่า แหม..กายเรานี่เหมือนกับอึดอัดระส่ำระสาย นั่นก็เพราะลมหายใจมันไม่ต่อเนื่อง มันไม่ระบายออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ มันมีอะไรขลุกขลักๆ อยู่ มันก็เลยปรุงแต่งกาย ไม่ให้กายนั้นมีความสบายได้ อย่างนี้ละค่ะเราเรียกว่า..ลมหายใจ มีหน้าที่คือหมายความว่า กายลมมีหน้าที่ปรุงแต่งกายเนื้อ แล้วก็เรียกในทางธรรมว่ามันเป็นกายสังขาร
ทีนี้ก็มาพบในหนังสือ..เมื่อหมอเป็นมะเร็ง บางท่านอาจจะเคยอ่านแล้ว เขียนโดย..ธันยโสภาคย์ ก็คือ ม.ร.ว.ธันยโสภาคย์ นามสกุลก็..เกษมสันต์ แล้วก็เป็นหมอที่มีความชำนาญมาก มีประสบการณ์ในชีวิตมาก เป็นหมอที่เก่งมาก แล้วก็เป็นผู้ที่มีคุณธรรมมากด้วย ถ้าใครได้อ่านก็คงจะนึกได้ แล้วคุณหมอก็เกิดมาเป็นมะเร็ง ทั้งๆ ที่คุณหมอเป็นหมอผ่าตัดมะเร็งมา ๔๐ ปี ถือว่าเรียนมาทางศัลยกรรมในเรื่องมะเร็งโดยเฉพาะ แล้วก็ชำนาญมาก เคยผ่าตัดฝรั่งเมืองนอกมาก็เยอะ คนไทยนี่นับไม่ถ้วนเชียว แล้วก็ต่อมาคุณหมอก็มาตั้งภาคเวชปฏิบัติ คือหมายความว่าจะช่วยมีแพทย์ สร้างสรรค์แพทย์ที่จะไปช่วยในเรื่องของครอบครัว แล้วก็เมื่อเกษียณอายุก็เกิดเป็นมะเร็ง แล้วก็พอเป็นขึ้นมาคุณหมอก็อาจจะเรียกว่าประมาท ไม่สนใจว่าอาการที่มันเตือนนี่คืออาการของมะเร็ง ปวดท้องอย่างแรง ซึ่งหมอรู้นะ หมอต้องรู้ถ้าเป็นคนไข้มาหาหมอคงจะบอกว่านี่เป็นสัญญาณอะไร ต้องไปตรวจ แต่ตัวหมอเองหมอกลับนึกว่ามันคงจะไม่เป็นอะไร ก็ไปกินยาแก้ปวดท้องธรรมดา มันก็หายไป พอต่อมาอาการมันบอกชัดว่าตอนนี้อุจจาระก็ไม่ได้ แม้แต่ผายลมก็ไม่ออก ก็นี่ก้อนมะเร็งมันมาจุกแล้วที่ลำไส้ใหญ่ ก็ไปผ่าตัด พอหลังจากว่าผ่าตัดใหญ่ตั้ง ๖ ชั่วโมง ก็รู้แล้วว่าชีวิตต่อไปนี้มันจะไม่ยืนนาน คุณหมอก็ศึกษาทุกอย่างเลย แล้วก็รวมทั้งการศึกษาแบบแพทย์ผสมผสานด้วย ไม่เอาเฉพาะแพทย์แผนใหม่เท่านั้น ยอมรับเคมีอยู่เพียง ๕ เข็ม แล้วก็รู้สึกว่าไม่ไหวละ เพราะว่าสุขภาพนี่ตกต่ำมาก สมองตื้อ ไม่สบาย น้ำหนักลด เรียกว่าคุณภาพชีวิตไม่เหลือเลย ก็หยุดไม่ยอมรับ แล้วก็หันมารักษาตัวตามทางแพทย์ผสมผสาน แล้วก็เป็นผู้ที่สนใจศึกษาใฝ่รู้อย่างจริงจัง แล้วก็เป็นคนฉลาดมากเลย
ดิฉันอ่านหนังสือนี่มีความรู้กว้างขวางมากเลย อ่านแล้วไม่เบื่อเลย ก็มาพบตอนที่คุณหมอพูดถึงว่า ในเรื่องของการที่บริหารกาย คุณหมอทำอย่างหนึ่งคือ การฝึกการหายใจ หมายความว่าจะต้องพยายามหายใจ เพื่อที่จะให้ปอดนี่ไม่ให้มีลมหายใจค้างอยู่ เพราะถ้าหากว่าลมหายใจที่มันหายใจเข้าแล้วออกไม่หมดนี่ หากว่ามันค้างอยู่นานๆ นี่ มันจะค้างอยู่มากนะคะ มันจะเป็นที่ที่อาจจะทำให้ตัวมะเร็งเกาะได้ คุณหมอว่าอย่างนั้น ก็บอกว่าให้ลองคิดดูสิทำไมคนเรานี่เป็นมะเร็งที่นั่นที่นี่หลายแห่ง แต่หัวใจนี่ไม่ค่อยปรากฏว่าเป็นมะเร็ง คุณหมอก็พิจารณาว่า อ้อ..เพราะหัวใจนี่มันเต้นตุบๆๆๆ อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นมันก็ไม่มีโอกาสที่ให้มะเร็งนี่มันจะเกาะได้เพราะมะเร็งมันชอบเกาะอะไรที่นิ่งๆ ก็เปรียบเหมือนกับว่า หินที่มันถูกน้ำพัดอย่างแรงๆ อยู่ตลอดเวลานี่ตะไคร่จะไม่เกาะ แต่ถ้าหากว่ามันอยู่เฉยตะไคร่ก็จะเกาะเต็ม เพราะฉะนั้นคุณหมอก็มาพิจารณาเรื่องการหายใจว่า ถ้าหากว่าใครฝึกการหายใจให้ถูกต้อง หายใจให้เต็มที่ ให้ลึกให้เต็มปอด แล้วก็ปล่อยออกไปช้าๆ ให้หมดให้เกลี้ยงเท่าที่สามารถจะทำได้ แต่โดยธรรมชาติมันก็จะไม่เกลี้ยง มันจะมีเหลืออยู่สักหน่อยหนึ่ง แต่ส่วนที่เหลืออยู่หน่อยหนึ่งนี่ มันก็เป็นเครื่องแสดงว่ามันอาจจะเป็นโอกาส เป็นโอกาสที่มะเร็งอาจจะมาได้ แต่ถ้าว่าก็น้อย ถ้าหากว่าผู้ใดสามารถจะพยายามฝึกการหายใจให้ถูกต้อง แล้วคุณหมอก็บอกว่า ถ้าใครหายใจถูกต้องในตอนกลางวันอยู่ตลอดเวลานี่ แม้ตอนกลางคืนนอนนี่ ก็จะหายใจถูกต้องเหมือนกัน คือพออ่านมาถึงตอนนี้เลยมาตรงกันกับที่วิธีของอานาปานสติ..ใช่ไหมคะ? เพราะพระพุทธเจ้าท่านรับสั่งว่า กายลมนี่ปรุงแต่งกายเนื้อ แต่นี่การพูดของแพทย์แผนปัจจุบันเชียว ซึ่งมีความรู้ในทางการแพทย์อย่างดีพร้อมทุกอย่าง พูดอย่างนี้ก็มาตรงกันเลย อ้อ..นี่กายลมนี่ ปรุงแต่งกายเนื้อได้จริงๆ อย่างนี้นะ
แล้วก็เลยทำให้รู้สึกถึงความฉลาดล้ำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสสอนเรื่องนี้มานี่ ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว สมัยโน้นการแพทย์ก็ยังไม่ได้ก้าวหน้าอย่างในปัจจุบัน แต่ทำไมสิ่งที่ท่านพูด ท่านแนะนำ ท่านอธิบายจึงเป็นความจริง แล้วก็มาสอดคล้องกับสิ่งที่เป็นไปในเรื่องของทางการแพทย์นี่ได้ ฉะนั้น ที่เราพูดว่าในบทที่ ๑ นี่ ที่เรียกว่า กายานุปัสสนานี่ ก็คือการจะต้องพิจารณาในเรื่องของกาย ด้วยการเน้นให้รู้จักกายลม ให้ชัดเจนแจ่มแจ้งว่ากายลมคือลมหายใจนั้นนะมีกี่อย่าง ก็อย่างที่พูดกันอย่างสั้นๆ หายใจเข้า หายใจออก หายใจยาว หายใจสั้น แต่แค่นั้นไม่พอถ้ารู้จักเพียงแค่นั้นหยาบมาก การที่จะมาศึกษาในเรื่องของลมหายใจ ต้องศึกษาให้ละเอียด ให้มากยิ่งกว่านั้น ต้องศึกษาให้ชัดเจน นั่นก็คือเราจึงแบ่งออกเป็นว่า ขั้นที่ ๑ ฝึกตามลมหายใจยาว แล้วก็ยาวหลายๆ อย่าง นี่เราพูดไปแล้วนะคะ นี่ก็พูดทวนซ้ำอย่างสั้นๆ ว่ายาวลึก ยาวหนัก ยาวแรง ยาวเบา ยาวธรรมชาติ นี่ต้องลองหายใจดูเองแล้วจะเห็นเองว่าลมหายใจแต่ละอย่างนี่ปรุงแต่งกายอย่างไร เชื่อว่าผู้ที่ได้ฟังแล้วเมื่อคราวก่อนหวังว่าจะได้ไปทดลอง ไม่ทราบว่ามีกี่คนที่ไปทดลองแล้ว ถ้าลองไปทดลองที่บ้านในระหว่างอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็จะรู้ว่าที่พูดนี่เป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็จะตามแต่ลมหายใจยาวตลอดเวลา ตาม..คำว่า..ตาม ก็คือว่า..ตั้งท่ารับ ก็คือเอาสตินี่จ่ออยู่ที่ช่องจมูก พอลมหายใจเข้ามันจะมีการเคลื่อนไหว เราก็ตามลมหายใจเข้า ตามความเคลื่อนไหวของมันไปจนกระทั่งมันสุดลมหายใจ แล้วก็อาจจะอึดไว้นิดหนึ่งเพื่อจะคอยตามมันออก ส่งมันจนออกไปพ้นจมูก นี่คือเรียกว่าวิธีตามลมหายใจ ตามเข้าตามออก ถ้าหากว่าผู้ใดสามารถตามได้ตลอดเวลา จิตไม่ไปไหน จิตจะอยู่กับลมหายใจตลอด จิตไม่ไปไหนเลย แล้วจิตก็จะสงบ จะสงบนิ่ง แต่ที่จริงขั้นที่ ๑, ๒, ๓ เราไม่ได้ตั้งใจให้สงบ แต่ถ้าตามได้ก็สงบ
นอกจากจะสงบ เราจะสามารถรู้จักลักษณะอาการของลมหายใจชัดเจนขึ้น จุดประสงค์คือต้องการให้รู้จักลมหายใจ ลักษณะอาการของลมหายใจ แต่ละอย่างๆๆ ว่ามันปรุงแต่งกายอย่างไร
ทีนี้ขั้นที่ ๑ ตามลมหายใจยาว ก็เรียกว่าไม่มีงานมาก มีแต่งานเกี่ยวกับลมหายใจยาวอย่างเดียว
พอขั้นที่ ๒ ตามลมหายใจสั้น พอตามลมหายใจสั้น ก็มีสั้นหลายอย่างอยู่เหมือนกัน ก็ลองๆ ฝึกดูนะคะ สั้นธรรมดา สั้นถี่ สั้นเบา สั้นหนัก แล้วก็ดูว่าสั้นแต่ละอย่างนี่มันปรุงแต่งกายอย่างไร คำว่าปรุงแต่งกายคือกายสบายหรือไม่สบาย อย่างนี้เป็นต้นนะคะ
ทีนี้พอถึงขั้นที่ ๓ ไม่ต้องเลือกว่ายาวหรือสั้น ตามมันทั้งยาวและทั้งสั้น สลับกันไปเลย..ใช่ไหม ในขั้นที่ ๓ นี่เป็นขั้นที่บอกว่าผู้ปฏิบัติจะต้องทำงานหนักในขั้นที่ ๓ เพราะเป็นขั้นที่จะทดสอบว่ารู้จริงหรือเปล่า เกี่ยวกับลักษณะของลมหายใจแต่ละอย่างๆ ที่ว่าเป็นยาว ยาวอย่างไร ยาวอย่างไหน ปรุงแต่งกายอย่างไร แล้วก็สั้น สั้นอย่างไหน ปรุงแต่งกายอย่างไร สลับกันไปสั้นบ้างยาวบ้าง ยาวหนักบ้าง สั้นหนักบ้าง สลับกัน เพื่อจะดูว่าแม่นไหม เราแม่นไหมในการที่เราจะศึกษาลมหายใจ เราแม่นไหม? พอหายใจนี่บอกได้ทันทีเลย นี่สั้นหนัก..ปรุงแต่งกายอย่างนี้ ใช้ประโยชน์ได้ไหมนี่ที่เราศึกษาเพื่ออะไร เพื่อจะเลือกกว่าใช้ประโยชน์ได้หรือเปล่า นี่เอามาใช้ประโยชน์ทางกายได้เหมือนอย่างที่คุณหมอธันย์ฯ พูด นี่ถ้าหากว่าเราศึกษาจริง ฝึกใช้จริงในชีวิตประจำวันจะเป็นประโยชน์กับทางกายมาก ช่วยรักษาอะไร รักษาโรคที่น่าเกลียดที่สุดก็คือโรคของความเครียด นี่แหละจะรักษาได้ดีที่สุดเลยเรื่องของลมหายใจ ถ้ารู้จักหายใจให้ถูกต้อง รู้จักเลือกลมหายใจให้ถูกต้อง แล้วก็ใช้ให้เป็นประจำในชีวิต ถ้าเรารู้สึกว่าลมหายใจอันนี้ปรุงแต่งกายสบาย สงบ เย็น นิ่ง ปกติ รักษาลมหายใจอย่างนั้นเอาไว้ให้บ่อยๆ ฉะนั้นในขั้นที่ ๓ ท่านจึงเรียกว่าเป็นขั้นที่ทำการศึกษาเรื่องของลมหายใจอย่างถี่ถ้วน รอบด้าน ทั่วถึง จนกระทั่งแน่ใจว่าสามารถทำได้ ทำได้ก็คือรู้จักลมหายใจอย่างดี บอกได้เลยว่ากายลมอย่างนี้เป็นอย่างไร แล้วก็สามารถกำหนดได้ว่า ลมหายใจที่เราจะใช้เป็นลมหายใจประจำตัวปกตินี่คือลมหายใจอย่างไหน บอกตัวเองได้ แล้วก็เอามาใช้ได้ด้วย นี่เป็นงานของขั้นที่ ๓ นะคะ
หนึ่ง : ขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ ขั้นที่ ๓ ไม่ได้หวังให้ผู้ปฏิบัติสงบ เพราะสงบไม่ได้หรอก เพราะว่าต้องตามเข้าตามออก จดจ่อตลอดเวลา มีงานมากนะคะ ตั้งแต่ลมหายใจเข้าช่องจมูก ผ่านช่องคอ ช่องอก ช่องท้อง แล้วก็กลับออกไป นี่จะต้องตามเข้าตามออกอย่างนี้..งานมาก แต่ต้องทำ..เพื่ออะไร เพื่อทำความศึกษารู้จักมัน ถ้าไม่ทำอย่างนี้จะไม่รู้จักมัน เพราะฉะนั้นก็ถ้าหากว่าจิตจะไม่สงบ ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะไม่ได้ตั้งใจให้สงบ
ทีนี้พอรู้ทั่วถึงแล้ว มาถึงขั้นที่ ๔ นี่แหละเป็นขั้นที่ว่า เอาละเรารู้จักหมดแล้วว่า ลมหายใจแต่ละอย่างๆ เป็นอย่างไร ปรุงแต่งกายอย่างไร เพราะฉะนั้นพอมาถึงขั้นที่ ๔ เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติจะต้องควบคุมลมหายใจทุกอย่างให้สงบรำงับ คำว่าสงบรำงับก็คือว่าให้มันนิ่งนั่นเอง ให้มันนิ่ง ไม่ให้เป็นลมหายใจที่ปรุงแต่งกายให้กระสับกระส่าย ไม่สบาย เพราะฉะนั้นก็ต้องเลือกเอาว่าเมื่อเราจะทำลมหายใจ ควบคุมลมหายใจให้สงบรำงับ เราก็จะต้องควบคุมลมหายใจที่หยาบ ลมหายใจที่หยาบเป็นอย่างไรก็เคยพูดแล้วนะคะ ก็คือลมหายใจที่แรงๆ นี่อย่างนี้ก็เป็นลมหายใจหยาบ หยาบเพราะว่า สบายนี่เราไม่สบายหรอกนะคะ แล้วก็สามารถจะสัมผัสมันได้อย่างชัด แต่ว่าตอนฝึกปฏิบัติแรกๆ ก็อาศัยลมหายใจหยาบ เพื่อจะได้ตามได้ง่ายๆ อาศัยมันเพราะมันตามง่าย แต่ว่าทีนี้พอเราจะควบคุมลมหายใจให้ละเอียดในขั้นที่ ๔ ให้สงบรำงับต้องค่อยๆ ควบคุมลมหายใจที่หยาบทั้งหลายนั้น ให้ละเอียดลงๆ พูดง่ายๆ ก็คือว่าคัดออกไปๆ ลมหายใจอันไหนที่หายใจแล้วไม่สบาย มันรู้สึกตื่นตัวมากเกินไป มันระส่ำระสายมากเกินไป มันหนัก มันเหนื่อย มันอึดอัด ไม่เอา คัดมันออกไปๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจที่หยาบนั้นให้เบาลงๆๆ จนกระทั่งเป็นลมหายใจที่ละเอียดแล้วก็สบาย แล้วทีนี้ก็อยู่กับลมหายใจที่ละเอียดนี้ โดยเปลี่ยนจากวิธีการตามมาเป็นวิธีการเฝ้าดูในขั้นที่ ๔ นะคะ
เอาสตินี่หรือความรู้สึกนี่มาจดจ่อที่ช่องจมูก โดยสังเกตว่าเวลาหายใจเข้า ลมหายใจที่เข้านี่กระทบตรงจุดไหน ที่แถวจมูกนี่ชัดที่สุด หรือว่าความรู้สึกของเรารู้สึกว่าพอลมหายใจเข้านี่มันสัมผัสตรงนี้ชัดเด่น เด่นมากกว่าตรงอื่นก็กำหนดจุดที่ชัดที่สุดนั่นนะ เจาะจงเอาไว้ตรงจุดนั้น คือเอาจิตนั่นนะคะหรือสตินี่จดจ่อ สมมติว่าตรงนี้คอยจ่อคอยรับ พอเข้าให้รู้ทันทีว่า อ้อ..เข้าแล้ว รู้ได้อย่างไร เพราะพอเข้ามันสัมผัส สัมผัสตรงจุดนี้แล้วมันก็ผ่าน ไม่ต้องตาม ปล่อยมันตามเรื่อง คอยระวังแต่ตอนที่มันออก มันออกมันจะผ่านช่องจมูก ต้องรู้อีกว่ามันสัมผัสตรงนี้ ถ้าไม่รู้ก็หมายความว่าหายใจอย่างไม่มีสตินั่นแหละ..จึงไม่รู้ ถ้ามีสติอยู่กำลังปฏิบัติสมาธิอยู่จะต้องรู้ทั้งเข้าและทั้งออก นี่ที่เราพูดกันถึงเรื่องหมวดที่ ๑ การทำการศึกษาให้รู้จักกายลมกายเนื้อ ให้รู้จักหน้าที่ของกายลมที่มันเป็นกายสังขารต่อกายเนื้อ จนผลที่สุดทำให้มันสงบรำงับ และในขั้นที่ ๔ นี่แหละค่ะเป็นขั้นที่จิตจะเป็นสมาธิได้อย่างดีที่สุด จะหนักแน่นลึกซึ้งแค่ไหนก็อยู่ที่ขั้นที่ ๔ ว่าเราจะสามารถควบคุมลมหายใจได้สงบนิ่งได้เพียงใด มีสงสัยไหมคะ สำหรับผู้ที่ฟังมาแล้วครั้งสองครั้งคงจะพอเข้าใจนะ ทีนี้ถ้าไม่สงสัย ทดลอง ๕ นาที ทำ ๕ นาทีนี่เริ่มต้นตั้งแต่ขั้นที่ ๑ นะคะ บอกเวลาเอาไว้แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เร่ง การปฏิบัติธรรมเร่งไม่ได้ เพราะฉะนั้นปฏิบัติขั้นที่ ๑ ตามลมหายใจยาวให้ทั่วถึงอย่างสบายๆ ไม่ต้องรีบร้อน พอรู้สึกพอใจขั้นที่ ๑ ต่อไปขั้นที่ ๒ ตามลมหายใจสั้น แล้วก็ต่อไปขั้นที่ ๓ ทั้งยาวทั้งสั้นสลับกัน แต่ว่าอย่าชุลมุนสับสน ให้มั่นใจว่าลมหายใจที่กำลังหายใจอันนี้คืออะไร มันเป็นกายลมอย่างไหน ปรุงแต่งกายเนื้ออย่างไร จนพอใจแล้ว ทีนี้ก็ขึ้นไปขั้นที่ ๔ เฝ้าดูตรงจุดช่องจมูกพร้อมๆ กับควบคุมลมหายใจหยาบให้ละเอียดเข้าๆๆ จนรู้สึกเบาสบาย จิตสงบ เป็นสมาธิ นี่เป็นงานของหมวดที่ ๑ นะคะ ลงมือได้..ตามสบาย นั่งตัวตรง การที่จะใช้ลมหายใจเป็นเครื่องกำหนดควรนั่งตัวตรง ถ้ารู้สึกว่าพร้อมตามันหลับเอง แต่เพียงให้รู้วิธี มีสงสัยไหมในวิธีที่ปฏิบัติ..มีไหมคะ
เราต้องจดจ่ออยู่ตรงจุดนี้ค่ะ..ตลอด พอเข้าคือหมายความว่าเมื่อมาอยู่ในขั้นที่ ๔ นี่นะคะ ให้เอาสติหรือจิตนี่แหละเฝ้าจดจ่ออยู่ตรงจุดที่เราเห็นว่าลมหายใจสัมผัสชัดที่สุดตลอดเวลา เพื่อว่าพอมันเข้าแล้วมันก็จะออก ก็ต้องรู้ตอนที่มันสัมผัสออกด้วย ต้องรู้ทั้งเข้าและทั้งออก ถ้าไม่รู้ทั้งเข้าและทั้งออกนี่ มันพรึบเข้าพรึบออกไม่รู้ตัว แล้วเราก็เลยเป็นไม่มีสมาธิ อย่างที่เราหายใจอยู่ธรรมดาแต่เราคิดว่าเรารู้ มนุษย์ทั้งหลายนะคะมักจะคิดว่ารู้ แต่ความจริงไม่รู้ พิสูจน์ได้อย่างไร ก็พิสูจน์ได้ว่า..เพราะว่าเรามักจะทำอะไรโดยขาดสติแล้วก็เสียใจทีหลังบ่อยๆ นั่นแหละเพราะเราไม่รู้ และสตินี่มีความสำคัญอย่างไรก็คงทราบ อย่างที่คุณหมอเล่าไว้นี่น่าขัน คือท่านก็ยกตัวอย่างต่างๆ แล้วท่านก็พูดถึงว่า เหมือนอย่างพูดถึงคนที่ท่านพูดถึงลมหายใจประกอบด้วย ก็เพราะว่าไม่ได้ฝึกอยู่เสมอก็ไปเล่นไพ่ญาติมิตรกันนะคะ แต่ไม่ได้ขออนุญาตให้ถูกต้อง วันหนึ่งตำรวจก็ตามไป..ไปจับ ก็วิ่งหนีกันให้จ้าละหวั่นเลย ผู้หญิงคนหนึ่งก็เข้าไปหลบอยู่ในส้วม ตำรวจเขาก็ไปเคาะประตูส้วม..เคาะประตูส้วม..พอประตูส้วมเปิดออกมา ผู้หญิงคนนั้นก็ แหม..ตัวสั่นพับๆๆๆ ตำรวจก็ถามว่า เป็นอะไรครับ ก็อาจจะเห็นตัวสั่น ถาม..เป็นอะไรครับ ก็ผลีผลามตอบ..เป็นเจ้ามือค่ะ เขาก็เลยเชิญไปโรงพักเลย นี่แสดงถึง..ว่าการฝึกลมหายใจนี่มีประโยชน์อย่างไร ถ้าหากว่าเราฝึกอยู่เสมอ..ในขณะนั้นเราคงพอมีสตินะ นี่อุตส่าห์ไปแอบอยู่ในส้วม แล้วก็เลยรับสารภาพอยู่ตรงนั้นเอง ฉะนั้นพูดอย่างนี้อาจารย์เข้าใจยังคะ เรื่องเฝ้าอยู่ตรงนี้นะค่ะ พูดง่ายๆ ตอนแรกก็คือตาม ตามนี่ก็หมายความว่า การตามลมก็คือเราเฝ้าเหมือนกัน เฝ้ารับมัน พอรับมันแล้ว พอมันเข้า ทีนี้ก็ตามความเคลื่อนไหวของมันไปเรื่อย เพราะลมหายใจมันมีความเคลื่อนไหวใช่ไหมคะ เราไม่เห็นตัว ในขณะที่มันเข้าไปข้างในนี่..ใช่เปล่าคะ..สังเกตไหม เพราะมันเคลื่อนไหวนะคะ ถ้าหากว่าสังเกตไม่ค่อยได้ หายใจให้แรงเลย ให้แรง ให้ลึก เพื่อจะเอาความเคลื่อนไหวให้หนักให้ชัดขึ้น ยังไม่หายใจเบา นี่เราก็จะตามมันไปเรื่อยอย่างนี้ ทีนี้พอมันสุดสาย สุดสายคือแล้วแต่ว่าใครหายใจสั้นยาวแค่ไหนโดยธรรมชาติ พอมันสุดลมหายใจนี่บางคนอาจจะแค่นี้ๆ บางคนอาจจะถึงสะดือก็แล้วแต่
ทีนี้พอตอนที่มันสุดนี่ ถ้าไม่ฝึกไว้เสมอ..รู้ไม่ทัน รู้ไม่ทันนี่ลมหายใจจะสุดแล้วนะ ปล่อยให้มันสุดไปแล้ว มันพรุดออก เอ..มันออกเมื่อไหร่..ไม่รู้ตัว มันออกเมื่อไหร่ แล้วก็มักจะมาบอกว่าลมหายใจออกนี่มันสั้นกว่าลมหายใจเข้า..ใช่ไหมคะ ก็เพราะเราไม่ได้ตามอย่างไรคะ ไม่ได้ตามตลอดระยะเลย ไม่เว้นเลยค่ะ ต้องตามตลอดระยะ พอมันสุดสายอย่างที่บอกว่าตัวเองใช้เคล็ดด้วย เพราะว่าถ้าเราตามอยู่เราจะมีสติ เราจะรู้ว่าเอาละมันจะสุดแล้วนะ สุดลมแล้วนะ เราก็จะอึด อึดนี่มัน..หนึ่งเสี้ยวของวินาทีเท่าไหร่ คือมันนิดเดียวนะคะ พอรู้ว่านี่มันสุด..แล้วก็จดจ่อไป..ตามมันออก..อย่างนี้ละค่ะ เราจะได้ระยะที่เท่ากัน สมมติว่ามันเข้าสักคืบหนึ่ง ออกมันก็ต้องคืบหนึ่ง เข้าสองคืบมันก็ต้องออกสองคืบ อย่างนี้ค่ะ นี่คือการตามลม ตามตลอดอย่างนี้ ในขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ ขั้นที่ ๓ เพื่อให้รู้ลักษณะของลมหายใจแต่ละอย่าง ว่ามันคืออย่างไร ปรุงแต่งกายอย่างไร แล้วก็มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์อย่างไร นี่คือจุดสำคัญนะคะ จุดสำคัญของบทที่ ๑ ให้รู้ว่าลมหายใจแต่ละอย่างนี่ มันมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์อย่างไร เมื่อไหร่จะใช้มัน เมื่อไหร่จะไม่ใช้มัน แล้วจะรู้มันทันท่วงที เพราะลมหายใจอย่างนี้เริ่มหายใจเข้า ไม่เอาแล้ว ลมหายใจอย่างนี้ไม่เอาแล้ว มันทำให้เหนื่อย แล้วมันต้องเป็นสัญญาณว่ามีอะไรผิดปกติ เช่น ตกอกตกใจ หรือกำลังจะไม่สบาย หรืออะไรอย่างนี้เป็นต้น นี่มันเป็นสัญญาณบอก ลมหายใจแต่ละอย่างนี่มันจะมีสัญญาณ มีลักษณะของมัน
ฉะนั้น การที่เราศึกษาเพื่อรู้จักอันนี้ แล้วก็หยิบประโยชน์มาใช้ นี่เป็นประโยชน์ที่ธรรมชาติจัดเอาไว้ แต่เราต้องรู้จักเลือกใช้ แล้วถ้าหากว่าผู้ใดรู้จักเลือกใช้นี่ ลมหายใจจะไม่ช่วยเพียงให้มีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่นี่ถ้าจะว่าไปไม่มีความหมายเท่าไหร่หรอก ถ้าอยู่อย่างไร้คุณภาพ แต่ถ้าหากว่าเราอยู่อย่างมีคุณภาพ ก็อาศัยการปรับลมหายใจ จนกระทั่งเรารู้ว่าอย่างนี้ใช้ได้ แล้วก็เกิดประโยชน์ แล้วเราก็จะใช้มันตลอดไป และเป็นการป้องกันโรคด้วย โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี่มันจะช่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือโรคเครียด พอเริ่มจะรู้สึกเครียด มันเหมือนกับมีพายุกำลังเริ่มจะเกิดขึ้นแล้วนะ..ข้างในนี่ ยืดตัวตรง หายใจยาวเอาไว้ก่อน เอาแรงไว้ก่อน จริงหรือเปล่าคะ นี่เป็นธรรมชาติใช่ไหม ถึงแม้ไม่ได้มาเรียนอานาปานสติ บางครั้งเราก็ทำอย่างนี้ มันเป็นธรรมชาติ สัญชาตญาณมันสอนเอง แต่ถ้าเรามาเรียนเข้ามาเรียนรู้เข้า เราก็จะรู้วิธีการละเอียดขึ้น แล้วก็ฝึกปฏิบัติจนกระทั่งเลือกใช้ประโยชน์มันได้ แต่ถ้าหากว่าเราไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ฝึก มันก็ตามบุญตามกรรม แล้วแต่เผอิญมันจะได้หรือไม่ได้ แต่ถ้าเราฝึกจะไม่พลาด การพลาดจะมีน้อย พูดอย่างนี้เข้าใจใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นอันนี้หมวดที่ ๑ นี่ จึงเป็นหมวดที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก ถ้าหากว่าหมวดที่ ๑ กระพร่องกระแพร่ง ทำบ้างไม่ทำบ้าง รู้บ้างไม่รู้บ้าง พอไปหมวดเวทนา หมวดจิต หมวดธรรม หมวดที่ ๒, ๓, ๔ พื้นฐานอ่อนก็เหมือนเด็กนักเรียนอ่อนนะ เพราะฉะนั้นมันก็ทำอะไรไม่ค่อยจะได้จริงๆ ไม่ได้ดีจริงๆ ฉะนั้นหมวดที่ ๑ นี่ท่านจึงบอกฝึกไปเถอะ ถ้าใครจะเอาจริงนะ ฝึกไปเถอะเป็นปี มันก็ไม่เห็นยาก ก็นั่งหายใจเล่นไป ลมหายใจก็อยู่กับเรา ก็หายใจเล่นไป จะทำอะไร จะกิน จะนอน จะทำงาน หรือจะเดินเหินอะไรก็ลองมันไป เล่นไป อยู่กับตัวเรา มันน่าจะสนุกดีนะ ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง แต่ไม่ค่อยมีใครชอบเล่น มีสงสัยอะไรอีกไหมคะ..เกี่ยวกับบทที่ ๑
ลมหายใจสั้น..ก็ไม่คงไม่ต้องอึดนะ แต่ว่าอาจจะต้องอึดก็ได้ เพราะว่ามันจะเข้าออกเร็วนะคะ แล้วแต่ว่าเราสามารถจะตามมันได้ไหม ถ้าเราตามได้เราก็ไม่ต้องอึด เพราะลมหายใจสั้นนี่จะสั้น สั้นกว่าธรรมดา แต่ก็แล้วแต่ละคน บางคนสั้นปกติอาจจะอยู่เท่านี้ บางคนอาจจะแค่นี้ๆ การที่จะอึดหรือไม่อึดนี่ให้ขึ้นอยู่กับว่า เราสามารถตามมันจนสุดลมด้วยสติเองได้ไหม ถ้าเราทำได้ก็ไม่ต้องอึด ไม่ใช่กลั้นนะคะ อึดเพื่อรู้ พอมันสุดแล้ว แล้วก็ไปเลย อึดเพื่อรู้เท่านั้น มีอะไรอีกไหมคะ ถ้าไม่มีก็ขอร้องนะคะว่า..ฝึกมันไปเถอะ ทุกวันทุกเวลานะ ขั้นที่ ๑, ๒, ๓ นี่ฝึกไปเถอะ แล้วพอมาถึงขั้นที่ ๔ ทำไม่ยาก เราจะรู้จักควบคุมลมหายใจหยาบให้ละเอียดได้โดยไม่ยาก แล้วถ้าหากว่าใครฝึกมาถึงขั้นที่ ๔ นี่ ชำนาญควบคุมลมหายใจได้ละเอียด จนกระทั่งสงบรำงับ จนกระทั่งเป็นสมาธิ ตอนนี้จะเอาสมาธิขนาดไหน ถ้าสมาธิเบื้องต้นที่ท่านเรียกว่า บริกรรมสมาธิหรือขณิกสมาธิ เคยได้ยินใช่ไหมคะ ก็คือสมาธิที่วับๆ แวมๆ ได้เดี๋ยวๆ ไปแล้ว เดี๋ยวกลับมา มาแล้วก็กลับมาใหม่แล้วก็ไปแล้ว แต่ว่าใช้ประโยชน์อะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้นั่นนะ เพราะฉะนั้นแต่ถ้าเราหมั่นทำให้ขณิกสมาธิหรือบริกรรมสมาธิเกิดบ่อยๆ ใช่ไหมคะ ต่อกันๆ จนกระทั่งมันยาวเข้าๆ มันก็จะไปเป็นสมาธิระยะที่ ๒ ที่ท่านเรียกว่า อุปจารสมาธิ ชื่อนี่นะบอกให้เฉยๆ จำก็ได้ไม่จำก็ได้ ถ้ารู้สึกขี้เกียจก็ไม่ต้องจำนะ อุปจารสมาธิก็คือ เป็นสมาธิระยะที่ท่านบอกว่าใช้ทำการงาน เพราะเหตุว่ามันจะมีความหนักแน่นมั่นคงที่จะใช้พิจารณาธรรม อะไรต่ออะไรได้พอสมควรทีเดียว แล้วก็จากนั้นถ้าหากว่าผู้ใดพิจารณาธรรมจนกระทั่งเหนื่อย อย่างเราคงไม่ทันเหนื่อยหรอกนะคะ แต่นี่พูดถึงท่านที่ปฏิบัตินานๆ ท่านพิจารณาธรรม ทำวิปัสสนาไปเป็นชั่วโมงๆๆ เป็นนานๆ ท่านก็อาจจะพัก เรียกว่าพักจิต เหมือนกับเราทำงานเหนื่อย ขุดดินฟันหญ้าเหนื่อย เราก็พัก เข้าร่มนอนหลับเสียบ้างอะไรนี้ ท่านก็จะเหนื่อย พอเหนื่อยท่านก็จะปล่อยจิตให้เข้าสมาธิลึกไปอีก ท่านเรียกว่า อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิเป็นสมาธิลึกที่สุด แต่ไม่ใช่สมาธิสำหรับการทำการงาน เป็นสมาธิสำหรับพัก เหมือนกับพักจิต พักจิตที่ทำงานมามาก คือทำงานในการปฏิบัติธรรม ทำมามาก แล้วก็พอท่านพักพอเมื่อไหร่..ท่านก็ออก นี่พูดถึงท่านผู้ชำนาญนะคะ อย่างเราก็เอาเริ่มขณิกะให้มันได้สม่ำเสมอก่อน ก็นับว่าดีพอสมควร แล้วก็พยายามต่อให้มันนานเข้าๆ ข้อสำคัญ..อย่าหวัง นี่สำคัญมากนะคะ
คนที่ปฏิบัติสมาธิแล้วไม่ตลอดรอดฝั่ง..เพราะอะไร เพราะเริ่มต้นด้วยความหวัง พอนั่งสมาธิ ฉันต้องสงบ ฉันต้องเป็นสมาธิ ฉันต้องทำได้ แล้วฉันก็ทำไม่ได้ แล้วฉันก็โกรธตัวเองหัวฟัดหัวเหวี่ยง หนักเข้าก็หมดศรัทธา ถอยหลังออกไป แต่นั่นเพราะอะไร เพราะเราทำไม่ถูกต้อง เมื่อเริ่มต้นสิ่งใดด้วยความหวัง นั่นมีอะไรซ่อนอยู่สังเกตไหมคะ อะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังความหวัง ความอยาก ตัณหา อยากสงบ มาทำสมาธิก็อยากมีสมาธิ เพราะฉะนั้นตัณหาความอยากนี่มันเข้าไปแทรกเมื่อไหร่ ไม่มีเสียละที่จะให้ใครสำเร็จ หรือสบาย หรือได้ผล..ไม่มี มันมีแต่ทำลาย มันเป็นอุปสรรค แม้แต่อยากทำสมาธิ ซึ่งก็เป็นความอยากที่ดีนะคะ แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ มันทำให้จิตระส่ำระสาย..ใช่ไหมคะ เมื่อไหร่จะได้ๆ ในขณะที่นั่งสมาธิ แล้วก็อดไม่ได้หันไปมองคนนั้นคนนี้ ทำไมเขาทำได้ แล้วก็ทำไมเราทำไม่ได้ มาโกรธเคืองตัวเอง.อาภัพวาสนา อะไรต่อไปอีก เพราะฉะนั้น..อย่าอยาก อย่าหวัง แต่เราต้องรู้ รู้วิธีที่ทำ อย่างนี้..ปฏิบัติอย่างนี้เป็นทางที่ถูกต้อง ทำตามนี้ไปเท่านั้นเองด้วยใจสบายๆ ไม่ต้องหวัง ไม่ต้องอยาก แล้วผลมันจะเกิดขึ้นเอง มีสงสัยอีกไหมคะ..ในบทที่ ๑ .................. ก็ลองต่อไปสิ ก็ลองทำต่อไป ถ้าหากว่าทำได้ขนาดนี้ ก็เรียกว่าเรามาถูกทาง แต่ทีนี้มันเพิ่งเริ่มต้น เหมือนอย่างเราปลูกต้นไม้ใช่ไหมคะ พอเราปลูกลงไปจะให้มันลงรากลึกทันที มันก็ยังเป็นไม่ได้ ต้องให้เวลา แต่เมื่อเราตั้งใจจะทำอะไร จะฝึกสมาธิก็ฝึกสมาธิ อย่าไปเอาพ่วงกับการอ่านหนังสือ พูดง่ายๆ ว่าถ้าเราจะฝึกเรื่องหมวดที่ ๑ นี่ให้ชำนาญในเรื่องของลมหายใจ ก็เอาให้มันชัดเจนไป มิฉะนั้นมันจะเป็นทำสองอย่าง..สองฝักสองฝ่าย
เราก็ให้เวลาตัวเอง เอาละสัก ๑๐ นาที ฉันจะฝึกหมวดที่ ๑ นี่สัก ๑๐ นาทีหรือ ๑๕ นาที แล้วก็ทำแต่อันนี้อย่างเดียวไม่ทำอย่างอื่น แล้วจิตเราก็จะสงบเป็นสมาธิ แล้วตอนนั้นแหละ ถ้าเราจะทำงานอะไร จะอ่านหนังสือ จะเขียนหนังสือ จิตมันก็เป็นสมาธิ มันก็จะดีขึ้น เรียกว่าทำทีละอย่าง จนถ้าหากว่าผู้ที่จิตเป็นสมาธิแล้ว อยู่ตัวแล้วนั่นแหละ ก็จะทำอะไรมันก็จะทำได้มากกว่าหนึ่งอย่าง แต่ทีนี้ถ้าใหม่ๆ ก็อย่าเพิ่งผสม เอาแต่อย่างเดียวก่อน มีอีกไหมคะ มีคำถามไหมคะ ได้ทั้งสองอย่างค่ะ..ได้ทั้งสองอย่าง เหมือนอย่างเช่นเรากำลังทำอย่างอื่นนี่ อย่างเรานั่งฟังคนป่วยพูดอะไรให้ฟังนี่นะคะ แล้วก็อยู่กับลมหายใจของเราไปได้ไม่เป็นไร แต่ทีนี้ถ้าพูดถึงว่าพอเราจะทำให้ครบ ๔ ขั้นของหนึ่งหมวด ขั้นที่ ๔ นี่มันจะต้องควบคุมลมหายใจให้สงบรำงับใช่ไหมคะ มันเป็นการที่ต้องจดจ่อ..จดจ่ออย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นถ้าจะทำเล่นๆ เฉยๆ ก็สำหรับผู้ปฏิบัติใหม่อาจจะยาก เพราะฉะนั้นก็ควรจะให้เวลาตัวเอง ๑๐ นาที ๑๕ นาทีต่อวัน แล้วก็จนกระทั่งชำนาญ แล้วทีนี้มันจะทำได้เอง จะรู้เองนะคะ รู้กำลังตัวเอง ได้ค่ะ..ทุกเวลาเลยค่ะ เหมือนอย่างเวลาเราฟังใครเขาพูดแล้ว..เบื่อฟัง..เมื่อไหร่เขาจะหยุด นั่นแหละ..อยู่กับลมหายใจของเราสนุก แล้วหน้าเราก็จะยิ้มได้เรื่อย เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเราเบื่อแค่ไหนถึงไหน เพราะฉะนั้นมันใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เพราะว่าในขณะที่เราใช้ลมหายใจสะกดกลั้นไปนี่ มันก็ช่วยเรา..เป็นการระบาย แต่ไม่ใช่ไประบายปรุงแต่งกายอย่างเดียว แต่มันจะทำให้เรามีความชำนาญในการปฏิบัติเรื่องลมหายใจมากขึ้นด้วย มีอะไรอีกไหมคะ? ถ้าไม่มีนะคะ ก็สมมติว่าทุกท่านนี่มีความชำนาญแล้วในหมวดที่ ๑ พอสมควร เรียกว่าสามารถควบคุมลมหายใจให้สงบรำงับได้ในขั้นที่ ๔ เราก็จะต่อไป..
หมวดที่ ๒ คือเวทนานุปัสสนา ก็หมายความว่าเป็นการพิจารณาในเรื่องของเวทนา เวทนาก็คือความรู้สึก และอ่านว่า..เว-ทะ-นา..นะคะ ไม่ใช่..เวด-ทะ-นา นะ เวทนานี่เป็นคำภาษาไทยแปลว่าสงสารหรือสมเพชก็ตามเถอะ แต่ว่าเวทนานี่เป็นคำบาลีหมายถึง ในเรื่องของความรู้สึกในเรื่องของอารมณ์ ทีนี้เริ่มต้นด้วยหมวดกาย กายเนื้อ แล้วก็กายลม ก็หมายความว่าการปฏิบัตินี่ท่านก็จัดเอาไว้เป็นลำดับของความยากง่ายไปในตัว เพราะเรื่องของกายนี่เป็นเรื่องของวัตถุใช่ไหมคะ มันจับต้องได้ก็เรียกว่าเป็นเรื่องหยาบ หยาบมากกว่า แต่ทีนี้ส่วนที่เราจะต้องทำส่วนที่หยาบนี่ให้มันละเอียด ก็เพื่อเป็นพื้นฐานที่จะไปพิจารณาในส่วนที่ละเอียดยิ่งขึ้น ในเรื่องของเวทนานี้ก็ถึงแม้จะมองไม่เห็น เวทนาความรู้สึกนะก็มองไม่เห็น แต่ทว่าเรารู้สึกได้คือเรารู้สึกได้ว่า เรารู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้สึกชอบไม่ชอบ พอใจไม่พอใจ ร้อนหนาว อย่างที่ท่านว่ามีทั้งสุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา แล้วได้เคยสังเกตไหมว่าเวทนานี้มีความสำคัญต่อชีวิตของมนุษย์อย่างไร เคยสังเกตไหมคะ ท่านผู้ใดไม่เคยรู้จักเวทนาเลยบ้าง ไม่เคยกระทบต่อเวทนาเลย..มีไหมคะ? ไม่มี แล้วเคยรู้สึกไหมว่าชีวิตแต่ละวันๆ ของเรานี่เป็นทาสของเวทนาแท้ๆ เลย ถ้าหากใครหนาวจะปิดพัดลมก็แล้วแต่นะคะ เพราะฉะนั้นก็จะรู้สึกว่าพอเวทนาเข้ามานี่ ความรู้สึกหรืออารมณ์เข้ามากระทบนี่เป็นอย่างไร จิตปั่นป่วน ความปั่นป่วนของชีวิตมนุษย์นี่เกิดจากอะไร เกิดจากเวทนานั่นเอง วันหนึ่งๆ ถ้าไม่มีเวทนารู้สึกวันนั้นเป็นอย่างไร สงบ แจ่มใส เป็นวันที่พระอาทิตย์พระจันทร์สว่างไสวไปหมด ผู้คนก็ดูยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นสุขไปหมด เพราะจิตมันไม่ตกเป็นธาตุของเวทนา เพราะฉะนั้นท่านผู้รู้ท่านจึงบอกว่าเวทนานี่เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลมาก ต่อเป็นของมนุษย์ ถ้ามนุษย์คนไหนสามารถควบคุมเวทนาได้ มนุษย์คนนั้นนี่เหมือนกับ..เปรียบเหมือนกับมีความสามารถเหยียบโลกเอาไว้ใต้อุ้งเท้าของตัวฉัน จริงไหมคะ ที่ท่านว่าอย่างนี้..จริงไหม?
ก็จริงนะสิ เพราะว่าโลกนี่มันคืออะไรละคะ โลกนี่ก็คือความทุกข์นะ โลกที่เราอยู่นี่มันคือโลกของความทุกข์ เพราะมันประกอบด้วย โลภ โกรธ หลง อยู่ตลอดเวลา มันเป็นโลกของความทุกข์ ฉะนั้นการที่อยู่ด้วยเวทนานี่มันก็คือการที่ยอมตก ยอมปล่อยใจให้ตกเป็นทาสของความทุกข์ มันก็แสนจะลำบาก ไม่มีความสุขเลย ท่านจึงบอกว่าผู้ใดที่สามารถควบคุมเวทนาได้ ผู้นั้นเหมือนกับเป็นผู้ที่เหยียบโลกเอาไว้ใต้อุ้งเท้า ก็แน่นอนละ..โลกนั้นคงจะไม่ใช่ลูกกลมๆ นะ ไม่ใช่โลกที่เป็นลูกกลมๆ อย่างที่เขาบอก มันขรุขระข้างนอก ไม่ใช่โลกใบนี้ โลกใบนี้นี่มันคือวัตถุ แต่ก็หมายความถึงว่าเป็นผู้ชนะนั่นเอง เป็นผู้ชนะจิตใจทั้งหลายที่เข้ามารบกวน ผู้นั้นจึงเป็นผู้ที่ชนะเวทนา ฉะนั้นในการปฏิบัตินี่ท่านจึงถือว่าหน้าที่ของผู้ปฏิบัติก็คือ ต้องพยายามฝึกอบรมควบคุมเวทนาให้อยู่ในอำนาจของสติ สมาธิ ปัญญาให้ได้ เพราะการปฏิบัติสมาธิภาวนานั้นท่านบอกว่าไม่ใช่เพื่ออะไร แต่เพื่อกำจัดอภิชฌาและโทมนัส การปฏิบัติสติปัฏฐานนะ จะด้วยวิธีไหนก็ตามเพื่อกำจัดอภิชฌาและโทมนัส นี่ไปอ่านในที่ท่านสอนในเรื่องการทำสมาธิ แม้แต่ในพระไตรปิฎกท่านก็จะพูดเพื่อกำจัดอภิชฌาและโทมนัส อภิชฌาก็คือความพอใจ..ความโสมนัส โทมนัสก็คือความไม่พอใจ นี่ชีวิตของคน จิตใจของมนุษย์มันเวียนอยู่อย่างนี้ เวียนอยู่กับ..ชอบไม่ชอบๆๆ ใช่ไหมคะ ตลอดเวลา มันเวียนอยู่กับ..ชอบไม่ชอบ มันถูกเวียนอยู่ตลอดเวลา มันไม่เหนื่อยเหรอ มันก็ต้องเหนื่อยละ แล้วยิ่งแรงเหวี่ยงนั้นมันกระทบแรง มันก็ยิ่งเหนื่อยๆ มากขึ้น
อาจารย์ถูกลมฝนรึเปล่าคะ ถ้าถูกเชิญข้างใน ไม่ถูกเหรอคะ..เดี๋ยวจะเป็นหวัด เชิญตรงนั้นก็ได้ เพราะฉะนั้นอันนี้ท่านจึงบอกว่าเป็นสิ่งที่จะต้องศึกษาเรื่องของเวทนาให้ละเอียดลออนะคะ แต่เราจะไม่มีเวลาพูดละเอียดลออถึงเรื่องของเวทนาทั้งหมด แต่ว่าจะพูดตามแนวทางของการปฏิบัติในหมวดที่ ๒ คือหมวดเวทนานุปัสสนาเลยนะคะ ท่านก็บอกว่าเมื่อขั้นที่ ๔ ของหมวดที่หนึ่ง สามารถควบคุมจิตให้สงบรำงับได้แล้ว แน่นอนละถ้าใครไม่เคยทำได้เลยนี่ พอทำได้จะรู้สึกอย่างไร? ดีใจ..ใช่ไหม? ดีใจ..แหม..วันนี้เราทำได้นะ เราควบคุมลมหายใจให้สงบรำงับได้ เกิดความดีใจขึ้นมา ความดีใจอย่างนี้ในทางธรรมท่านเรียกว่าอะไร ปีติ..ใช่ไหม มีปีติ ป-สระอี-ต-สระอิ ไม่ใช่..ปิตินะ..ปีติ..มันเกิดปีติ เกิดความยินดี ปีตินี่จะอยู่ในเวทนาชนิดไหน..คะ สุขเวทนา คือมันเป็นความสุข แต่เหมือนกับความสุขไหม ปีติไม่เหมือนสุข ทั้งๆ ที่มันอยู่ในประเภทความสุข แต่ก็ไม่เหมือนกัน มันต่างกันอย่างไร นี่ละค่ะหน้าที่ของผู้ปฏิบัติ เช่นเดียวกับในหมวดที่ ๑ ต้องศึกษาลักษณะอาการของลมหายใจ ให้รู้ทุกอย่างทุกชนิด และควบคุมมันให้ได้ พอมาถึงหมวดเวทนา ก็เป็นหน้าที่จะต้องศึกษาให้รู้จักลักษณะอาการของเวทนาทุกอย่างทุกชนิด แล้วควบคุมมันให้ได้ ถ้าศึกษาไม่รู้จัก คือหมายความว่าถ้าไม่รู้จักตัวมัน ก็ยากแก่การควบคุม ใช่ไหมคะ เพราะไม่รู้ จะต้องทำการศึกษาอย่างละเอียด เหมือนอย่างที่ศึกษาหมวดที่ ๑ เหมือนกัน ทีนี้พอปีติเกิดขึ้น ปีติก็สุขไม่เหมือนกัน ก็ลองสมมตินึกถึงย้อนหลังสิ ใครเคยมีอาการปีติเกิดขึ้น คือมีความปีติเกิดขึ้น และปีตินั้นมันปรุงแต่งจิตของเราอย่างไร นี่นะคะหมวดที่ ๑ นี่ กายลมปรุงแต่งกายเนื้อ ทำให้กายเนื้อนี่มีความสุข มีความสงบ มีความสบาย เย็น ผ่อนคลาย หรือทำให้กายเนื้อระส่ำระสาย อึดอัด ก็ได้ทั้งสองอย่าง
ทีนี้พอมาถึงบทที่ ๒ เวทนา ท่านบอกว่าเป็นจิตตสังขาร จิตตสังขาร : สังขารก็คือปรุงแต่ง ปรุงแต่งจิตในขณะที่ลมหายใจปรุงแต่งกาย เวทนาปรุงแต่งจิต มันปรุงแต่งจิตอย่างไร ก็คือมันทำให้จิตนี่ขึ้นๆ ลงๆ ซัดส่าย ไม่ได้เป็นปกติ ไม่ได้นิ่งได้เลย ก็จึงเรียกว่ามันก็ปรุงแต่ง ทีนี้เราต้องการให้มันปรุงแต่งอย่างไร หรือไม่ให้มันปรุงแต่งเลย ก็เป็นหน้าที่ต้องศึกษา ทีนี้อาการของปีติ..ก็อยู่ในประเภทความสุข แต่มันไม่เหมือนกับสุข มันต่างกันอย่างไรเคยสังเกตไหมคะ ลองนึกดู อย่างนักศึกษานักเรียนนี่ไปดูผลสอบ เอ..นี่เราได้เท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปสอบเข้า เราไม่ได้นึกเลยว่าคือไม่แน่ใจนะว่าเราจะมีชื่อหรือเปล่า ติดอยู่กับเขาหรือเปล่า ในผู้ที่สอบ Entrance ได้นี่ มีชื่อเรา ไม่ใช่มีเฉยๆ นะ ชื่อนั้นไปอยู่ที่ ๑ เสียด้วย เป็นอย่างไร พอไปเห็นชื่อไปอยู่ที่ ๑ ปีติใช่ไหมคะ? ปีติ อาการปีติเป็นอย่างไรคะ ตื่นเต้นใช่ไหม ปีตินี่ให้สังเกตนะคะ นี่คือจะอธิบายว่าวิธีที่จะสังเกตลักษณะอาการของเวทนาคือสังเกตอย่างไร คือสังเกตว่ามันเกิดขึ้นในใจอย่างไร ปีตินี่มันจะมีดีใจ มันจะปนกับความตื่นเต้น มันจะปนกับความลิงโลด มันไม่เงียบๆ หรอก..ปีติ ถ้าเป็นเพื่อนฝูงที่ไปได้ก็ทุบเขา ตีเขา ตบหัวเขา เตะเขา แล้วแต่เถอะ นั่นไม่ใช่เกลียดชัง มันปีติ..แสดงออกมา มันปีติ นี่มันตื่นเต้น มันลิงโลดอย่างนี้ หรือเราเคยอ่านหนังสือพิมพ์..นี่เป็นข่าวจริงแต่ก็นานมาแล้ว สมัยลอตเตอรี่ยังไม่มีข่าวอาชญากรรมมาก เดี๋ยวนี้มีแต่เรื่องของธรรมดาๆ ก็ชายคนหนึ่งก็ยากจนไปซื้อลอตเตอรี่ถูกรางวัลที่ ๓ แค่นั้นนะ พอเขาบอกเท่านั้นว่าถูกรางวัลที่ ๓ หัวใจวาย ยังไม่ทันได้ไปรับเงินมาใช้สักสตางค์เลย นี่วายเพราะอะไร ก็ปีติ แต่มันปีติอย่างขาดสติ แล้วก็ไม่เคยฝึกเลยใช่ไหมคะ พอเขาบอกว่าได้รางวัล..ถูกรางวัลที่ ๓ เท่านั้นนะ ตายเสียก่อนแล้ว ตายด้วยความปีติ นี่คืออาการของปีติ ถ้ามันขาดการควบคุม มันให้โทษได้ถึงขนาดนี้
ฉะนั้น อาการปีตินี่มันจะปนความลิงโลด ปนความตื่นเต้น อะไรต่ออะไรต่างๆ ที่ทำให้สงบไหม..ไม่สงบ ปีตินี่ไม่สงบ หรือในวันมงคลสมรส ในวันแต่งงานบางทีเจ้าบ่าวเจ้าสาวพูดอะไรไม่ค่อยจะถูกนะ มีใครมาอวยชัยให้พรหรือทักทายก็เป็นอย่างไร พูดไม่ค่อยจะถูก เพราะอะไร ปีติ..ปีติยินดีมีแขกมามาก มีเพื่อนมามาก แล้วก็ได้สมความปรารถนาในวันนี้ ปีติอีกเหมือนกัน แต่ก็เป็นปีติที่ไม่มีสติควบคุม จึงทำให้ไม่สามารถจะควบคุมกายใจให้สงบรำงับได้ นี่อาการของปีติมันเป็นอย่างนี้ ทีนี้ถ้าสมมติว่าวันแต่งงานนั่นนะ ที่เป็นวันหรูหราสมเกียรติสมใจทุกอย่าง ผ่านพ้นไปแล้วสักปีสองปี พอมาคุยกันเข้าถึงวันนั้นเป็นอย่างไรคะ มาคุยกันถึงวันนั้น..วันแต่งงานเป็นอย่างไรคะ พูดดังๆ ก็ได้ อะไรนะ เฉยๆ แล้วเหรอ ยังเป็นสุขไหม ยังมีความสุขไหมพอพูดถึงแล้วสุขไหม สุข..พูดถึงแล้วสุข พูดถึงวันสำเร็จที่เราสำเร็จได้ปริญญา วันสำเร็จ..วันที่เราสอบเข้าได้ แล้วก็สำเร็จออกมามีเกียรตินิยม แล้วเราก็ได้แต่งงานกับคนที่เรารักในวันมงคลสมรสที่ยิ่งใหญ่ แหม..มันปีติในวันนั้นในขณะนั้นนะคะ แต่พอเวลาผ่านไปแล้วนึกขึ้นมาถึงนี่ ความปีติท่วมท้นอย่างที่เป็น มันไม่เป็นละ แต่มันก็ยังยิ้มนะ ยังยิ้ม ยังนึก เอารูปมาดู โอย..อย่างนั้นอย่างนี้ ยังพูดยังคุยกัน ด้วยความรื่นเริงแจ่มใส คือแสดงอาการของความสุข แต่ความรู้สึกข้างในเป็นอย่างไร เมื่อเปรียบกับความรู้สึกปีติในครั้งนั้น ไม่ลิงโลด มีความสงบมากขึ้นไหม มีความสงบมากขึ้น มีความเย็นมากขึ้น มีความแช่มชื่นมากขึ้น นี่คือลักษณะของความสุขที่แตกต่างกับปีติ เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติก็ต้องศึกษา ทีนี้จะมาศึกษาแต่เพียงสุขกับปีติเฉยๆ ก็ไม่พอ ท่านก็บอกว่าในขั้นที่ ๑ นี้พอมีอาการของปีติเกิดขึ้น คือปีติ..สมมติว่าเราทำหมวดที่ ๑ ได้สำเร็จเรียบร้อยด้วยดี ปีติเกิดขึ้น เราก็รู้ว่าเวทนานี้มันเป็นจิตตสังขาร มันปรุงแต่งจิตให้ระส่ำระสายอย่างไรมันก็ทำได้
ทีนี้เราต้องการไหมละ..อาการของปีตินี่ ปีติที่เกิดขึ้นเราต้องการไหม ไม่ต้องการ เพราะมันไม่ได้ทำให้จิตสงบ ฉะนั้นในขั้นที่ ๑ ของหมวดเวทนา ผู้ปฏิบัติก็จะต้องทำอาการของปีติให้สงบรำงับไป ควบคุมปีติให้สงบรำงับไป จะใช้อะไรเป็นเครื่องมือในการควบคุมละคะ..ลมหายใจ เห็นไหมคะว่าหมวด ๑ สำคัญอย่างไร เราจะต้องใช้มันตลอด เพราะฉะนั้นเราจะควบคุมปีติในขั้นที่ ๑ ของหมวดเวทนาให้สงบรำงับก็ใช้ลมหายใจ ใช้ลมหายใจอะไรละ ในขณะที่ปีตินั้นมีอาการตื่นเต้นลิงโลด ใช้ลมหายใจอะไร ลมหายใจยาว ลมหายใจยาวค่อยๆ ควบคุมหรือไล่ให้อาการของปีติออกไปทีละน้อยๆๆ แล้วก็ให้ลมหายใจนั้นนะสงบรำงับลง เหมือนดังที่เราทำได้ในขั้นที่ ๔ เห็นความต่อเนื่องใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่เราต้องฝึกหมวดที่ ๑ นี่ให้คล่องแคล่ว ให้มีประสบการณ์ที่ดี เพื่อมาใช้ในหมวดต่อๆ ไป ทีนี้พอเราควบคุมปีติให้สงบได้แล้ว ขั้นต่อไปขั้นที่ ๒ นั่นก็มาศึกษาเรื่องของความสุขคือสุขเวทนา ซึ่งสุขเวทนานี่ท่านถือว่าร้ายกาจยิ่งกว่าทุกขเวทนา เห็นด้วยไหมคะ ร้ายกาจมากกว่า เพราะอะไร เพราะมันติดเหนียวแน่นเลย นี่ทุกวันๆๆ นี่ ที่มนุษย์เราตะเกียกตะกายกระเสือกกระสนกันทุกวันนี้เพื่ออะไร เพื่อให้เกิดสุขเวทนา หรือให้มีความสุข จนกระทั่งทำทั้งสิ่งที่ถูกและทั้งสิ่งที่ผิด เพื่อให้ได้สิ่งที่เป็นความสุข สุขเวทนานี้น่ากลัวมาก พระพุทธองค์จะตรัสเรื่องสุขเวทนา คือโทษ ทุกข์ของสุขเวทนาว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว ต้องแก้ไข ต้องตัด ต้องกำจัด ถ้าปล่อยให้มันอยู่แล้วละก็ จะไม่มีวันผ่านพ้นไปได้เลย เพราะฉะนั้น ในสุขเวทนาขั้นที่ ๒ นี่นะคะ ผู้ปฏิบัติจะต้องพยายามศึกษาเรื่องของสุขเวทนาให้ละเอียดลออทุกอย่างเลย หมายความว่าอย่างไร ก็ลองนึกดูสิคะว่าความสุขแต่ละอย่างๆ เหมือนกันไหม จะลองแจกให้ดูนะคะ เพื่อรวบรัดให้สั้นเข้า ความสุขที่ได้จากความรัก เหมือนกับความสุขที่เวลาได้ลูกไหม ความสุขที่เวลาได้ลูกเหมือนกับความสุขเวลาได้เงินไหม หรือว่าได้อำนาจ ได้ตำแหน่งเหมือนกันไหม ได้ความสำเร็จเหมือนกันไหม
นี่แหละค่ะแจกแจงไปเถอะ นี่เพียงยกตัวอย่างให้ฟังใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นในการที่จะฝึกเรื่องของความสุขนี่ ในขั้นที่ ๒ ที่จะทำการรู้จักกับสุขเวทนา ก็ลองย้อนรำลึกประสบการณ์ของเรา ถึงความสุขที่ได้รับจากสิ่งต่างๆ เช่น จากความสำเร็จ จากความมีหน้ามีตา เกียรติยศชื่อเสียง หรือว่าจากทรัพย์สินเงินทอง หรือว่าจากความรักความอบอุ่น อะไรต่ออะไรต่างๆ แล้วดูอาการที่มันเกิดขึ้นจริง..เหมือนกันไหม เหมือนกันไหม..นี่ค่ะ แล้วก็ดูด้วยว่าในบรรดาความสุขทั้งหลายนี่ ความสุขอย่างไหนที่ทำให้เราติดมากที่สุด ถ้าถูกฝนร่วงขึ้นมานะคะอย่าไปนั่งติดฝนนะ นี่คือหน้าที่ของผู้ปฏิบัติในหมวดที่ ๒ คือศึกษาสุขเวทนาให้ถี่ถ้วน ให้รอบด้าน จนรู้เท่าทันมัน พออาการของสุขเวทนาอย่างไหนเกิดขึ้น รู้เท่าทัน อย่ามาหลอกล่อเลย เรารู้จักเจ้าแล้ว ไปให้พ้นๆ ได้อย่างไร ไล่ด้วยอะไรละคะ..ลมหายใจ ไล่ด้วยลมหายใจ ถ้าหากว่ามันดื้อด้าน ลมหายใจอย่างไหน..ยาวลึก แรงๆ หนักๆ เรียกว่าตวาดมันออกไปเลยนะคะ ถ้าหากว่ามันพออ่อนกำลัง พอลมหายใจยาวธรรมดามันก็พอจะไป นี่จะต้องเลือกใช้ลมหายใจอย่างไหนจะเป็นประโยชน์ นี่เป็นขั้นที่ ๒ ของบทเวทนา พอขั้นที่ ๓ ของบทเวทนา ตอนนี้ดูความทุกข์ทุกอย่าง ทั้งทุกข์ทั้งสุขที่เกิดขึ้น ความทุกข์มันก็ทุกข์ได้หลายอย่างเหมือนกัน..ทุกขเวทนา ทุกข์เพราะสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง สูญเสียตำแหน่งการงาน สูญเสียผู้เป็นที่รัก หรือว่าสูญเสียสิ่งที่เคยมีเคยเป็นนี่ต่างๆ เหล่านี้ เหมือนกันไหม ไม่เหมือนกันอีกเหมือนกันใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นศึกษาให้รู้จัก แล้วก็ให้รู้สึกว่าเราเองนี่ กลัวความทุกข์อย่างไหนมากที่สุด รู้สึกกลัวความทุกข์อย่างไหนมากที่สุด ทนความทุกข์อย่างไหนไม่ได้ ศึกษาให้รู้จักมัน หาเหตุให้พบทำไมจึงกลัวความทุกข์อันนั้น ทำไมถึงทนด้วยความทุกข์อันนั้นไม่ได้ มันเป็นเพราะอะไร แล้วเราก็ทำให้มันสงบรำงับไปด้วยอะไร ด้วยลมหายใจอีกเหมือนกัน นี่ก็เป็นขั้นที่ ๓ เรียกว่าให้รู้จักทั้งความสุขความทุกข์
พอมาถึงขั้นที่ ๔ เอามาปนกันอีกได้ ให้รู้จักอาการของมันที่เกิดขึ้น ทั้งสุขเวทนาทั้งทุกขเวทนา มีอีกอันที่เราไม่ได้พูดถึงคือ อทุกขมสุขเวทนา อทุกขมสุขเวทนาคืออะไร คือเวทนาหรือความรู้สึกที่ไม่แน่ใจว่ามันสุขแน่หรือทุกข์แน่ ตัดสินใจไม่ได้..เคยเป็นไหมคะ พอบางทีเราได้อะไรมา เอ..นี่ชอบหรือไม่ชอบ..ไม่แน่ใจ นั่นคือ อทุกขมสุขเวทนา พอมาถึงขั้นที่ ๔ ของหมวดที่ ๒ คือเวทนานุปัสสนา ผู้ปฏิบัติก็ต้องทำความควบคุมเวทนาทั้งหลายที่จะผ่านเข้ามา ไม่ว่าเป็นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ให้สงบรำงับไว้ให้หมด ไม่ให้ค้างอยู่ในจิต ด้วยอะไร ก็ด้วยลมหายใจอีกเหมือนกัน ถ้าสามารถอยู่กับลมหายใจตลอดเวลา เวทนาจะเข้าได้ไหมคะ เข้ามาอาศัยไม่ได้ เวทนาเข้ามาอาศัยไม่ได้ เพราะฉะนั้นลมหายใจนี้จึงเป็นประโยชน์อยู่ตลอดเวลา นี่พูดโดยย่อที่สุดนะคะ หวังว่าคงไม่กลัวฝนนะคะ เพราะออกไปตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ดี ฝนตกมาก มีสงสัยไหมคะ? หมวดเวทนา จะเห็นได้ว่าวิธีการปฏิบัติของหมวดที่ ๑ และหมวดที่ ๒ นี่คล้ายคลึงกัน คล้ายคลึงกันด้วยอะไร อันแรกก็คือ ศึกษาทำความรู้จักให้ทั่วถึง หมวดที่ ๑ ทำความรู้จักเรื่องลมหายใจให้ทั่วถึง ถี่ถ้วน รอบด้าน ให้รู้ว่าอย่างไหนมีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ อย่างไหนจะใช้เมื่อไหร่ แล้วก็ทำให้ลมหายใจสงบรำงับ พอมาหมวดที่ ๒ ก็ศึกษาเรื่องของเวทนาทุกอย่างให้ละเอียดถี่ถ้วน รู้จักลักษณะอาการของมัน ว่ามันมากระทบมากระแทกหัวใจ แล้วมันทำให้เกิดอาการอย่างไร แล้วผลที่สุดเมื่อรู้จักมันดีแล้ว ก็ทำให้สงบรำงับ ไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก ฉะนั้น หมวดเวทนานี้จึงเป็นหมวดที่ผู้ปฏิบัติจะต้องศึกษาให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง เพราะว่าคนเรามักจะถือเรื่องของเวทนาเป็นเรื่องจริงจัง เป็นเอาจริงเอาจัง ถ้าเป็นสุขเวทนาก็ แหม..รู้สึกมันสดใส ถ้าเป็นทุกขเวทนาก็รู้สึกมันหม่นหมอง
ก็อาจจะเปรียบเหมือนกับว่าถ้าความทุกข์อาจจะเปรียบเหมือนควันไฟ ถ้าหากว่าเป็นความสุขอาจจะเปรียบเหมือนสายรุ้ง อย่างเด็กๆ นี่เห็นสายรุ้งบนท้องฟ้า โอ..สวยงาม เรียกกันมา ชี้กันดู อยากได้จริงนะ..อยากได้จริง ผู้ใหญ่โบราณก็จะบอกอย่าไปชี้นะเดี๋ยวนิ้วมือจะขาด อาจารย์เคยได้ยินไหมคะ อย่าไปชี้นะเดี๋ยวนิ้วมือจะขาด เราก็ไม่รู้หรอกว่าจะขาดอย่างไร แต่พอเรามาเข้าทางธรรม เราก็จะรู้ว่าถ้าไปติดสุขนี่มันจะเป็นอย่างไร มันก็ขาด แต่อะไรขาด ไม่ใช่นิ้วมือขาด ใจจะขาด ใช่ไหมคะ ถ้าไปติดความสุขเขานั่นนะ..ใจจะขาด แต่นี่ผู้ใหญ่ท่านก็จะพูดเป็นอุบาย เพื่อจะให้คิด แต่ตอนเด็กๆ เราก็คิดไม่เป็นหรอก เราก็เชื่อกลัวนิ้วขาด ถ้าหากว่าเป็นความทุกข์เราเปรียบเหมือนควันไฟ เพราะอะไร? เพราะมันเข้าตา น้ำตาไหล หายใจก็ไม่ออก ไม่สบายเลย แต่ทั้งความสุขและความทุกข์มันเหมือนกันไหม มันมีความเหมือนกันไหมคะ..ลองนึกดูเหมือนกันตรงไหน..คะ ค่ะ..ทำให้เราไม่สงบ แล้วมันเหมือนกันตรงไหนอีกที่เราถึงต้องมาควบคุมมันไม่ให้มันเกิด ให้มันสงบรำงับไว้ให้ได้ มันเหมือนกันตรงไหนอีก ลองนึกถึงสายรุ้ง ใครเคยจับรุ้งได้บ้าง..สายรุ้ง เคยไหมคะ ใครจับควันไฟได้บ้าง นี่ถึงแม้ว่ามันมาก่อเป็นกองไฟใหญ่ควันคลุ้งอยู่ตรงนี้ ใครจับได้บ้าง เอามือไปเอื้อมจับ แหม..ควันดำเชียว แต่พอแบมือออกมีไหม ไม่มี สายรุ้งก็ไม่มี เพราะฉะนั้นความเหมือนของความสุขและความทุกข์มันอยู่ตรงไหนคะ..เห็นไหม อยู่ตรงความเป็นมายาใช่เปล่า อยู่ตรงความเป็นมายา มันหลอกคน หลอกมนุษย์มาตลอดเลยว่าเป็นของจริงนะ ความสุขนี่ก็สุขจริงๆ ความทุกข์ก็ทุกข์จริงๆ จะตายเอาตอนนั้นแหละ จะตายทั้งสุข จะตายทั้งทุกข์ จะตายเอาตอนนั้น เพราะคิดว่ามันจริง แต่จริงๆ แล้วมันจริงหรือเปล่า นี่แหละเป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณา
ถ้าผู้ใดไม่ดูจนกระทั่งไม่เห็นความเป็นมายาของเวทนา ทั้งสุขเวทนาและทั้งทุกขเวทนา คนนั้นจะต้องเป็นทาสของเวทนาจนตาย ขาดใจตายเพราะถูกเวทนานี่แหละมันบีบรัด มันปรุงแต่งจิตนี่ มันเป็นจิตตสังขาร มันปรุงแต่งจิตไม่ให้ได้มีความสุข ไม่ให้ได้มีความสบายเลย เพราะฉะนั้นเวทนาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องศึกษาให้รู้จักมันให้ละเอียดถี่ถ้วนและควบคุมมันให้ได้ ให้สงบรำงับให้ได้..ด้วยอะไร ด้วยลมหายใจ เพราะฉะนั้นจึงจะต้องฝึกมันอยู่ตลอดเวลา เมื่อฝึกหมวดที่ ๑ ได้ครบถ้วนทั้ง ๔ ขั้นแล้ว ก็ฝึกต่อหมวดที่ ๒ เลยก็ได้ถ้าอยากจะลองดู แต่ครูบาอาจารย์ท่านบอกยังไม่ต้องฝึกหรอกหมวดที่ ๒ เอาหมวดที่ ๑ ให้คล่องเสียก่อน แต่ให้เข้าใจ ให้รู้วิธีหมวดที่ ๒ ไว้ให้ชัดเจน เพื่อเวลาจะใช้เมื่อไหร่ก็จะได้ทำได้ เรียกว่าเวทนานี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก ท่านจึงบอกว่าต้องฝึกจนกระทั่งไม่มีอภิชฌาและโทมนัส อยากจะเล่าในส่วนตัวที่รู้สึกประทับใจนะคะ อย่างพระพุทธเจ้านี่ตอนเช้าก็ทราบแล้วว่าท่านต้องเสด็จออกไปทรงบาตรคือไปรับบาตรตามที่นั่นที่นี่ ทีนี้อ่านพบในพระไตรปิฎกตอนหนึ่งนี่ ท่านก็เสด็จไปทรงบาตรนี่ก็มีผู้หญิงทาสีคนหนึ่ง เขาก็มีจะต้องออกไปทำงาน ยากจนมากเลย เขาก็เอาอาหารที่เขาหาได้ก็คือ รำ รู้จักรำใช่ไหมคะ ผงรำนี่เอามาผสมกับน้ำแล้วก็บีบๆ กันเข้า แล้วก็เอาไปจี่ในกระทะพอร้อนๆ นี่ จะเป็นอาหารกลางวันของเขาที่เขาจะออกไปทำงาน แล้วพอเสร็จแล้วเขาก็เอาแผ่นรำนี่ แป้งรำนี่ใส่ในชายพก คงรู้จักชายพกนะ ห่อไปในชายพกตัว แล้วก็เดินออกไปจะไปทำงาน พอเดินออกไปก็พอดีไปพบพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมา เขาก็นึกในใจว่า เรานี่อยากใส่บาตรเหลือเกินนะ แล้วอยากจะใส่บาตรพระพุทธองค์ด้วย แต่เราก็ไม่เคยมีโอกาสเพราะเราไม่มีอาหาร ไม่มีสิ่งของที่จะใส่บาตร แต่วันนี้เรามีอาหารอยู่ในพกนี่ ที่เราจะได้ใส่บาตรพระพุทธเจ้า แล้วก็ได้พบพระองค์ด้วย บางทีบางวันเราก็มีเหมือนกันแต่ไม่ได้พบพระพุทธองค์ แต่วันนี้ได้พบพระองค์ด้วย เราจะต้องเอาอาหารกลางวันของเรานี่ไปใส่บาตรท่าน ก็ควักแผ่นรำนี่ออกจากชายพกของตัวแล้วก็ไปใส่บาตร ท่านก็รับ พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงรับ พอรับแล้วเขาก็ดีใจละ
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็อดนึกไม่ได้ว่า ท่านคงไม่เสวยของเราหรอก พอไปเดี๋ยวท่านดำเนินไปท่านก็คงเอาไปทิ้งเสียที่ไหนแห่งใดแห่งหนึ่ง เพราะว่ามันไม่อร่อย ไม่น่ากินก็รู้ตัวอยู่ พระพุทธเจ้าท่านทรงเป็นสัพพัญญู ท่านก็รู้ใจว่ายายคนนี้กำลังคิดอะไร ท่านก็เดินไปพอพบที่ที่เหมาะที่จะนั่งเสวยได้ ก็คือเป็นที่ใต้ร่มไม้แล้วก็มีสระน้ำบ่อน้ำที่จะสะดวก เพราะว่าในสมัยก่อนโน้นยังไม่ได้เป็นการนัดฉันพร้อมกันเป็นระเบียบเหมือนอย่างที่ทำกัน ท่านก็นั่งลง แล้วท่านก็หยิบเอาแป้งรำที่ยายทาสีไปถวายนี่มาฉัน ก็แน่นอนละนะคะ เราเดาได้ว่ายายทาสีคนนั้นจะทั้งปีติยินดี มีความสุขอย่างล้นเหลือ ที่เห็นท่านทรงฉันอาหารที่แสนจะไม่น่าอร่อยของตนเองนี่จนหมด ทีนี้แล้วท่านก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกว่าอาหารนั้นอร่อยหรือไม่อร่อย ทีนี้ที่เล่าอันนี้ให้ฟังก็เพื่อที่จะให้ลองคิดดูว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ทรงมีอภิชฌาไหม ทรงมีโทมนัสไหม ไม่มีเลย พระองค์ไม่ทรงมีทั้งอภิชฌาและทั้งโทมนัส ไม่ได้ทรงคิดว่าอาหารอันนี้สกปรก ไม่น่ากิน ไม่อร่อย ไม่มีรสมีชาติ ไม่ทรงคิดเลยสักอย่างเดียวทรงฉันจนเกลี้ยง แต่ในที่เล่ากันในพระไตรปิฎกก็จะต้องบอกว่ามีเทวดามา เช่น มีพระอินทร์มาแสดงฤทธิ์ทำให้อาหารนั้นนะมีรสมีชาติเหมือนกับอาหารทิพย์ เอร็ดอร่อย ซึ่งในทางธรรมเราเรียกว่าเป็นบุคลาธิษฐาน คือเชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาทำให้ มีพระอินทร์มาบันดาล แต่ในทางธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนอยู่นี่ พระองค์ก็จะรับสั่งว่ามันต้องเป็น..ไม่ใช่จะไปเชื่อถือในสิ่งที่เป็นบุคลาธิษฐาน อย่างเราสวดมนต์ในบทเขมานะ ก็จะพบว่าท่านไม่ให้นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้นหมากรากไม้ ภูเขาอะไรเหล่านั้น แต่ให้นับถือหรือให้เคารพสิ่งที่เป็นธรรม คือเป็นธรรมาธิษฐาน ไม่ใช่บุคลาธิษฐาน ทีนี้ทำไมท่านถึงสอนอย่างนั้น ก็เพราะเหตุว่าเมื่อมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก พระธรรมก็ปรากฏขึ้นในโลก
พระธรรมคือสิ่งที่เป็นความจริง เป็นสัจจะ เป็นสัจจธรรม ที่ไม่มีสิ่งใดจะแก้ไขได้ จะไปเชื่อถือในบุคลาธิษฐาน ซึ่งพอเอ่ยถึงพระอินทร์ก็ทุกคนก็จะเคารพนับถือแล้วก็ยกย่อง แต่ทราบไหมคะว่า ก็ตามพระไตรปิฎกเองเหมือนกัน พระอินทร์นี่ก็มีความขี้โกงไม่น้อยเหมือนกัน เหมือนอย่างเวลาที่พระอรหันต์ในสมัยโน้นนะคะ พระอรหันต์ผู้ใหญ่ที่เป็นพระเถระผู้ใหญ่บางองค์นี่ พอท่านต้องการจะพักผ่อน ท่านก็จะเข้าสมาธิที่เรียกว่านิโรธสมาบัติ ซึ่งจะอยู่เงียบนิ่งเฉย แล้วก็เหมือนกับท่อนไม้ท่อนซุงละ จะไม่รู้สึกอะไรเลย จะเป็นเวลากี่วันก็ตามแต่ท่านจะตั้งใจอธิษฐานไว้ อาจจะเป็น ๗ วัน ๒ อาทิตย์ เป็นเดือนเป็น ๓ เดือน แล้วแต่ท่านจะนั่งเฉยอย่างนั้น แล้วพอท่านออกจากนิโรธสมาบัตินี่ ผู้ใดที่ได้ใส่บาตรครั้งแรกนี่ จะถือกันว่าได้บุญแรง เพราะอะไร เพราะว่าท่านอดอาหารมาตั้งหลายวันใช่ไหมคะ แล้วก็มีพระเถระผู้ใหญ่องค์หนึ่ง จำชื่อได้ว่าท่านพระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นพระมหาเถระผู้ใหญ่ที่เป็นที่ไว้วางพระทัยองค์หนึ่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ออกจากนิโรธสมาบัติ แล้วพอท่านออกจากนิโรธสมาบัตินี่ ท่านพระเถระเหล่านี้ท่านจะนึกทีเดียวว่า วันนี้เราจะโปรดใคร ที่ท่านจะโปรดใครนี่ก็อยากจะโปรดคนจน คนที่ขาดแคลนที่ยากแค้นเข็ญใจ เพื่อจะให้เขาได้กุศล ท่านก็ตั้งใจอย่างนั้น ข้างพระอินทร์นี่ก็อยู่บนสวรรค์ ก็มีตั้งพันตานะ เพราะฉะนั้นก็รู้ว่าวันนี้อะไรจะเกิดขึ้น นี่ท่านพระมหากัสสปะกำลังออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว ถ้าใครได้ใส่บาตรท่านนี่จะต้องได้บุญมากเชียว พระอินทร์ก็รู้ว่า ถ้าเราลงมาถวายอาหารท่าน ทั้งๆ ที่เราเป็นพระอินทร์นี่ท่านไม่รับแน่นอนนะ เพราะท่านรู้อยู่นะพระอินทร์มีอะไรต่ออะไรตั้งเยอะแยะสารพัด เป็นเจ้าแผ่นดิน เป็นประมุขของชั้นดาวดึงส์ด้วย ยังจะมาเอาอะไรอีกละ ก็เลยแปลงตัวเป็นตาแก่ แล้วก็เอาสุชาดาที่เป็นชายาที่รักมากนี่เป็นยายแก่ เป็นตาแก่ยายแก่ยากจนสองคนตัวสั่นงันงกเข้ามาเชียว แล้วก็มาขอใส่บาตร ตอนนั้นท่านพระมหากัสสปะก็อาจจะไม่ทันได้นึกนะว่าพระอินทร์นี่จะปลอมตัวมาอย่างนี้ ก็รับบาตร พอรับบาตรเสร็จแล้ว แหม..อาหารหอมเหลือเกิน หอมเป็นอาหารทิพย์ ท่านก็รู้เชียว อ้อ..นี่เป็นพระอินทร์มาแล้ว ท่านก็ต่อว่าทันทีเลย ทำไมท่านทำอย่างนี้ มาแย่งบุญของคนยากคนจนเขา พระอินทร์ก็บอกว่าก็พระอินทร์ก็อยากได้บุญเหมือนกันนะ ที่พูดเล่าอันนี้เพื่อประโยชน์อะไร เพื่ออยากจะแสดงให้เห็นว่าผู้ที่เคารพบุคลาธิษฐานนี่ ก็มีพระอินทร์เป็นผู้ใหญ่นะ เวลาเราบวงสรวงนะคะ ก็ดูสินะพระอินทร์ยังมาเอาบุญกับพระมหาเถระที่เป็นพระอรหันต์นี่ ซึ่งเป็นใคร..เป็นคนใช่ไหมคะ เป็นมนุษย์ใช่ไหม เทวดานี่ยังมาขอบุญจากมนุษย์ แล้วก็ยังขี้โกงมาแย่งบุญจากคนยากคนจนเขาด้วยนะ แล้วก็มีหลายครั้งเลยนะที่เคยพบทำนองอย่างนี้ นี่เป็นเครื่องชี้ว่าเมื่อพระธรรมปรากฏขึ้นในโลก ในระหว่างเทพกับธรรมสิ่งใดเป็นสิ่งที่เป็นใหญ่ในโลก ที่ควรแก่การเคารพนับถือ..นึกออกไหมคะ พระธรรม เพราะแม้แต่เทพก็ยังเคารพธรรม นี่เป็นตัวอย่างที่เห็น ฉะนั้นชาวพุทธนี่จึงควรเคารพ..พระธรรม ถ้าเคารพพระธรรม ประพฤติธรรมปฏิบัติธรรมได้อย่างสม่ำเสมอไปตามลำดับอย่างนี้ ก็ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกว่าบุญกุศลนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ บารมีจะมีหรือไม่ ประกอบเหตุปัจจัยอย่างใด..ผลย่อมเป็นอย่างนั้น พอดี ๖ โมงครึ่ง..มีอะไรจะถามไหมคะ พอดีฝนหายด้วย ถ้ามีก็ถามได้ ถ้าไม่มีก็หวังว่าจะลองไปปฏิบัตินะคะ อย่างน้อยก็ให้รู้ว่าลมหายใจมีประโยชน์กับเราอย่างนี้นะ ก็ขอให้มีความสุขมีความเจริญ สว่างไสวรุ่งเรืองด้วยพระธรรมถ้วนทั่วหน้ากันค่ะ.