พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 31 พฤษภาคม 2567
เชื่อว่านักเรียนหลายคนในที่นี้คงไม่เคยนอนค้างที่วัดมาก่อน คืนนี้เป็นคืนแรกที่หลายคนจะได้นอนค้างเป็นครั้งแรกในชีวิต ถ้าให้เลือกที่ ๆ เราอยากจะไปน้อยที่สุด ถ้าไม่นับโรงพยาบาลหรือคุกแล้ว ก็คือวัดนี่แหละ
หลายคนถ้าเลือกได้ก็อยากจะไปที่อื่นมากกว่า ไม่ใช่มาวัด หรือมานอนค้างที่วัด เพราะอะไร ก็เพราะว่าในความเข้าใจของนักเรียน มาวัดก็ไม่ได้มีอะไรนอกจากการไหว้พระสวดมนต์ แล้วก็การนั่งสมาธิ รวมทั้งถูกบังคับให้ทำโน่นทำนี่ อยู่โรงเรียนยังดีเสียกว่า เพราะอย่างน้อยก็ยังได้เที่ยว ยังได้วิ่งเล่น ได้กินของอร่อย หรืออาจจะได้เล่นโทรศัพท์มือถือ
แต่พอมาวัดนอกจากทำสิ่งที่ว่าไม่ได้แล้วก็ยังต้องมาสวดมนต์นั่งสมาธิ แล้วก็ถูกบังคับให้ทำนั่นทำนี่ ที่จริงมาวัดเรามาเพื่อเรียนรู้ การเรียนรู้ไม่ได้เกิดขึ้นที่โรงเรียนอย่างเดียว เราสามารถเรียนรู้สิ่งสำคัญจากการมาวัดได้ เรียนรู้อะไร ก็เรียนรู้เรื่องตัวเอง เรียนรู้เกี่ยวกับจิตใจของตัวเอง แล้วก็เรียนรู้ไปถึงชีวิตของตัวเอง อยู่ที่โรงเรียนเราเรียนวิชาการหรือวิชาชีพ วิชาที่ไปประกอบอาชีพได้
แต่ที่วัดนี้เรามาเรียนวิชาชีวิต เพราะถ้าเรามีวิชาชีวิตเราก็สามารถจะนำพาชีวิตให้มีความสุข มีความเจริญงอกงามได้ วิชาการหรือวิชาชีพอาจจะทำให้เราร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นชีวิตที่มีความสุข พอถูกแฟนทิ้ง หรือว่าธุรกิจกิจการงานล่มสลาย คนรักล้มหายตายจาก แม้จะจบปริญญาเอกก็ยังเอาตัวไม่รอด เพราะว่าขาดวิชาชีวิต
เรามาเรียนรู้เรื่องตัวเอง ที่จริงเรื่องตัวเองจะเรียนรู้ที่ไหนก็ได้ แต่ว่าเราสามารถเรียนรู้ได้มากจากการมาวัด ถ้ามาถูกวัด หรือไม่ใช่มาแค่ทำบุญ ไม่ใช่แค่มาเดินเที่ยว เรามาเรียนรู้เรื่องตัวเอง เรามาเรียนรู้เรื่องชีวิต และอาจจะรวมไปถึงการตั้งคำถามกับชีวิตของตัวเองว่า ชีวิตข้างหน้าของเรา เราวาดหวังไว้อย่างไร พวกเราเคยถามตัวเองไหมว่า ชีวิตของเราในวันข้างหน้า อีก 20-30 ปีข้างหน้าเราอยากให้เป็นอย่างไร หลายคนยังไม่เคยถามเลย แม้กระทั่งจะถามตัวเองว่า จบ ม. 6 แล้วจะไปเรียนที่ไหน เรียนอะไร บางคนก็ยังไม่ได้นึกเลย
แต่ว่าเราควรถามเรื่องสำคัญว่า ชีวิตข้างหน้าของเรา เราใฝ่ฝันเราวาดหวังว่าอยากเป็นอย่างไร หลายคนอยากจะมีชีวิตที่ร่ำรวย มีรถหลายคัน มีบ้านหลายหลัง บางคนวาดหวังอยากเป็นดาราจะได้ร่ำรวย จะได้มีชื่อเสียง หลายคนก็อยากจะเป็นนักธุรกิจ หลายคนอยากจะเรียนหมอเพราะว่าจะได้รวยเร็ว ๆ แต่หลายคนก็ไม่ได้คิดเลย คิดเอาไว้บ้างก็ดี เพราะคนเราควรจะมีจุดหมายของชีวิต
แต่ถ้าเราเรียนรู้เรื่องชีวิตเราก็อาจจะตั้งคำถามว่าหรือมีข้อสงสัยว่า ชีวิตที่ร่ำรวย มีชื่อเสียง มีความเด่นดังอย่างดารา หรือว่าคนดังที่เรารู้จักเป็นชื่อที่ดีจริงหรือเปล่า เพราะถ้าเราเรียนรู้เรื่องชีวิตเราอาจจะพบว่ามันมีอะไรที่มากกว่านั้นที่ชีวิตเราต้องการ ถ้าเราเรียนรู้เรื่องชีวิต ใคร่ครวญเรื่องชีวิตจริงจังก็อาจจะพบว่า เงินทอง ชื่อเสียง ความมั่งคั่ง ไม่ใช่หลักประกันแห่งความสุขอย่างแท้จริง ความสุขของชีวิตไม่ใช่การร่ำรวย การมีชื่อเสียง การมีอาชีพที่โดดเด่นเป็นที่รู้จัก
มีผู้คนหลายคนที่ชีวิตเขาร่ำรวย ประสบความสำเร็จแต่แล้วก็ไม่พบความสุข แล้วหลายคนก็มาลงเอยที่วัด มีฝรั่งจำนวนมากที่ชีวิตก็น่าจะร่ำรวยและมีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จได้ แต่เขาก็พบว่าไม่ใช่ แล้วก็เดินทางระเหเร่ร่อน แสวงหาชีวิตที่พึงปรารถนา หรือว่าสิ่งที่เป็นความสุขอย่างแท้จริง แล้วก็มาลงเอยที่วัด อย่างมีฝรั่งหลายคนก็มาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อชาที่ภาคอีสาน แม้หลวงพ่อชาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
มีคนไทยคนหนึ่ง พ่อร่ำรวยมาก เป็นนักธุรกิจใหญ่ที่มาเลเซีย พ่อมีลูกชายคนเดียว แล้วก็วาดหวังว่าจะให้ลูกรับมรดกของพ่อซึ่งมีหลายพันล้าน ปรากฏว่าลูกชายปฏิเสธ แล้วก็เลือกที่จะมาเป็นพระ อยู่อย่างเรียบง่าย ฉันอาหารวันละมื้อ จาริกธุดงค์ในป่า แล้วก็อยู่แบบนี้มาเกือบ 20 ปีแล้ว ทำไมท่านถึงปฏิเสธโอกาสที่จะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี เป็นที่รู้จัก เพราะเขารู้ว่านั่นไม่ใช่ความสุข ไม่ได้ให้ความสุขอย่างแท้จริง ความสุขอย่างแท้จริงมันอยู่ที่ใจ ที่ความสงบ ซึ่งท่านเหล่านั้นก็พบคำตอบจากการได้เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้จิตใจของตัวเองที่วัด
เราก็ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อย่างนั้นที่วัดก็ได้ แต่ว่าวัดก็เป็นสถานที่หนึ่ง หรือพูดให้ถูกก็คือพุทธศาสนาก็สามารถจะให้คำตอบกับเราได้ ทำให้เราพบว่า ชีวิตมีอะไรที่ให้ความสุขกับเราได้ดีกว่าเงินทอง ชื่อเสียง ความมั่งคั่ง ความสำเร็จ ซึ่งเป็นที่ปรารถนาของคนทั้งโลก
มีอาจารย์คนหนึ่ง มีลูกศิษย์หลายคน แต่ว่าลูกศิษย์ที่โดดเด่นมี 2 คน คนหนึ่งชื่อไชยา อีกคนหนึ่งชื่อจิต แต่ส่วนใหญ่อาจารย์ก็โปรดปรานลูกศิษย์ที่ชื่อจิตมากกว่า ไชยาแกก็อิจฉาเพื่อนว่า ทำไมถึงเป็นที่โปรดปรานของอาจารย์ทั้งที่มาทีหลัง แล้วก็รู้สึกว่าอาจารย์ไม่เป็นธรรม อาจารย์ก็รู้
วันหนึ่งอาจารย์เรียก 2 คนนี้มา อาจารย์เป็นชาวอินเดีย เรื่องนี้เกิดขึ้นมาสัก 60 ปีมาแล้ว อาจารย์ก็พาสองคนนี้ไปที่เรือนว่าง อยู่ห่าง ๆ กันแต่ไม่ไกล 2 เรือน เป็นห้องว่าง แล้วก็มอบหมายให้แต่ละคนทำงานชิ้นหนึ่ง โดยให้เงินสองคนนี้คนละ 1 รูปี สมัยก่อน 50 ปีที่แล้วก็ 2 บาท แล้วก็บอกลูกศิษย์สองคนนี้ว่า จะทำอย่างไรก็ได้ ให้เรือนว่างหรือห้องเปล่านี่มันเต็ม เธอแต่ละคน ได้รับมอบหมายไปแล้ว ทำแต่ละห้องให้มันเต็ม แล้วเดี๋ยวเย็นนี้อาจารย์จะมาดูผลงาน
2 บาทหรือ 1 รูปีมันน้อย ไชยาแกก็คิดสักพักแล้วแกก็ไปที่ตลาด แต่ว่าของในตลาดมันราคาแพงมากกว่า 1 รูปีทั้งนั้นแหละ แล้วทำอย่างไรจะให้ห้องมันเต็ม แล้วแกก็คิดได้ ไปหาคนเก็บขยะ เจรจาขอซื้อขยะ เหมาหมดเลย 1 รูปี คนเก็บขยะดีใจ ยินดีเลยเพราะว่าขยะมันไม่มีราคาอยู่แล้ว ไชยาพอเจรจาได้ก็ขนขยะทั้งหมดไปใส่ไว้ในเรือนว่างหรือห้องเปล่าที่ตัวเองได้รับมอบหมาย ขนเป็นชั่วโมงกว่าจะเต็ม ขนเสร็จ ทำงานเสร็จแกก็ดีใจว่า ได้ทำงานที่อาจารย์มอบหมายสำเร็จแล้ว
ส่วนลูกศิษย์อีกคนหนึ่งคือจิต พอได้รับมอบหมาย แกก็ไม่รีบ คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความคิด ก็เลยนั่งสมาธิ พอจิตสงบก็เกิดปัญญาขึ้นมา แล้วก็เดินไปที่ตลาด ไม่รีบ ไปซื้อ 2 อย่าง คือประทีป ก็เหมือนกับเทียน แล้วก็ธูป ซื้อได้ 1 รูปีซื้อประทีปกับธูป แล้วก็กลับมาที่เรือนว่างที่ตัวเองได้รับมอบหมาย เสร็จแล้วพอตกเย็นแกก็จุดประทีปจุดธูปแล้วปิดประตูไว้ ถึงเวลาตอนเย็นอาจารย์ก็มาดูผลงาน ไปที่ห้องของไชยาก่อน พอเปิดประตูอาจารย์ก็ผงะ หงายเลย เพราะว่ากลิ่นขยะมันโชย มันล้นออกมา ผงะเลย
เสร็จแล้วก็เดินไปที่ห้องหรือเรือนเปล่าของจิต พอเปิดประตูออกมาก็เห็นแสงสว่างเต็มห้องเลย แล้วมีกลิ่นหอมลอยออกมา อาจารย์ยิ้ม ไชยาเห็น ก็รู้เลยว่า งานนี้ใครได้คะแนนเต็ม คนหนึ่งคิดว่าห้องจะเต็มได้ต้องเอาขยะใส่เข้าไป แต่คนหนึ่งเพียงแค่จุดธูปแล้วก็จุดประทีป แสงสว่างและกลิ่นหอมที่เต็มห้อง มันดูดีกว่าเยอะเลย ถึงตอนนี้ไชยาก็รู้เลยว่าทำไมอาจารย์ถึงโปรดปรานจิตมากกว่า เพราะว่าจิตมีปัญญามากกว่า
เรื่องนี้ก็สะท้อนมุมมองของคนสองคน หรือมุมมองสองแบบ มุมมองแรกที่ว่าการที่ห้องจะเต็มได้มันต้องเต็มไปด้วยวัตถุสิ่งของ แต่อีกมุมมองหนึ่งบอกว่าแค่แสงสว่างและกลิ่นหอมมันก็พอเพียงแล้วที่จะทำให้ห้องนี้เต็ม คนหนึ่งมองในเชิงวัตถุ อีกคนหนึ่งมองในเชิงของนามธรรม ห้องนี่หมายความว่าอย่างไร จริง ๆ ก็คือชีวิตนั่นแหละ
นี่เป็นคำถาม ชีวิตเราจะเติมเต็มได้อย่างไร ที่เราจะร่ำรวยด้วยอะไร คนสมัยนี้คิดว่าร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติ ด้วยสิ่งที่เป็นรูปธรรม แต่จริง ๆ แล้วความร่ำรวยอีกอย่างก็คือ ร่ำรวยด้วยแสงสว่าง นี่เปรียบเหมือนปัญญา ส่วนกลิ่นหอมเหมือนกับคุณธรรมความดี อันนี้เป็นอุปมาอุปมัยว่าชีวิตเราจะเติมเต็ม คนส่วนใหญ่ก็บอกต้องเติมเต็มด้วยวัตถุสิ่งของ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นขยะ เพราะว่าวัตถุสิ่งของมันเป็นภาระ หลายคนที่มีเงินทองมาก ๆ ทรัพย์สมบัติเยอะแยะ ทรัพย์สมบัตินี้เป็นภาระ
รถราคา 20 ล้าน ซุปเปอร์คาร์ มีตั้งสิบยี่สิบคัน จะขับทีเดียวก็ขับได้แค่ทีละคัน ไปจอดที่ไหนก็ต้องระวังว่าจะมีคนเอาหินมาขูดหรือมาขีดสีหรือเปล่า แม้แต่จอดรถไว้ในบ้านก็ต้องกลัวมดกลัวหนูจะมากัดสายไฟ กัดสายไฟทีหนึ่งก็ต้องซ่อม เป็นหลายหมื่น เพราะฉะนั้นก็ต้องสร้างอู่ให้มันอยู่ ติดแอร์
เคยไปเห็นไหมบ้านเศรษฐี Lamborghini 20 ล้าน ต้องอยู่ในห้องกระจกติดแอร์ กันหนูเข้า เป็นภาระ แล้วพอซื้อมาแล้วไม่ทันได้ใช้ก็เบื่อ ก็ซื้อคันที่ 2 ตอนที่ซื้อมาก็ดีใจ แต่พออยู่ไปก็เบื่อ จะมีความสุขได้ต้องซื้อคันที่ 3 เสร็จแล้วก็เบื่ออีก ก็ต้องซื้ออีกครั้งที่ 4 สุดท้ายซื้อมา 20 คันก็ยังไม่มีความสุขอย่างแท้จริง ยังไม่มีความพอใจแถมต้องเป็นภาระ ต้องดูแลรักษา
บางคนอาจจะไม่ได้มีเงินมากถึงกับซื้อรถซุปเปอร์คาร์ แค่โทรศัพท์มือถือสักเครื่องหนึ่งได้ก็มีความสุขแล้ว ซัมซุง ไอโฟน แต่พอหายขึ้นมาก็ทุกข์ เสียใจ บางคนเสียใจมากเลย โทรศัพท์ถูกขโมย บางคนก็แค่ตกรุ่นก็เสียใจแล้วรู้สึกไม่เท่ นี่เรียกว่าเป็นภาระ นี่เรียกว่าทุกข์ ทุกข์ที่ตามมาพร้อมกับสิ่งของ ไม่ให้ความสุขอย่างแท้จริง
ในทางตรงข้าม การทำความดีมีคุณธรรมและการมีปัญญา อันนี้ให้ความสุขกว่า พวกเราควรจะรู้จักความสุขที่ดีกว่าการกิน ดื่ม เที่ยว เล่น ช็อป ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่รวมทั้งนักเรียนคงจะคิดว่าความสุขก็คือการได้กินของอร่อย ไก่ย่าง พิซซ่า ช็อกโกแลต ไอศกรีมราคาแพง ได้ดื่ม
ตอนยังเด็กก็อาจจะดื่มแค่น้ำอัดลม พอโตขึ้นก็ดื่มไวน์ราคาแพง ๆ เที่ยว เที่ยวห้าง เที่ยวคอนเสิร์ตหรือว่าเที่ยวต่างจังหวัด เที่ยวผับ เที่ยวบาร์ คิดว่ามีความสุข เล่น เล่นเกมออนไลน์ ต่อไปก็เล่นการพนัน หรือไม่ก็เล่นสิ่งที่มันเป็นอบายมุข คิดว่านั่นคือความสุข แต่สุดท้ายก็เกิดความทุกข์ตามมา เกิดปัญหาหนี้สิน หรือว่ากินเท่าไหร่ก็ยังไม่มีความสุขสักทีแถมเป็นโรคอ้วน
ความสุขของคนสมัยนี้รวมทั้งที่นักเรียนอาจจะนึกถึงก็คือความสุขจากการกิน ดื่ม เที่ยว เล่น ช็อป รวมทั้งดูด้วย ดูหนัง ดูคอนเสิร์ต แต่พวกนี้ไม่ใช่ความสุขอย่างแท้จริง มีความสุขที่ประเสริฐกว่าก็คือความสุขจากจิตที่สงบ หรืออย่างน้อย ๆ ความสุขจากการทำความดี แม้กระทั่งการเรียนหนังสือก็สามารถให้ความสุขกับเราได้ ความสุขที่มีความรู้ รู้โลกมากขึ้น เข้าใจโลกเข้าใจชีวิตมากขึ้น
คนทุกวันนี้เราคิดว่าสุขเกิดจากการเสพ กิน ดื่ม เที่ยว เล่น ช็อป ดู เป็นเรื่องการเสพ แต่ที่จริงแล้วมีความสุขที่เกิดจาก ความสุขที่ดีกว่านั้นคือความสุขจากการที่ได้ทำสิ่งดี ๆ เช่นทำความดี เรียกว่าใฝ่ธรรม หรือว่าใฝ่ดี รวมทั้งใฝ่รู้ด้วย เวลาเราเรียนหนังสือเรามีความสุขไหม เคยถามตัวเองหรือเปล่า แล้วมีโอกาสที่เราจะมีความสุขได้ไหมจากการที่เราใฝ่รู้ขยันเรียน หรือว่าความสุขของเราอยู่ที่การมีเกรด ได้เกรดเยอะ ๆ ก็ไม่ต่างจากคนที่คิดว่าจะมีความสุขได้ต้องมีเงินเยอะ ๆ มากกว่าการที่ได้ทำความดี ทำสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ พวกเราถ้าหากว่าเรามีความใฝ่รู้ เราจะมีความสุขกับการเรียน แล้วถึงเวลานั้นคะแนนหรือเกรดจะไม่ใช่เรื่องสำคัญ
หลวงพ่อเคยรู้จักเด็กคนหนึ่งชื่อยุ้ย เมื่อสัก 10 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเธอก็เป็นเด็ก ม 4 วันหนึ่งคราวหนึ่งก็มีการสอบวิชาภาษาจีน ครูรู้เลยว่า นักเรียนชอบทุจริตในห้องสอบ เดี๋ยวนี้การทุจริตในห้องสอบมันเกิดขึ้นทั่วไปหมดเลย ครูก็รู้ ครูก็เลยขู่ว่า ถ้าครูจับได้ว่าใครทุจริตในห้องสอบจะตัดคะแนนทุกคนในห้อง 5 คะแนน คะแนนเต็มมัน 40 เท่านั้นแหละ
แล้วปรากฏว่าขนาดขู่ขนาดนี้ก็ยังมีเด็กคนหนึ่งทุจริตในห้องสอบ ครูจับได้ ครูตัดคะแนนทุกคนเลย นักเรียนคนอื่น ๆ ที่ถูกตัดคะแนนทั้งที่ไม่ได้ทุจริตก็ไปรุมด่าว่าเด็กคนนี้ว่าเป็นเพราะเธอทำให้ฉันถูกตัดคะแนน เด็กคนนี้ก็เสียใจมากไปขอโทษขอโพยเพื่อน ๆ แล้วเด็กคนนี้ก็มาขอโทษยุ้ยด้วย เพราะยุ้ยก็โดนตัดคะแนน
ยุ้ยสอบได้เต็ม 40 คะแนนเต็ม ถูกตัดไป 5 เหลือ 35 แต่พอมาขอโทษยุ้ย บอกยุ้ยไม่โกรธเลย เพราะว่า เพราะอะไร ยุ้ยบอกว่าครูตัดได้แค่คะแนนแต่ครูเอาความรู้ของฉันไปไม่ได้ สอบก็ทำให้ฉันได้ความรู้ ฉันได้ความรู้ฉันก็มีความสุขแล้ว ฉันก็มีความพอใจแล้ว คะแนนเป็นเรื่องรอง จะถูกตัดให้เหลือ 35 ฉันก็ไม่ได้ทุกข์อะไร เพราะว่าฉันพอใจแล้วที่ได้ความรู้
ฉะนั้นคนเราถ้าเป็นคนที่ใฝ่รู้ แค่ได้ความรู้เขาก็พอใจแล้ว คะแนนจะเป็นอย่างไรไม่สนใจ หรือไม่ใช่เรื่องสำคัญ และกรณีนี้พอโตขึ้นแล้วเขาจะมีความสุขจากการที่ได้ทำความดี ซื่อสัตย์สุจริต ภูมิใจในความดีที่ทำ เรื่องเงินเรื่องทองจะเป็นเรื่องเล็กน้อย คนเราถ้าเอาความสุขไปผูกกับเงิน ไปผูกกับชื่อเสียง จะหาความสุขไม่ได้เลย
อย่างที่เราเห็น ดาราที่มีชื่อเสียงร่ำรวยหลายคน ฆ่าตัวตายเพราะว่าถูกต่อว่า ถูกสื่อมวลชนวิจารณ์ว่าเล่นไม่ได้เรื่อง หรือว่าเป็นเพราะอกหัก แฟนทิ้ง อันนี้เพราะว่าไม่เข้าใจว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ไปเอาความสุขของตัวไปอยู่ผูกติดอยู่กับสิ่งของ อยู่กับชื่อเสียง อยู่กับเงินทอง หรือแม้แต่อยู่กับคนอื่น เอาความสุขหรือคุณค่าไปผูกติดกับคนอื่น พอเขาก็ทิ้งเรารู้สึกหมดคุณค่าทันที แต่ถ้าหากว่าคนเราพบว่าความสุขอยู่ที่ใจ อยู่ที่การทำความดี อยู่ที่ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล ความสุขที่ผูกติดอยู่กับความดีในตัวไม่มีสูญหายไปง่าย ๆ ใครเขาจะทิ้ง ใครเขาจะดูถูกอย่างไร ตัวเองก็ยังมีความสุขความภูมิใจในสิ่งที่ทำ แม้จะไม่รวยแต่ก็มีความสุข
นี่แหละคือสิ่งที่ศาสนาจะสอนเราได้ จะนำทางให้เราพบความสุขอย่างนี้ แล้วก็การมาวัดก็สามารถช่วยทำให้เราได้พบกับความจริงข้อนี้ได้ วันนี้นักเรียนอาจจะยังไม่เห็น เพราะยังคิดว่าความสุขอยู่ที่การกิน ดื่ม เที่ยว เล่น ช็อป มีแฟน แต่ให้จำในสิ่งที่หลวงพ่อพูดเอาไว้วันนี้ พอถึงวันที่พวกเธอโตมากกว่านี้และในยามที่เจอกับความไม่สมหวังในชีวิต เจอกับความพลัดพราก อาจจะได้คิด แล้วถึงตอนนั้นก็อาจจะรู้วิธีที่จะหาทางออกจากความทุกข์ได้.