แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
วันนี้ก็อยากจะขอต่อเรื่องอานาปานสตินะคะ คือการปฏิบัติสมาธิภาวนาโดยใช้ระบบอานาปานสติ ซึ่งทั้งหมดมี ๔ หมวดด้วยกัน
หมวด ๑ ก็คือ หมวดกาย ที่บอกให้รู้ว่ากายของเรานั้นมี ๒ อย่าง กายลมและกายเนื้อ อันนี้ทหมวดวน ทหมวดวน..หวังว่าผู้ใดที่ลืมๆ ก็คงจะจำได้ เพราะว่าในเรื่องของอานาปานสตินี่ เราจะลืมหมวดไหนขั้นไหนไม่ได้เลย มันจะต้องติดต่อกันโดยตลอด ฉะนั้นในหมวดที่ ๑ นี่ก็พูดถึงเรื่องของว่า กายนั้นมี ๒ อย่าง ๑ คือกายเนื้อหมายถึงตัวเรานี่ อันที่ ๒ คือกายลม กายลมก็คือหมายถึง ลมหายใจ และท่านก็บอกว่าลมหายใจนี่เป็นกายสังขาร คำว่าเป็นกายสังขาร หมายความว่า ลมหายใจจะปรุงแต่งกาย กายนี้จะสบายหรือไม่สบายก็ขึ้นอยู่กับการหายใจ ถ้าหากว่าหายใจยาว..สบาย ไม่มีอะไรติดขัด กายก็ผ่อนคลาย สบาย สงบ แต่ถ้าหากว่าการหายใจนั้นมันสั้น มันกระชั้น มันติด มันก็จะทำให้ร่างกายของเรานั้นคอยอึดอัด แล้วก็ไม่สบายไปด้วย ท่านจึงเรียกว่าลมหายใจนี้เป็นกายสังขาร ปรุงแต่งกาย คำว่าสังขารคือปรุงแต่ง ฉะนั้นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติในหมวดที่ ๑ คงจะจำได้นะคะว่า จะต้องทำความรู้จักเรื่องของลมหายใจทุกอย่างทุกชนิดอย่างทั่วถึง ท่านใช้คำว่าอย่างทั่วถึงก็คือ หมายความว่าไม่ใช่รู้จักอย่างลวกๆ หยาบๆ แต่ต้องรู้จักอย่างละเอียด อย่างทั่วถึงว่า ลมหายใจแต่ละอย่างๆ นั้น มีลักษณะอาการอย่างไร แล้วก็แต่ละอย่างนั้นปรุงแต่งกายอย่างไร
ขั้นที่ ๑ ตามลมหายใจยาวอย่างเดียวทุกอย่างทุกชนิด ตามก็คือตามตั้งแต่รับเข้าผ่านช่องจมูก จนกระทั่งสุดสาย แล้วก็ตามออกให้ตลอดสาย
ขั้นที่ ๒ ตามลมหายใจสั้นทุกอย่างทุกชนิด พร้อมกับรู้จักด้วยว่าลมหายใจสั้นแต่ละอย่างนั้นปรุงแต่งกายอย่างไร เป็นลมหายใจที่จะใช้ประโยชน์ได้ไหม พอใจไหม ชอบไหม ถ้าไม่ชอบก็กำหนดจิตเอาไว้ว่า เราจะพยายามหลีกเลี่ยงให้เกิดลมหายใจสั้นหรือให้มีลมหายใจสั้น พูดง่ายๆ ก็คือว่าจะไม่หายใจสั้น ถ้ามันสั้นก็ต้องพยายามปรับเปลี่ยนให้มันยาว
ทีนี้ ขั้นที่ ๓ ก็คือขั้นที่ท่านเรียกว่าเป็นการที่จะทดสอบละว่า ที่ลมหายใจเป็นกายสังขารทั้งหมด ทั้งยาวทั้งสั้นนี่ เมื่อเอามารวมกัน ขั้นที่ ๑ นะ เราตามเฉพาะยาว ขั้นที่ ๒ เฉพาะสั้น แต่ขั้นที่ ๓ นี่ไม่เลือกกว่าจะยาวหรือสั้น จะหายใจสั้นก็ได้ หายใจยาวก็ได้ ยาวหนักก็ได้ ยาวเบาก็ได้ สั้นถี่ก็ได้ หรือว่าสั้นพอสบายๆ ก็ได้ สลับกันไปให้หมด เพื่อจะทดสอบตัวเองว่า ผู้ปฏิบัตินั้นสามารถรู้จักลมหายใจของเราเองทุกอย่างทุกชนิดอย่างดีไหม อย่างทั่วถึงจริงๆ ไหม สามารถจะบอกได้ทันทีว่าลมหายใจที่กำลังหายใจอยู่นี้ เป็นลมหายใจอย่างไหน มีลักษณะอาการอย่างไร แล้วก็ปรุงแต่งกายอย่างไร พร้อมๆ กับมีการกลั่นกรองไปในตัวว่า เราจะเลือกลมหายใจอย่างไหน มาเป็นลมหายใจที่หายใจเป็นประจำ เพื่อจะได้ปรุงแต่งกายนี้ให้มีความสบาย แล้วก็ถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้น เช่น มีอารมณ์ต่างๆ เข้ามา ผ่านเข้ามาสู่จิต เป็นอารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนา เราจะใช้ลมหายใจอย่างไหนมาขับไล่เหตุการณ์เช่นนั้นออกไป เพื่อที่จะไม่ให้เกิดจิตที่เป็นทุกข์ นี่ก็อยู่ในขั้นที่ ๓ นี่นะคะ ทำความรู้จักอย่างทั่วถึงอย่างดี พร้อมกับคัดเลือก แล้วก็นึกได้ว่า เราจะใช้ลมหายใจอย่างไหนเป็นลมหายใจประจำตัว ที่จะทำให้กายสบาย ขั้นที่ ๑, ๒, ๓
ทีนี้ พอถึงขั้นที่ ๔ ทำกายสังขารให้สงบรำงับ พูดง่ายๆ ก็คือว่ากำหนดทำลมหายใจให้สงบรำงับ ที่หายใจมาต่างๆ นานานี่นะคะ บางอย่างก็เป็นลมหายใจหยาบ บางอย่างก็เป็นลมหายใจละเอียด แต่ทว่าลมหายใจหยาบนั้นนะ เราไม่ปรารถนา แล้วปรารถนาลมหายใจละเอียดให้สงบรำงับนี่นะคะ ก็เปลี่ยนจากการตาม ตามลมหายใจเข้าตลอดสาย ตั้งแต่รับที่ช่องจมูกไปจนกระทั่งสุดสาย แล้วก็ตามออก นั่นขั้นที่ ๑, ๒, ๓ ใช้วิธีตาม พอมาถึงขั้นที่ ๔ ทำให้สงบรำงับ เปลี่ยนเป็นเฝ้าดู อยู่ที่ช่องจมูก คงนึกออกนะคะ เอาจิตหรือเอาสตินี่จดจ่ออยู่ที่ช่องจมูกอย่างเดียวเท่านั้นเอง เพื่อจะคอยรับ ถือเหมือนกับว่าลมหายใจนี่เป็นแขกผู้มีเกียรติ เป็น VIP เขามาบ้านเราแล้ว เจ้าของบ้านต้องมาคอยรับอยู่ตรงนี้ โดยเลือกเอาจุดที่ลมหายใจผ่านเข้าสัมผัสชัดที่สุด แล้วเอาจิตจดจ่ออยู่ตรงจุดนั้น พอลมหายใจผ่านเข้า..ให้รู้..รู้สัมผัสด้วยความเคลื่อนไหวของลมหายใจ อ้อ..มันแตะตรงนี้ ให้รู้ว่ามันแตะตรงนี้ แล้วก็เอาจุดนั้นจุดเดียวเป็นที่แตะ..ให้ตลอด แล้วก็กำหนดจิตเฝ้าดูทั้งเข้าและทั้งออก ทั้งเข้าและทั้งออก..ถ้าลมหายใจยังหยาบอยู่ คือเป็นลมหายใจสั้นบ้าง หรือลมหายใจยาวแรงบ้าง ก็ค่อยๆ บังคับมัน ควบคุมมัน ผ่อนลมหายใจนั่น ให้เป็นลมหายใจที่เบาๆ ช้าๆ สบายๆ แล้วมันก็จะค่อยๆ กลายเป็นลมหายใจที่ละเอียด แล้วก็จะปรุงแต่งกายให้สงบรำงับมากยิ่งขึ้นๆๆ จนผลที่สุดกายนี้ก็จะสบาย แล้วจิตก็จะเริ่มสงบเป็นสมาธิ ซึ่งต่างกันกับขั้นที่ ๑, ๒, ๓ อย่างที่ได้เคยพูดไปแล้วว่า ขั้นที่ ๑, ๒, ๓ ไม่ปรารถนาจะให้ผู้ปฏิบัติสงบ แต่ขอให้ศึกษาทำความรู้จักกับลมหายใจให้ชัดเจน ให้ละเอียดถี่ถ้วนจริงๆ
อย่าลืมนะคะ หมวดที่ ๑ นี้สำคัญมาก ประเดี๋ยวก็จะรู้ว่ามันเป็นพื้นฐานไปจนถึงหมวดที่ ๔ ฉะนั้นเราจึงต้องศึกษาอย่างเอาจริงเอาจัง จึงไม่สงบ ไม่ได้หวังจะให้สงบ แต่ให้รู้จักลมหายใจให้จริง พอถึงขั้นที่ ๔ ตอนนี้แหละที่เป็นขั้นที่ทำลมหายใจให้สงบรำงับ จิตก็จะสงบไปด้วย ค่อยๆ เยือกเย็นผ่องใสแล้วก็รวมเป็นสมาธิถ้าผู้ปฏิบัติสามารถทำได้ ขึ้นอยู่กับอันนี้ แล้วทีนี้จะให้เป็นสมาธิลึกเท่าไหร่ มากเท่าไหร่ ก็สุดแต่ใจ สุดแต่ความพอใจ อย่างที่เคยบอกว่าขั้นที่ ๔ ของหมวดที่ ๑ นี่แหละที่ถ้าหากว่าท่านจะเล่นกันไปให้ถึงฌาน ก็อยู่ที่การปฏิบัติที่ขั้นนี้ให้มันสงบ ลึกเข้าๆ จนกระทั่งเป็นเอกัคคตา แล้วก็จะเอาเป็นฌาน ๑, ๒, ๓ อะไรก็แล้วแต่ แต่เราจะไม่พูดกันนะคะ เพราะเราไม่มีเวลา แล้วก็เชื่อว่าทุกท่านคงยังไม่ปรารถนาจะเอาฌานอะไรหรอก ขอแต่เพียงให้จิตสงบก่อน เป็นสมาธิก็พอแล้ว..ใช่ไหมคะ ฉะนั้นเราเอาเพียงแค่นี้ ถ้าทำได้เพียงแค่นี้ เป็นสมาธิแน่นอน ทีนี้ก็ดีใจไหมคะที่ทำได้ สมมุติว่าทำได้แล้ว สมมุติๆ ว่าทำได้แล้วนี่ ที่นั่งมานี่ ฟังนี่นะ ตั้งแต่ขั้นที่ ๑, ๒, ๓, ๔ ทำได้แล้ว พอทำได้แล้วดีใจไหม ก็แน่นอนละต้องดีใจ..ไม่เคยทำได้ ตอนนี้มันก็จะเกิดปีติคือความยินดีพอใจ ซึ่งเป็นอาการหรือเป็นลักษณะของขั้นที่ ๑ ของหมวดที่ ๒ ที่ท่านเรียกว่าหมวดเวทนา
นี่ก็จะเริ่มต่อไปหมวดที่ ๒ คือ หมวดเวทนา แต่ว่ายังไม่ทิ้งลมหายใจนะคะ ยังคงต้องรู้สึกในลมหายใจอยู่ตลอดเวลา ทั้งเข้าและออก ถึงได้ว่ามันสำคัญอย่างไรคะ ในขณะที่ความรู้สึกปีติเกิดขึ้น ก็ยังรู้ลมหายใจอยู่ ยังตามลมหายใจอยู่ ทำไมถึงจะตามได้ อาจจะมีคำถาม..ตามได้อย่างไร ในเมื่อผู้ปฏิบัติจะต้องทำความรู้สึกกับเรื่องของปีติที่มันเกิดขึ้นในใจ ถ้าหากว่าผู้ปฏิบัตินี่ได้ปฏิบัติขั้นที่ ๑ อย่างช่ำชอง ชำนาญจริงๆ นะคะ ไม่ได้ทำเล่นๆ หัวๆ หรือทำอย่างลวกๆ มักง่าย ท่านบอกว่า ลมหายใจเข้าออกนี่ผู้ปฏิบัติจะรู้อยู่ จะสัมผัสกับมันเรื่อย ท่านเรียกว่ามันจะอยู่ข้างหลังเรานี่ ถ้าใช้คำภาษาอังกฤษก็เรียกว่า มันจะเป็น background .. background ของเรานี่ตลอดเวลาเลย ถึงแม้เราจะนึกถึงเรื่องอะไรก็ตามที แต่เราจะรู้ว่า อ้อ..ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก มันอยู่ตรงนี้ มันไม่ได้ไปไหน แต่นี่ขึ้นอยู่กับว่าปฏิบัติหมวดที่ ๑ นี่สำเร็จหรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าหากว่ายังไม่รู้ว่ามันอยู่ไหน ลมหายใจมันหายไปไหน ก็ต้องกลับไปปฏิบัติขั้นที่ ๑ ใหม่ ขั้นที่ ๑ ของหมวดที่ ๑ แล้วก็เรื่อยมาตามลำดับ ทีนี้ถ้าสมมุติว่ารู้ละก็ แน่นอนที่สุดเลยค่ะก็จะสามารถเข้าถึง เข้าถึงลมหายใจที่มันเกิดขึ้น แล้วก็รู้ว่ามันอยู่กับเราตลอดเวลา มันไม่ได้ไปไหนเลย มันอยู่กับเราตลอดเวลา และในการที่มันอยู่กับเราตลอดเวลานี่ เราก็จะใช้ประโยชน์มันในการปรุงแต่งกายให้สงบรำงับมาเรื่อย จากขั้นที่ ๔ นี่เราทำให้มันสงบรำงับ มันก็จะยังสงบรำงับต่อมา ทีนี้ผู้ปฏิบัติก็จะพิจารณาในเรื่องของปีติอย่างที่ได้พูดคราวก่อนแล้วว่า ปีติก็คือลักษณะของความสุขอย่างหนึ่ง แต่ไม่เหมือนกับความสุข
มันไม่เหมือนตรงไหน ก็เพราะว่าปีตินั้นมันมีอาการตื่นเต้น ลิงโลดประกอบด้วยใช่ไหมคะ โอย..ตื่นเต้น ปีติมากเลย ฉันสอบได้ที่ ๑ ฉันได้เลื่อนเป็นหัวหน้า อยู่ดีๆ ก็มีคนเอาเงินมาให้ล้านหนึ่ง นี่ปีติ..แต่ว่าปีตินี่มันจึงตื่นเต้น ลิงโลด ฉะนั้นในความตื่นเต้น ลิงโลด ก็คงทราบ จิตไม่สงบใช่ไหมคะ ในขณะนั้นจิตไม่สงบ จิตมันมีอาการอย่างที่ว่านี่แหละ มันลิงโลด มันตื่นเต้น มันจะมากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่แรงกระทบของสิ่งที่มาทำให้เกิดปีติ แต่ถ้าปีติที่เกิดจากความความสำเร็จในการปฏิบัติหมวดที่ ๑ ไม่ลิงโลดถึงขนาด แต่มันปีติ มันอิ่มใจนี่ ปีติอันนี้มีความอิ่มใจ อิ่มใจอยู่ในใจ ไม่เคยคิดเลยว่าเราจะทำได้ ที่ว่าตามลมหายใจขั้นที่ ๑ และขั้นที่ ๒ ขั้นที่ ๓ อะไรนี่..เบื่อจะตาย เออ..วันนี้มันโชคดี ปะเหมาะอย่างไรนี่ตามได้ตลอดรอดฝั่งแล้วก็ใจสบายด้วย แล้วจิตก็สมาธิด้วย สงบรำงับด้วย ปีติแน่นอน..ใช่ไหมคะ ปีติขึ้นมาในใจ ถ้าปีติอย่างนี้ละก็ จะเป็นปีติที่ไม่ตื่นเต้น ลิงโลด อย่างชนิดเกินขนาด แต่ผู้ปฏิบัติก็จะรู้ละ มันตึกตักๆ อยู่ในใจ ทีนี้หน้าที่ของผู้ปฏิบัติก็คือว่า พอรู้จักลักษณะอาการของปีติครบครันถี่ถ้วนแล้ว ก็ควบคุมปีติให้สงบรำงับด้วยอะไร..ด้วยลมหายใจ อย่าลืม..เห็นไหมคะ หมวดที่ ๑ จึงสำคัญมาก เราจะต้องใช้มันตลอดเลย มันจะเป็นเรียกว่า..เป็นอาวุธ ควรจะจำมันเสียหน่อย เออ..ลมหายใจเป็นเพื่อนยาก ทิ้งมันไม่ได้ มันเป็นเพื่อนยากจริงๆ มันจะต้องคู่อยู่กับเราละ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อย่างไร เราจะใช้ประโยชน์มันได้เรื่อย
เพราะฉะนั้น อันนี้ผู้ปฏิบัติก็ดูปีติ พอ..พอใจแล้ว ศึกษาพอใจก็ทำปีติให้สงบรำงับด้วยลมหายใจ ลมหายใจที่เราสามารถจะควบคุมให้มันทำกายของเราให้ผ่อนคลายได้ พอผ่อนคลายได้แล้ว ตอนนี้ก็จะเลื่อนไปถึงขั้นที่ ๒ ของหมวดที่ ๒ หรือขั้นที่ ๖ ของหมวดอานาปานสติ นั่นก็คือสุข ตอนนี้ก็มาศึกษาทำความรู้จักกับเรื่องของสุข..ความสุข แล้วผู้ที่ปฏิบัติก็ต้องดูให้เห็นว่าสุขกับปีติเหมือนกันไหม เหมือนกันไหมคะ ผู้ที่เคยศึกษาแล้ว..มันไม่เหมือน ไม่เหมือนเพราะอะไร เพราะว่าปีตินี่มันมีอาการตื่นเต้นลิงโลด แต่สุขนี่มันมีอาการเย็น..มันสบายๆ เหมือนอย่างนึกถึง โอ..ครั้งนั้นนะ แหม..เราได้รับเกียรติอย่างยิ่ง แล้วทำอะไรนี่เป็นความสำเร็จอย่างชนิดที่ไม่คาดหมาย ใครๆ ก็ชื่นชมยินดี ปีติมากในขณะนั้น พอผ่านไปสัก ๕ วัน เดือนหนึ่ง ปีติไหม พอนึกขึ้นมาถึงจะปีติอย่างนั้นไหม ก็ไม่ปีติอย่างนั้น แต่พอนึกแล้วมันเป็นสุขไหม มันเป็นสุข พอใจที่เราได้มีวันนั้นนะ ก็มีความสุข แต่เป็นความสุขเย็นๆ สบายๆ นี่ยังหายใจอยู่นะ ที่พูดนี่ยังหายใจอยู่ คำว่ายังหายใจอยู่คือหมายความว่า ยังคงรู้ลมหายใจทุกขณะ ในขณะที่ศึกษาเรื่องของความสุขนี่ ไม่ใช่มาก้มหน้าศึกษาความสุขแล้วก็ปล่อยลมหายใจไป..ไม่ใช่นะคะ จะต้องยังคงรู้ลมหายใจทุกขณะ ถ้ามิฉะนั้นก็ไม่ใช่อานาปานสติภาวนา แต่อานาปานสติภาวนาจะต้องเป็นในลักษณะนี้
เพราะฉะนั้น ก็ศึกษาเรื่องของความสุขอย่างที่แนะนำแล้วว่า สุขนี้มันก็มีลักษณะต่างๆ กัน สุขเพราะรัก สุขเพราะได้เงิน สุขเพราะได้ตำแหน่ง สุขเพราะมีคู่ สุขเพราะมีลูก หรืออะไรต่างๆ นี่ เอามาศึกษาเทียบเคียงดูว่า สุขแต่ละอย่างๆ นั้นเหมือนกันไหม พร้อมๆ กับสังเกตลักษณะอาการของมัน ให้เห็นว่าเหมือนกันไหม ถ้าไม่เหมือนกัน..มันแตกต่างกันอย่างไร เพื่ออะไร ก็เพื่อจะได้รู้ว่า พอมันเข้ามา ปรากฏขึ้นมา..เรารู้ทัน นี่เป็นความสุขแบบไหน และความสุขแบบนี้ ก็แน่นะ..ถ้าเป็นความสุข พอใจทั้งนั้น แต่ทีนี้ความสุขแบบนี้ มันดึงจิตของเรานี่ ให้หนักหน่วงลงไปมากน้อยแค่ไหน เคยสังเกตไหม จริงละมันสุข แต่ทุกข์เพราะสุขอันนั้นบ้างหรือเปล่า ทุกข์เพราะสุขอันนั้นบ้างหรือเปล่า ที่พูดอย่างนี้ทุกข์เพราะสุขอันนั้น..เพราะอะไร เพราะยิ่งสุขมากเท่าไหร่ พอใจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งยึดเหนี่ยวมากเพียงนั้น กลัวมันจะสูญไป กลัวมันจะหายไป กลัวมันจะไม่อยู่ ยึดมั่น นี่ละค่ะ..ในความสุขนี่ ท่านจึงเรียกว่า จริงๆ แล้วไม่มีหรอกสุข มันมีแต่เพียงทุกข์จางไป พอทุกข์จางไป มันเข้าฉากไป สุขก็ออกมานำหน้า คนทั้งหลายก็ตื่นเต้นว่า โอ..นี่สุข แล้วก็รักใคร่พอใจกอดรัดความสุข ฉะนั้นจึงควรศึกษาลักษณะอาการของความสุขทุกชนิด นี่เป็นขั้นที่ ๒ ของหมวดที่ ๒ คือหมวดเวทนา พอศึกษาอาการของความสุข รู้แจ่มแจ้ง ก็ทำให้สงบรำงับ ด้วยอะไร..ลมหายใจ นี่นึกเลยเราจะใช้ลมหายใจอะไร พอจะสงบรำงับแล้วก็..เราก็ต้องทำจิต ทำลมหายใจเพื่อที่ให้จิตนี่สงบเย็น เสร็จแล้วก็ไปขั้นที่ ๓ ของหมวดเวทนา ศึกษาทั้งสุขและทั้งทุกข์ทุกอย่างพร้อมกันหมด เหมือนกับขั้นที่ ๓ ของหมวดที่ ๑ ที่ศึกษาทั้งลมหายใจยาวและสั้น อันนี้ก็ศึกษาทั้งสุขและทุกข์ ทุกข์เพราะเสียของรัก กับทุกข์เพราะเสียตำแหน่ง เหมือนกันไหม ทุกข์เพราะถูกนินทาว่าร้าย กับทุกข์เพราะโจรปล้น เหมือนกันไหม
นี่เราคิดดูเถอะ เอามาเปรียบเทียบกัน เปรียบเทียบกัน..เพื่อจะได้รู้จักลักษณะอาการของทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น แล้วจะได้รู้เท่าทันมัน จะได้รู้เท่าทันมันที่ศึกษานี่ การศึกษาปฏิบัติธรรมก็เพื่อรู้เท่าทัน รู้เท่าทันอาการอารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิต ฉะนั้นจึงต้องละเอียดถี่ถ้วน และไม่กระโดดข้ามขั้น ต้องไปตามลำดับขั้น ถ้าต้องการจะปฏิบัติในลักษณะของอานาปานสติ ทีนี้พอรู้จักลักษณะของเวทนา ทั้งสุขและทุกข์ คือสุขเวทนาและทุกขเวทนาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง รู้แน่ทุกลมหายใจเข้าออก ตอนนี้ก็เลื่อนไปขั้นที่ ๔ ทำให้มันสงบรำงับทั้งหมดเลย เรียกว่ารู้จักเวทนาแล้ว จริงๆ แล้วจะเป็นสุขเวทนาก็ตาม หรือเป็นทุกขเวทนาก็ตาม มันล้วนแล้วแต่เป็น.. จำได้ไหมเป็นอะไร พูดคราวที่แล้ว เป็นมายาเหมือนกันทั้งนั้นจริงไหม สุขเวทนามันก็มายา ทุกขเวทนามันก็มายา ทำไมมันจึงเป็นมายา..ไม่ใช่ของจริง เพราะอะไร เพราะมันไม่อยู่ มันไม่เคยอยู่จริง มันไม่เคยเป็นของเที่ยง..ใช่ไหมคะ ใครมีความสุขในเรื่องใดก็ตามเถอะ แล้วรักษาไว้ได้จนเดี๋ยวนี้ ไม่มี ใครมีความทุกข์ในเรื่องใดก็ตามเถอะ เรียกว่าเจ็บปวดขมขื่น แล้วก็ยังเป็นอยู่ไม่หายไปเลย มีไหม ไม่มี ถ้าคือหากว่ามันไม่หายไป ตายแล้ว ไม่มีลมหายใจอยู่เดี๋ยวนี้ใช่ไหม ทนไม่ได้ ตายแล้ว ตายเพราะความทุกข์ นี่แหละค่ะ เพราะฉะนั้นขอให้จำนะคะ นี่เป็นจุดสำคัญ ถ้าหากว่าใครเห็นเวทนานี่เป็นมายาได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นผู้นั้นจะสามารถควบคุมเวทนาได้อย่างจริงจัง และก็จะเป็นผู้ที่อยู่เหนือเวทนา ถ้าอยู่เหนือเวทนาได้จะเป็นอย่างไรคะ ถ้าอยู่เหนือเวทนาได้จะเป็นอย่างไร..เป็นอิสระ อยู่เหนือเวทนาก็คือเหนืออะไร อีกนัยหนึ่งจะพูดคือเหนืออะไร เหนือความทุกข์นั่นเอง
ถ้าใครอยู่เหนือเวทนาได้ ควบคุมเวทนาได้ ก็คือควบคุมความทุกข์ได้ ความทุกข์เกิดไม่ได้..ดีไหม ที่เราตะเกียกตะกายกันอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเคยเข้าวัดหรือไม่เคยเข้าวัดก็ตาม ล้วนแล้วแต่จะหนีทุกข์กันทั้งนั้นใช่ไหมคะ เพื่อจะไปหาสุข แต่มันก็หาไม่ค่อยพบความสุข เพราะเราไม่รู้เท่าทันความเป็นจริงของมัน เพราะความเป็นจริงของมันนี่ คือความเป็นมายาของทุกอย่าง ไม่มีอะไรให้เราจับต้องได้ แล้วก็ยึดมั่นได้ว่าเป็นของจริงเลยสักอย่าง หรือว่าใครมี ท่านผู้ใดมีก็ลองบอกให้ทราบกันบ้างว่า..ฉันมี ฉันเคยพบ ที่จริงๆ นะมีไหมคะ..ไม่มี ไม่มีใครเคยพบของจริง นี่พอเรามาพูดกันอย่างนี้ ยอมรับ แต่พอไปเผชิญเข้าเป็นอย่างไร ยึดอีก..ใช่ไหมคะ นี่เพราะอะไร เพราะขาดสติ ฉะนั้นการฝึกอานาปานสติหมวดที่ ๑ นี่ เพื่อความมีสมาธิ เพื่อความมีสติ นี่หมวดที่ ๑ นี่เน้นๆ อันนี้เลย เน้นสติ สมาธิ แต่พอมาหมวดที่ ๒ นี่ ก็ยังสติ สมาธิ พร้อมกับเพิ่มปัญญา ปัญญาตรงไหน ถ้าสามารถมองเห็นว่าสุขเวทนากับทุกขเวทนานี้ต่างก็เป็นมายาเหมือนกัน ปัญญาใช่ไหม มีปัญญาเกิดขึ้นใช่ไหม ถ้าใครบอกหัวชนฝา..ไม่จริงๆ เวลาฉันทุกข์ ฉันทุกข์จะตาย ร้องไห้จะตาย ไม่เห็นมันหายไปไหน ฉันร้องไห้ ถึงเวลาสุขฉันก็สุขจริงๆ ฉันหัวเราะจนดังไปก้องโลกนี่ นี่โง่หรือฉลาดในทางธรรม ใช่..ต้องถามตัวเองบ่อยๆ เตือนนะเตือน โง่หรือฉลาดนี่ ที่เอาหัวชนฝาแบบนี้..โง่หรือฉลาด อ้อ..มันโง่จริงๆ มันถึงทุกข์แล้วทุกข์อีก กระเสือกกระสนอยู่กับความทุกข์นั่นแหละ เพราะไม่ยอมรับความจริงของธรรมชาติตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงค้นพบ แล้วก็นำมาบอกเรา
จริงๆ แล้วไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรคงที่มันมีแต่เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งที่สมมุติเรียกว่าความทุกข์ หรือสิ่งที่สมมุติเรียกว่าความสุข เราจะไปเอาอะไรกับมันนักหนา มันไม่มีจริง เพราะฉะนั้นในเวทนานี่ต้องศึกษารู้จักเรื่องของเวทนาทุกอย่างทุกชนิด จนกระทั่งเห็นความเป็นมายาของมัน ถ้าไม่เห็นความเป็นมายาของมัน จะควบคุมมันไม่ได้ ใช่ไหมคะ นี่ลองนึกถึงความเป็นจริงของชีวิตสิคะที่เราผ่านมานะ ผู้ใดที่มีอายุมาก มีประสบการณ์ในชีวิตมาก ก็ยิ่งจะเห็นชัดแล้ว ทำไมถึงลืมเสียละ ต้องขอถามหน่อย ทำไมถึงลืมเสีย ลืมความจริงที่เราประสบแล้วนี่ ทำไมไม่เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์กับชีวิต ประสบการณ์ในชีวิตของมนุษย์นี่นะคะคือ..ธรรมะ เคยสังเกตไหม ประสบการณ์ในชีวิตของมนุษย์นี่คือ..ธรรมะ ธรรมะคือชีวิต ชีวิตคือธรรมะ ถ้าใครเอาชีวิตออกห่างจากธรรมะ ตกนรกตลอดเวลา จริงหรือไม่จริงก็ดูเถอะ ตกกันมากี่รอบแล้วก็ไม่ทราบ เพราะฉะนั้นอันนี้จึงย้ำนะคะ เพราะเวทนานี่สำคัญมาก ในการศึกษานี่พระพุทธศาสนาหรือปฏิบัติธรรม ก็เพื่อให้พ้นจากการเป็นทาสของเวทนา เพื่อไม่ให้เกิดอภิชฌาและโทมนัส นี่เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสตลอดเวลาว่าการที่จะมาปฏิบัติสมาธิภาวนาเพื่อไม่ให้เกิดหรือให้ล่วงพ้นจากอภิชฌาคือความพอใจความติดใจด้วยความโสมนัส พ้นจากความโทมนัสคือความเสียใจ เราก็อยู่กันอย่างนี้ มนุษย์นะ..ใช่ไหมคะ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวพอใจ เดี๋ยวไม่พอใจ ต่างอะไรกับคนบ้านะ นึกดูอีกที ต่างอะไรกับคนบ้า ที่จริงบ้าจริงๆ นะ แต่เราบอกเราเป็นคนดี เราเป็นคนฉลาด เราเป็นคนเก่ง สารพัด แต่ที่จริงเราคือคนบ้า บ้าเพราะอะไร อยู่กับร่องกับรอยไหม..อาการอย่างนี้ ไม่อยู่กับร่องกับรอย เป็นอาการของคนขึ้นๆ ลงๆ เป็นอาการของคนสติไม่ปกติ แต่ว่ายังมีสมอง มีความฉลาด ทำการทำงานได้ ก็เลยเรียกตัวเองว่า ฉันเป็นคนปกติ ฉันเป็นคนเก่ง ฉันเป็นคนฉลาด
แต่ที่จริงไม่ฉลาดหรอกค่ะ ถ้าฉลาดจริง ต้องไม่เป็นทุกข์ นี่แหละค่ะอันนี้ จะพูดกันจะเอากันอยู่ตรงจุดนี้ ถ้าคนฉลาดจริงต้องเอาชนะความทุกข์ให้ได้สิ อย่ายอมเป็นทาสของความทุกข์สิ ก็คืออย่ายอมเป็นทาสของเวทนา ถ้าตราบใดยังยอมเป็นทาสของเวทนา ยังไม่ฉลาด ยังโง่ โง่ตรงนี้ โง่ตรงที่ว่าเมื่อตัวเป็นคนฉลาดจริงมีมันสมองเก่ง ทำไมจึงไม่ควบคุม สั่งสอนอบรมตัวเองให้เอาชนะเวทนาให้ได้ ชนะทีเดียวไม่ได้หรอก จะเอารวบยอดไม่ได้ ก็ชนะไปทีละน้อยๆ โดยวิธีการที่ว่าแล้วนี่ ที่ว่าแล้วคืออะไร ก็คือให้เห็นว่ามันเป็นมายา เพราะมันไม่เที่ยง มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป มันไม่มีตัวตนให้ยึดเลยสักอย่างเดียว นี่คือหลักของพระพุทธศาสนา เพียงแต่มันเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ถ้าเรารับอันนี้ได้เท่านั้นแหละ เราไม่ต้องฆ่าฟันกัน ไม่ต้องเบียดเบียนกัน ไม่ต้องจะเอาอะไรๆ อย่างที่เราเป็นกันอยู่ในสังคมทุกวันนี้เลย แล้วทุกคนก็ต้องการความสงบเย็นใช่ไหมคะ อยากอยู่เป็นสุข ตรงนั้นก็ไม่สุข ร้อน..อยากเย็น แต่ไม่พยายามที่จะพัฒนาจิต อบรมจิตของตนให้อยู่ในความเย็น แล้วความเย็นนั้นจะเกิดขึ้นอย่างไร อย่าไปพูดถึงคนอื่นเขาเลย พูดถึงเฉพาะเราที่นั่งอยู่ด้วยกันที่นี่ ตรงนี้เท่านั้นแหละ ถ้าที่นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยกันนี่ ทำได้..วิเศษแล้วละค่ะ วิเศษแล้วเพราะอะไร เพราะแต่ละคนนี่ก็มีบ้านของตน มีที่ทำงานของตน มีครอบครัวของตน ถ้าทำได้จะเป็นคนเย็นหรือคนร้อน เย็น เย็นอยู่ที่ไหน บ้านเย็นด้วยไหม ถ้าคนเย็นนะ..ก็ทำให้บ้านเย็นด้วย ที่ทำงานก็เย็นด้วย สังคมก็เย็นด้วย เพราะเราต้องการความเย็น
เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเย็นอยู่ตรงไหนเท่านั้นนะ เอาคนเย็นเข้าไปอยู่ตรงที่ที่กำลังจะร้อนลุกเป็นไฟนะ อย่างน้อยก็ช่วยลดผ่อนอัตราของความร้อนลงให้เป็นความเย็นได้ ฉะนั้นไม่ต้องไปพูดว่าก็คนนั้นเขาอย่างนั้น คนนี้เขาอย่างนี้ พอออกไปก็ต้องไปพบอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เราก็ตั้งมั่นของเราสิ เราต้องมาตั้งหลักของเราที่จิตของเรา แล้วก็ออกไปพบ พบแล้วก็รับมือ เอาแพ้..กลับมาสู้ใหม่ มาแก้ไขใหม่ แต่ไม่ใช่แพ้แล้วก็กัดฟันสู้กันละตอนนี้ ฟันต่อฟันตาต่อตา ใช้ไม่ได้..ไม่ใช่ธรรมะ ฉะนั้นนี่คือเวทนา หมวดที่ ๒ คือเวทนา เป็นหมวดที่สำคัญมาก และเรื่องของเวทนานี่ เป็นเรื่องที่ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนถ้าไม่สนใจเรื่องของเวทนา การมาปฏิบัติธรรมก็อยากจะบอกว่าไม่ได้ผลหรอกค่ะ ถึงจะนั่งสมาธิไปเห็นขั้นไหนๆ ก็ตาม พอออกจากสมาธิเป็นไง ก็ตกอยู่เป็นธาตุของเวทนาตามเดิม เพราะฉะนั้นสมาธิอย่างเดียวไม่ได้ช่วยให้พ้นเวทนา เพียงแต่ว่ามีความสงบ มีความนิ่ง สบาย ในขณะที่นั่งสมาธิ แต่พอออกจากสมาธิแล้วก็คือคนธรรมดาที่ลุ่มๆ ดอนๆ ใช้ได้บ้าง ใช้ไม่ได้บ้าง เพราะไม่ได้ใช้ปัญญาขึ้นไปถึงในเรื่องของเวทนา ที่ย้ำอย่างนี้เพราะมันสำคัญจริงๆ ถ้าจะพูดกันต่อไปอีกนะ ไม่ว่าเรื่องอะไรในเรื่องของธรรมะนะคะ มันจะต้องมาลงที่อันนี้เสมอ จะต้องเอาชนะอันนี้ให้ได้ ถ้าเอาชนะสิ่งนี้ไม่ได้จะไปศึกษาธรรมะถึงขั้นไหน เรียกจะบรรยายอริยสัจ ๔ บรรยายปฏิจจสมุปบาทซึ่งเป็นธรรมะขั้นสูงสุดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แต่พอถึงเวทนาเราก็แพ้ เราก็ยังใช้ไม่ได้อยู่นั่นเอง
ฉะนั้น จึงเน้นเรื่องนี้สำคัญ และต้องรู้เวทนาทุกลมหายใจเข้าออก อย่าลืมนะ..เรื่องลมหายใจ ถ้าลืมลมหายใจเมื่อไหร่ จิตมันก็ไม่สงบแล้ว เพราะฉะนั้นการพิจารณาเวทนาก็จะขาดเหตุผล มันจะไม่ได้อยู่เหนือเวทนา แต่มันจะอยู่เหนือเหตุเหนือผล ที่ไม่เข้าเรื่องไม่เข้าราว เพราะฉะนั้นอันนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ทีนี้สมมุติอีกเหมือนกันนะ นี่เราไม่ได้มีเวลาฝึกปฏิบัตินะ สมมุติว่าทุกท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้ ผ่านหมวดที่ ๑ มาแล้วเรียบร้อย ปีติยินดีเกิดขึ้นแล้วนะ ก็ขึ้นไปสู่หมวดที่ ๒ เวทนา ควบคุมเวทนาได้ก็เรียกว่า จิตสงบรำงับในระดับ ๑ เพราะว่าควบคุมเวทนาได้นี่..ใช่ไหมคะ จิตก็สงบรำงับ เวทนาไม่เข้ามารบกวน ตอนนี้ก็จะได้ข้ามขึ้นไป คือไม่ใช่ข้ามหรอก ก็จะต่อขึ้นไปถึงหมวดที่ ๓ คือหมวดจิต ที่ท่านเรียกว่า จิตตานุปัสสนาภาวนา ก็มีอีก ๔ ขั้นเหมือนกัน นี่แหละถึงหมวดสำคัญละนะคะ ขอให้สังเกตนะขั้นที่ ๑ นี่เราพูดถึงกาย ซึ่งอยู่ข้างนอก เป็นเรื่องหยาบ แล้วก็พูดถึงเวทนา ลึกเข้าไปอีกหน่อย เป็นเรื่องของความรู้สึก แต่ก็ยังไม่ได้ละเอียดทีเดียว เพราะเรายังรู้สึกได้ พอเราควบคุมเวทนาได้ ตอนนี้จะเข้าไปถึงเรื่องจิตละ คือเรื่องจิตเรื่องใจ ที่เรามาปฏิบัติสมาธิภาวนานี่ ก็เพื่อจะฝึกอบรมจิตนี่ ตอนนี้เราก็เข้ามาถึงเรื่องจิต ทีนี้พอมาถึงในเรื่องของจิตผู้ปฏิบัติจะทำอย่างไร อย่าลืมนะคะ ยังต้องอยู่กับอะไร ลมหายใจ ต้องอยู่กับลมหายใจอยู่นั่นเอง ก็ยังคงรู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออก แล้วก็แน่นอนละเชื่อว่าตอนนี้จะใช้ลมหายใจอย่างไหนคะ ค่ะ..คือจะยาวจะสั้นก็สุดแล้วแต่นะคะ แต่จะเป็นลมหายใจที่สบาย ที่สบายที่เหมาะกับผู้ปฏิบัติแต่ละคน บางคนอาจจะยาวมาก บางคนอาจจะแค่ปานกลาง ก็สุดแล้วแต่ แต่เป็นลมหายใจที่สบาย ที่สบายที่จะปรุงแต่งกายให้สบาย
เพื่ออะไร..เพราะเราต้องการความสงบ ถ้าหากว่าจิตไม่สงบ เราก็จะมาพิจารณาอะไรไม่ได้ ทีนี้พอมาถึงหมวดจิต หน้าที่ของผู้ปฏิบัติก็คือ ขั้นที่ ๑ ของหมวดจิตหรือขั้นที่ ๙ ของอานาปานสติ เพราะว่าหมวดหนึ่งมี ๔ ขั้นใช่ไหมคะ ผู้ปฏิบัติก็ต้องศึกษาเรื่องของจิตของตนทุกอย่างทุกชนิด พูดง่ายๆ ก็คือทำความรู้จักกับจิต จิตใจของตัวเอง ก็พูดกันนักหนา ฉันรู้หรอกน่า..ใจของฉัน ฉันชอบอะไร ฉันเกลียดอะไร ฉันอยากได้อะไร ฉันรู้ แต่จริงๆ ไม่รู้ๆๆ จักจิตของตัวเอง แล้วก็ส่วนมากมักจะบอกว่า โอ..จิตฉันดี จิตฉันนี่เป็นคนใช้ได้ เป็นคนมีเมตตา เป็นคนใจดี เป็นคนน่ารัก ส่วนมากจะบอกตัวเองว่าจิตของตัวเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นตอนนี้พอจิตสงบนี่นะคะ คือพอสงบนี่ก็เรียกว่ามันเย็น มันค่อนข้างจะอยู่ในเหตุในผล ไม่ค่อยจะเข้าข้างตัวเองมากนักเหมือนอย่างที่เคยเป็น เพราะฉะนั้นพอมาถึงพิจารณาเรื่องของจิตนี่ จึงขอให้ผู้ปฏิบัตินี่อยู่กับลมหายใจ แล้วก็ให้ลมหายใจนี่ปรุงแต่งกายให้สงบรำงับ จิตเย็นสบาย แล้วก็ส่อง..ส่องจิตของตนนี่เข้าไปในจิต พูดอย่างนี้เข้าใจไหมคะ ส่องจิตเข้าไปในจิต คือส่องจิตเข้าไปข้างใน ไปดูสิว่า เออ..จิตของเรานี่เป็นอย่างไร เอาขณะนี้นะคะ ไม่ต้องไปเอาขณะอื่นนะ คือขณะที่กำลังนั่งฝึกปฏิบัตินี่ เออ..จิตของเราเป็นอย่างไร จะเอาอะไรเป็นเกณฑ์มาปฏิบัติ ก็เริ่มด้วยของธรรมดาที่สุด ดูสิมีกิเลสตัวไหนที่มันวิ่งวุ่นอยู่ในจิตนี้มาก กิเลสมีกี่ตัวคะ สอบตกหรือสอบได้ กิเลสมีกี่ตัว ค่ะ..มีราคะ ราคะก็คือโลภ คือโลภะ ตัวเดียวกัน
แต่ถ้าราคะนี้ก็อาจจะหมายถึงเรื่องของทางเพศกามารมณ์ด้วย แต่ก็รวมไปถึงเรื่องของกามคุณ ๕ ด้วย รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จิตของเรานี่มีราคะรบกวนอยู่หรือเปล่า เอาขณะนี้นะคะ ขณะที่กำลังศึกษาปฏิบัติ ไม่ต้องเอาขณะอื่น มันเป็นอย่างไร มีราคะหรือเปล่า จะสังเกตด้วยอะไร จำได้ไหมคะ สังเกตด้วยอะไร..ในเรื่องของกิเลสนี่ ดูที่ตรงไหน..อาการของมัน ก็คือดูว่าอาการที่เกิดขึ้นในจิตเป็นอย่างไร ถ้าเป็นราคะเป็นอย่างไร ดึงเข้ามา นั่นก็อยากได้นี่ก็อยากได้ จะเอาแขนยาวคว้ามาเป็นของเราเสียอย่างเดียว ก็ดูว่าอาการอย่างนี้เกิดขึ้นในจิตตลอดหรือเปล่า มันมีแต่จะกวาดเอามา ดึงเอามาเป็นของฉันๆ ถ้าเป็นเรื่องกามารมณ์ก็หนักไปถึงเรื่องของทางเพศละค่ะ ก็รู้แล้ว หรือไม่หนักไปในทางกามารมณ์ก็อาจจะมาทางเอารูปสวยๆ เอาเสียงเพราะๆ เอากลิ่นหอมๆ เอารสอร่อยๆ เอากายสัมผัสอ่อนโยน นุ่มนวล อะไรทำนองอย่างนั้น เรียกว่าตกอยู่ในเสน่ห์ของกามคุณ ๕ อย่างนี้หรือเปล่า เป็นอย่างนี้หรือเปล่า ส่องเข้าไปแล้วก็ยุติธรรมนะ ตรงไปตรงมา ไม่เข้าข้างตัวเอง ทีนี้เอาละ..ก็พอมี ที่จะบอกว่าไม่มี..มันยาก มันก็พอมี นี่เรียกว่าเบาะๆ มันก็พอมี เออ..มันก็พอมี มันก็ยังไม่หนักเกินไป เอาละดูต่อไป จากราคะหรือโลภะ ก็ไปถึงโทสะ เป็นอย่างไร โทสะมีไหมๆ โทสะอาการเป็นอย่างไรคะ ผลักออกไป ตรงกันข้ามกับราคะหรือโลภะ ผลักออกไป นั่นเข้ามาก็ ไม่เอา..ไปๆๆ เพราะมันไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ..ไป เป็นอย่างนี้หรือเปล่า เราเป็นอย่างนี้หรือเปล่า
แล้วพออันที่ ๓ โมหะ อาการของโมหะเป็นอย่างไรคะ วนเวียน ชุลมุนอยู่นั่นแล้ว ป้วนเปี้ยนอยู่กับเรื่องเดียวนั่นละ บางทีก็เรื่องความคิด โดยมากมันก็ความคิดนั่นแหละ ก็คิดในเรื่องนั้นเรื่องนี้ สารพัด วนเวียนอยู่ แล้วก็ตัดไม่ได้ ดึงไม่ออก เหนียวแน่นมาก แล้วก็เห็นได้ยาก เออ..จิตนี่เป็นอย่างนี้ไหม ในขณะที่อาการของโมหะเข้ามานี่ จิตจะเป็นอย่างไร ราคะ ถ้าเป็นราคะทางกามคุณนะคะ ไม่ใช่กามารมณ์โดยตรง บางทีมันยังมีอะไร อะไรที่พอจะใสๆ อยู่บ้าง แต่ถ้าหากว่าโมหะนี่ จะมัวเมา เข้าลักษณะมัวเมา อะไรมันหมองๆ หม่นๆ อะไรไปหมดนะ มันไม่ค่อยชัดเจน เพราะฉะนั้นอันนี้ก็ดูเป็นอย่างไร ราคะ แล้วก็โทสะ แล้วก็โมหะ มีมากไหมในจิตอันนี้ มีมากมีน้อยก็รู้เองนะคะ แต่ละคนก็รู้ของตนเอง แล้วก็จะได้จดจำเอาไว้ว่า อ้อ..ที่เราคิดว่าเรานี่เป็นคนไม่โลภแล้ว พอมาดูเข้าจริงๆ ส่องเข้าไปจริงๆ อ้อ..มันยังโลภอีกเยอะ หรือที่ว่าไม่โกรธแล้วนี่มันก็ยังโกรธอีกมาก หรือที่ว่าไม่หลงนี่มันหลงอยู่เต็มเปาเลย นั่นก็หลงนี่ก็หลงนู่นก็หลง หลงไปหมดเลย เราก็จะได้รู้ อ้อ..นี่เราจะปล่อยไปอย่างนี้ดีไหม แน่นอนละการที่เราส่องดูจิตเพื่อจะรู้จักมัน แล้วจะได้แก้ไข แก้ไขให้มันเรียบร้อย ให้มันดีขึ้น ให้มันสะอาดขึ้น เบาบางขึ้นตามลำดับ เท่าที่เราสามารถจะทำได้ เพราะไม่สมควรที่จะปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ถ้าปล่อยเป็นอย่างนั้นก็เรียกว่า จิตสกปรก เราไม่ต้องการจิตสกปรก เราต้องการจิตสะอาด
ทีนี้ ผ่านจากเรื่องของราคะ-โทสะ-โมหะแล้ว ก็ดูต่อไปอีกว่า เออ..จิตนี้เป็นอย่างไร มันฟุ้งซ่านไหม มันชอบคิดอะไรปรุงแต่งฟุ้งซ่านไปเรื่อย ไม่เคยอยู่ที่เลย คิดสารพัดเรื่อง แต่เรื่องเหล่านั้นหาสาระประโยชน์มิได้เลยสักอย่างเดียว เป็นอย่างนั้นหรือเปล่าคะ หรือไม่เป็นเลย นี่แหละ..ความคิดนี่แหละ ที่มันทำให้เราเสียเวลาไปมากกับชีวิต ไร้ประโยชน์ แทนที่จะทำอะไรได้ ทำไม่ได้ นี่ก็ดูเรื่องความฟุ้งซ่านมันเป็นอย่างไร มันตั้งมั่นไหม..จิตนี้ ก็แน่นอนละถ้าปล่อยให้มันฟุ้งซ่าน มันจะตั้งมั่นได้ไหมคะ มันก็ตั้งมั่นไม่ได้ มันก็เป็นสมาธิไม่ได้ มันตั้งมั่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่ฝึกมาๆ นี่มันก็ยังไม่พอ ก็ต้องฝึกให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ทีนี้ในส่วนที่เป็นทางลบนะคะ ดูในแง่ของทางลบ เอาละเราก็ไม่ค่อยพอใจ นี่พูดว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติที่ดี มีความซื่อตรงต่อพระธรรม ซื่อตรงต่อตัวเอง เราจึงตัดสิน สอดส่องเข้าไปดูอย่างตรงไปตรงมา เราก็รู้ว่ามันยังใช้ไม่ได้ จะต้องใช้เวลาเพื่อฝึกฝนอบรมนี่อีกให้มากๆ เชียว ถ้าเราอยากจะอยู่เหนือเวทนาให้ได้ มันเกี่ยวข้องกันนะคะ ทีนี้ก็ดูต่อไปว่า แล้วจิตนี้สงบไหม นี่หลังจากที่เราสมมุติว่าเราค้นคว้าดูเรื่องราคะ โทสะ โมหะ ฟุ้งซ่าน ไม่พอใจ พอเรารู้สึกว่าเราดูพอแล้ว เอาละวันนี้เอาแค่นี้ ดูมากนักมันเศร้าหมอง เพราะว่ามันไม่ค่อยจะมีอะไรที่มันน่าชื่นใจ เศร้าหมอง เราก็ทำอย่างไรคะ..วิธีปฏิบัติ เราก็ทำอย่างไร เราก็ใช้ลมหายใจ ทำให้ควบคุม ให้ความรู้สึกต่อราคะโทสะโมหะอะไรที่มันเกาะอยู่ในใจของเรา ให้มันผ่อนไปก่อน ออกไปก่อนให้จิตมันสงบ ให้จิตมันเย็น
แล้วทีนี้ก็มาดูสิว่า ตอนนี้จิตสงบไหม แล้วก็ส่องลงไปดูภาวะของความสงบ นี่คือหยั่งดู นี่นะคะไม่ใช่ของหยาบใช่ไหม การศึกษาธรรมไม่ใช่ของหยาบ เพราะฉะนั้นคนหยาบนี่จะไม่สนใจธรรมะ จะสนใจก็ผิวๆ เผินๆ เปลือกๆ แต่ว่าถ้าศึกษาอย่างละเอียด สนใจอย่างละเอียด ผลที่ได้ก็ไม่ใช่ได้กับคนอื่น ได้แก่เจ้าตัวเอง ไม่ใช่ได้แก่คนอื่น แต่แน่นอนมันต้องลงทุน และไม่ต้องลงทุนเงินทอง แต่ลงทุนความอุสาหะพยายาม ลงทุนว่าชีวิตนี้เกิดมาชีวิตหนึ่งแล้วนี่ มันควรที่จะได้มีความสุขกับเขาบ้าง ไม่ควรจะตกเป็นทาสของเวทนา มันควรที่จะชำระจิตของเราให้สะอาดหมดจดได้ มันถึงจะคุ้มกับการที่เกิดมาเป็นคน เพราะเกิดมาเป็นคนแต่ละครั้งไม่ใช่ของง่าย ยากจริงๆ เพราะฉะนั้นอันนี้ก็ทำให้สงบไป แล้วก็ดูสิว่า เออ..ตอนนี้มันสงบไหม รู้จักไหมจิตสงบเป็นอย่างไร เชื่อว่าทุกคนรู้จัก เพราะเราเคยได้พบมาเหมือนกันนะ เวลาที่เรานั่งสมาธิหรือเราไปนั่งในป่าใกล้ๆ ชายทะเล เย็นๆ สงบๆ นั้นจิตมันก็เย็น มันก็สงบ นั่นคือภาวะของความสงบ ส่องเข้าไปดู พอเห็นว่าความสงบเกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นเพราะเราควบคุมได้นี่..น่าภูมิใจใช่ไหมคะ ดูไปอีกว่าจะทำให้สงบยิ่งกว่านี้อีกได้ไหม มีวิธีศึกษาเพื่อจะพัฒนาอบรมไปในตัว นี่มันสงบอยู่หรอก จะทำให้สงบยิ่งกว่านี้อีกได้ไหม ก็ทำอย่างไรละคะ วิธีทำ..ถ้าจะทำ ก็จดจ่อลงไป เพ่งลงไปที่ความสงบที่มันปรากฏอยู่ภายใน เพ่งลงไปที่ความสงบ ในขณะเดียวกันก็ทุกลมหายใจเข้าออก ลมหายใจนี่ยังอยู่ตลอดเวลานะคะ ทิ้งไม่ได้เลย ทุกลมหายใจเข้าออก เพ่งลงไปที่ภาวะของความสงบที่เกิดขึ้นภายใน ถ้าหากว่าเราเพ่งจดจ่ออยู่อย่างนั้น และในขณะเดียวกันเราก็ควบคุมลมหายใจนี่ให้สงบรำงับยิ่งขึ้นๆ ละเอียดประณีตยิ่งขึ้นๆ ก็แน่นอนที่สุดความสงบจะเป็นอย่างไร ภายในจะเป็นอย่างไร ก็ยิ่งสงบมากขึ้น เป็นธรรมดาใช่ไหมคะ
นี่คือวิธีทำ วิธีปฏิบัติที่แนะนำ นี่วิธีปฏิบัติที่จะดูความสงบ ทีนี้พอใจแล้ว..สมมุติว่าดูจิตเรื่องความสงบนี้พอใจ ดูต่อไป เอ..จิตของเรานี่จะเรียกว่าเป็นจิตใหญ่หรือว่าจิตแคบ เข้าใจไหมคะ จิตใหญ่จิตแคบเป็นอย่างไร..คะ จิตใหญ่เป็นอย่างไร จิตใหญ่ก็เป็นจิตกว้างๆ เป็นจิตกว้างก็คือหมายความว่าเป็นจิตที่มองอะไรด้วยความเมตตากรุณา เป็นจิตที่พร้อมจะให้ มากกว่าพร้อมจะเอา ถ้าเป็นจิตแคบก็แน่นอนนะอยู่บนความเห็นแก่ตัว จิตของเรานี่มันหนักไปในทางไหน ดูเอาให้จริงๆ มันหนักไปในทางไหน แล้วเสร็จแล้วก็ถ้ามันหนักไปในทางแคบ ก็แน่นอนละไม่น่าพึงปรารถนา ก็ปรับปรุงแก้ไขให้เป็นจิตกว้างมากขึ้น นอกจากนี้วิธีที่จะทำให้จิตสงบให้มันเย็นให้มันกว้างมากขึ้นนี่ เราจะต้องแก้ไขที่ตรงไหน ที่มันกว้างไม่ได้เพราะอะไร มันให้ไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันยึดใช่ไหมคะ มันยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของฉัน..ก็เลยไม่อยากให้ เพราะฉะนั้นท่านก็แนะนำว่า ถ้าอยากจะศึกษาให้ละเอียด ก็ลองศึกษาไปถึง..อุปาทาน เรื่องของอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น เรื่องของอุปาทาน เพราะอุปาทานนี่แหละคือต้นเหตุของความทุกข์ ตราบใดที่มนุษย์เราไม่สามารถจะลดละความยึดมั่นถือมั่น ไม่ว่าในสิ่งใดทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะยึดมั่นถือมั่นในตัวตนนี่ อัตตาตัวฉัน ถ้าหากว่าลดละไม่ได้..จิตก็กว้างไม่ได้ ฉะนั้นท่านก็แนะนำให้ศึกษาเรื่องของอุปาทาน ก็มี ๔ อย่าง อันแรกก็คือ กามุปาทาน จะจำชื่อบาลีก็ได้ หรือไม่จำก็ได้ ก็หมายถึงความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องของกาม ทั้งกามารมณ์ ทั้งกามคุณ ๕ ไม่ต้องพูดละเอียดละนะคะ
ที่จริงมันต้องพูดละเอียด แต่คิดว่าจะพอเข้าใจกันอยู่ หรืออันที่ ๒ ก็..ทิฏฐุปาทาน ทิฏฐุ..ก็มาจากคำว่า..ทิฏฐิ แต่แทนที่จะเติมสระอิข้างบน เอาสระอิออกมา มาเติมสระอุข้างล่าง ทิฏฐุปาทาน คือ ทิฏฐิ บวกกับ อุปาทาน เป็น ทิฏฐุปาทาน ก็หมายถึงความยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็นของตนเอง..นี่ร้ายมาก ร้ายมากทีเดียว เพราะทิฏฐุปาทานนี่แหละที่ทำให้มนุษย์นี่ไม่สามารถจะยอมรับอะไรได้ ความเห็นอย่างนั้นอย่างนี้นี่มันเกิดจากอะไร ก็เกิดจากความรู้ที่ได้เล่าเรียนมา หรือว่าได้ศึกษาอบรมมาจากประสบการณ์ในชีวิต จากความเคยชิน จากสิ่งแวดล้อมที่เคยอยู่ อะไรอย่างนี้ มันก็ค่อยๆ หล่อหลอม หล่อหลอมออกมาเป็นทิฏฐิหรือความคิดเห็นว่า ถ้าดีเราก็ต้องอย่างนี้นะ มีมาตรฐานกฎเกณฑ์ของตนเอง ถ้าหากว่า..ไม่ถูกต้อง ก็คือลักษณะอย่างนี้อย่างนี้นะ ใช้ได้ก็คือต้องอย่างนี้อย่างนี้นะ คืออะไรในเรื่องของทิฏฐุปาทานนี่ คือจะยึดถือเอาความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ ของคนอื่นไม่ถูกทั้งนั้น ใช้ไม่ได้ ไม่ยอมรับของผู้ใดทั้งสิ้น และก็เหตุของความขัดแย้งทั้งหลายที่เป็นอยู่ที่ในบ้านก็ดี ในที่ทำงานก็ดี ในสังคมก็ดี ในชาติบ้านเมืองหรือในโลกนี่ก็เกิดจากทิฏฐินี่ ทิฏฐิที่แตกต่างกัน ไม่เหมือนกัน มันเกิดจากสิ่งแวดล้อมของตัวเอง จากความรู้ จากประสบการณ์ ซึ่งแต่ละวัฒนธรรม แต่ละท้องถิ่น มันก็มีแตกกันไปใช่ไหมคะ หรือแม้แต่ละครอบครัวในชาติบ้านเมืองเดียวกัน หรือแม้แต่พี่น้องฝาแฝด..เอาว่าอย่างนั้นเถอะ คลานตามกันมาไม่กี่นาที มันก็ยังแตกต่างกันเลย เกิดจากการอบรม เกิดจากการที่เขาสะสมความรู้สึกอะไรต่ออะไรต่างๆ ขึ้นมา
เพราะฉะนั้น อันนี้เป็นตัวร้ายมาก และถ้าหากว่ายึดมั่นทิฏฐิ ความคิดเห็นของฉันถูกต้องอยู่คนเดียว อันตราย อันตรายกับตัวเจ้าตัวคนนั้นด้วย แล้วก็อันตรายกับหมู่พวกด้วยที่เข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นอันนี้ต้องศึกษาให้ดี เป็นอุปาทานที่แก้ไขยากที่สุด ขัดเกลายากที่สุด แกะยากที่สุด เพราะอะไรละ นี่เดี๋ยวจะเห็นว่ามันไปต่อกันกับอุปาทานตัวที่ ๔ มันโยงไปถึงอุปาทานตัวที่ ๔ มันจึงแกะไม่ค่อยออก ทีนี้ตัวที่ ๓ อุปาทานตัวที่ ๓ คำภาษาบาลียากหน่อย เรียกว่า สีลัพพตุปาทาน แปลเป็นภาษาไทยง่ายๆ ก็คือ ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เคยชินเคยปฏิบัติมา อาจจะเป็นตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่เคยทำกันมา เรื่องเล็กบ้าง เรื่องใหญ่บ้าง เพราะฉะนั้นอันนี้ถ้าหากว่าทำมากๆ ต้องเป็นอย่างนี้ มันก็จะกลายเป็นไสยศาสตร์ ถ้ากลายเป็นไสยศาสตร์ก็จะเป็นการบั่นทอนปัญญาของบุคคลนั้นนะออกไป ทีนี้อุปปาทานตัวที่ ๔ ซึ่งสำคัญมากที่มันโยงกับทิฏฐุปปาทาน ใกล้เคียงกันนั่นก็คือ อัตตวาทุปาทาน อัตตวาทุปาทานก็มาจาก..อัตตา (ตัวตน) บวกกับ อุปปาทาน เป็นอัตตวาทุปาทาน คือความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน นี่แหละสำคัญ ความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตนก็มาจากความคิด..ก็ฉันว่าอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอันนี้ถ้าหากว่าปรับเปลี่ยนทิฏฐินั้นให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ปรับเปลี่ยน อบรมให้เป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิคืออะไร ก็คือทิฏฐิหรือความคิดเห็น เพื่อประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น เกิดขึ้นแก่อะไร เกิดขึ้นแก่การงาน เกิดขึ้นแก่ส่วนรวม ไม่ใช่เกิดขึ้นแก่คนใดคนหนึ่งคนเดียว นี่ถ้าปรับอันนี้เสียได้ ทิฏฐิอันนั้นก็จะเป็นสัมมาทิฏฐิ แต่ถ้ายึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิแห่งตนแต่เพียงผู้เดียว ถึงแม้บางครั้งถูกต้อง แต่ก็เป็นความถูกต้องที่ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิอย่างสิ้นเชิง หรือไม่ใช่สัมมาทิฏฐิอย่างทีเดียว
ฉะนั้น อัตตวาทุปาทานนี่..น่ากลัวมาก ถ้าหากว่าไม่สามารถที่จะจัดการกับอัตตวาทุปาทานได้ละก็ อย่างไรๆ ก็ต้องเป็นทาสของเวทนาจนสิ้นลมหายใจ ทีนี้พอดูว่ามันยึดเหนี่ยว สิ่งที่มันทำให้จิตนี่สงบไม่ได้ ว่างไม่ได้ เย็นไม่ได้ เพราะอุปาทาน ๔ ก็ต้องไปศึกษาทำความเข้าใจกับอุปาทาน ๔ แล้วก็ค่อยๆ ขจัดมันออกไป แล้วทีนี้ก็มาดูอีกว่าสิ่งที่ทำให้จิตสงบไม่ได้ นึกได้ไหมคะ..ว่าอะไรที่เป็นอุปสรรค เราพูดกันตอนแรกๆ ที่เราได้มาคุยกัน นิวรณ์..นี่ก็ร้ายที่สุดอีกเหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสเรื่องนิวรณ์นี่มากที่สุด ถ้าหากว่าไม่สามารถที่จะรู้จักนิวรณ์ให้ดี แล้วก็แก้ไขไม่ให้มันเข้ามารบกวนจิตได้ แน่นอนที่สุดไม่มีวันบรรลุถึงสมาธิ ไม่มีวันไปไหน จะย่ำเท้าอยู่กับที่อยู่อย่างนั้นนะ ที่นั่งสมาธิไม่ได้ ไม่ใช่เหตุอื่น เพราะนิวรณ์นั่นเองมารบกวน นิวรณ์มีกี่อย่างคะ ขอทบทวนสักนิดสิ ไม่ควรลืมนะ..ไม่ควรลืม เราพูดเรื่องนิวรณ์นี่หลายครั้งอยู่นะ ๕ อย่าง อันแรก กามฉันทะ คืออะไรคะ ก็ชื่อมันก็บอกแล้ว กามฉันทะคืออะไร พึงพอใจในกาม แต่กามนี่ก็รวมทั้งกามารมณ์ แล้วก็รวมไปถึงกามคุณ ๕ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส พอนั่งสมาธิเข้า ไปนึกถึง..ไปกินข้าวเมื่อวานนี้..มันอร่อยจริงๆ เอ..แม่ครัวคนนั้นทำอย่างไรนะ ฝีมือถึงวิเศษอย่างนี้ ไปนึกถึงอย่างนั้น เพราะฉะนั้นสมาธิมันก็เลยไม่เข้าสู่จิต อย่างนี้เป็นต้น อันที่ ๒ คืออะไร พยาบาท ตรงกันข้ามกับกามฉันทะ ขัดเคือง ขุ่นแค้น ไอ้นั่นไอ้นี่ บางทีก็นานแล้ว..มันก็กลับมาตอนนั่งสมาธินี่..ดีนักละ มันกลับมา เป็นสัญญากลับมา แล้วก็เราก็ต่อเนื่องมันไป เอามาปรุงแต่งต่อไป มันก็เรื่อยเจื้อยไปเป็นเรื่องอื่น ไม่ใช่เรื่องสมาธิภาวนา..ใช่ไหมคะ..นี่ตัวที่ ๒
ทีนี้ กามฉันทะนี่เป็นลูกน้องของอะไร อย่าลืมว่านิวรณ์นี่มาจากกิเลส กิเลสนี่เราเปรียบเหมือนเสือที่มันตะปบจะเอาตายหรือสาหัส แต่นิวรณ์นี่เหมือนแมลงหวี่ มันไม่เอาตาย..แต่รำคาญไหม แมลงหวี่มาตอมตาอยู่ตลอดเวลา หรือตอมตัว ทำอะไรก็ไม่ได้ ช้างยังกลัวแมลงหวี่เลย ดูสินะถ้าเปรียบช้างตัวแค่ไหน กับไอ้แมลงหวี่ตัวเท่าขี้ตานี่ ช้างยังกลัวแมลงหวี่เลย ถ้าไปฟังนิทานยายกะตา ลองไปหา แต่นี่ไม่เล่าเพราะถ้าเล่าแล้วก็ไม่ได้พูดเรื่องจิตต่อ แต่นั่นนะในเรื่องนั้นนะช้างยังกลัวแมลงหวี่เลย เพราะอะไรละ เพราะแมลงหวี่มันตัวเล็ก ทำไมมันมาตอมตาช้าง ช้างหูใหญ่ก็จริง แต่หูมันอยู่ข้างๆ ใช่ไหมคะ มันไม่สามารถจะมาปัดแมลงหวี่ได้ หางละ โน่น..อยู่สุดไกล ตัวก็ใหญ่มหึมา หางก็เอื้อมมาปัดแมลงหวีไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันกลัวแมลงหวี่ เพราะฉะนั้นนิวรณ์นี่มันร้าย เช่นเดียวกับแมลงหวี่ พอมันมาตอมหัวใจเรานี่ คนปฏิบัติไม่สามารถจะอยู่กับการปฏิบัติได้ วิ่งไปกับมันทันทีเลย เพราะฉะนั้นกามฉันทะนี่ เป็นลูกน้องของใคร โลภะ อย่าลืมนะคะ มันมีอาการแบบเดียวกัน แต่มันแรงกว่า นี่มันกรุ่นๆ อยู่ในใจ ลักษณะของนิวรณ์นี่ต่างกับกิเลสคือ กรุ่นอยู่ในใจ พยาบาทลูกน้องของใคร โทสะ ก็กรุ่นเหมือนกัน อึดอัด ขัดเคือง รำคาญ เขม่น ทำนองนั้น
ทีนี้ ตัวที่ ๓ ..ตัวที่ ๓ ไปแล้ว พึ่งพูดมาเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ... คะ..ถีนมิทธะ ที่จริงนะคิดว่าจะพิมพ์แจก แต่ไม่พิมพ์เพราะถ้ายิ่งพิมพ์แจกยิ่งสบาย ไม่ต้องจำเลย เพราะฉะนั้นไม่พิมพ์ ควรจะจำเอาไว้ในใจ แล้วก็เอามาจัดการประพฤติปฏิบัติให้ได้ ถีนมิทธะคืออะไรคะ อาการของถีนมิทธะเป็นอย่างไร จิตตก สลดนี่ก็คือจิตตก หดหู่ เหี่ยวแห้ง เหมือนกับชีวิตไม่มีหวัง ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง อ่อนเปลี้ยไปหมด ลืมตาขึ้นมาก็ไม่มีแรง ลุกไม่ได้ ไม่อยากทำอะไร นี่แหละ..ถีนมิทธะ และเป็นอาการที่น่ากลัวมาก ลักษณะที่จะเข้าไปอยู่โรงพยาบาลประสาท แล้วก็ต่อไปโรงพยาบาลโรคจิต ถ้าหากว่าไม่แก้ไข นี่เป็นความจริงนะคะ เพราะคนที่อยู่ในอาการของถีนมิทธะนี่ จะมีลักษณะย้ำคิดย้ำทำ ถ้าใครรู้เรื่องจิตเวชบ้างก็จะรู้ว่าการย้ำคิดย้ำทำนี่คืออาการของคนจิตไม่ปกติ คิดอยู่เรื่องเดียว ย้ำคิดย้ำทำ คิดแล้วคิดอีก แล้วก็ทำ ก็ทำอย่างนั้นทำของซ้ำๆ แต่ไม่ได้มีประโยชน์ ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับใครเลย เพราะฉะนั้นจิตมันก็ตก มันก็หดหู่ จนกระทั่งรู้สึกว่าชีวิตของเราไม่มีค่า เป็นอะไรที่ไม่มีคุณค่าเลย มันน่าตายเสียดีกว่า นี่คนที่ฆ่าตัวตายนี่อยู่ในอารมณ์ของถีนมิทธะ น่ากลัวมาก เพราะฉะนั้นพ่อแม่ผู้ใหญ่นี่ถ้าหากว่ามีลูกหลานที่อยู่ในอาการอย่างนี้ต้องเอาใจใส่ ต้องดูแลดึงตัวออกไปวิ่งกลางแจ้งออกกำลังกาย อย่าปล่อยให้อยู่ที่เดียว ถ้าปล่อยให้อยู่ในที่เดียว อารมณ์เดียว ก็ไม่ออกจะยิ่งลึกเข้าไปๆ จนกระทั่งแก้ไขยาก
ฉะนั้น อาการของถีนมิทธะนี้น่ากลัว ต่อไปตัวที่ ๔ อุทธัจจะกุกกุจจะ อุทธัจจะคืออะไรคะ ฟุ้งซ่าน สร้างวิมานในอากาศ ในขณะที่ถีนมิทธะ..จิตตก ลงไปอยู่..ขอโทษ แต่ที่เขาบอกลงไปอยู่ที่เท้านั่นแหละ ถีนมิทธะลงไป อุทธัจจะนี่ก็ขึ้นเลย นี่ขึ้นลอยไปบนฟ้า สร้างวิมานในอากาศ เพ้อเจ้อฟุ้งซ่านไปเรื่อย มันก็อาการไม่ปกติเหมือนกันนั่นแหละ แต่ว่ามันยังไม่น่าสงสารเท่ากับถีนมิทธะ ทีนี้กุกกุจจะนี่ ซึ่งอยู่ด้วยกันนี่นะคะ คือหมายความว่ามันอยู่ในข้อเดียวกันกับอุทธัจจะกุกกุจจะ แต่มันหมายถึงการที่ชอบย้อนนึกถึงว่า ฉันไม่ควรทำอย่างนั้นเลย ฉันไม่ควรทำอย่างนี้เลย ตอนนั้นนะฉันควรจะทำอย่างนี้นะ หรือไปซื้อของมา โอย..ทำไมเมื่อกี้เราไม่ซื้อ..มันถูก ทำไมเราไม่ซื้อ เอ้า..กลับไปซื้อใหม่ดีไหม นี่แหละกุกกุจจะ คิดถึงสิ่งที่มันล่วงไปแล้ว..เสียเวลาเปล่า เพราะไม่ตัดสินใจ ตัวที่ ๕ คืออะไร วิจิกิจฉา คือลังเลสงสัย นี่แหละค่ะท่านบอกว่าเป็นตัวที่ร้ายที่สุด ที่จริงนี่ แหม..อธิบายนิวรณ์นี่หลายครั้งแล้วนะ ซ้ำซากหลายครั้งแล้วนะ แต่มันสำคัญ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าใครปล่อยจิตให้อยู่ในความลังเลสงสัย เป็นคนขี้ลังเล เป็นคนที่ไม่อยากตัดสินใจ โอย..ไม่เป็นไรหรอกนิดเดียวๆ นั่นคือการสั่งสมนิสัยของความลังเล ของความที่เป็นผู้ไม่สามารถจะตัดสินใจได้ แล้วต่อไปโตขึ้นจะเป็นหัวหน้าอะไรใครเขาที่ไหนได้ละ ถ้าหากว่าลูกน้องคนไหนมีผู้บังคับบัญชาที่อยู่ในวิจิกิจฉา ตาย..เพราะไม่รู้วันนี้จะเอาอะไร วันนี้นายจะไปทิศไหน เมื่อวานนี้บอกจะไปตะวันตก อ้าว..วันนี้จะไปทิศเหนือเสียแล้ว ตามไม่ทัน
เพราะฉะนั้น น่ากลัวมากเลยวิจิกิจฉานี่ ท่านจึงเปรียบวิจิกิจฉาเหมือนน้ำในที่มืด ซึ่งมองไม่เห็น มันอาจจะมีจระเข้ มันอาจจะมีงูพิษ มันอาจจะมีซากศพเน่า น่าจะมีอะไรหลายๆ อย่าง เพราะมองไม่เห็น เพราะฉะนั้นวิจิกิจฉานี่เกิดขึ้น จะแก้อย่างไร ต้องรีบแก้ทันที หาสาเหตุ เพราะอะไร ส่วนมากคนที่มีวิจิกิจฉาก็เพราะไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจในตัวเอง เรื่องเพราะความรู้ไม่พอ ประสบการณ์ไม่พอ ความสามารถไม่พอ ก็จะมากลัวไม่พอๆ อยู่ทำไม ก็หาสิ เพิ่มเติมทันที พอเพิ่มเติมรู้มากเข้า ทำอะไรได้มากเข้า มันก็มั่นใจขึ้น..ใช่ไหมคะ วิจิกิจฉาก็หายไป ๓ ตัวหลังนี่มาจากอะไรคะ เป็นลูกน้องของอะไร โมหะ นี่แหละที่โมหะอธิบายยากที่สุด..ว่าโมหะคืออะไร มีลักษณะอย่างไร อธิบายยาก เพราะว่าจะพูดกันแต่เพียงว่าอะไร..โมหะคือหลง โมหะนี่คือหลง หลงอะไรก็ไม่รู้..ไม่รู้ว่าหลงอะไร เพราะฉะนั้นพอเรามาดูนิวรณ์นี่นะคะ นิวรณ์ซึ่งแตกออกมา ๓ มาเป็นถีนมิทธะ มาเป็นอุทธัจจะกุกกุจจะ มาเป็นวิจิกิจฉา ทำให้เราเข้าใจลักษณะของโมหะใช่ไหม นี่แหละถ้าไม่รู้ว่าโมหะที่ท่านบอกว่าหลงๆ นี่คืออะไร มาศึกษานิวรณ์ พอเราดู ๓ ตัวเราจะรู้ อ้อ..ลักษณะของโมหะคือความหลงนี่มันคืออย่างนี้ หลงแล้วก็ทำให้เกิดอาการทั้ง ๓ อย่าง อย่างที่พูดมาแล้ว ฉะนั้นนี่คืออาการของโมหะ นี่แหละจิตที่มันสงบไม่ได้ ก็เพราะนิวรณ์นี่
เพราะฉะนั้น ในขณะที่มาถึงขั้นที่ ๑ ของหมวดที่ ๓ คือเรื่องจิตนี่ ก็ต้องศึกษาดูด้วยว่านิวรณ์ตัวไหนรบกวนมาก ก็เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติจะได้แก้ไข แก้ไขจัดการกับนิวรณ์ตัวนั้นนะ ให้มันลดน้อยลง จนกระทั่งมันค่อยๆ หายไป เพื่อไม่ให้มันเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติ ที่พูดมาว่าให้ศึกษาส่องเข้าไปดูจิตนี่นะ คิดว่าทำคราวเดียวสำเร็จลุล่วงไหม ไม่หรอกค่ะ จะเอาแค่กิเลสนะ จะส่องดูว่าจิตเรานี่มีกิเลสแค่ไหน..ก็เอาครั้งเดียว ครั้งเดียวนี่เป็นชั่วโมงๆ นะ ไม่ใช่ว่าอึดใจเดียว โอ..รู้แล้ว ถ้าอึดใจเดียวรู้แล้ว รับรอง..อย่างไรๆ ก็ต้องเป็นทาสของเวทนาไปจนสิ้นลม เพราะฉะนั้นจะต้องศึกษาอย่างละเอียด กว่าเราจะรู้เรื่องของจิตนี่ อันนี้เป็นสิ่งที่ถ้าจะว่าไปแล้วมีคุณมากนะ การปฏิบัติข้อนี้มีคุณต่อทุกคนมากเลย ก็จะเป็นการทำให้เรารู้ว่าจิตของเรานี่มีความด้อย มีความเด่นแค่ไหน มีจุดอ่อน มีจุดแข็งแค่ไหน มีอะไรที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงแค่ไหน นี่แหละที่จะปรับปรุงจะพัฒนาตัวเอง ต้องศึกษาจิตอันนี้ นี่ไม่ใช่พูดเล่นๆ นะ เป็นของจริง แล้วก็ไม่มีการสอนกันในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัย จะมีแต่มหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ฉะนั้นถ้าใครหันหลังให้มหาวิทยาลัยโรงเรียนของพระพุทธเจ้าก็รับรองจะต้องเดินเข้าไปหาอวิชชาไม่ต้องสงสัย แล้วน่าสงสารน่าสลดแค่ไหน
นี่เป็นขั้นที่ ๑ นะคะของหมวดจิตตานุปัสสนา คือหมวดที่ ๓ ทีนี้พอรู้เรื่องจิตของตัวเอง..พอแล้ว พอใจแล้ว แต่ว่ายังแก้ไม่หมดหรอกนะ เพียงแต่รู้เท่านั้นก็ต่อไปขั้นที่ ๒ ของหมวดนี้ หมวดที่ ๓ ก็ทำจิตให้บันเทิง หมวดจิตตานุปัสสนานี่จุดประสงค์เพื่อที่จะดูความสามารถของผู้ปฏิบัติว่า มีศักยภาพในการที่จะควบคุมจิต ทดสอบพลังจิตของตัวเองนี่ได้มากน้อยเพียงใด อยู่ที่หมวดนี้ นี่เป็นการทดสอบพลังจิต ที่เขาสร้างพลังจิตกันก็นี่..หมวดนี้ เพราะฉะนั้นในขณะที่มองดูสภาพของจิต เชื่อว่าส่วนใหญ่คงจะเป็นอย่างไร ชื่นบานหรือหดหู่ ถ้าหากว่าเราส่องเข้าไปจริงๆ นะ หดหู่..ใช่ไหมคะ โอย..ทำไมเป็นอย่างนี้ ไม่เคยนึกเลย ถ้าหากว่าคนที่ตรงไปตรงมา..ทำไมเป็นอย่างนี้ ไม่เคยนึกเลยว่าจิตของเราจะเป็นได้ถึงขนาดนี้ มันหดหู่ ทีนี้บังคับจิตให้บันเทิง นี่มันกำลังหดหู่นะ..ทำให้มันบันเทิง บันเทิงเริงรื่นขึ้นมาเลย จะทำอย่างไรคะ จะทำอย่างไร อ้าว..อย่าลืมอาวุธสิ อาวุธที่มี..ลมหายใจ อ้าว..หายใจอะไร หายใจยาวลึก ขับไล่อารมณ์หดหู่มันออกไปเสียก่อน ให้มันสงบ ให้มันเย็น ให้ที่มันหดหู่มันไปเสียก่อน ตอนนี้ตั้งต้นใหม่ คือจะตั้งต้นชีวิตใหม่หน่อย เสร็จแล้วก็ทำให้มันบันเทิง หรือบันเทิงไม่ขึ้น ย้อนกลับไปดู มาถึงหมวดที่ ๑ เราก็ทำได้ดีพอใช้นะ แล้วถึงขึ้นมาถึงหมวดที่ ๒ เราก็ควบคุมเวทนาได้ มันน่าจะมีความบันเทิงได้เหมือนกันใช่ไหมคะ นี่เราก็หาสิ่งที่จะทำให้จิตนี่ฟูขึ้นมาได้ เราก็มีความบันเทิง ก็อยู่กับลมหายใจอีกเหมือนกัน ทุกลมหายใจเข้าออก ดูความบันเทิงของจิตนี่
ถ้าหากว่าบันเทิงในธรรมนี่จะดีมาก ถ้าหากว่าบันเทิงทางโลก โอ..เมื่อวานไปดูละครในทีวี น้ำเน่า แหม..นางเอกกรี๊ดกร๊าดดีจริง ตัวอิจฉาก็แสบดีจริง บันเทิงใหญ่เลย นั่นไม่ใช่บันเทิงของธรรมะ นั่นมันบันเทิงของกิเลส..ใช้ไม่ได้นะคะ อย่างนั้นเราก็มาเอาบันเทิงของธรรมะอย่างที่ว่าแล้ว ดูในแง่ของธรรมะ เอาสิ่งที่ เออ..นี่นะพอเรานี่ไม่เคยได้ปฏิบัติธรรมเลย เราไม่เคยได้พบกับความสงบเย็นเลย นี่เรามาปฏิบัติธรรมเรามีความสงบเย็นมากขึ้น บันเทิงไหม รู้สึกบันเทิงในใจไหม ใช่ไหมคะ นี่เอาบันเทิงในทางธรรม เราจะมีความรู้สึกว่า บันเทิงอันนี้มันน่าชื่นบาน มันมีความชื่นบานทุกลมหายใจเข้าออก ดูไปเถอะ ดูไปจนพอใจ พอพอใจต่อไปก็ไปขั้นที่ ๓ ของหมวดที่ ๓ หรือขั้นที่ ๑๑ ของอานาปานุสติ ในขณะที่บันเทิงนี่ สั่งเชียว..ควบคุมมัน สงบ ตั้งมั่น นี่ทดสอบว่าทำได้ไหม ในขณะที่มันกำลังบันเทิง ปลื้มเปรมอะไรต่ออะไรต่างๆ ให้มันสงบ แล้วก็ตั้งมั่น เป็นสมาธิ จะทำไงละคะ ก็ใช้อะไรล่ะ เพื่อนยาก คู่มือ..ลมหายใจ ก็ใช้ลมหายใจที่เรารู้มาแล้วนี่ เพราะฉะนั้นใครที่ไม่ปฏิบัติหมวดที่ ๑ ให้ใช้การได้ มาถึงหมวดที่ ๓ ทำไม่ได้หรอก ทำไม่ได้เลยด้วย เพราะมันจะต้องใช้ลมหายใจนี่ เข้ามาควบคุมบังคับเป็นอันมาก เราจะต้องรู้จักลมหายใจหลายอย่าง อย่างที่เราได้เรียนรู้มาแล้วในหมวดที่ ๑ เออ..ตอนนี้เราจะใช้ลมหายใจอะไรบ้าง จะทำอย่างไรถึงจะให้จิตตั้งมั่นได้ ข้อแรกก็ต้องกำจัดอารมณ์ของความบันเทิง ให้หายไปเสียก่อน และเสร็จแล้วก็ทำจิตนี้ให้สงบ ให้นิ่ง ให้เป็นจิตที่เป็นสมาธิ ไม่ต้องอธิบายนะ เพราะว่าได้ทำมาแล้ว ถ้าหากว่าทำหมวดที่ ๑ ได้นะคะ เชื่อแน่ว่าทำอันนี้ได้ โดยให้รู้จักจำลักษณะของจิตที่เป็นสมาธิ ว่าจะต้องมีลักษณะอย่างไร
หนึ่ง..เคยพูดแล้ว ตั้งมั่น สมาหิโต เป็นจิตที่ตั้งมั่น ตั้งมั่น มั่นคง ไม่วอกแวกไปมา นี่ลักษณะของจิตที่เป็นสมาธิ อันแรก สมาหิโต ตั้งมั่น อันที่สอง ปริสุทโธ คือบริสุทธิ์ บริสุทธิ์จากกิเลสรบกวน คือไม่มีกิเลสรบกวน ไม่มีนิวรณ์รบกวน ไม่มีเรื่องของอุปาทาน ตัณหา อะไรเข้ามารบกวน เพราะฉะนั้นมันจึงบริสุทธิ์ เรียกว่าเป็นจิตที่สะอาด ซึ่งสองอันนี้มันก็เกี่ยวข้องกันนะ ถ้าสมมุติว่ามันไม่บริสุทธิ์ มันก็ตั้งมั่นไม่ได้ ถ้ามันตั้งมั่นได้ มันต้องบริสุทธิ์ นี่มันเกี่ยวข้อง..ต้องไปด้วยกัน ทีนี้พอมีลักษณะตั้งมั่น สมาหิโต ปริสุทโธ บริสุทธิ์ อันที่สามก็คือ กัมมะนีโย กัมมะนีโยนี่คือว่องไว ว่องไวในการทำงาน ก็เพราะว่ามันตั้งมั่นนี่..ใช่ไหมคะ มันก็มีแรง มีกำลัง แล้วก็บริสุทธิ์ด้วย ไม่มีอะไรมารบกวน ก็เหมือนจิตว่าง สะอาด ก็มีพลังในการที่จะทำงานอะไรก็ตามเถอะ จะเป็นงานทางโลกหรืองานทางธรรม ก็ทำได้เต็มที่เลย เพราะฉะนั้นลักษณะทั้งสามอันนี่มันต่อเนื่องกัน ฉะนั้นถ้าผู้ปฏิบัติอยากจะทราบว่าจิตของเราเป็นสมาธิหรือยัง ก็สำรวจดูว่ามันมีอาการทั้งสามอย่างนี้หรือเปล่า มีลักษณะทั้งสามอย่างหรือเปล่า ถ้ามันมีพร้อม..ก็ใช้ได้ ก็เป็นจิตที่เป็นสมาธิ แล้วก็ทุกลมหายใจเข้าออกนะคะ ก็ดูลักษณะของจิตที่เป็นสมาธิอย่างนี้ ดูไปเรื่อยๆ ให้เต็มที่ไปเลยจนพอใจ
ทีนี้ พอพอใจแล้วก็ไปถึงขั้นที่ ๔ ซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายของหมวดจิตก็คือ ตอนนี้ขณะที่มันกำลังตั้งมั่นอยู่นี่ ก็บอกมันว่าคือ ควบคุมมันให้เป็นจิตปล่อย ไม่ให้ตั้งมั่นอยู่อย่างเดียว แต่ให้เป็นจิตปล่อย ปล่อยอะไร ก็คือปล่อยความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง คำตอบง่ายๆ นะ ปล่อยความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง เพราะว่าแม้ว่าจะตั้งจะเป็นจิตที่เป็นสมาธิ ก็ยังไม่เป็นจิตที่เป็นอิสระ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นพอมาถึงขั้นที่ ๔ นี่จึงทดสอบ ทดสอบว่าที่ปฏิบัติมาทั้งหมด ๑๑ ขั้น ขั้นนี้เป็นขั้นที่ ๑๒ ของอานาปานสตินี่ ผู้ปฏิบัติธรรมได้จริงแค่ไหน มีพลังที่จะควบคุมจิตของตนเองแค่ไหน นี่แหละทดลองพลังจิต เพราะฉะนั้นก็ให้มันเป็นจิตปล่อย อะไรๆ ที่เคยยึดมั่นถือมั่นหยิบมาได้เป็นทีละอย่าง ยึดมั่นบ้าน ยึดมั่นลูก ยึดมั่นสามีภรรยา ยึดมั่นการงาน ยึดมั่นการเงิน ยึดมั่นสารพัดยึดมั่นจนสุดท้ายก็คือ ยึดมั่นตัวตน..อัตตาตัวตน นี่แหละค่อยๆ ปล่อยมันไป ทุกลมหายใจเข้าออก อย่าลืมลมหายใจ ถ้าหากว่าไม่มีลมหายใจควบคุมอยู่..หรือไม่อยู่กับลมหายใจ จิตสงบไม่ได้ จะปฏิบัติตามลำดับไม่ได้ ถ้าหากว่าผู้ใดปฏิบัติได้พร้อม พอรู้สึกจิตปล่อยนี่ มันจะเป็นอิสระ แล้วมันก็จะว่าง มันจะรู้สึกว่า พ้นจากความเกี่ยวข้องผูกพันทุกอย่างทุกประการ ทีนี้ถ้าหากว่าผู้ใดปฏิบัติมาจนกระทั่งถึงขั้นนี้คือขั้นที่ ๑๒ หมวดที่ ๓ ของอานาปานสติ ก็เรียกว่าผู้ปฏิบัตินั้นมีจิตพร้อมแล้ว พร้อมที่จะขึ้นไปปฏิบัติในหมวดที่ ๔ ซึ่งเป็นหมวดของวิปัสสนาโดยตรง
หมวดที่ ๒ ก็สมถะบวกวิปัสสนา คือบวกปัญญา หมวดที่ ๓ ก็สมถะ..สตินะคะบวกปัญญา..แต่ยังไม่เต็มที่ พอหมวดที่ ๔ นี่ละก็จะเป็นเรื่องการพัฒนาปัญญา อบรมปัญญา วิปัสสนาโดยตรง ท่านบอกว่าอย่างหมวดที่ ๑ อย่างนี้ ก็เรียกว่า อบรมจิต คือฝึกปฏิบัติเพื่อให้จิตสงบ ถ้าสงบจนถึงที่ในขั้นที่ ๔ นี่ก็จะถึงฌาน ได้ฌาน แต่ถ้าหากว่าปฏิบัติในหมวดที่ ๔ จนกระทั่งชัดเจนแจ่มแจ้ง ทะลุปรุโปร่ง ก็จะเกิดญาณ ญาณทัศนะที่จะเข้าถึงสิ่งที่เป็นจริงได้ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าผู้ปฏิบัตินี่..ที่เราปรับจิตมาตามลำดับ เพื่ออันนี้ เพื่อการปฏิบัติในหมวดที่ ๔ ไม่ใช่เพื่ออะไรอื่น เพื่อให้สามารถพิจารณาธรรม ที่เป็นสัจธรรม ในเรื่องของไตรลักษณ์ได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่ใช่ว่าที่ได้ๆ รู้ๆ นี่ เปล่า..ไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่ เพียงแต่ดีกว่าไม่รู้เท่านั้น แต่ตอนนี้จะต้องปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงได้จริงๆ ให้ลึกซึ้ง จนกระทั่งชัดเจนแจ่มแจ้ง ซึ่งก็มีวิธีที่ท่านจะอธิบาย แต่ถ้าหากว่าไม่เตรียมจิตให้มาได้ขนาดนี้ การที่จะไปปฏิบัติในหมวดที่ ๔ ซึ่งเป็นเรื่องของวิปัสสนาโดยตรงก็จะไม่เป็นไปได้ หรือเป็นไปได้ก็ครึ่งๆ กลางๆ ขาดๆ วิ่นๆ มันจะไม่แจ่มใส มันจะไม่ตลอดรอดฝั่ง นี่ก็เป็นเรื่องของหมวดที่ ๓ จิตตานุปัสสนา มีอะไรสงสัยไหมคะ ถ้ามีก็เชิญถามได้ เพราะนี่จะเป็นการบ้านนะ เป็นการบ้าน มีธุระจะไม่อยู่สักครั้งสองครั้งค่ะ แล้วก็กลับมาต่อ เพราะฉะนั้นระหว่างไม่อยู่ทำการบ้าน ถ้าพอกลับมาครูดุนะ ครูจะดุ ถ้าสมมุติว่าการบ้านที่ฝากไว้นี้ไม่ทำให้เรียบร้อย จะถูกดุ เพราะฉะนั้นสงสัยอะไรถามเสียให้หมด.
นี่พูดถึง คะ..ก็ได้ แล้วก็ถ้าหากว่าจิตเป็นสมาธิจริงๆ พุทโธมันหายไปเองแหละ แต่ตอนที่ไปเอาพุทโธเข้ามาควบนี่ ก็เพราะว่าผู้ปฏิบัตินี่ไม่เก่งพอ จึงต้องเอาคำบริกรรมมาด้วย ไม่สามารถจะอยู่ตามลมหายใจได้อย่างเดียว เพราะลมหายใจนี่มันไม่มีตัวตนที่จะให้จับต้องได้ ฉะนั้นมันก็หลุดได้ง่ายๆ แต่ถ้าจดจ่อจริงอย่างที่บอกนะคะ จ่อจริงๆ เช่น ขั้นที่ ๔ ของหมวด ๑ จ่อจริงๆ คอยรับอยู่ตรงนี้ จิตไม่ไปไหน รับรอง ไม่จำเป็น แต่ถ้าหากว่าใครคิดว่ายังปล่อยพุทโธไม่ได้..ก็ไม่ขัดข้อง ถ้าจิตเป็นสมาธิจริงเมื่อไหร่ พุทโธมันไปเอง คือหมายความว่าหายไปเอง เพราะว่าจิตมันจะมาอยู่กับความสงบมากกว่า
มีอะไรอีกไหมคะ มีอะไรอีกคะ ถ้าทุกครั้งค่ะ เพื่ออะไร เพื่อว่ามันเป็นความราบรื่นของการปฏิบัติ ที่มันควรจะต้องต่อกันไปอย่างนี้ตามลำดับ ค่ะ..ขั้นที่ ๑ เสมอ ก็ถ้าสมมุติว่าเราคล่องหมวดที่ ๑ แล้วนะคะ เราก็เพียงแต่ตามลมหายใจยาวให้มันคล่องทั่วๆ แล้วก็ไปขั้นที่ ๒ ตามลมหายใจสั้น ไม่ต้องอยู่กับมันนานเป็นครึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงเหมือนอย่างตอนเราฝึกครั้งแรก ก็แสดงบอกตัวเราเองแล้วว่าเรายังบกพร่องอยู่เราต้องทำใหม่ให้คล่องแคล่ว มีอะไรอีกไหมคะ