พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 26 มีนาคม 2567
สมัยก่อนพื้นที่ใดก็ตาม เวลามีลิงมาก่อกวนมาอาละวาด ชาวบ้านจะมีวิธีการจัดการกับลิงตัวนั้น เป็นวิธีการที่ไม่รุนแรง ไม่ใช่เอาปืนยิง เป็นวิธีการจับแบบละมุนละม่อม ไม่ใช่ใช้เชือกรัด หรือว่ากับดักที่จะเป็นอันตรายกับลิง วิธีนี้เป็นวิธีที่แพร่หลายไปทั่วโลก เพราะว่าในอเมริกาใต้ แอฟริกาก็ใช้วิธีคล้ายๆกัน
ในบ้านเรา เมืองไทยก็จะใช้มะพร้าว เขาจะเฉือนเปลือกตรงหัวมะพร้าวออก แล้วกะเทาะกะลาให้เป็นรูเล็กๆ เล็กกว่ากำมือของลิง ตรงก้นมะพร้าว ก็เจาะหรือกระเทาะกะลาเพื่อผูกเชือกเอาไว้ ส่วนปลายเชือกอีกด้านหนึ่งผูกกับต้นไม้ ในกะลามะพร้าวใส่อาหารที่ลิงชอบ เช่น ถั่วหรือผลไม้ ปลายอีกข้างหนึ่งก็ผูกติดกับต้นไม้ แล้วไปล่อลิง
พอได้กลิ่นอาหาร ลิงก็มา รู้ว่ามีอาหารอยู่ในกะลามะพร้าว และมีช่องเล็กๆ พอจะให้มือสอดเข้าไปได้ มันก็เอามือล้วงเข้าไปในกะลามะพร้าว แล้วกำอาหารที่ล่อ พอกำเสร็จมันจะดึงมือออกมา แต่ดึงไม่ได้ เพราะว่ารูมันเล็กกว่ามือของลิง ตอนเอามือล้วงเข้าไป ล้วงได้ แต่พอกำถั่วหรือผลไม้ ถึงเวลาดึงมือ ก็ดึงไม่ได้ ก็พยายามดึงอยู่นั่น
แต่ดึงเท่าไหร่ ก็ดึงไม่ออก ดึงเป็นชั่วโมง บางทีดึงทั้งคืน ไม่สำเร็จ หมดแรงอ่อนเพลีย วันรุ่งขึ้นคนก็มาจับลิงไป ตอนนั้นลิงก็ไม่มีแรงสู้แล้ว ที่จริงเวลาพรานจับลิงไปขาย เขาก็จับแบบนี้ ลิงที่มีคนต้องการ เขาก็จับวิธีนี้ ลิงก็ไม่บอบช้ำ
มันไม่ยากที่ลิงต้องการเป็นอิสระ ลิงก็เพียงแค่คลายมือ ถ้าคลายมืออก หยุดกำถั่ว ลิงก็สามารถเอามือออกจากกะลามะพร้าวได้ แต่ลิงร้อยทั้งร้อย เวลากำแล้วไม่ยามแบ ไม่ยอมคลาย ก็กำอยู่อย่างนั้น กะลามะพร้าวก็กลายเป็นกับดักที่ดักลิงเอาไว้ เป็นวิธีที่ชาญฉลาดมาก ใช้ความเข้าใจในธรรมชาติของลิง
ทำไมลิงไม่ยอมคลายมือ เพราะมันเสียดาย อาหารที่มันกำไว้ มันไม่ยอมปล่อย นอกจากเสียดายแล้ว อาจจะความโลภด้วย ของอยู่ในมือแล้วจะปล่อย จะคลายออกมาได้ยังไง ความอยากได้ ความเสียดายก็ทำให้ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมคลายมือออก มันก็เลยเสียอิสรภาพ ติดกับดัก แล้วถูกคนจับได้
ถ้าโชคดีหน่อยเขาก็เอาไปปล่อยที่อื่น แต่ถ้าโชคร้ายเขาก็จะฆ่า หรือเอาไปขาย ดูแล้วเหมือนลิงโง่ มันสามารถเป็นอิสระได้ ถ้าเพียงแต่คลายมือหรือแบมือออก แต่มันไม่ยอมทำ
จะว่าไปแล้วคนเราก็ไม่ต่างจากลิงที่ติดกับดัก เพราะไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง แต่ว่าที่ยึดนั้นไม่ได้ยึดด้วยมือ ที่กำก็ไม่ได้กำด้วยมือ แต่ไปยึดด้วยใจ ใจนี้ไปยึด สิ่งที่รักสิ่งที่หวงแหน เช่น เงินหาย หรือสร้อยทองแหวนเพชรถูกขโมย เสียดายมาก ทั้งที่ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว เป็นของใครเราก็ไม่รู้ แต่ใจก็ยังยึดเอาไว้ ไม่ยอมปล่อย ก็เลยกินไม่ได้นอนไม่หลับ เศร้าโศกเป็นวัน เป็นอาทิตย์ หรือเป็นเดือน
บางคนเล่นการพนัน ทีแรกก็เล่นเพราะว่าชนะ ลงสิบได้ร้อย ดีใจ ก็เลยทุ่มเข้าไปใหญ่ ตอนหลังเล่นแล้วเสีย ทีแรกเสียร้อยหรือเสียพัน แต่ว่ายอมไม่ได้ในสิ่งที่เสียไป มันยังเสียดาย เสียดายเงินที่เสียไป อยากจะเอาคืน ถ้าจะเอาคืนทำยังไง ก็ต้องทุ่มลงหนักขึ้น เช่น เสียร้อยก็แทงพัน ปรากฏว่าโดนรวบ พอเสียพัน ก็ทำใจไม่ได้ ยังอยากจะเอาคืน ก็เล่นต่อ
เล่นไปเล่นมาก็หมดเป็นหมื่น บางทีหมดเป็นแสน ยิ่งเสียเยอะยิ่งยอมไม่ได้ ก็ยิ่งเล่นหนักขึ้น อาจจะเสียเป็นล้าน เสียเป็นล้าน ยิ่งต้องเล่นให้หนักเพื่อจะเอาคืน เพราะเงินที่ลงไปอาจจะไปยืมใครมา ที่จริงถ้าหากว่าเขายอมเสีย ยอมปล่อยเงินที่เสียไป เขาก็จะไม่ต้องตกเป็นทาสของการพนัน และไม่จมอยู่ในวัฏจักรของความชั่วร้ายคือ ยิ่งเล่นยิ่งเสีย แต่ว่าส่วนใหญ่พอเสียแล้วทำใจไม่ได้ ยังยึด ยังเสียดายเงินที่เสียไป ก็เลยตกเป็นทาสของการพนัน
นี่ก็ไม่ต่างกับลิงที่กำแล้วไม่ยอมปล่อย ลิงมันไม่ยอมปล่อยเพราะมันเสียดายถั่วในมือ คนเราก็เหมือนกัน ของที่เสียไป ทำใจไม่ได้ ยังมีความยึดในสิ่งนั้น และมีความหวังว่าอยากจะได้คืน ก็เลยจมอยู่ในความทุกข์ หรือบางทีหนักกว่านั้นคือ ตกเป็นทาส เช่น ทาสการพนัน
ชีวิตหรือจิตใจเป็นอิสระได้ไม่ยาก แค่ปล่อยสิ่งที่เสียไป มันจะมีค่าแค่ไหนก็ปล่อย ปล่อยที่ใจ ไม่กำ ไม่ยึด และไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่เสียไปในเหตุการณ์ที่เป็นอดีต บางทีในยามปัจจุบัน เกิดเหตุที่ทำให้วิตกว่าจะต้องเสียของมีค่าไป ไม่ยอม พยายามเอากลับ พยายามไปกู้มันกลับมาให้ได้ เช่น ไฟไหม้ นึกเสียดายของ จะเป็นสร้อยทองแหวนเพชรหรือเงินที่เก็บไว้ในบ้าน ทำใจปล่อยวางมันไม่ได้
ทนไม่ได้ที่จะเสียมันไป ก็วิ่งเข้าไปในบ้านที่ไฟกำลังโหมกระพือ เพื่อไปเอาของมีค่าเหล่านั้นออกมา ปรากฏว่าแทนที่จะเสียแต่ทรัพย์แต่ก็เสียชีวิตไปด้วย เพราะบ้านมันพังครืนลงมาเสียก่อน ถ้าเกิดว่ายอมปล่อยยอมเสีย อย่างน้อยก็รักษาชีวิตเอาไว้ได้
ไม่ต่างจากคนที่ถูกโจรผู้ร้ายจี้ในซอยเปลี่ยว แล้วเขาก็บอกว่าเอาสร้อยมา เอาแหวนมา หรือบางทีไม่ได้เอาอะไรมาก เอารองเท้าหรือกระเป๋าราคาแพง กระเป๋าบางใบราคาเป็นแสน บางคนหวงรองเท้ามากราคาเป็นหมื่น ยี่ห้อดังคนก็อยากได้ แต่หลายคนเสียดายหวงแหน ใจยังยึดของเหล่านั้นไม่ยอมปล่อยไม่ยอมให้ ก็ต่อสู้ขัดขืน ปรากฏว่าถูกทำร้ายเสียชีวิตหรือพิการ ก็เป็นข่าวทั่วไป
นี่คือโทษของการยึด ยึดยึดติดในของรัก มีความหวงแหน ถึงเวลาแล้ว ในเมื่อต้องสูญเสียมันไปก็ต้องยอม ยอมปล่อย บางอย่างก็สูญไปแล้วแต่ใจไม่ยอม หรือบางอย่างกำลังจะสูญแต่ไม่อยากสูญก็เลยสู้ สุดท้ายก็ตาย ที่ไม่ตายก็มีความทุกข์เศร้าโศก
ลิงเป็นอิสระได้ทันทีเลย ถ้ามันปล่อยมือ แบมือ วางถั่ว วางอาหาร เราก็เหมือนกัน จิตใจสามารถจะเป็นปกติหรือเป็นอิสระได้ถ้ารู้จักปล่อย สิ่งที่เคยรักแต่ว่าสูญเสียมันไป หรือว่ากำลังจะสูญเสียมันไป ยอม เขาเรียกว่าตัดใจ ยอมปล่อยออกไปจากจิตใจเพื่อที่จะเป็นอิสระ มีความสุข
นอกจากความเสียดาย ความหวงแหน มันมีตัวหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังความเสียดาย ความหวงแหน ความอยาก ความยึด นั่นคือ ความยึดมั่นว่าเป็นของกู ความคิดที่ว่าเป็นของกู เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ทั้งลิงและคนไม่ยอมปล่อย ลิงพอกำได้ก็ยึดว่าเป็นของกู ความคิดว่าเป็นของกูนี่ทำให้มันไม่ยอมปล่อย ทั้งที่มันกำลังตกอยู่ในอันตราย ถ้ามันใช้สติใช้ปัญญา มันก็จะรู้ว่าถ้าปล่อยมันก็จะปลอดภัยเป็นอิสระ
คนเราก็เหมือนกันที่ไม่ปล่อยเพราะการคิดว่าเป็นของกู ยิ่งเป็นของกูมากเท่าไหร่ มันก็จมอยู่ในความทุกข์มากเท่านั้น แต่ถ้าการยึดว่าเป็นของกูมันเบาบาง มันก็ทุกข์น้อย ออกจากทุกข์ได้ง่าย
มีผู้หญิงคนหนึ่งออกรถใหม่ รถเบนซ์รุ่นใหม่ ขับได้ไม่กี่วัน มีช่วงหนึ่งรถติดมาก ขยับไปได้ทีละนิด จู่ๆ รถซาเล้งมาชนท้ายรถเบนซ์ เจ้าของรถก็ลงจากรถมาดูสภาพ รถถูกกระแทกเล็กน้อย มีรอยถลอก ปรากฏว่าแกไม่เอาเรื่องซาเล้ง บอกว่าเลิกราต่อกัน แล้วแกก็ขับรถไป มีคนเห็นแล้วถ่ายคลิปไว้เอาไปโพสต์ มีคนสรรเสริญผู้หญิงคนนี้มากว่ารถราคาแพงถูกชน ไม่เอาเรื่องซาเล้ง ถ้าเอาเรื่อง ซาเล้งคงจะลำบาก
ตรงข้ามกับอีกกรณีหนึ่ง ผู้ชายขับรถมินิคูเปอร์ ราคาแพงเหมือนกัน ปรากฏว่ามีรถมอเตอร์ไซด์ไปสะกิดท้ายรถคันนั้น ทีแรกมอเตอร์ไซค์นึกว่าเจ้าของรถไม่รู้ก็เลยถือโอกาสขับรถเลยไป พูดง่ายๆคือหนี สักพักเกิดสำนึกผิด ก็เลยกลับรถแล้วจอดถนนฝั่งตรงข้ามเพื่อที่จะเดินข้ามถนนไปหาเจ้าของรถ
เจ้าของรถพอรู้ว่ารถถูกกระแทก และรู้ด้วยว่าใครกระแทก พอเห็นเจ้าของรถมอเตอร์ไซด์จอดอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็รีบข้ามถนนแล้วไปลากคอเจ้าของรถมอเตอร์ไซด์ ข้ามถนนมาแล้วตบ แล้วพูดว่า “หนีทำไมๆ” แล้วบอกให้กราบรถด้วย “กราบรถกูเดี๋ยวนี้ หนีทำไม” ที่จริงเขาไม่ได้หนี
ทำไมเจ้าของรถถึงมีความโกรธขนาดนั้น นอกจากทำร้ายคนที่เขามากระทบท้ายรถตัวเองแล้วยังบังคับให้เขากราบ นี่เป็นเพราะความลืมตัว คิดว่าเป็นของกู รถของกู ก็เลยทำในสิ่งที่เรียกว่ารุนแรงเกินขอบเขต มีคนถ่ายคลิปเอาไว้แล้วโพสต์ขึ้นเฟสบุค อีกเหมือนกัน คนรุมด่าทั่วเมืองหาว่าทำเกินเลยไป เจ้าของรถคันนั้นก็เลยเสียอนาคต เป็นพิธีกรชื่อดัง ปรากฏว่าถูกเลิกจ้าง คนไม่กล้าจ้าง เพราะทำชื่อเสียหายขนาดนั้น
คนหนึ่งขับรถเบนซ์แต่ไม่เอาเรื่องซาเล้งที่มาเฉี่ยวชนท้าย อีกคนหนึ่งโมโหโกรธามากที่รถมอเตอร์ไซด์มากระแทกท้ายรถของตัวเอง ถึงกับใช้ความรุนแรง ความแตกต่างเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะคนที่เป็นเจ้าของรถมินิคูเปอร์ยึดมั่นว่ารถของกู รถของกู เจ้าของรถเบนซ์ก็คงมีความคิดว่าเป็นรถของกูเหมือนกัน แต่ไม่รุนแรง ฉะนั้นพอเกิดเหตุเขาก็ให้อภัย
แต่เจ้าของรถมินิคูเปอร์ไม่ยอมให้อภัย โกรธมาก สุดท้ายก็ทำในสิ่งที่เป็นการดับอนาคต เพราะตอนหลังก็เสียชื่อ ถูกรุม ประณาม ทั้งประเทศถ้าเกิดเข าให้อภัยเจ้าของรถมอเตอร์ไซด์เหมือนกับเจ้าของรถเบนซ์คงไม่เกิดเรื่อง คงจะมีอาชีพที่มั่นคง เป็นที่ยอมรับ สรรเสริญชื่นชมของผู้คน แต่นี่เรียกว่าเสียอนาคตไปเลย
ความยึดมั่นว่าของกูมันน่ากลัว พอยึดมั่นแล้วมันทำให้ เราตกเป็นทาสของสิ่งที่เรายึดได้ พอเรายึดว่ามันเป็นของเรา เราเป็นของมันทันที เรายอมทำสิ่งที่แย่ๆ เพื่อมันก็ได้ หรือบางทียอมตายเพื่อมันก็ได้ เหมือนคนที่ขัดขืนต่อสู้ผู้ร้าย ไม่ยอมให้ของมีค่าแก่ผู้ร้าย เพราะไปยึดว่าสร้อยของกู แหวนของกู รองเท้าของกู หรือกระเป๋าของกู กลายเป็นว่าเป็นทาสของมัน และยอมตายเพื่อมัน
ที่จริงแล้วนอกจากความเป็นของกูแล้ว ความเป็นตัวกูนี่มันสำคัญ พอไปยึดแล้วมันก็ทำให้เราตกเป็นทาสของความทุกข์ เช่น เวลาใครเขาด่าว่าเรา หรือใครที่เขาทรยศหักหลังเรา เราก็รู้สึกว่าตัวกูถูกกระแทก เกิดความแค้น หลายคนจิตใจจมอยู่กับความแค้น ไม่ใช่เป็นปีเดียวบางทีเป็นสิบปี
อันนี้ก็ไม่ต่างจากลิงที่มันกำถั่วเอาไว้ และมันก็ไม่ยอมปล่อย มันก็เลยไม่เป็นอิสระเสียที หลายคนไม่เป็นอิสระจากอดีต เพราะว่ายังไปยึดมั่นถือมั่นกับเหตุการณ์ในอดีตที่มันกระทบกระแทกตัวกู เขาด่าว่ากู เขาทรยศกู เขาทิ้งกูไป ทั้งหมดนี้มันก็ล้วนแต่กระแทกกระทบตัวกู แล้วยึดเอาไว้
ยึดเหตุการณ์เหล่านั้นเอาไว้ ยึดความแค้นเเอาไว้ ไม่ยอมปล่อย ถ้าเพียงแต่ปล่อย ถือว่ามันเป็นอดีตไปแล้ว ไม่ต้องคิดว่าต้องมีความเข้าใจเรื่องตัวกูของกูก็ได้นะ เพียงแต่คิดว่าเรื่องมันผ่านไปแล้ว เรากลับมาอยู่กับปัจจุบัน กลับมาเริ่มต้นใหม่ เขาก็สามารถจะมีความสุขกับชีวิตในปัจจุบันและวันข้างหน้าได้ แต่คนจำนวนไม่น้อยยังยึดเอาไว้ ยึดเอาไว้ สุดท้ายก็เลยไม่หลุดเสียที ไม่หลุดจากความทุกข์
คนเราสามารถจะหลุดจากความทุกข์ได้ ถ้าเรารู้จักปล่อยรู้จักวาง แต่ผู้คนไม่ได้ตระหนักว่าที่ทุกข์นี้เพราะยึด หลวงพ่อชาท่านพูดว่า ”ทุกข์มีเพราะยึด ทุกข์ยืดเพราะอยาก ถูกมากเพราะพลอย ทุกข์น้อยเพราะหยุด ทุกข์หลุดเพราะปล่อย“ ทุกข์หลุดเพราะปล่อยจริง ๆ ก็เหมือนกับลิง จริงๆ ถ้าลิงปล่อยมือปล่อยถั่ว คลายมือออก มันก็หลุดจากกับดัก
คนเรานี่ถ้าหากว่ารู้จักปล่อยบ้าง ปล่อยจากความทรงจำ ปล่อยความทรงจำที่เจ็บปวด หรือปล่อยจากคนที่เคยรักเคยหวงแหน มันก็หลุดจากทุกข์ได้แต่เป็นเพราะไม่เข้าใจ ไม่รู้ตัว ก็เลยจมอยู่ในความทุกข์เพราะว่ายังยึดยังไม่ยอมปล่อยอยู่นั่นเอง.