พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 20 กันยายน 2565
ในสมัยพุทธกาล มีหมอท่านหนึ่งซึ่งเก่งมาก เรียกว่าเป็นหมอเทวดาเลย เป็นหมอประจำตัวของพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว คือหมอชีวกโกมารทัต ชื่อนี้นักเรียนแพทย์แผนไทยทุกคนรู้จักดี จะเรียกว่าท่านเป็นปรมาจารย์ของแพทย์แผนไทยก็ได้
ชีวประวัติของท่านน่าสนใจนะ ตอนที่ท่านยังหนุ่มท่านไปศึกษาหาวิชาความรู้ถึงเมืองตักศิลา ซึ่งไกลจากกรุงราชคฤห์มากทีเดียว ตอนนั้นสำนักทิศาปาโมกข์นี่มีชื่อมาก ท่านก็ไปเรียนวิชาแพทย์นานถึง 7 ปี แล้วท่านก็ขยันมาก แต่เรียน 7 ปีเต็มแล้วก็ยังไม่รู้ว่าวิชาความรู้นี่มีพอที่จะรักษาคนไข้หรือยัง แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองเรียนจบแล้วหรือยัง มีอะไรที่ต้องเรียนต่อไหม ก็ไปถามอาจารย์
อาจารย์ก็ทดสอบความรู้ด้วยการให้ชีวกหนุ่มไปสำรวจต้นไม้ทุกชนิดรอบเมืองตักศิลา รัศมี 1 โยชน์ ดูว่ามีต้นไม้หรือพืชใดที่ใช้ทำเป็นยาไม่ได้ ท่านก็ทำตามคำสั่งของอาจารย์เลยนะ เอาจอบเอาเสียมไปแล้วไปตรวจดูต้นไม้ทุกชนิดเลย จะเรียกว่าทุกต้นเลยก็ว่าได้ ก็ไปอยู่หลายวันนะ ไปค้นหา
สุดท้ายก็กลับมาบอกอาจารย์ว่า หาไม่เจอเลยต้นไม้หรือพืชที่ใช้ทำเป็นยาไม่ได้ ทำเป็นยาได้หมดเลยอาจารย์ก็เลยบอกว่างั้นเธอก็สำเร็จการศึกษาแล้ว สามารถจะรักษาคนไข้ได้แล้ว ด้วยเหตุนี้ท่านก็เลยกลับกรุงราชคฤห์แล้วก็บำเพ็ญตนเป็นแพทย์
การค้นพบของท่านในครั้งนั้นน่าสนใจนะ เพราะว่าต้นไม้หรือพืช มันก็มีหลายชนิดนะที่ไม่น่าจะมีประโยชน์แล้วหลายชนิดก็เป็นโทษด้วย ก็คือมีพิษ บางทีก็น่ารังเกียจเพราะเป็นวัชพืช บางทีก็ส่งกลิ่นเหม็น อย่างต้นอุตพิด แต่ว่าท่านก็ยังพบว่ามันใช้เป็นยาได้ ถ้าไม่ใช่ต้นหรือราก ก็อาจจะเป็นผล หรือเม็ดของมัน หรือเปลือกของมัน สามารถใช้ทำเป็นยารักษาโรคได้หมดเลย แม้แต่พืชที่มีพิษหรือวัชพืช ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเอามาปรุงเป็นยาได้อย่างไร จะเอาส่วนไหนมาเป็นยา
การค้นพบของท่านมันน่าสนใจตรงที่ว่า ไม่มีอะไรที่เอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้ ที่จริงมันไม่ใช่แค่พืชนะ ที่ทุกชนิดเอามาใช้ประโยชน์ได้ทั้งนั้น เราอาจจะพูดได้เลยว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งนั้น อันนี้ไม่ใช่เฉพาะรูปธรรมอย่างเดียวนะ นามธรรมด้วย
สิ่งที่เราคิดว่าเป็นขยะน่ารังเกียจส่งกลิ่นเหม็น อันนี้เราก็รู้อยู่แล้วนะว่ามันเป็นประโยชน์ เอามาใช้ทำเป็นปุ๋ยได้ อุจจาระที่เหม็น ที่คนในสังคมเมืองถือว่าเป็นสิ่งปฏิกูลนี่ ในหลายที่หลายแห่ง เช่น ประเทศจีน เขาเอามาทำเป็นปุ๋ย ผลไม้จีนที่อร่อยหอมหวาน ถามว่ามันมาจากไหนนะ มันมีอะไรเป็นปุ๋ย เราก็คงจะรู้นะว่าที่มันหอมหวาน ก็เพราะมันได้ปุ๋ยชั้นดีนะ ก็อุจจาระของคนนี่แหละ
ดังนั้น สิ่งที่คนรังเกียจมันก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ อยู่ที่ว่าเราจะใช้มันอย่างไร พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า “อะไร” ไม่สำคัญเท่ากับ “อย่างไร” อะไรไม่สำคัญเท่ากับว่าเราใช้มันอย่างไร เราจัดการกับมันอย่างไร แม้อะไรที่ว่ามันจะเป็นพิษเป็นภัย เป็นโทษ ส่งกลิ่นเหม็น ปฏิกูล แต่ถ้าเราใช้เป็นใช้ถูกมันก็มีประโยชน์
แก๊สพิษที่ฆ่าคนได้และใช้ในการทำสงคราม มันก็เอามาใช้รักษาโรคช่วยชีวิตคนได้ ยาที่ใช้ทำเคมีบำบัดนี่ จะเรียกว่าทุกชนิดเลยนะที่ใช้รักษามะเร็งนี่ มันล้วนแต่มีที่มาจากแก๊สพิษที่ใช้ในการสงคราม คือแก๊สมัสตาร์ด (Mustard Gas) ที่เป็นแก๊สพิษเลยนะ แต่ว่าเขาก็เอามาใช้ทำเคมีบำบัดได้ กลายเป็นยา ช่วยชีวิตคนได้เหมือนกัน
อันนี้ก็เป็นเรื่องของรูปธรรมนะ นามธรรมก็เหมือนกัน สิ่งที่เรามองว่ามันไม่ดี เช่น กิเลส ตัณหา หรืออารมณ์ที่เป็นอกุศล ถ้าเรารู้จักใช้ มันก็กลายเป็นของดีได้ มีเรื่องเล่าว่าเด็กคนหนึ่งอายุ 13 ขวบเป็นเด็กชาย แม่ก็พาไปกราบหลวงปู่ขาว แม่นำอาหารไปถวายหลวงปู่ขาวด้วย แล้วก็พาลูกชายไปกราบหลวงปู่ขาว
เด็กก็เหลือบไปเห็นในฝาบาตรของหลวงปู่ มีเงาะบ่อกเปลือกออก ขาว เด็กเห็นก็สนใจ เด็กคงไม่เคยกินเงาะนะ หลวงปู่ขาวเห็นท่านก็เลยบอกว่า นี่อยากกินไหม ถ้าอยากกินต้องแลกกันนะ เด็กก็ถามว่า อยากกิน แล้วต้องทำอะไรบ้าง หลวงปู่ขาวบอกว่าก็ต้องนั่งสมาธิ เด็กก็ถามว่านั่งสมาธิยังไง ท่านก็บอก เอาเท้าขวามาทับเท้าซ้าย แล้วก็บริกรรม
เด็กก็ถามว่าบริกรรมยังไง หลวงปู่ขาวท่านก็รู้นะว่ากับเด็กแบบนี้ จะใช้คำพุทโธเป็นคำบริกรรมก็คงไม่เหมาะ เด็กอยากกินเงาะ ท่านก็เลยบอกว่าให้ใช้คำว่าหมากเงาะ นี่แหละเป็นคำบริกรรม (หมากเงาะนี่เป็นภาษาอีสาน) เด็กอยากกินเงาะก็บริกรรม ขณะนั่งสมาธิก็บริกรรมว่า หมากเงาะ หมากเงาะ 2 พยางค์ หายใจเข้าก็คงนึกถึงหมาก หายใจออกก็นึกถึงเงาะ ทำนองนี้แหละนะ
ตอนที่เด็กเริ่มทำใหม่ๆ เด็กก็นั่งหลับตา ทำไปก็เลียปากไป เพราะว่านึกถึงเงาะแล้วมันก็น้ำลายไหล แต่ด้วยความอยาก ก็ทำให้เด็กทำตามที่หลวงปู่สอน ภาวนาด้วยการนั่งสมาธินึกถึงหมากเงาะ ทีแรกก็น้ำลายไหลนะเพราะว่านึกถึงรสชาติของมัน แต่ทำไปสักพักจิตก็นิ่ง เป็นสมาธิแล้วก็รวมลงเป็นหนึ่งเลย
ทำสมาธิอยู่พักใหญ่ๆ ก็ได้ยินเสียงระฆัง เด็กลืมตาขึ้นก็เห็นแต่หลวงปู่ขาวกับตัวเองนั่งอยู่บนศาลา ที่เหลือไม่มีใครแล้ว แม่ก็ไม่อยู่แล้ว ปรากฏว่ามันเป็นเวลาบ่ายสาม เป็นเวลาที่พระต้องรวมกันมาปัดกวาดศาลา เด็กเริ่มนั่งสมาธิตั้งแต่เช้า ตั้งแต่ตอนที่หลวงปู่ขาวยังไม่ทันฉันเลย ปรากฏว่าเด็กนั่งสมาธิจิตรวมเป็นหนึ่งจนถึงบ่ายสามนี่ กี่ชั่วโมง 7-8 ชั่วโมงทีเดียว ไม่น่าเชื่อนะ
แต่ว่าที่เด็กนั่งแล้วก็จิตเป็นสมาธิได้นี่ มันก็เริ่มต้นจากความอยากนะ อยากกินเงาะ ความอยากนี่ก็เป็นตัณหานะ เป็นกิเลส แต่มันก็สามารถจะเป็นตัวเหนี่ยวนำให้เด็กคนนี้เกิดสมาธิได้ อาศัยความอยาก อาศัยตัณหาก็ได้ เป็นเครื่องน้อมจิตให้เกิดเป็นสมาธิซึ่งเป็นธรรมฝ่ายกุศล
กิเลสตัณหานี้มันก็มีประโยชน์ บางครั้งมันก็ทำให้จิตใจรุ่มร้อน แต่ว่าถ้าใช้เป็นมันก็สามารถจะเป็นอุบายหรือเป็นอุปกรณ์ทำให้จิตเกิดความสงบได้ อย่างที่เด็กคนนี้เขาได้ประสบด้วยตัวเอง ที่จริงมันไม่ใช่เฉพาะความอยากที่เป็นตัณหา อารมณ์อกุศลอย่างอื่นก็สามารถจะเป็นตัวน้อมจิตให้เกิดสมาธิได้
มีเณรคนหนึ่งอยู่วัดหนองป่าพง ที่วัดหนองป่าพงนี่ทุกวันหลวงพ่อชาจะแสดงธรรม แสดงธรรมกลางคืน ท่านเทศน์ทีนึงหลายชั่วโมงโดยเฉพาะวันพระจะมีการเทศน์จนเช้าเลย เนสัชชิกไปด้วย แล้วก็ฟังธรรมไปด้วย
คืนหนึ่งหลวงพ่อชาท่านก็แสดงธรรม ยาวเลย เณรก็ง่วง ง่วงก็ได้แต่นึกว่าเมื่อไหร่หลวงพ่อชาจะเลิกหรือหยุดแสดงธรรมสักที ตัวเองนี่ง่วงด้วยแล้วก็เมื่อยด้วย เพราะนั่งนาน นั่งมาหลายชั่วโมงแล้ว แต่หลวงพ่อชาก็ยังเทศน์ไม่หยุดสักที
เณรเกิดความหงุดหงิดขึ้นมาไม่พอใจ ก็นึกบ่นในใจว่าหยุดสักทีๆ เป็นภาษาอีสานว่าเซาซะๆ เซาซะๆ คือหยุดสักที หยุดสักที บ่นอยู่อย่างนี้ หลวงพ่อชาท่านแสดงธรรมไปเด็กไม่ฟังเลย มีแต่เสียงดังอยู่ในหัวว่า เซาซะๆ เป็นเสียงของความหงุดหงิด เป็นเสียงของความโกรธ
แต่ถึงจุดหนึ่ง เณรก็ได้สติขึ้นมาว่า เราไปบอกให้หลวงพ่อชาหยุดเทศน์ แต่ทำไมเราไม่หยุดบ่นสักที ทำไมเราไม่หยุดโวยวายสักที ทำไมเราไม่หยุดหงุดหงิดสักที พอได้คิดเช่นนี้ก็ได้สติ แล้วแทนที่จะบ่นอย่างเดียวก็เริ่มทำสมาธิ สมาธินี่ก็อาศัยคำบ่นนี่แหละมาเป็นคำบริกรรม เซาซะๆ
ใหม่ๆ มันก็มีความหงุดหงิดอยู่นะ เพราะแม้ว่าจะรู้ว่าตัวเองไม่ควรที่จะบ่น ไม่ควรที่จะหงุดหงิด แต่ว่ามันก็มีความรู้สึกหงุดหงิด แต่จิตที่ใฝ่ดีก็ทำให้หันมาทำสมาธิแทน แต่เสียงบ่นมันก็ยังดังอยู่ในใจนะก็เลยเอาเสียงบ่นนั้นมาเป็นคำบริกรรมเสียเลย เซาซะๆ ปรากฏว่าจิตเป็นสมาธิเลย จิตเป็นสมาธิดิ่งเลย มาลืมตาอีกทีสว่างแล้ว
คนอื่นเขาไปกันหมดแล้ว เหลือตัวเองนั่งสมาธิอยู่ จิตเป็นสมาธิดีมากเลยนะ เพราะคำว่าเซาซะ หรือความรู้สึกที่หงุดหงิดรำคาญใจนี่ เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์นี่ มันก็สามารถทำให้เกิดสมาธิได้เหมือนกัน ตัณหา หรือความโลภ หรือความอยาก รวมทั้งโทสะ คือความหงุดหงิด ความโกรธนี่ มันก็สามารถจะเอามาใช้ประโยชน์ เป็นเครื่องน้อมใจให้เป็นสมาธิได้
อันนี้มันก็ชี้ให้เห็นว่าอารมณ์อกุศลนี่ ถ้าเรารู้จักใช้ มันก็มีประโยชน์ แล้วนับประสาอะไรกับเวลาเราเจริญสติแล้วมันมีความคิดที่เราเรียกว่าความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น
แล้วบางทีมันก็เป็นนิวรณ์เสียด้วยนะ ชื่อว่าอุทธัจจะ อุทธัจจะคือความฟุ้งซ่าน แล้วมันไม่ใช่ฟุ้งซ่านอย่างเดียว มันมีความร้อนใจ ความวิตกคือกุกกุจจะ มีความหงุดหงิดเกิดขึ้น บางทีก็มีราคะ โลภะเกิดขึ้น นึกถึงของกิน นึกถึงความสนุกสนาน ซึ่งอารมณ์เหล่านี้มันอาจจะรบกวนจิตใจได้ แต่ว่ามันก็สามารถจะเอามาใช้ประโยชน์ในการภาวนาได้
อย่างที่หลวงพ่อเทียนท่านย้ำอยู่เสมอนะ ความคิดความหลงพวกนี้ มันก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ต้องไปห้ามมัน อย่าไปห้ามคิด อย่าไปผลักไสมัน เพราะว่ามันสามารถจะเป็นแบบฝึกหัดให้สติของเราเติบโต และทำให้เกิดความรู้สึกตัวได้
ความหลงนี่ มันก็มีประโยชน์เหมือนกัน เพราะว่าการเจริญสติของเราจะก้าวหน้าได้ ก็ต่อเมื่อเราหมั่นรู้ตัวว่าเผลอ หมั่นรู้ตัวว่าหลง แล้วเราจะรู้ตัวว่าเผลอ จะรู้ตัวว่าหลงได้ ก็ต่อเมื่อมันมีความเผลอ มันมีความหลงเกิดขึ้น ถ้ามันไม่มีความเผลอความหลงเกิดขึ้น แล้วเราจะรู้ตัวว่าเผลอ รู้ตัวว่าหลงได้อย่างไร และเพราะรู้ตัวว่าเผลอรู้ตัวว่าหลงนี่แหละ ที่ทำให้สติของเราเติบโต รวดเร็ว ฉับไว
มันมีประโยชน์นะ และมันไม่ใช่เป็นตัวส่งเสริมสติ หรือเป็นปุ๋ยบำรุงสติอย่างเดียว มันก็สามารถจะเป็นปุ๋ยบำรุงให้เกิดปัญญาได้ด้วย เพราะว่าอารมณ์อกุศลเหล่านี้ ความดีใจ ความหงุดหงิด ความโลภ หรือนิวรณ์ทั้ง 5 ประการนี้ มันสามารถจะสอนธรรมให้กับเราได้ สอนไตรลักษณ์ให้กับเรา ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เราจะเรียน เราจะเข้าใจเรื่องอนัตตาว่า อารมณ์พวกนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรานี่ ก็ต่อเมื่อมันเกิดขึ้น และมันแสดงให้เราดู ถ้าเราดูเป็น มันก็จะแสดงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาให้เรา ตรงนี้มันก็มีค่าเท่ากับอารมณ์ฝ่ายกุศล เพราะอารมณ์ฝ่ายกุศลก็สอนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาให้กับเราเหมือนกัน
เวลาเราฝึกสมถกรรมฐาน เราก็ปรารถนาอารมณ์ที่เป็นกุศล เช่น ความสงบ สมาธิ ปิติ อารมณ์อย่างอื่นไม่เอาเพราะว่ามันทำให้ใจไม่สงบ แต่ในการเจริญวิปัสสนาซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดปัญญานี้ ไม่ว่าอารมณ์ฝ่ายบวก ฝ่ายลบ ฝ่ายกุศลหรือฝ่ายอกุศลนี่ มันล้วนแต่สอนหรือแสดงไตรลักษณ์ให้กับเราได้เท่าๆ กัน ความดีใจก็สอนไตรลักษณ์ให้กับเราพอๆ กับความเสียใจ
ฉะนั้นถ้าเรารู้จักมอง เราก็จะได้เรียนรู้ว่าอารมณ์พวกนี้มันไม่เที่ยง และมันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วต่อไปเราก็จะมองเห็นไปกระทั่งว่า ไม่ใช่แค่นามหรืออารมณ์ที่มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน รูปนี้ก็เหมือนกัน มันก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเหมือนกัน
เวลามันเกิดเวทนาขึ้นมานี่ ความปวดความเมื่อยมันเป็นของดีนะ มันกำลังแสดงให้เราเห็นว่า รูปนี่เป็นตัวทุกข์ นอกจากมันไม่เที่ยงแล้ว มันก็เป็นตัวทุกข์ด้วย แล้วมันก็ไม่ใช่ของเราเลยนะ เพราะว่าถ้าเป็นของเรา เราก็สั่งให้มันหยุดปวดหยุดเมื่อยได้ แต่ว่าความปวดความเมื่อยเราสั่งให้มันหายไม่ได้ มันไม่ใช่แค่เวทนาที่เป็นอนัตตานะ รูปหรือร่างกายนี้มันก็เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา บังคับบัญชาไม่ได้
มีประโยชน์นะตัวทุกข์นี่ ตัวอกุศลนี่ มันสอนสัจธรรมให้กับเราได้ และที่จริงมันก็เป็นตัวบำรุง ให้เราเกิดความเข้าใจในเรื่องของสัจธรรม และสามารถที่จะยกจิตให้อยู่เหนือความทุกข์ได้ นิโรธซึ่งเป็นอริยสัจข้อที่ 3 นี่จะเข้าถึงได้ มันก็ต้องผ่านอริยสัจข้อแรก
อริยสัจข้อแรก คืออะไร คือทุกข์ ถ้าเราไม่รู้จักทุกข์ เราจะทำพระนิพพานให้แจ้งได้อย่างไร หรือเราจะเข้าถึงนิโรธได้อย่างไร และเราจะรู้จักทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อมีทุกข์เกิดขึ้น ถ้าไม่มีทุกข์เลยนี่ เราจะรู้จักทุกข์ได้อย่างไร และถ้าเราไม่รู้จักทุกข์ เราไม่เห็นทุกข์ เราจะเข้าใจสมุทัย แล้วก็เข้าถึงนิโรธได้อย่างไร รวมทั้งจะเห็นตัวมรรคหรือเอามรรคมาปฏิบัติจนกระทั่งเข้าถึงนิโรธได้อย่างไร
ทุกข์กับความพ้นทุกข์นี่มันเป็นของคู่กันนะ หรือจะพูดว่าทุกข์กับความรู้แจ้งเป็นของคู่กันก็ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นเพราะมีความเกิด ความแก่ และความตาย พระองค์จึงอุบัติขึ้นมาในโลก แล้วพระสัทธรรมที่ทรงแสดงจึงเจริญรุ่งเรือง พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า เป็นเพราะโลกนี้มีทุกข์จึงมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา ไม่มีทุกข์ก็ไม่มีพระพุทธเจ้า
ท่านติชนัทฮันห์ท่านก็เลยพูดไว้ดีนะ ท่านบอกเป็นภาษาอังกฤษว่า “No mud no lotus” ไม่มีโคลนตมก็ไม่มีดอกบัว เพราะมีโคลนตมจึงมีดอกบัวหรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า มีดอกบัวได้เพราะมีโคลนตม ดอกบัว ไม่ได้หมายถึงดอกไม้อย่างเดียวนะแต่หมายถึง ความรู้แจ้งหรือโพธิ ส่วนโคลนตมก็คือความทุกข์รวมทั้งสิ่งที่เป็นปฏิกูล ซึ่งก็รวมถึงอารมณ์ที่เป็นอกุศลด้วย ฉะนั้น โคลนนี่มีประโยชน์นะ มันเป็นสิ่งที่บำรุงดอกบัว เช่นเดียวกับความทุกข์ เป็นสิ่งที่เกื้อกูลให้เกิดการรู้แจ้ง หรือโพธิ
ฉะนั้นเวลาเราเจอความทุกข์ก็อย่าเอาแต่คร่ำครวญเศร้าโศก เพราะว่ามองให้ดีมันก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์เหมือนกัน ไม่ใช่ประโยชน์ในทางโลกอย่างเดียว ประโยชน์ในทางธรรมด้วย ความทุกข์ทำให้หลายคนเข้มแข็ง ทำให้หลายคนเกิดปัญญา สามารถค้นพบหรือสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้มากมาย หรือทำให้เกิดความรู้ความเชี่ยวชาญในการประกอบอาชีพการงาน อันนี้เป็นประโยชน์ทางโลก
แต่ในทางธรรม ความทุกข์มันก็ทำให้เห็นธรรมได้เหมือนกันนะ เจอทุกข์ก็เลยเข้าถึงธรรม เพราะฉะนั้นอะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเราจะใช้มันอย่างไร หรือเราจะมองมันอย่างไร หรือเราจะเกี่ยวข้องกับมันอย่างไร
ส่วนใหญ่เราไปสนใจแต่ว่า “อะไร” มากกว่า “อย่างไร” ขอให้มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับเรา ขอให้สิ่งแย่ๆ อย่าได้เกิดขึ้นกับเรา ถ้าสิ่งแย่ๆ เช่น ทุกข์ เกิดขึ้นกับเราเมื่อไรนี่ ฉันแย่แน่ๆ มันยังไม่ทันแย่หรอกนะ เพราะว่าแม้มันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญคือว่าเราจะใช้มันอย่างไร
อะไร” ไม่สำคัญเท่ากับว่า “อย่างไร” เจออะไร ไม่สำคัญเท่ากับว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร หรือเห็นประโยชน์ของมัน หรือหาประโยชน์จากมันได้อย่างไร อันนี้สำคัญกว่า เพราะฉะนั้นเวลามีอะไรเกิดขึ้นกับเรานี่ โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นลบ ความทุกข์ก็ดี อารมณ์อกุศลก็ดี ลองมองดีๆ นะ ถ้าเรารู้จักใช้มัน มันก็เกิดประโยชน์ได้.