พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 27 สิงหาคม 2567
เคยมีโยมกลุ่มหนึ่งมาหา มาสนทนากันอยู่พอสมควร พอใกล้จะเลิก ใกล้จะจบอาตมาก็บอกคนกลุ่มนี้ว่า “ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขนะ ขอให้ปลอดภัยไกลทุกข์” ทุกคนก็สาธุ เสร็จแล้วก็มีการสนทนาต่ออีกสักพัก ซักถามนู่นนี่ พอได้เวลากลับจริง ๆ ก่อนจะกลับก็มีโยมคนหนึ่งบอกว่า หลวงพ่อขอพรด้วย อาตมาก็เลยบอก อ้าว เมื่อกี้นี้ก็ให้พรไปแล้วไม่ใช่หรือ หลายคนก็ทำท่างง
ก็ที่พูดว่าขอให้อยู่เย็นเป็นสุข ปลอดภัยไกลทุกข์นั่นแหละ อันนั้นไม่ใช่พรหรือ
มีบางคนเข้าใจว่า พรก็หมายถึง ขอให้ร่ำรวย ขอให้มั่งมี หรือเข้าใจว่าพรก็หมายถึงว่า ขอให้มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ถ้าหากว่าพูดผิดไปจากนี้ก็ไม่คิดว่ามันคือพร ทั้ง ๆ ที่อยู่เย็นเป็นสุข ปลอดภัยไกลทุกข์นี่มันดีกว่าความมั่งมี เพราะมั่งมีร่ำรวยแต่ว่าจิตใจร้อนรุ่มเป็นทุกข์เพราะว่าเจ็บป่วย แบบนี้ก็มี มั่งมีแล้วไม่ได้แปลว่าจะเป็นสุขเสมอไป รวมทั้งมีอายุ วรรณะ สุขะ พละ แต่คนที่มี 4 ประการนี้และยังคิดฆ่าตัวตายก็มีไม่น้อย
แต่ถ้าหากว่าอยู่เย็นเป็นสุข ปลอดภัย ไกลทุกข์ มันก็เรียกว่าปลอดโปร่งเลย
แต่หลายคนไปเข้าใจว่าพรก็ต้องหมายถึง อายุ วรรณะ สุขะ พละ มั่งมีศรีสุข หรือบางคนก็เข้าใจว่าพรที่พระให้นี่มันก็ต้องหมายถึงการสวด ยะถา วาริวะหาฯ ถ้าพระสวด ยะถา วาริวะหาฯ เมื่อไหร่ หรือว่าพอ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง ขอสรรพมงคลฯเมื่อไหร่ นั่นคือพร ถ้าไม่ได้สวดแบบนี้ก็เรียกว่าพระยังไม่ได้ให้พร อันนี้เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะไปคิดว่าพรมันอยู่ที่รูปแบบ อยู่ที่ถ้อยคำ อยู่ที่การสวด
และไล่ ๆ กันก็มีโยมอีกคนหนึ่งมาหา ก็สนทนากัน แล้วอาตมาก็แนะนำว่า “ให้อยู่กับเนื้อกับตัว ทำอะไรก็ให้รู้เนื้อรู้ตัว อยู่กับปัจจุบัน อย่าปล่อยใจไหลไปอดีตไหลไปอนาคต” ก็ไม่รู้ว่าตั้งใจฟังหรือเปล่า เพราะว่าพอใกล้จะจบก็มีคนหนึ่งบอกว่า หลวงพ่อขอข้อธรรมที่จะนำไปปฏิบัติหน่อย อ้าวที่เพิ่งพูดเมื่อกี้นี้มันก็คือข้อธรรมนั่นแหละที่ควรจะนำไปปฏิบัติ ให้อยู่กับปัจจุบัน ให้ทำอะไรด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว
แต่หลายคนรวมทั้งผู้ถามก็คงจะไม่ได้นึกว่านี่คือธรรมะ เพราะว่าธรรมมะที่เขาเข้าใจมันต้องเป็นภาษาบาลี อริยสัจ 4 พรหมวิหาร 4 หรือว่าสัจจะ ธรรมะ ขันติ จาคะ ถ้าพูดอย่างนี้แหละถึงเป็นธรรมะ แต่พอพูดว่าให้อยู่กับปัจจุบัน ให้รู้เนื้อรู้ตัว เขาไม่คิดว่าเป็นธรรมะ ธรรมะที่หลายคนเข้าใจนี่มันต้องเป็นภาษาบาลี
อันนี้ก็แสดงว่าไปติดยึดกับรูปแบบ ไปติดยึดกับถ้อยคำ หรือว่าเปลือกนอก มันเป็นอย่างนี้กันเยอะ คือว่าไปให้ความสำคัญกับรูปแบบเสียมาก พระจะให้พรก็ต่อเมื่อท่านสวดเป็นภาษาบาลี พระจะสอนธรรม ให้ข้อธรรมก็ต่อเมื่อเนื้อหาที่ท่านพูดเป็นภาษาบาลี
การที่ชาวพุทธจำนวนมากไปติดยึดกับรูปแบบมากกว่าตัวเนื้อหาสาระ มันทำให้การปฏิบัติในทางพุทธศาสนาผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปเยอะ รวมทั้งได้ประโยชน์จากการปฏิบัติหรือการประพฤติธรรมน้อยกว่าที่ควรจะได้รับ แล้วบางทีก็ทำให้การปฏิบัติงานมันเป็นไปในทางที่งมงาย
ตัวอย่างง่าย ๆ เวลาไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ชาวบ้านบางคนเขาก็นอกจากใส่บาตรแล้ว เขาก็อยากจะกรวดน้ำให้กับพ่อแม่ของเขาที่จากไป แต่เขาจะกรวดน้ำได้ก็ต่อเมื่อพระสวด แล้วต้องสวดในบทที่เฉพาะเจาะจงด้วย เคยสวดแล้วไม่ได้สวด อย่างคำว่า ยะถา วาริวะหาฯ แต่สวดว่า “อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหังฯ” ปรากฏว่าพระสวดเสร็จก็ยังไม่ยอมกรวดน้ำ
พอพระจะไปก็บอก “หลวงพ่อ หนูจะกรวดน้ำ ช่วยสวดให้หน่อย” อ้าว ก็ที่เพิ่งสวดเมื่อกี้นี่มันก็คือบทเดียวกันนั่นแหละ เขาคงรอให้พระสวด ยะถา วาริวะหาฯ ถึงจะกรวดน้ำได้
ที่จริงกรวดน้ำมันอยู่ที่ใจของผู้กรวด จะมีน้ำหรือไม่ก็ตาม เพียงแค่นึกถึงคนที่ล่วงลับและอยากอุทิศบุญกุศลไปให้ อันนั้นก็สำเร็จประโยชน์แล้ว ไม่ต้องรอพระสวด จะไม่มีพระก็ไม่เป็นไร จะทำเวลาไหนก็ได้ แต่ปกติก็นิยมทำหลังจากที่ทำบุญแล้ว เพราะว่าจิตใจยังเป็นกุศล ยังสด ๆ อยู่ พูดง่าย ๆ ใจเป็นบุญ
เพราะฉะนั้นบุญที่อุทิศให้กับผู้ที่ล่วงลับ มันก็จะมีอานิสงส์ต่อผู้ที่ล่วงลับถ้าอยู่ในภพภูมิที่เหมาะสม ก็จะได้รับเต็ม ๆ แต่ว่าชาวพุทธจำนวนไม่น้อยไปติดอยู่ที่รูปแบบว่า จะกรวดน้ำได้ก็ต่อเมื่อมีพระสวดก่อน ก็ต้องสวดบทนี้นะ บทที่ขึ้นต้นด้วย ยะถา วาริวะหาฯ ที่จริง อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหังฯ มันก็อยู่ในบท ยะถา วาริวะหาฯ นั่นแหละ แต่ว่าเป็นตอนกลาง ๆ ถึงแม้พระไม่สวด หรือว่าพระเดินไป โยมก็ยังสามารถกรวดน้ำได้
เพราะว่าการกรวดน้ำ มันอยู่ที่จะได้อานิสงส์ การกรวดน้ำจะมีอานิสงส์ต่อผู้ที่ล่วงลับหรือไม่มันอยู่ที่ใจของผู้ที่กรวด ไม่ได้อยู่ที่พระ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ชาวพุทธเรานี่ไปติดยึดกับรูปแบบมาก ที่จริงก็คือติดยึดกับพิธีกรรม จนลืมเนื้อหาสาระ จนลืมจุดมุ่งหมาย หรือข้อที่ควรประพฤติปฏิบัติ
อย่างเช่นการให้ทาน การให้ทานนี่เราก็เชื่อว่าเป็นการทำบุญ แต่คนจำนวนไม่น้อยก็ไปติดยึดอยู่กับกิริยาการให้ทาน การถวาย เช่น ต้องถวายที่วัด หรือจะต้องมีการรับศีลก่อนจึงจะค่อยถวาย เรียกว่าถวายสังฆทาน ไปจดจ่ออยู่กับพิธีกรรมนี่แหละ จนลืมว่าบุญจะได้รับมากหรือน้อยหรือว่าการกระทำนั้น จะเป็นบุญหรือไม่นี่มันอยู่ที่ใจ เช่น ระหว่างที่ให้ หรือก่อนที่ให้นี่จิตผ่องใส ให้เสร็จใจโปร่งเบา หรือใจเบิกบาน
ตรงนี้แหละที่จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าทำบุญถูกต้องไหม เป็นสัปปุริสธรรมหรือเปล่า สัปปุริสธรรมคือธรรมของสัตบุรุษ พูดง่าย ๆ คือทำแล้วนี่จิตใจเป็นบุญเป็นกุศล ไม่ใช่ทำถูกตามประเพณีเป๊ะเลยแต่จิตใจยังขุ่นมัว ยังวิตกกังวล เพราะว่านึกถึงลูก นึกถึงสามี นึกถึงภรรยาที่เพิ่งทะเลาะเบาะแว้งกัน นึกถึงงานที่ยังค้างคาอยู่ เกิดความกังวล หรือบางทีนึกโมโหที่เพื่อน หรือลูกน้องที่ไม่ได้เอากล้องมาถ่ายระหว่างที่ถวายทาน หรือนึกเสียใจว่าเงินที่ถวายน้อยกว่าที่คาดเอาไว้ที่เป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าทอดกฐินนี้
คือแทนที่จะให้ความสำคัญกับจิตใจว่า ใจตอนนั้นนี่ผ่องใสหรือเบิกบานไหม ก็กลับไปสนใจอยู่กับรูปแบบ พิธีกรรม ถวายสังฆทานนี่ก็ต้องมีการตั้ง นะโมฯ ก่อน แล้วก็มีการรับศีลแล้วจึงจะกล่าวคำถวายสังฆทาน อันนั้นเป็นพิธีกรรม วัตถุประสงค์ก็เพื่อทำให้จิตใจผ่อนคลาย สงบเย็น ไม่ว้าวุ่น เพราะถ้าไม่มีพิธีกรรมเหล่านี้บางทีใจก็ยังว้าวุ่นอยู่ พิธีกรรมมันช่วยทำให้จิตใจสงบ ใจสงบก็เป็นกุศล แต่หลายคนก็ไปสนใจแต่พิธีกรรมจนลืมการทำใจให้เป็นบุญ
การที่ไปจดจ่อใส่ใจอยู่กับพิธีกรรม หรือว่าทำตาม ๆ กันโดยไม่เข้าใจความมุ่งหมาย มันมีคำเรียกว่า สีลัพพตปรามาส ความหมายง่าย ๆ คือว่า ทำตาม ๆ กันด้วยความงมงาย ไม่เข้าใจความมุ่งหมาย ที่จริง ๆ ก็คือว่า ทำด้วยความยึดมั่นถือมั่นในศีลพรต ในข้อปฏิบัติ รวมทั้งยึดมั่นถือมั่นในพิธีกรรม เช่น จะหลุดพ้นได้ก็เพราะยึดมั่นในศีลในพรต
แต่ความหมายมีกว้างกว่านั้น หมายความว่า การจะทำอะไรก็ทำตาม ๆ กันด้วยความงมงาย เพราะติดยึดกับพิธีกรรม รูปแบบ มากกว่าเนื้อหาสาระ หรือจุดมุ่งหมาย รวมไปถึงว่าทำอะไรจะสำเร็จได้ก็เพราะทำตามรูปแบบที่เขาทำตาม ๆ กันมา ไม่เฉพาะการให้ทานแม้กระทั่งการรักษาศีล
ที่จริงศีลนี่สมาทานได้เลย ไม่ต้องมีใครมาให้ แต่บางคนจะสมาทานศีลที่บ้านไม่ได้ต้องมาที่วัดเพื่อให้พระให้ศีล พอไม่มีเวลาไปวัดก็เลยไม่สมาทานศีล กลายเป็นเสียโอกาสไป ทั้งที่การที่มีประเพณีอาราธนา อันนี้มันก็เป็นแค่รูปแบบ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักเป็นการทำต่อหน้าผู้คน และให้เป็นการตอกย้ำว่า ฉันสมาทานศีล มีหลวงพ่อเป็นประจักษ์พยาน แล้วก็มีเพื่อนบ้านเขารับรู้ว่าฉันสมาทาน ก็จะเป็นการตอกย้ำให้ตั้งใจสมาทานได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าศีล 5 ศีล 8 ตลอดทั้งวัน แต่ถึงแม้อยู่คนเดียวก็ทำได้
เดี๋ยวนี้เรายึดถือในแบบแผนประเพณีจนกระทั่งไม่เข้าใจจุดมุ่งหมาย ก็กลายเป็นว่ายึดติดกับพิธีกรรมรูปแบบในแทบทุกเรื่องเลยอันนี้งานศพด้วย หลายคนก็มีความเชื่อว่าจะจัดงานศพมันจะต้องเป็นเลขคี่ 3 วัน 5 วัน ถ้าจัดงานศพเลขคู่นี้ไม่ได้ กลายเป็นเรื่องความไม่สบายใจทันทีถ้าจัดงานศพ 4 วัน
แต่เจ้าภาพบางคนจำเป็นต้องจัด 4 วัน วันรุ่งขึ้นก็เผา เพราะว่าถ้าจัดนานกว่านั้นก็ไม่สะดวก ไม่มีเวลา ติดธุระการงาน ต้องเดินทางไปต่างประเทศ และถ้าจะจัด 4 วันก็ต้องสวด 2 ครั้ง สวด 2 จบ ทำไมต้องสวด 2 จบ ก็เพื่อจะได้เหมือนกับว่าสวด 5 วัน แล้วทำไมต้องสวด 5 วัน ตอบไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะว่าเชื่อว่าสวดแล้ว หากครบ 5 วันก็จะทำให้ผู้ตายได้ไปสวรรค์ ไปสู่สุคติ
อันนี้มันเป็นความเชื่อที่เรียกว่างมงาย เพราะว่ามันไม่มีที่ไหนที่จะบอกว่าจะต้องสวด 5 วัน ต้องสวดเลขคี่ ผู้ตายจึงจะไปสู่สุคติ จะไปสู่สุคติหรือไม่มันอยู่ที่การกระทำของผู้ตายในขณะที่มีชีวิตอยู่ และงานศพมันก็เป็นโอกาสให้ผู้ที่ยังอยู่ได้ทำบุญอุทิศไปให้
สวดในหมู่บ้านในชนบทนี่มันไม่จำเป็นต้อง 5 วันก็ได้ บางทีสวดวันเดียว บางทีสวด 2 วันแล้วก็เผาก็มี และพระไม่จำเป็นต้อง 4 รูปก็ได้ บางวัดมีแค่ 1 มีแค่ 2 ก็สวดตามเท่าที่มี แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันมีความเชื่อว่า สวดศพต้องได้เลขคี่ ถ้า 4 วันก็ต้องสวด 2 จบ เคยไปจัดงานศพให้ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ลูกหลานเขาบอกว่าขอ 4 วันพอ พระในวัดไม่สบายใจว่าทำไมสวด 4 วัน แต่สวด 4 วันก็ได้ถ้าอย่างนั้นสวด 2 จบในวันที่ 4 อาตมาบอก ไม่ต้องหรอก สวดแค่จบเดียว บางคนไปเข้าใจว่า มันต้องสวดเท่านี้ ๆ
นี่มันก็เป็นสีลัพพตปรามาสอย่างหนึ่ง เรียกว่าเป็นการยึดติด ถือมั่นในรูปแบบด้วยความงมงาย งมงายนี่ก็คือด้วยโมหะ คือไม่รู้จุดมุ่งหมาย และเป็นเยอะในงานศพ
นอกจากการยึดถือด้วยโมหะแล้ว มันก็ยังมีการปฏิบัติด้วยความยึดมั่นถือมั่นเพราะโลภะก็มี อันนี้เห็นได้ง่ายหรือเกิดขึ้นอยู่บ่อย เช่น การรักษาศีล รักษาศีลแทนที่เป็นไปเพื่อลดกิเลสอันนี้คือผิดจุดมุ่งหมาย เพื่อลดกิเลสไม่ให้โลภะ โทสะ โมหะ มันกำเริบก็กลับรักษาศีลด้วยความหวังว่าจะได้ไปเกิดเป็นเทวดา ด้วยความหวังว่าจะได้ร่ำรวย อันนี้เรียกว่ายึดมั่นถือมั่นด้วยโลภะ ไม่ใช่ด้วยโมหะหรือด้วยความงมงาย อันนี้ก็มีเยอะ
รวมถึงการให้ทานด้วย แทนที่จะให้ทานเพื่อลดความตระหนี่ กลับเป็นการให้ทานเพื่อเพิ่มโลภะ จะได้ร่ำรวย อันนี้ก็จัดว่าเป็นสีลัพพตปรามาสแบบหนึ่ง คือปฏิบัติโดยไม่เข้าใจจุดมุ่งหมาย ไปยึดติดกับรูปแบบพิธีกรรม
ไม่ใช่แค่ทาน ไม่ใช่แค่ศีล ภาวนาก็เหมือนกัน หลายคนภาวนาหรือฝึกจิตโดยไม่เข้าใจจุดมุ่งหมาย และบางทีก็เลยทะเลาะเบาะแว้งกันเอง เช่น บางคนบอกว่าหลับตา นั่งนิ่ง ๆ ตามลมหายใจ พอมาเห็นเพื่อนเขาภาวนาด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่งยกมือสร้างจังหวะ ก็ไปต่อว่าเขาว่านี่ภาวนาผิด
ที่จริงทั้ง 2 วิธีมันก็ถูกแล้ว แต่มันถูกเพราะว่าจุดมุ่งหมายคนละแบบ ภาวนาบางอย่างเพื่อมุ่งให้ใจสงบ แต่ภาวนาบางอย่าง กายเคลื่อนไหวเพื่อให้ใจเกิดความรู้สึกตัว พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า การภาวนาบางอย่างเขาเน้นให้ใจเป็นสมาธิ มีวิธีการที่ทำให้ใจไม่คิดโน่นคิดนี่ แต่บางวิธีเป็นการกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกตัว
ในการฝึกสติ ฝึกสติก็คือรู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ เพราะฉะนั้นการที่มันมีความคิดผุดขึ้นมา การที่มันมีอารมณ์ผุดขึ้นมามันก็เป็นข้อดี บางคนก็ถูกสอนมาว่า การภาวนานี่ต้องอยู่กับปัจจุบัน ไม่ให้ใช้ความคิด ไม่ให้คิดถึงอนาคต มันก็ถูกถ้าเป็นการเจริญสติ
แต่การภาวนาบางอย่างกระตุ้นให้เกิดความไม่ประมาท อย่างเช่นการเจริญมรณสติ ก็จะน้อมใจให้เรานึกถึงอนาคต ที่จะต้องเกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราในอนาคต นั่นก็คือความตาย ตอนนี้เรายังไม่ตายแต่ว่าวันหน้าเราต้องตายแน่ นึกเอาไว้จะได้เกิดความไม่ประมาท ฉะนั้นการเจริญมรณสติมันไม่ใช่เป็นการที่รู้สึกตัวอยู่กับการกระทำในปัจจุบันแต่เป็นการนึกถึงอนาคต นึกถึงความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นกับเรา นึกถึงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับเรา
เหมือนกับที่เราสวด อภิณหปัจจเวกขณ์ เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ ความแก่คือสิ่งที่จะเกิดกับเราในอนาคต เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ ตอนนี้เรายังปกติดีอยู่แต่อนาคตเราต้องเจ็บไข้เจ็บป่วย นึกเอาไว้ มันจะได้ไม่ประมาท เพราะฉะนั้นการภาวนาบางอย่าง อย่างที่ว่านี้เป็นการนึกถึงอนาคตแต่ชวนให้เราเกิดความไม่ประมาท
การภาวนาบางอย่างใช้ความคิด เช่น ระลึกถึงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ไม่ใช่ว่าภาวนานี่ไม่ต้องคิดเลย มันก็มีการภาวนาบางอย่างด้วย
การเจริญสติที่หลวงพ่อคำเขียนท่านสอนไว้นี่มันไม่ต้องคิดอะไร แค่คิดก็รู้ แต่ว่าการเจริญอนุสติ 10 หลายข้อเลยต้องอาศัยความคิด ระลึกถึงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ระลึกถึงความดีที่ได้ทำ เพื่ออะไร เพื่อให้เกิดศรัทธา เพื่อให้เกิดปีติปราโมทย์ หรือเพื่อให้เกิดเมตตา กรุณา
ฉะนั้นคนที่ไม่เข้าใจจุดมุ่งหมาย ก็จะไปติดยึดกับรูปแบบ พอคนอื่นทำไม่เหมือนตัวเองก็ไปว่าเขาผิด ทั้ง ๆ ที่เขาทำก็ถูกเหมือนกัน แต่ว่าจุดมุ่งหมายเป็นคนละอัน จุดมุ่งหมายของเราอาจจะเป็นการเจริญสติ แต่ของเขามันเป็นการเจริญมรณสติ หรือจุดมุ่งหมายของเราอาจจะเน้นให้จิตสงบ แต่จุดมุ่งหมายของอีกคนหนึ่งภาวนาเพื่อให้เกิดความรู้เนื้อรู้ตัว เดินก็รู้ตัว กิน ดื่ม ก็รู้ตัว ไม่จำเป็นต้องอยู่นิ่ง ๆ
พอไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของการภาวนา ก็ไปติดที่รูปแบบ แล้วถ้าบางคนมาเจริญสติ มาเรียนรู้การสร้างจังหวะเพื่อเจริญสติ ก็ไปติดที่รูปแบบว่าต้องสร้าง 14 จังหวะ ถ้าทำแบบอื่นไม่ได้ จะพลิกมือไปพลิกมือมาก็ไม่ได้ ต้อง 14 จังหวะ อันนี้ก็เป็นสีลัพพตปรามาส คือยึดติดรูปแบบด้วยความงมงายเพราะไม่เข้าใจจุดมุ่งหมาย อย่างอาจารย์กำพลท่านยกมือสร้างจังหวะ 14 จังหวะไม่ได้ ท่านก็พลิกมือไปพลิกมือมา ท่านก็ยังเห็นธรรมได้
หรือบางคนก็ทำแบบ ทำตาม ๆ กัน ทำแบบอัตโนมัติ ยกมือไปยกมือมาแต่ไม่รู้ว่ายกมือไปทำไม ระหว่างที่ยกมือ ใจก็คิดไปโน่นคิดไปนี่ แต่ก็สบายใจว่า เออ ฉันได้ปฏิบัติแล้วเพราะฉันได้ยกมือ 14 จังหวะ ระหว่างที่ยกมือไปก็ฟัง ก็เปิดเทปธรรมะไปด้วยก็เลยไม่รู้ว่ารู้สึกตัวกับอะไร รู้สึกถึงมือที่เคลื่อนไหว หรือรู้ข้อธรรมที่ได้ยิน ก็เรียกว่าทำไปโดยไม่รู้ความหมาย โดยไม่รู้จุดมุ่งหมาย อันนี้ก็เป็นสีลัพพตปรามาส ซึ่งมันทำให้การปฏิบัติเนิ่นช้าหรือบางทีก็ผิดทิศผิดทางไป
เพราะฉะนั้นเวลาเราปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนานี่ต้องเข้าใจจุดมุ่งหมาย พอเข้าใจจุดมุ่งหมายแล้วก็จะรู้ว่าพิธีกรรมนี่มันเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบ เป็นตัวช่วยทำให้เกิดมาตรฐานเดียวกัน แต่ว่าถ้าไม่เข้าใจมุ่งหมาย พฤติกรรมรูปแบบก็จะกลายเป็นตัวขัดขวางได้.