แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ค่ายสามเณรและศีลจาริณี วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 6 เมษายน 2568
พวกเราคงรู้แล้ว เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเกิดแผ่นดินไหว ศูนย์กลางอยู่ที่พม่า แต่ว่าสะเทือนมาถึงกรุงเทพฯ ปรากฏว่ามีตึกหลังหนึ่ง 30 ชั้น สร้างเกือบเสร็จแล้ว ถล่มลงมา คนงานก่อสร้างหลายสิบคนจมอยู่ในซากปรักหักพังเวลามีคนอยู่ในซากปรักหักพังต้องรีบช่วยเหลือ เอาเขาออกมาอย่างรีบด่วน แล้วทำอย่างไรจะเอาเขาออกมาได้ ก่อนอื่นต้องรู้ว่ามีคนอยู่ตรงไหน เพราะว่าซากตึกใหญ่มาก ต้องรู้ตำแหน่งว่ามีคนหรือมีร่างของคนอยู่ตรงส่วนไหน มุมไหนของซากปรักหักพัง แล้วเขาทำอย่างไร วิธีหนึ่งที่ใช้คือ ใช้เครื่องเหมือนกับเรดาร์ ปล่อยคลื่นเข้าไปในซากตึก และดูมันสะท้อนออกกลับมา คล้าย ๆ เอ็กซเรย์ หรือเรดาร์ และจะรู้ว่าบริเวณนั้นมีคนอยู่ไหม มีร่างคนอยู่ไหม แต่ว่าวิธีนี้ไม่ใช่วิธีเดียวที่ใช้ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาที่กรุงเทพฯ
อีกวิธีหนึ่ง ไม่ได้ใช้วิธีแบบไฮเทค ใช้วิธีแบบโลว์เทค ทำอย่างไรรู้ไหม มีใครรู้ไหมว่าหาผู้รอดชีวิตใช้วิธีอะไร ใช้หมา หมาฝึกมาเป็นพิเศษ เรียกว่า หมา K9 (เค-นาย หรือ เค-เก้า) K9 เป็นรหัส เป็นหมาที่ถูกฝึกมาเพื่อหาผู้รอดชีวิตในซากตึก หรือซากปรักหักพัง หรือแผ่นดินไหว หมาหลายตัว มี 4-5-6 ทีม แล้วแต่ละตัวเก่ง ๆ ทั้งนั้น มีชื่อด้วย สมชายก็มี สมหญิงก็มี โอเลี้ยง อู่หลง ไบเล่ย์ ลอมเมล จิ๋ว การ์มิน เนล แต่ละตัวมีชื่อน่ารักทั้งนั้น ฟอร์เต้ ก็มี และพวกนี้ถูกฝึกมา ทำไมถึงทำหน้าที่หาผู้รอดชีวิต หรือหาร่าง ถ้าเกิดไม่รอดชีวิตในซากตึก เพราะหมาพวกนี้ธรรมชาติของหมาเขาจะมีความสามารถในการดมกลิ่น หมาจมูกไวมาก ดมกลิ่นได้ดีกว่ามนุษย์ 10 เท่า 20 เท่า หรือบางที 100 เท่า บางทีเราเดินผ่านยังไม่ถึงหน้าบ้านเลย หมาเห่าแล้ว
ใครไปบ้านกุดโง้งบ้าง บิณฑบาต จะมีบ้านหลังหนึ่ง หมาชอบเห่าเป็นประจำเวลาพระหรือเณรบิณฑบาต และเรายังไม่ทันเดินถึงหน้าบ้าน มันเห่าแล้ว มันเห่าก่อนที่เราจะถึงเสียอีก ไม่ใช่เพราะมันมองเห็น มองไม่เห็นหรอก เพราะมันอยู่ในกรง แต่มันได้กลิ่น ได้กลิ่นเราตั้งแต่ไกล นี่ขนาดหมาที่ไม่ได้ฝึก ถ้าหมาที่ฝึกจะดมกลิ่นได้ไวมาก และเขาปล่อยหมาพวกนี้ออกไปหาคน หาร่างที่จมอยู่ในซากตึก และถ้าเกิดว่ามีคนอยู่ พอเขาได้กลิ่น หมาจะหยุด และร้อง เห่าเสียงดัง แปลว่าตรงนั้น แถว ๆ นั้นมีคนอยู่ หน้าที่ของคน ผู้ช่วยเหลือคือว่าต้องหาทางเอาร่างหรือเอาคนนั้นออกมาจากซากตึก แต่ถ้าไม่ได้กลิ่น หมาจะวิ่งหาไปเรื่อย ๆ บางทีน่าสงสารมาก เท้ามันเหยียบเศษกระจกเป็นแผล ต้องมาปฐมพยาบาล ตอนหลังหมาทุกตัวต้องใส่รองเท้าไม่ให้เหยียบเศษแก้วเศษกระจก
และพบว่ามีพฤติกรรมที่แปลก หลังจากผ่านไปหลายวันแล้วไม่เจอผู้รอดชีวิต หรือไม่เจอแม้กระทั่งร่าง หาทั้งวันไม่เจออะไรเลย หมาจะซึม เครียด นิ่ง ไม่ยอมกินอาหาร ผู้เชี่ยวชาญเขาบอกว่าหมาเสียใจถึงขั้นตรอมใจที่ไม่สามารถจะช่วยคนได้ วิธีแก้ทำอย่างไรรู้ไหม เอาคนไปซ่อนในมุมตึก แล้วให้หมาไปหา หมาพอหาเจอ หมาจะดีใจมาก ดีใจว่าเจอคนแล้ว หมาดีใจที่ได้ช่วยคน โดยที่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วถูกจัดฉากขึ้นมา คนไปซ่อนตามมุมตึก ซ่อนแบบลึก ๆ หน่อย แล้วให้หมาไปหา หมาไปหาเสร็จ ดีใจ เห่า แล้วหมาก็มีชีวิตชีวา เพราะอะไร ธรรมชาติของหมาชอบช่วยคน ไม่ได้ช่วยคนอย่างเดียว ช่วยแมว ช่วยไก่ที่ประสบความเดือดร้อน หมาตัวไหนก็มีความสุขทั้งนั้นเมื่อได้ช่วย หลวงพ่อเคยเล่ากรณีต่าง ๆ มากมาย หมาช่วยลูกแมว ลูกไก่ ไม่ต้องพูดถึงช่วยคน เขามีความสุข เพราะเป็นธรรมชาติของหมาที่อยากช่วย ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ให้มีความสุข
คนเราก็เหมือนกัน คนเราก็มีธรรมชาติส่วนนี้ ขนาดหมายังมีเลย แล้วคนเราจะไม่มีหรือ คนเรามีธรรมชาติคืออยากช่วย ระหว่าง การช่วยคน กับการไปเที่ยวเตร่ ความสุขที่ได้จากการช่วยคนมากกว่าการที่ไปหาความสุขเฉพาะตัว ธรรมชาติของคนเป็นอย่างนี้ อันนี้ดูแปลก เพราะเราคิดว่า คนเราธรรมชาติเห็นแก่ตัว อะไรที่ทำแล้วมีความสุขดีกว่าไปช่วยคนอื่นแล้วเราเดือดร้อน แต่ก็ไม่แน่ เขาเคยทดลอง อาจารย์เอานักศึกษามาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ทุกคนทั้ง 2 กลุ่มได้เงินคนละ 50 ดอลลาร์ ดอลลาร์หนึ่งประมาณสัก 30 บาท 40 บาท ประมาณพันบาท ทุกคนได้ประมาณพันบาท แล้วอาจารย์บอกนักศึกษาว่า กลุ่มแรก เอาไปซื้ออะไรก็ได้ เอาไปดูหนังก็ได้ เอาไปกินอาหาร ไปเที่ยวห้างก็ได้ อีกกลุ่มหนึ่ง เอาไปช่วยคน เอาไปทำประโยชน์เพื่อช่วยเหลือคนอื่น
พวกเราอยากอยู่กลุ่มไหน หลายคนบอกอยากอยู่กลุ่มหนึ่ง จะได้เอาเงินไปกิน ไปเที่ยว ไปเล่นเกม ไปซื้อของในห้าง ส่วนกลุ่มที่ 2 เขามีเงื่อนไขว่าเอาเงินไปช่วยคนอื่น หรือไปทำประโยชน์ให้กับคนอื่น บางคนก็เอาเงินไปซื้ออาหารแจกคนเร่ร่อน คนไร้บ้าน บางคนก็เอาเงินไปซื้อสี เครื่องเขียน เพื่อเอาไปวาดรูปให้กับเด็กกำพร้า หรือชวนเด็กกำพร้ามาวาดรูป บางคนก็เอาเงินเป็นค่ารถ ค่ารถเมล์ พาเด็กที่ยากจนไปสวนสัตว์ ไปดูสัตว์ ไปหาความบันเทิงจากการดูสัตว์ให้มีชีวิตชีวา บางคนก็เอาเงินไปซื้อวัตถุดิบทำอาหารเอาไปให้คนแก่บ้านพักคนชรา หลังจากเสร็จสิ้นพ้นวันไป ให้เวลาแค่ 1 วันสำหรับการใช้เงินพันบาท และเขาก็ประเมิน ให้แต่ละคนสอบถามหรือให้คะแนนตัวเองว่ามีความสุขเท่าไร เขามีวิธีการวัดความสุข ปรากฏว่ากลุ่ม 2 มีความสุขมากกว่า ทั้ง ๆ ที่เงินที่ได้ไม่ได้เอาไปกิน ไปเที่ยว ไปเล่น แต่เอาไปช่วยคน คนยากจน คนแก่ คนไร้บ้าน หรือว่าเด็กในศูนย์เด็ก นักศึกษากลุ่ม 2 เขามีความสุขมากกว่ากลุ่มแรก ทั้งที่กลุ่มแรกได้ปรนเปรอ ได้กิน ได้ดื่ม ได้เที่ยว ได้เล่นเต็มที่ พันบาท แต่ความสุขน้อยกว่า กลุ่มที่ 2 เพราะอะไรรู้ไหม
เพราะธรรมชาติคนเราอยากช่วยเหลือผู้อื่น พอเราได้ช่วยคนอื่นแล้วเราจะมีความสุข
อยากกิน อยากดื่ม อยากเที่ยว อยากเล่นก็มี แต่ว่ามันให้ความสุขกับเราน้อยกว่าการไปช่วยคนอื่น เพราะธรรมชาติคนเรามีน้ำใจใฝ่ดี อยากช่วยคน ฉะนั้น ถ้าเราอยากมีความสุข เราต้องขยันช่วยเหลือคนอื่น นึกถึงคนอื่นอยู่เสมอ อย่านึกถึงแต่ตัวเอง วันนี้เราจะไปไหน ทุ่งกะมัง เราจะไปผจญภัย และเราต้องทำอาหารกินกันเอง เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกัน อิ่มก็อิ่มด้วยกัน อดก็อดด้วยกัน มีกินก็แบ่งปันกัน นี่เป็นวิธีที่จะทำให้เราได้ประสบการณ์ดี ๆ จากการไปทุ่งกะมัง เราต้องมีน้ำใจช่วยเหลือกัน เพราะถ้าเราทำอย่างนั้นเราจะมีความสุข ถ้าเราอิ่มคนเดียว แต่เพื่อนอด ดูเหมือนเรามีความสุข แต่ที่จริงไม่ใช่หรอก เราจะทุกข์ แต่ถ้าเราแบ่งให้คนอื่น แม้เราจะมีกินน้อยลง แต่ว่าเราอิ่มใจ อิ่มใจที่ได้ช่วยคนอื่น ได้ช่วยเพื่อน และต่อไปไม่ใช่ช่วยคนที่รู้จัก ไม่ใช่แค่ช่วยเพื่อน เราช่วยคนที่อยู่ไกลออกไป เราจะมีความสุขเหมือนกัน นี่เป็นวิธีการเติมสุขให้ใจ ดีกว่าการไปกิน ดื่ม เที่ยว เล่น ช้อป และให้เรานึกถึงคนอื่นเยอะ ๆ เราไปทุ่งกะมัง 4 วัน อิ่มก็อิ่มด้วยกัน อดก็อดด้วยกัน อย่านึกถึงแต่ตัวเอง เพราะว่าถ้าเรานึกถึงแต่ตัวเอง สุขชั่วคราว ประเดี๋ยวก็หายไปแล้ว แต่ถ้าเราช่วยคนอื่น มันจะสุขยาวนาน และจะภูมิใจด้วย.