พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567
งานหลักของพวกเราที่นี่ก็คือการเจริญสติ ส่วนอื่นถือว่าเป็นส่วนเสริม หรือว่าทำเป็นพื้นอยู่แล้ว เช่น การรักษาศีล อันนี้เป็นพื้นฐาน และก็ไม่ใช่เพียงศีล 5 เป็นศีลที่มากไปกว่านั้น นี้ก็เป็นพื้นฐาน แต่หลัก ๆ จะเป็นการเจริญสติ
และการเจริญสตินั้นจะอาศัยการปฎิบัติในรูปแบบ เป็นตัวกระตุ้น เป็นตัวเร่งให้สติได้เติบโต การปฏิบัติในรูปแบบได้แก่ เดินจงกรมและการสร้างจังหวะ เดินจงกรมก็คือการใช้ขาเขยื้อนขยับ กลับไปกลับมา ส่วนการสร้างจังหวะก็จะเป็นการยกมือเขยื้อนขยับเป็นจังหวะ กลับไปกลับมา
ระหว่างที่เราเดินจงกรม ระหว่างที่เราสร้างจังหวะก็ให้มีสติ สติก็คือการรู้เนื้อรู้ตัว รู้ว่ากายเคลื่อนไหว อันนี้เป็นพื้นฐาน
กายเคลื่อนไหว จะเป็นร่างกายที่เคลื่อนขยับ หรือมือที่เขยื้อนขยับขณะที่สร้างจังหวะก็ตาม เราก็เน้นเรื่องการทำให้มาก ๆ ทำให้เยอะ ๆ โดยที่ไม่ต้องไปเพ่ง ไม่บังคับจิต จะเรียกว่าเดินตามสบายก็ได้ หรือยกมือสร้างจังหวะสบาย ๆ ก็ได้ หลวงพ่อเทียนท่านใช้คำว่า “ทำเล่นๆ”
หลวงพ่อคำเขียนท่านบอกว่า “ทำไปก็อมยิ้มไป” เพียงแต่ว่า มีความตั้งใจใส่ลงไปว่า เมื่อใดก็ตามที่ใจเผลอ คิดนึกไป ก็ให้กลับมา เมื่อรู้ตัว
ใจไปไหนก็ให้กลับมา ไม่ว่าใจจะไปอดีต ไปอนาคต กลับมาคือกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันก็คือการเดิน การสร้างจังหวะ ใจอาจจะไปนอกตัว ไปที่บ้าน ที่ทำงาน ไปหาลูก ไปหาพ่อแม่ ก็กลับมาที่ไหน กลับมาที่เนื้อตัว กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ก็มีเพียงเท่านี้
กลับมาอยู่กับปัจจุบัน กลับมาอยู่กับเนื้อตัว เมื่อกลับมาอยู่กับเนื้อตัวก็จะรู้เนื้อรู้ตัว รู้สึกตัว รวมทั้งรู้ว่ามีการเขยื้อนขยับ เรียกว่า “รู้สึก”
ครูบาอาจารย์ท่านก็สอนว่าให้ “รู้สึก” ความหมายแรกก็คือ รู้สึกเมื่อกายมันเขยื้อนขยับ ใหม่ๆก็รู้ว่าตัวขยับเมื่อเดินหรือว่ามือขยับเมื่อสร้างจังหวะ ต่อไปก็จะรู้ละเอียดถึงขั้นว่าเวลากลืนน้ำลาย หรือกระพริบตาก็รู้ หายใจก็เหมือนกัน
ความหมายที่ 2 ก็คือ “รู้สึกตัว” รู้สึกตัวก็คือไม่หลง ไม่ไหล ไม่ลอย เข้าไปในความคิด เข้าไปในอารมณ์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “หลง”
การที่เราเอาความตั้งใจใส่ลงไป ไม่ได้ถึงกับว่าให้ไปเพ่ง เพียงแค่เป็นความตั้งใจ เมื่อเราปลูกความตั้งใจลงไปในใจ ก็จะช่วยทำให้เวลาใจเผลอ ใจจะกลับมาได้ไว ถ้าเราไม่ใส่ความตั้งใจลงไป เวลามันไป มันก็ไปยาวทีเดียว เหมือนเวลาที่เราเดินเล่นในสวน เราไม่ได้ตั้งใจที่จะกลับมาอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับเนื้อกับตัว เวลามันไปมันก็ไปยาวเลย
แต่พอเราเอาความตั้งใจใส่ลงไปในการเดินจงกรม ในการสร้างจังหวะ แม้เราจะไม่ได้บังคับจิตบังคับใจ ไม่ได้เพ่ง ไม่ได้ห้ามความคิด แต่พอมันเผลอคิดไป ก็จะรู้ตัวได้ไว หรือระลึกได้เร็ว ระลึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ในปัจจุบัน
ความระลึกได้นี้ มันระลึกได้เอง มันไม่ใช่ว่าเราจะบังคับหรือจะสั่งมันได้ มันเกิดขึ้นเองเหมือนเวลาเราขับรถไปทำงานหรือเดินทางไปทำงาน เราก็นึกขึ้นมาได้ว่า เราลืมปิดประตู ลืมปิดหน้าต่าง หรือว่าลืมปิดแก๊ส
ถามว่านึกขึ้นมาได้ยังไง ก็ตอบไม่ได้ มันนึกขึ้นมาได้เอง หลายคนมีประสบการณ์แบบนี้บ่อยคือ นึกขึ้นมาได้เอง อาจจะไม่เกี่ยวกับการปิดประตูหน้าต่าง แต่อาจจะนึกขึ้นมาได้ว่าเราว่าจะไปเยี่ยมพ่อแม่แต่ก็ลืมไป หรือว่าจะโทรไปคุยกับท่าน ผ่านไปแล้ว 15 นาทีถึงนึกขึ้นได้
อาการที่นึกขึ้นมาได้นี้ก็คือสิ่งเดียวกันกับเวลาที่เราเดินจงกรม แล้วเราลืม ใจลอย นึกขึ้นมาได้ว่าเผลอไปแล้ว ใหม่ ๆ ก็จะนึกได้ช้า แต่ต่อไปเราก็จะนึกได้เร็วขึ้นเพราะเราทำบ่อย ๆ ทำบ่อยๆก็จะทำได้คล่องขึ้น สติก็จะมาไวขึ้น ครั้งต่อไปสติก็จะจำได้เวลาที่เราเดินจงกรม เราสร้างจังหวะ สติจะมาได้ไว เพราะจำได้ว่าการเดินจงกรม การสร้างจังหวะนั้นคือการสร้างสติ
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า เราเอาสติมาผูกไว้กับอิริยาบถการเดินจงกรม การสร้างจังหวะ การที่เราเอาสติผูกไว้กับการเดินจงกรม การสร้างจังหวะหมายความว่า เวลาเราเดินจงกรมเราจะรู้สึกตัวได้ไว สติจะทำงานได้เร็ว
จิตมันทำงานเช่นนี้ คือถ้าเอาจิต เอาอะไรก็ตาม ไปผูกติดอยู่กับบางสิ่งบางอย่าง มันจะนึกขึ้นมาได้เร็ว เคยมีการการทดลองกับหมาที่ขังไว้ในกรง เวลาจะให้อาหาร จะมีเสียงระฆังก่อน แล้วค่อยให้อาหาร ทำเช่นนี้ประมาณ 2 อาทิตย์ได้
ต่อมาเขาสั่นระฆังแต่ไม่ให้อาหาร ปรากฏว่าหมามีน้ำลายไหลเพราะหมาจำได้ว่า ถ้ามีเสียงระฆังแล้วจะมีอาหาร พอมันนึกถึงอาหารขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงระฆัง มันก็จะนึกถึงรสชาติที่เอร็ดอร่อย มันจึงน้ำลายไหล อันนี้คือการเอาอาหารไปผูกติดอยู่กับเสียงระฆัง
เวลาเอาอาหารไปผูกติดกับเสียงระฆังแล้ว พอหมาได้ยินเสียงระฆังหมาก็จะนึกถึงอาหารทันที ทำให้มันน้ำลายไหล
ไม่ใช่เพียงแค่หมาเท่านั้น คนก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากก่อนเวลาให้อาหารมีเสียงระฆังก่อน พอมีเสียงระฆังก็ให้อาหาร เช่น ผลไม้ ขนมอร่อยๆ มีกาแฟด้วย ทำเช่นนี้บ่อยๆพอได้ยินเสียงระฆังคนก็จะน้ำลายไหล นึกถึงขนม นึกถึงกาแฟ อย่างนี้คือการเอาอาหารไปผูกติดกับเสียงระฆัง
เวลาเราจะสร้างนิสัยหรืออะไรต่างๆขึ้นมา ก็ใช้วิธีหรือหลักการเดียวกัน เช่น เวลาเราต้องการปฎิบัติธรรมในรูปแบบ เจริญสติทำสมาธิแต่ว่าลืมทุกที ถ้าเราเอาการเจริญสติหรือการปฏิบัติไปผูกติดกับกิจวัตรบางอย่าง เช่น อาบน้ำเสร็จเราก็ปฏิบัติ ทุกครั้งที่อาบน้ำเสร็จเราก็จะเริ่มปฏิบัติ หรือว่าล้างจานเสร็จเราก็จะเริ่มปฎิบัติ หรือพอตื่นนอนถูฟันเสร็จเราก็จะปฏิบัติในรูปแบบ
เราเอาการปฏิบัติไปผูกติดกับกิจวัตรที่ทำเป็นประจำ เพราะฉะนั้นพอทำกิจวัตรนั้นเสร็จ เราก็จะนึกได้ว่าเราตั้งใจว่าจะเจริญสติหลังจากล้างจาน หลังจากอาบน้ำ หรือว่าหลังจากถูฟัน นิสัยใหม่ ๆ จะเกิดขึ้นได้ด้วยวิธีนี้คือ เอานิสัยใหม่ไปผูกติดกับนิสัยเก่าหรือกิจวัตรเก่า ทำให้เราไม่ลืม ไม่อย่างนั้นเราจะลืม
ตั้งใจจะทำ ตั้งใจจะเจริญสติทุกวันก่อนนอน หรือหลังจากกินข้าวแต่ลืมทุกที แต่พอเราเอาการปฏิบัติไปผูกติดกับกิจวัตรที่เราทำเป็นประจำ หรือที่เราทำเป็นนิสัยแล้ว มันจะนึกขึ้นมาได้และสามารถจะทำอย่างที่ตั้งใจ นี่คือการเอาสิ่งที่เราปรารถนาไปผูกติดอยู่กับสิ่งที่เราทำอยู่แล้ว หรือผูกติดอยู่กับสิ่งที่ทำเป็นประจำ
เช่นเดียวกันถ้าเราเอาสติไปผูกติดกับการเดินจงกรม หรือผูกติดอยู่กับการสร้างจังหวะ เวลาจะเดินจงกรมเวลาจะสร้างจังหวะก็ตั้งใจหรือเอาความตั้งใจใส่ลงไป ว่าเราจะเจริญสติ เราจะทำความความรู้สึกตัว แม้จะเผลอไปไกลแค่ไหนรู้สึกตัวเมื่อไหร่ก็กลับมา
พอทำอย่างนี้บ่อยๆจิตมันจะจำได้ว่า การสร้างจังหวะ กับการมีสติ หรือความรู้สึกตัวนั้น เป็นเรื่องเดียวกัน หรือว่าการเดินจงกรมกับการเจริญสติก็เป็นเรื่องเดียวกัน
เพราะฉะนั้นพอเราเดินจงกรมเจริญสติไปสักพักมันจะมีสติได้ไวขึ้น สติมันจะทำงานได้เร็วขึ้นๆ และต่อไปเราจะไม่ใช่เอาสติไปผูกติดอยู่กับการสร้างจังหวะ การเดินจงกรมหรือการปฎิบัติในรูปแบบเท่านั้น
เราเอาสติไปผูกติดอยู่กับกิจวัตรที่เราทำเป็นนิสัยทุกวันอยู่แล้ว เช่น ตื่นนอนขึ้นมาเราเก็บที่นอน เราอาบน้ำ เราล้างหน้า เราถูฟัน เหล่านี้คือสิ่งที่เราทำเป็นประจำ แต่คราวนี้เราจะเอาสติไปผูกกับสิ่งเหล่านี้ เก็บที่นอนเราก็จะตั้งใจอย่างมีสติ รู้สึกตัวกับการเก็บที่นอน ล้างหน้าเราก็จะมีสติอยู่กับการล้างหน้า ถูฟันเราก็จะมีสติอยู่กับการถูฟัน
ถ้าเราเอาสติไปผูกติดกับกิจวัตรพวกนี้ ใหม่ๆเวลาทำกิจวัตรเหล่านี้อาจจะไม่ค่อยมีสติ เราจะใจลอยไปตามความเคยชิน แต่ว่าพอทำบ่อยๆแล้วจะมีสติ หรือสติจะทำให้เกิดความระลึกได้ขึ้นมาเอง หรือเกิดความรู้สึกตัวได้ไวขึ้น ไวขึ้น ถือเป็นเคล็ดลับของการเจริญสติ คือเอาสติไปผูกติดอยู่กับสิ่งที่เราทำเป็นประจำ
เราก็เริ่มจากการเอาสติไปผูกติดกับการสร้างจังหวะ การเดินจงกรมนี่แหละ เอาความรู้สึกตัวไปผูกติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้
มีอาจารย์ฆราวาสท่านหนึ่งเล่าว่าอยู่ริมถนนคนมากมาย บังเอิญมองไปฝั่งตรงข้ามเห็นเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน ก็ดีใจ ผลีผลามจะข้ามถนนไปทักเพื่อนด้วยอารามดีใจ แต่พอก้าวเท้า 2-3 ก้าวเท่านั้น เกิดได้สติขึ้นมา เกิดรู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมาเลย
ตอนนั้นใจมันพุ่งออกไปที่เพื่อนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม จะเรียกว่าลืมตัวก็ได้ แต่พอก้าวเท้าขยับไม่กี่ก้าว เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมาเลย เพราะจิตจำได้ว่าเวลาก้าวเท้า เวลาเท้าขยับ มันได้เวลาที่สติกลับมา
หรือเวลาก้าวเท้า เวลาขยับขา จะปลุกสติขึ้นมา เพราะเราเอาสติไปผูกติดอยู่กับการเดิน การขยับขาจนเป็นนิสัย อย่างนี้เรียกว่าเป็นการปลูกสติให้เป็นธรรมะประจำใจ ก็คือการที่เราเอาสติไปผูกติดอยู่กับสิ่งที่เราทำเป็นประจำ หรือสิ่งที่เราทำบ่อยๆ ทำเยอะๆ
เพราะฉะนั้นต่อไปเวลาเรายกมือสร้างจังหวะก็ดี เวลาเดินจงกรมก็ดี เราจะมีสติไวขึ้น มันมาเอง และถ้าเราเอาสติไปผูกติดอยู่กับกิจวัตรประจำวันที่ไม่ใช่การปฏิบัติในรูปแบบ พอขยับตัวเก็บที่นอนก็จะได้สติหรือรู้สึกตัวขึ้นมาเลย มันจะมาไว
แต่เวลาเราเจริญสติ เราก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า มันก็จะมีอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้นได้ มีความคิดต่างๆเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ว่าเราเจริญสติแล้วจะมีแต่ความคิดดีๆ หรืออารมณ์ที่เป็นกุศลอย่างเดียว
ตราบใดที่เรายังเป็นปุถุชน ยังมีกิเลส มันก็ต้องมีความคิดที่ไม่ดีหรืออารมณ์ที่เป็นอกุศลเกิดขึ้น เช่น ความโกรธ ความเกลียด ความหลง อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับเราจะดีหรือแย่ อยู่ที่เราปฏิบัติกับสิ่งนั้นอย่างไร
เสียงที่มากระทบหูเรา ถ้าเราคิดว่าเป็นสิ่งที่แย่ เราคิดว่าเป็นเสียงต่อว่า ด่าทอ เราก็โกรธ แต่ถ้าเรามองว่าเป็นเสียงที่แสดงสัจธรรมให้เราเห็น เช่น อย่างที่มีคนเขียนบัตรสนเท่ห์ใส่บาตรของหลวงพ่อทองรัตน์ แต่ว่าท่านกลับไม่ทุกข์เลยทั้ง ๆที่ข้อความในบัตรบัตรสนเท่ห์เขียนด่าว่าท่านอย่างรุนแรง แถมขู่จะเอาลูกปืนมาให้ด้วย เพราะท่านมองว่านี่คือ อมตธรรมหรืออมฤตธรรมที่เทวดาเอามาให้
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้นจะดีหรือแย่อยู่ที่ใจเรา ถ้าเรามองว่าเป็นเสียงต่อว่า ด่าทอ เราก็โกรธ แต่ถ้าเรามองว่าเป็นอมตธรรมจากเทวดา เราก็ถือว่าได้ของดี
อารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจก็เหมือนกัน เวลามีความหลงเกิดขึ้น ถ้าเราหลงตอบ มันไม่ดี แต่ถ้าพอหลงแล้วเรารู้ ทำความรู้สึกตัวตอบกลับไป มันก็จะกลายเป็นดี หลงแล้วหลงตอบนั้นมันไม่ดี แต่หลงแล้วรู้ อันนี้ดี
มีโกรธเกิดขึ้นแล้วเราโกรธตอบ อันนี้ไม่ดี แต่ถ้าโกรธแล้วเรารู้ตัวหรือรู้สึกตัว มีตัวรู้เข้าไปรับรู้ มันกลายเป็นของดี ส่วนใหญ่แล้วเวลาเรามีความโกรธ เรามักจะโกรธตอบโดยเฉพาะพอมาปฏิบัติแล้ว พอมีความโกรธขึ้นในใจ มักรู้สึกไม่ดีกับความโกรธ อันนี้เรียกว่าโกรธซ้อนโกรธ มันมีความรู้สึกอยากไปกดข่มความโกรธ เพราะโกรธไม่ดี การที่เจอโกรธแล้วโกรธตอบก็ยิ่งทำให้เป็นทุกข์มากขึ้น
เวลาเกลียดก็เช่นกันเพราะมีความรู้สึกเกลียดขึ้นมาก็เกลียดตอบ พยายามกดข่มความเกลียด อย่างนี้ไม่ดี เพราะยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ แต่แทนที่จะโกรธตอบ แทนที่จะเกลียดตอบ ก็ให้รู้ว่ามีโกรธ ให้รู้ว่ามีความเกลียดเกิดขึ้น หรือรู้ว่าโกรธ รู้ว่าเกลียดอย่างนี้กลายเป็นของดี
เพราะฉะนั้นการที่มีความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่ ถ้ามองว่ามันคือแบบฝึกหัด เป็นการฝึกสติ หรือพอมีความคิดเกิดขึ้นซึ่งเป็นความหลงชนิดหนึ่ง แทนที่จะหลงตอบคือเข้าไปในความคิด แต่รู้ว่าคิด อย่างนี้กลายเป็นดี
ฉะนั้น เวลาเราเจริญสติหรือเจริญวิปัสสนา อะไรเกิดขึ้นกับใจ มันจะดีหรือแย่ อยู่ที่ว่าเรามีท่าทีหรือเราปฏิบัติกับสิ่งนั้นอย่างไร ความโกรธ ความเกลียด ความฟุ้งซ่าน อาจจะดีก็ได้ถ้าหากว่าเรามีสติรู้ทันมัน มีความรู้ตัวหรือว่ารู้ทันเมื่อมันเกิดขึ้น มันก็จะทำให้เรามีสติไวขึ้น มีความรู้ตัวเร็วขึ้น
ในทางตรงข้ามแม้จะมีความปิติ มีความอิ่มเอิบ มีความดีใจ แต่ถ้าเราหลงตอบ คือเพลิน เคลิบเคลิ้มจนลืมเนื้อลืมตัว อย่างนี้ไม่ดี แม้กระทั่งความสงบในใจที่เกิดขึ้น ก็ไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไป มันดีต่อเมื่อเรารู้ว่าสงบ แต่สงบเกิดขึ้นแล้วไม่รู้ว่าสงบ หรือว่าสงบแล้วหลงเข้าไปในความสงบ อย่างนี้ไม่ดี
เสียงดังที่มากระทบหูถ้าหากว่าเรารู้ทัน เห็นว่าสักแต่ว่าเสียง ไม่ไปทำอะไรกับมัน หรือเรียกว่า รู้ซื่อ ๆ อย่างนี้เรียกว่าดี ไม่ว่าจะเป็นเสียงมอเตอร์ไซค์ เสียงคนคุยกัน เสียงเอ็ดตะโร เสียงหมาเห่า แต่พอมากระทบหูแล้วเรารู้ซื่อ ๆ ไม่ผลักใส ไม่ตอบโต้ด้วยความหลง อันนี้ดี
แต่ถ้าเกิดว่ามีเสียงชมเรา สรรเสริญเรา แทนที่เราจะรู้ซื่อ ๆ เราเกิดปล่อยใจยินดี เคลิบเคลิ้มไปกับคำชม คำสรรเสริญ อย่างนี้ไม่ดี ทางโลกอาจจะว่าดี คำสรรเสริญนี้ดี คำต่อว่าไม่ดี แต่ในทางธรรม มันจะดีหรือไม่ อยู่ที่ใจเรา อยู่ที่ว่าเราทำยังไง มีปฏิกิริยากับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ทางโลกบอกว่าเสียงชม เสียงสรรเสริญนั้นดี แต่ทางธรรมว่าอาจจะไม่ดีก็ได้
ถ้าเกิดว่าหลงเข้าไปในเสียงชมหรือเคลิบเคลิ้มกับมัน เสียงตำหนิทางโลกบอกว่าไม่ดี เสียงต่อว่าด่าทอ ทางโลกบอกว่าไม่ดี แต่ทางธรรมบอกว่าอาจจะดีก็ได้ อย่างที่หลวงพ่อทองรัตน์ท่านเอาไปสอนเณรว่า บัตรสนเท่ห์ที่ใส่บาตรท่านมานั้น เป็นของดี ต้องเก็บเอาไว้ใต้ฐานพระเลย เพราะสอนให้รู้ว่าโลกธรรม 8 เป็นอย่างไร เป็นอมตธรรมของเทวดาทีเดียว
กลายเป็นดีไปได้อย่างบัตรสนเท่ห์นี้ ทางโลกหาว่าไม่ดี แต่ทางธรรมกลายเป็นของดีเพราะว่ามันแสดงธรรม หลวงพ่อคำเขียนก็เคยบอกว่า ถูกด่าก็แสดงสัจธรรมได้ เวลาเจอเสียงด่าถ้าเรามีสติ มีความรู้สึกตัว แทนที่จะมองลบว่า นี่คือเสียงด่า กลับมองว่าเป็นเสียงที่แสดงสัจธรรมให้เราได้รู้ว่าโลกธรรมเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นเวลาเจริญสติให้เราเข้าใจว่าอะไรที่เกิดขึ้นในใจเราก็ตาม หรือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา เช่น เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็ดี มันจะดีหรือร้ายอยู่ที่ใจเรา อยู่ที่เรารับมือกับมันอย่างไร อยู่ที่เรามองอย่างไร ถ้ามองลบมันก็แย่ แต่ถ้ามองบวกมันก็ดี หรือถ้ามีสติรู้ทันมันก็เป็นของดีที่ทำให้เกิดปัญญาเข้าใจเรื่องโลกธรรม
อันที่จริงแล้วความโกรธ ความเกลียด ความเครียด ความเศร้ามันสามารถจะสอนสัจธรรมให้เราได้ไม่น้อยไปกว่าความดีใจ ความเคลิบเคลิ้มหรือความสงบเย็น มันสอนสัจธรรมเรื่องของความไม่เที่ยง สอนเรื่องอนิจจัง สอนเรื่องทุกขัง สอนเรื่องอนัตตา มันสามารถจะแสดงสัจธรรมให้กับเราได้เท่าๆหรือพอๆกับความดีใจ คำชื่นชม สรรเสริญ
และทั้งหมดนี้จะต้องเริ่มต้นจากการที่เรามีสติ โดยเฉพาะสัมมาสติ และสัมมาสตินี้สามารถจะสร้างขึ้นได้จากการที่เราปฏิบัติบ่อย ๆ เอาสติไปผูกติดอยู่กับการปฏิบัติในรูปแบบ อันนี้คือขั้นต้น ต่อไปก็เอาสติไปผูกอยู่กับการปฏิบัติหรือกิจวัตรในชีวิตประจำวัน ก็จะทำให้สติกลายเป็นธรรมประจำใจของเราได้มั่นคงมากขึ้น.