พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 3 พฤษภาคม 2567
สมัยที่ยังเป็นเด็ก เรียนหนังสือ ช่วงที่มีความทุกข์มากก็คือช่วงเตรียมสอบ ต้องอ่านหนังสือ แล้วก็ทำแบบฝึกหัด ไม่ค่อยได้เที่ยวเท่าไหร่ แล้วระหว่างที่เตรียมสอบอยู่ มันคิดว่าถ้าเกิดสอบเสร็จเมื่อไหร่วันนั้นเป็นวันที่เรามีความสุขมากเลย แต่พอสอบเสร็จมันก็สุขประเดี๋ยวประด๋าว ดีใจก็ไม่นาน หลังจากนั้นความรู้สึกก็คือมันก็อย่างนั้น ๆ
เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เวลาเรียนหนังสือใกล้ปิดเทอม คิดว่านี่ถ้าปิดเทอมเมื่อไหร่เราจะมีความสุขมากเลย ทุกข์กับการเรียนหนังสือมาตลอดทั้งปี ปิดเทอมเมื่อไหร่นี่เราจะดีใจ ฉลอง แต่ถึงเวลาปิดเทอมมันก็ดีใจไม่นาน หลังจากนั้นก็รู้สึกเฉย ๆ อย่างนั้น ๆ
หลายคนคงมีความรู้สึกทำนองนี้ เช่น เวลาจะไปเที่ยว อาจจะไปเที่ยวในที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชื่อ หรือไปถึงต่างประเทศ ตอนที่วางแผนก็มีความสุข จะได้ไปเที่ยว ได้เห็นสิ่งแปลกหูแปลกตา ได้กินของอร่อย แล้วก็ยิ่งใกล้ถึงวันที่จะได้ไปเที่ยวนี่มันก็ยิ่งมีความสุข แล้วก็คาดหวังว่าพอได้ไปเที่ยวจริง ๆ เราจะมีความสุขมาก เราจะมีความเบิกบานใจ แต่พอได้ไปเที่ยวจริง ๆ มันก็ดีใจประเดี๋ยวประด๋าว แล้วก็รู้สึกเฉย ๆ มันก็อย่างนั้น ๆ
ไม่ใช่แค่ไปเที่ยวอย่างเดียว ไปฉลองปีใหม่ งานเลี้ยงที่ไหน ก่อนไปก็หวาดหวังว่าเราจะมีความสุข ได้เพลิดเพลินแต่พอถึงเวลาจริง ๆ ก็ได้ประสบการณ์ ได้ฉลองปีใหม่กับเขามันก็ดีใจเหมือนกัน แต่มันก็ดีใจไม่ถึงขั้นที่ได้วาดหวังเอาไว้ ก่อนที่จะได้ไปฉลองก็คาดหวังว่าจะสุข 100 แต่พอไปจริง ๆ มันก็สุขแค่ 50 - 60 เท่านั้นแหละ และไม่นานก็ความรู้สึกก็กลับมาเหมือนเดิม
เช่นเดียวกัน บางคนวาดหวังว่าจะได้ไปชมคอนเสิร์ตของดารา นักร้องคนโปรด แค่นึกก็มีความสุขแล้ว แล้วถ้าเกิดว่ามันมีหวังว่าจะได้ไปจริง ๆ หรือมีความคาดหวังว่าน่าจะได้ไปคอนเสิร์ต ก็ยิ่งมีความสุข แล้วก็คาดหวังต่อไปว่านี่ถ้าเราได้ไป ได้ไปฟังคอนเสิร์ตจริง ๆ วันนั้นจะมีความสุขมากเลย พอถึงเวลามันก็สุขแต่มันก็ไม่ถึงขีดที่วาดหวังเอาไว้ แล้วก็ไม่นานมันก็รู้สึกเฉย ๆ
เช่นเดียวกับคนที่รอคอยวันที่ถูกลอตเตอรี่ ไม่ว่ารางวัลใหญ่หรือรางวัลเล็ก หรือแม้แต่รางวัลที่ 1 เวลาฝันว่านี่จะถูกรางวัลที่ 1 โอ้ มันมีความสุขมากเลย แล้วพอถูกจริง ๆ ก็มีความสุขจริง ๆ ดีใจ กระโดดโลดเต้น แต่ว่าความสุขมันก็อยู่ไม่นาน แล้วก็เอาเข้าจริง ๆ ก็อาจจะไม่ได้สุขถึงขีดที่วาดหวังเอาไว้ ผ่านไปไม่นานความสุขก็หายไป ความดีใจก็เลือนหาย แล้วเกิดความรู้สึกทำนองว่า นี่มันก็อย่างนั้น ๆ
ความสุขมันอยู่ได้ไม่นานมาเร็วแล้วก็ไปเร็ว แล้วก็บ่อยครั้งมันไม่ได้ถึงขีดที่คาดหวังเอาไว้ด้วยซ้ำ ถ้ารวมทั้งการมีแฟน บางคนคิดว่านี่ถ้าฉันมีแฟน ฉันจะมีความสุขมากเลย พอสมหวังก็มีความสุข แต่ว่ามันก็ไม่ได้สุขอย่างที่คาดเอาไว้ แล้วก็สุขไม่นาน แล้วก็กลับมามีความทุกข์ มีความวิตกกังวลกับเรื่องเดิม ๆ เรื่องงานเรื่องการ เรื่องครอบครัว ความสุขที่ทำให้ลืมความทุกข์นี่มันก็หายไป จืดจางเร็ว แล้วชีวิตก็กลับมาเหมือนเดิม มันก็อย่างนั้น ๆ
อันนี้มันบอกอะไรเรา มันบอกว่าคนเรานี่เวลาคาดหวังสิ่งที่ถูกใจ สิ่งที่น่าพึงพอใจ เราก็มักจะคาดหวังไว้สูงว่าถ้าสิ่งนั้น ถ้าเกิดสมหวัง ถ้าเกิดได้เจอสิ่งที่ถูกใจ ฉันจะมีความสุขมากเลย แต่เอาเข้าจริง ๆ มันก็ไม่ได้สุขมากอย่างที่คาดหวัง แล้วก็กลับมาเหมือนเดิม
พระหลายรูปเลยตอนที่บวชมาปีสองปีคิดว่า ถ้าฉันได้สึกหาลาเพศไปฉันจะมีความสุขมากเลย มีอิสระได้กินของชอบ ได้ไปเที่ยวที่ไหน แล้วยิ่งถ้ามีโอกาสที่จะได้สึกจริง ๆ เหมือนกับตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันสึก ฉันจะมีความสุขมากเลย แต่พอได้สึกจริง ๆ มันก็มีความสุขอย่างที่วาดเอาไว้แต่ไม่ถึงขนาดที่คาด แล้วก็ผ่านไปแค่วันสองวันก็อย่างนั้น ๆ บางคนถึงกับเสียดายนะไม่น่าสึกเลย เพราะว่ามันไม่ได้มีรสชาติอย่างที่คาดหวังเอาไว้
คนเรามักจะคาดหวังความสุขเกินจริง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่เป็นของชอบของถูกใจ ตอนคิดมันก็มีความสุข แล้วยิ่งมีโอกาสที่จะเป็นจริงยิ่งมีความสุข แต่พอได้สมอยากจริง ๆ มันก็ไม่ได้สุขมากอย่างที่คิดเอาไว้เลย อันนี้เป็นความรู้สึกของหลายคน พระที่สึกหาลาเพศไป คิดว่าจะมีความสุขเมื่อได้กลับไปเป็นฆราวาส แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่เห็นได้สุขอย่างนั้นเลย หรือไม่ต้องอื่นไกล เวลาเข้าพรรษา วันแรก ๆ ก็นับถอยหลังเลยเมื่อไหร่จะได้ออกพรรษาเสียที ออกพรรษาฉันจะมีความสุข ดีใจมากเลย จะมีอิสระ แต่พอออกพรรษาจริง ๆ มันก็ไม่สุขอะไรมาก ก็อย่างนั้น ๆ
คนที่มาปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน มาปฏิบัติธรรม 7 วันหรือ 1 เดือน หลายคนนับวันเลย นับวันที่จะสิ้นสุด หรือจบการปฏิบัติ และคิดว่าวันนั้นฉันจะมีความสุขมากเลย แต่พอถึงวันสุดท้ายของการปฏิบัติหรือเลิกปฏิบัติ มันก็ดีใจแต่ก็ไม่ได้มากอย่างที่คาดหวังเอาไว้ แล้วก็ความสุขความดีใจก็เลือนหายไปเร็ว
อย่างที่บอกคนเรามักจะคาดหวังอะไร คาดหวังสิ่งที่ถูกอกถูกใจนี่เกินจริง คาดหวังรสชาติจากสิ่งที่ถูกอกถูกใจนี้เกินจริง สูงเกินจริง จะพูดอีกอย่างหนึ่งก็ได้คือมันสุขตอนที่คาดหวัง แต่พอได้เจอจริง ๆ ก็ไม่ได้สุขอะไรมาก ก็อย่างนั้น ๆ
อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าธรรมชาติของความสุขชนิดประเภทเหล่านี้ ความสุขจากการที่ได้เจอสิ่งถูกใจ ไม่ว่าถูกลอตเตอรี่ ได้กิน ได้เสพ ได้เที่ยว ได้เจอสิ่งที่ถูกอกถูกใจ ดูคอนเสิร์ต เหล่านี้มันเป็นสุขที่มีรสชาติประเดี๋ยวประด๋าว หรือจะเรียกว่า ใจคนเรามันปรับให้คุ้นชินกับความสุขได้เร็วมาก พอมันคุ้นชินแล้วมันก็เฉย ๆ แล้ว ถ้าจะสุขก็ต้องเจอสิ่งที่มันเข้มข้นกว่าเดิม ถ้าเท่าเดิมก็อย่างนั้น ๆ
ในทางตรงข้าม เวลาเราคาดหวังว่าจะเจอความทุกข์ เรามักจะเกิดความกังวล ความวิตกมากทีเดียว แต่พอเจอเข้าจริง ๆ ก็มันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด หลายคนนี่ตอนเป็นนักเรียนคิดว่าถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ชีวิตนี่จะย่ำแย่มากเลย นี่ฉันหมดอนาคตเลยถ้าฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ แต่พอสอบไม่ได้จริง ๆ มันก็ไม่เลวร้ายอะไรเท่าไหร่ เสียใจเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ได้ถึงกับเสียใจมาก ไม่ได้ถึงกับไม่เป็นผู้เป็นคนอย่างที่คาดเอาไว้
บางคนนี่คิดว่าถ้าตกงานฉันจะแย่แน่ ๆ เลย ครั้นตกงานจริง ๆ มันก็ไม่ได้แย่อย่างนั้น บางคนคิดว่าถ้าแฟนเลิกฉัน เลิกฉันไป ทิ้งฉันไป หรือเลิกกับแฟน ฉันคงอยู่ไม่ได้ เรียกว่าฟ้าถล่มโลกทลาย แต่พอมันเกิดขึ้นจริง ๆ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาดเอาไว้ รวมทั้งคนที่ทำธุรกิจ แล้ววิตกว่านี่ถ้าธุรกิจมันล้มละลาย หรือมันพัง ล้มเหลว คงจะแย่แน่ ๆ เลย ตอนที่คิดนี่มันก็ใจเสีย เกิดความวิตกกังวลมากเลย แต่พอมันเกิดขึ้นจริง ๆ มันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นึก
นี่ก็เหมือนกัน คนเรานี่ไม่เพียงแต่วาดภาพที่พึงปรารถนาด้วยการเล็งผลเลิศเท่านั้น เวลาเรานึกถึงสิ่งที่ไม่พึงปรารถนานี่เราก็มองในทางลบทางร้ายเกินจริงเหมือนกัน บางคนคิดว่ามาปฏิบัติธรรมนี่ฉันคงแย่แน่ ๆ เลย บางคนวิตกกังวล วาดภาพเอาไว้น่ากลัวจนกระทั่งเปลี่ยนใจไม่มาปฏิบัติธรรม ฉันจะอยู่ได้ยังไง ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่พูดไม่คุยกับใคร อยู่คนเดียว ไม่ไหวหรอก นี่คิดเอา แต่พอมาเจอจริง ๆ เออ มันก็อยู่ได้ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดเอาไว้
ไอ้เรื่องแบบนี้มันสอนอะไรเรา มันบอกให้เรารู้ว่าสิ่งที่เราคาดคิดนี่ไม่ว่าทางบวกหรือทางลบ มันมักจะคลาดเคลื่อนกับความเป็นจริง คือมันมักจะสูงหรือมากกว่าความจริง คาดว่าจะมีความสุขมาก ๆ เลย แต่พอสมหวังมันก็ไม่ได้สุขอะไรมาก หรือคิดว่านี่มันคงจะแย่แน่ ๆ เลยถ้าฉันเจอ แต่พอเจอเรื่องจริงมันก็ไม่ได้เลวอย่างที่คิด
สิ่งที่เราวิตกกังวลนี่บ่อยครั้งมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง หรือถึงเกิดขึ้นก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เรานึก ฉะนั้นถ้าเราทบทวนประสบการณ์ของเรานี่มันจะเห็นตรงนี้ชัดเลยว่า ความวิตกกังวลของเราหลายอย่างนี่มันวิตกเกินจริงไป กลัวเกินจริงไป พอเจอเขาจริง ๆ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด หรือบางทีก็ไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ
อันนี้มันสอนใจเราว่า อย่าไปหลงกล หลงเชื่อความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นในจิตใจ ซึ่งมักจะเกิดจากการคิดลบคิดร้าย ปรุงแต่ง พอเราคิดลบคิดร้ายเกินจริง มันก็จะเกิดความกลัวมาก ๆ เลย ถ้าเราเชื่อความคิดนั้นเราก็จะกลัว หรือถ้าเราไม่รู้ทันความคิดนั้นเราก็จะเกิดความวิตกกังวล ไม่รู้ทันอารมณ์นั้นเราก็จะถูกความวิตกกังวลครอบงำ จนกระทั่งบางทีทำให้เราไม่กล้าทำในสิ่งที่ควรทำ เพราะไปวาดภาพว่ามันจะมีอุปสรรคมากมาย มันจะมีความยากลำบาก
หลายคนตัดโอกาสตัวเองในการทำสิ่งดี ๆ ที่มีคุณค่า เพราะไปวิตกกังวลว่าจะต้องเจออุปสรรคต่าง ๆ มากมายที่น่ากลัว อย่างเช่นถ้ามาปฏิบัติธรรมต้องนอนคนเดียวในกุฏิ กลางค่ำกลางคืนนี่ฉันคงอยู่ไม่ได้ ตุ๊กแกเอย งูเอย ผีเอย วาดภาพในทางลบทางร้ายจนกระทั่งไม่กล้ามา ไม่กล้ามาปฏิบัติธรรมก็เลยตัดโอกาสตัวเองในการที่จะได้เรียนรู้สิ่งสำคัญ
ทั้ง ๆ ที่ถ้ามาลองดูจริง ๆ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด จะไปหลงเชื่อไอ้ความกลัวความวิตกกังวลมากเกินไปต้องหัดทักท้วงมันบ้าง หรือเตือนตัวเองว่า มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นึก สิ่งที่กลัวอาจจะไม่เกิดขึ้นจริง หรือถ้าเกิดขึ้นจริงก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาดเอาไว้ อันนี้มันทำให้เรากล้าที่จะเดินหน้า แม้ว่ามันจะมีอุปสรรค แต่เราก็ไม่ขยายอุปสรรคให้มันน่ากลัวเกินจริง หรือถึงจะเผลอขยายในจินตนาการก็ไม่เชื่อมัน เพราะรู้ว่าความจริงมันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างนั้น
ทำนองเดียวกันเวลาเราคาดหวังสิ่งที่ถูกอกถูกใจ แล้วมันมักจะมีการปรุงแต่ง คาดหวังความสุขว่า ถ้าฉันมีอย่างโน้น ถ้าฉันมีอย่างนี้ ถ้าฉันทำอย่างนี้ ฉันจะมีความสุขมาก ๆ ฉันจะมีความสุขที่สุดในชีวิต อย่าไปเชื่อมันนะ เพราะไม่อย่างนั้นจะผิดหวังได้ง่าย อย่างหลายคนยอมสึกเพื่อไปแต่งงาน ไปอยู่กับผู้หญิง คิดว่านี่ฉันจะมีความสุขมากเลยถ้าฉันได้อยู่กับคนนั้นคนนี้
แต่พอไปอยู่เข้าจริง ๆ ไม่เห็นสุขอย่างที่ว่าเลย บางทีเสียดาย ไม่น่าเลย ไม่น่าสึกมาแล้วก็มาใช้ชีวิตแบบนี้เลย หลายคนก็เปลี่ยนใจ สุดท้ายก็กลับมาบวชใหม่ พอรู้ว่า พบว่ามันไม่ได้สวย มันไม่ได้วิเศษอย่างที่นึก
ไปเที่ยวก็เหมือนกัน ไปเที่ยวหรือว่าไปทำอะไรก็ตามที่มันถูกใจกิเลส ไอ้ตอนคิดมันก็มีความสุข และยิ่งคาดหวังว่าจะได้เจอจริง ๆ นี่มันก็ยิ่งมีความสุขเข้าไปใหญ่ แต่พอเจอจริง ๆ ก็อย่างนั้น ๆ มันทำให้ถ้าเรารู้จักทักท้วงมันบ้างมันจะได้ไม่ไปหลง หลงเพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านี้จนกระทั่งยอมสละ ยอมทิ้งสิ่งที่มีค่า และ
ถ้าเรารู้จักทักท้วงมันบ้างเราก็จะได้ไม่ผิดหวัง ไม่ผิดหวังอะไรง่าย ๆ เพราะบางคนคิดว่าถ้าฉันถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ฉันจะมีความสุขมากเลย แต่พอถูกจริง ๆ ก็มีความสุขแต่ว่ามันก็ไม่ได้สุขมาก แถมตามไปด้วยความทุกข์ ความทุกข์หลายอย่าง ความทุกข์เพราะมีคนจะมาขอส่วนแบ่ง มาอ้างความดีความชอบ อ้างบุญคุณ จะไม่ให้ก็ไม่ได้ แต่ให้เขาก็ไม่พอใจเพราะเขาบอกว่าได้น้อย ฉันช่วยเธอมากกว่านี้ ฉันควรจะได้มาก พอให้มากอีกคนหนึ่งก็บอกทำไมฉันได้น้อยกว่าคนนี้ ปวดหัวเลย
อันนี้เขาเรียกว่าเป็นสุขที่ตามมาพร้อมกับความทุกข์ สุขชั่วคราวทุกข์ยาวนาน แล้วถ้าเราหลงเชื่อแบบนี้ ถ้าหลงเชื่อความคิดความคาดหวังนี่ มันก็ทำให้เราไม่มีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะทั้งหมดนี่มันเป็นเรื่องของอนาคตทั้งนั้นแหละ
ที่ครูบาท่านสอนให้อยู่กับปัจจุบันนี่ก็เพราะว่า ถ้าเราไม่ตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบัน มันจะถูกความฝันในอนาคตหลอก ให้เรานี่ไม่มีความพึงพอใจในปัจจุบัน คิดว่าข้างหน้ามันดีกว่า ถ้าสึกไปแต่งงานแล้วฉันจะมีความสุขกว่าตอนนี้ แต่แล้วก็ผิดหวัง หรือว่าถ้าฉันรวยฉันจะมีความสุขกว่าตอนนี้ ก็เลยไปเล่นการพนัน ไปเล่นไปเสี่ยงโชค แต่พอสุดท้ายก็ถ้าไม่รวยก็เป็นหนี้เป็นสิน
อันนี้เพราะไม่เห็นคุณค่าของปัจจุบันเพราะก็ไปหวังความสุขจากอนาคต เพราะไปวาดภาพสวยงาม ทั้ง ๆ ที่ถ้าเกิดว่าสมหวังจริง ๆ ก็ไม่ได้สุขอย่างที่คิดเท่าไหร่ ให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันนี่มันจะทำให้เรานี่ไม่ไปหลงเพลินกับภาพฝันในอนาคต แล้วก็ทำให้เราไม่กลัวไม่วิตกมากกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า
คนเดี๋ยวนี้เครียดมาก วิตกกังวลมาก จนจะประสาทไปเพราะความที่ปรุงแต่ง วาดภาพอนาคตในทางลบทางร้าย ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นลูก ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง หรือว่าอยู่ในสถานะใดก็ตาม
แม้กระทั่งเป็นคนไข้ไปให้หมอตรวจ ยังไม่ทันรู้ผลเลยใจก็ห่อเหี่ยวเสียแล้ว เพราะไปวาดภาพว่า ผลมันคงจะออกมาในทางที่เลวร้าย หรือถ้าเป็นอย่างที่หมอว่า เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ ฉันคงตายแน่ ๆ แต่เอาเข้าจริง ๆ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างนั้น อาจจะไม่เกิดขึ้นหรือถึงเกิดขึ้นจริงก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด แต่เป็นว่าคนเราไปเชื่อความคิด ไปปล่อยให้ความวิตกกังวลที่ชอบปรุงแต่งขยายความให้เกินจริง มันก็เลยไม่มีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ใจเรามันมีความสามารถในการขยายผลทั้งในทางบวกทางลบได้มาก แล้วถ้าเราเชื่อมัน ไม่รู้จักทักท้วง ไม่ว่าทางบวกหรือทางลบนี่เราก็อาจจะเสียผู้เสียคน หรือว่าเป็นทุกข์ได้ ฉะนั้นกลับมาอยู่กับปัจจุบัน พึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ แล้วก็เห็นความสุขจากสิ่งที่มีอยู่ อย่าไปหลงเชื่อกับภาพฝันในอนาคตมาก หรือไปวิตกกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะหนึ่งมันก็ไม่ได้สวยอย่างที่คาดแล้วมันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นึก.