พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 17 มิถุนายน 2568
ผู้หญิงคนหนึ่งเล่าว่า เช้าวันหนึ่งขึ้นรถไฟฟ้า ช่วงเช้าคนเดินทางกันเยอะ เก้าอี้มีคนนั่งเต็มหมด คนที่มาใหม่ต้องยืน โหน พอถึงสถานีพร้อมพงษ์ มีคนแก่คนหนึ่ง อายุคงประมาณสัก 80 ขาใส่เฝือก และมีไม้ค้ำเอาขึ้นมาด้วย พอขึ้นมาที่รถไฟฟ้าก็ไม่มีคนลุกให้ที่นั่งคุณตาคนนี้
เธอสังเกตเห็นว่าตรงที่นั่งติดประตูมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ ก้มหน้าดูโทรศัพท์ และเล่นโทรศัพท์ ที่จริงผู้หญิงคนนั้นเห็นแล้วว่ามีคนแก่ขาใส่เฝือกขึ้นมา แต่เธอไม่สนใจ ผู้หญิงคนนี้ คนที่เล่า เลยเดินไปสะกิดผู้หญิงคนที่นั่งอยู่ บอกว่า น้อง ๆ ช่วยให้ที่นั่งคุณตาได้ไหม
ผู้หญิงคนที่นั่งอยู่มองหน้าเธอ แล้วมองไปที่คุณตา เสร็จแล้วก็เหลียวหลังไปดูเก้าอี้ว่ามีเครื่องหมาย Priority หรือไม่ เครื่องหมาย Priority หมายถึง เครื่องหมายที่บอกว่า ที่นั่งนี้สำหรับคนแก่ ผู้หญิงท้อง คนป่วย คนชรา เป็นต้น มันไม่มีเครื่องหมาย Priority
พอเธอเหลียวหลังไปมองเสร็จ เธอก็หันมามองว่าผู้หญิงคนที่เล่า เหมือนกับจะบอกว่า เก้าอี้นี้ฉันมีสิทธิ์นั่ง เพราะว่ามันไม่ใช่เป็นที่นั่งที่สำรองหรือสงวนไว้สำหรับคนแก่ คนป่วย เสร็จแล้วเธอก็หันไปก้มหน้าดูโทรศัพท์ต่อ พูดง่าย ๆ คือว่า ก็ในเมื่อฉันมีสิทธิ์นั่งเก้าอี้ตัวนี้ ฉันก็จะขอนั่งต่อไป
เป็นอันว่าคุณตาต้องยืนจนถึงที่หมาย คือสุดสาย หวังว่าพอไปได้สัก 4-5 สถานี คงจะมีคนลุกเพื่อลงจากรถไฟฟ้า
ภาพนี้เป็นภาพที่เราเห็นบ่อยเดี๋ยวนี้ คนแก่ต้องยืน โหน บางทีคนท้อง ผู้หญิงท้องต้องยืนโหนรถไฟฟ้า คนที่นั่งไม่มีใครมีน้ำใจลุกให้ที่นั่งกับคนเหล่านี้ บางทีพ่อแม่พาลูกมา ตัวเล็ก ๆ 2-3 คน ลูกต้องจับชายเสื้อพ่อชายเสื้อแม่ หรือไม่ก็จับเสา เพราะว่าไม่มีคนให้ที่นั่งเด็ก เดี๋ยวนี้นี่คือภาพที่เราเจอบ่อย ในกรุงเทพนี่แหละ ไม่ใช่ที่ไหน
และที่น่าสนใจ หรือน่าสังเกตคือว่า คนที่นั่งโดยที่ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจคนแก่ ไม่สนใจเด็ก ผู้หญิงท้อง จำนวนไม่น้อยเป็นคนหนุ่มคนสาว ส่วนใหญ่ทำท่าก้มดูโทรศัพท์มือถือ อันนี้เป็นเรื่องที่มีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า คนหนุ่มสาวสมัยนี้ไม่ค่อยมีน้ำใจเท่าไร ซึ่งอันนี้สอดคล้องกับข้อสังเกตของคนในหลายประเทศ เขาตั้งข้อสังเกตอย่างนี้มานานแล้ว
เมื่อสัก 10 ปีที่แล้ว มีงานวิจัยแห่งหนึ่งที่เขานำเสนอที่มหาวิทยาลัยชิคาโก เขาทำการศึกษาวิจัยเด็กคนรุ่นใหม่ประมาณ 10,000 กว่าคน และพบว่าคนรุ่นใหม่เวลานั้น เมื่อ 15 ปีที่แล้ว มีน้ำใจหรือคิดถึงคนอื่นน้อยกว่าคนรุ่นใหม่หรือคนหนุ่มสาวเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ความสนใจคนอื่นน้อยลง 40 เปอร์เซ็นต์ และสนใจตัวเองหรือหลงตัวเองเพิ่มขึ้นเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์
นี่เป็นข้อสรุปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ซึ่งถ้ามาจนถึงวันนี้คงจะยิ่งกว่าที่เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว
และเขาตั้งข้อสังเกตว่า ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังปี 2000 เพราะอะไร เพราะว่าเริ่มมีโทรศัพท์มือถือ มีสมาร์ทโฟน เกิดวัฒนธรรม เรียกว่า วัฒนธรรมเซลฟี่ วัฒนธรรมเซลฟี่ หมายความว่า วัฒนธรรมที่สนใจตัวเอง ส่วนหนึ่งเพราะโทรศัพท์มือถือมันสะกดคน ใครที่ดูโทรศัพท์มือถือแล้วก็ไม่สนใจคนอื่นแล้ว ไม่ว่าโซเชียลมีเดีย หรือเล่นเกม
เหมือนกับผู้หญิงสาวคนนั้น เธอคงกำลังติดโทรศัพท์อยู่ เลยไม่อยากจะลุกให้ที่นั่งคนแก่ เพราะกำลังติดพัน อันนี้เรียกว่าเป็นเพราะโทรศัพท์มือถือทำให้ไม่สนใจคนอื่น
แต่มันมีผลยิ่งกว่านั้น เพราะว่าพอติดโทรศัพท์มือถือ มันก็ไม่อยากพบปะคบค้าสมาคมกับใคร เก็บตัวอยู่ในบ้าน เก็บตัวอยู่คนเดียว คนเราถ้าเราไม่ค่อยได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์หรือปฏิสัมพันธ์กับคน มันจะขาดสิ่งที่เรียกว่า ทักษะทางสังคม Social Skill ซึ่งรวมถึงความมีน้ำใจด้วย
สมัยก่อนเวลาเราเล่น เราเล่นกันเป็นคณะ เป็นกลุ่ม ต้องมีความรู้จักให้ รู้จักประนีประนอม เห็นอกเห็นใจกัน อันนี้เขาเรียกว่าเป็น Social Skill ทักษะทางสังคม เด็กสมัยนี้อยู่กับโทรศัพท์มือถือมาก เลยไม่จำเป็นต้องไปพบปะเกี่ยวข้องกับใคร มิหนำซ้ำวิถีชีวิตก็เร่งรีบมาก ตัวใครตัวมันตั้งแต่เรื่องการเรียน จนถึงเรื่องการทำงาน คนเลยเห็นแก่ตัว ตัวใครตัวมันมากขึ้น
แต่ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การเลี้ยงดู พ่อแม่เดี๋ยวนี้มีลูกน้อย เพราะฉะนั้นหลายครอบครัวมีลูกคนเดียว ต้องเอาอกเอาใจ ตามใจลูก ลูกเลยเกิดความรู้สึกว่า ฉันเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เอาตัวเองเป็นใหญ่ ยิ่งไม่มีพี่ไม่มีน้องที่จะต้องใส่ใจดูแลเลยยิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้น
และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือพ่อแม่ก็ไม่ได้เป็นแบบอย่าง ถ้าพ่อแม่เป็นแบบอย่างของการเอื้อเฟื้อเกื้อกูล ใส่ใจผู้อื่นก็ดี
เมื่อ 2-3 วันก่อน พูดถึงเด็ก 2 คน 5 ขวบ กับ 7 ขวบ ตามแม่ไปห้าง และแม่จะไปกดเอาเงินเงินสดจากตู้ ATM ระหว่างที่แม่กดเงินจากตู้ ATM เด็กเห็นป้ายโปสเตอร์ติดที่ฝาผนังไม่ไกล ข้อความตัวใหญ่ ๆ บอกว่า ห้ามใช้โทรศัพท์ขณะกดตู้ ATM เพราะว่าอาจจะเป็นเหยื่อของพวกแก๊งมิจฉาชีพได้
จากนั้นเด็กสังเกตว่าตู้ ATM ใกล้ ๆ มีคนปู่คนหนึ่งเขากำลังโทรคุยโทรศัพท์มือถือไปด้วย กดตู้ ATM ไปด้วย เด็กเลยบอกแม่ว่า แม่ ๆ ๆ ดูสิ คุณปู่คนนี้ทำเหมือนในภาพโปสเตอร์เลย แม่ก็เหลียวมาดู เหลียวมาดูทั้งภาพโปสเตอร์ และเหลียวมาดูคุณปู่คนนี้
แทนที่เธอจะนิ่งเฉย แทนที่จะบอกลูกว่า อย่าไปสนใจเขาเลย คุณแม่กลับไปบอกคุณปู่ว่า อย่าเพิ่งใช้โทรศัพท์มือถือขณะที่กำลังกดตู้ ATM
คนแก่ไม่ฟัง แม่ทำอย่างไร แม่เลยโทรศัพท์เรียกตำรวจ บอกตำรวจว่า ช่วยอธิบายให้คุณปู่คนนี้ฟังหน่อยว่าการใช้โทรศัพท์มือถือขณะที่กดตู้ ATM อันตราย อาจจะเป็นเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพได้ เสร็จแล้วก็ยื่นโทรศัพท์มือถือให้กับคุณปู่ ตำรวจก็อธิบาย คราวนี้คุณปู่เขาเชื่อ เขาเลยเลิก เป็นอันว่าไม่สูญเงิน
แม่คนนี้เป็นตัวอย่างว่า เมื่อเห็นคนกำลังถูกหลอก ไม่ควรนิ่งเฉย ควรเตือน หรือถ้าเขาไม่ฟังก็ต้องหาวิธีอื่นที่ช่วยเขา มันเป็นวิธีสอนเด็กว่า ให้ใส่ใจคนอื่น แต่ถ้าแม่ไม่สนใจ ถือหลักว่า โนสนโนแคร์ เด็กจะซึมซับทัศนคตินี้ไปด้วย
เพราะฉะนั้น การที่คนรุ่นใหม่เวลานี้มีน้ำใจน้อยลง เห็นแก่ตัวมากขึ้น ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการเลี้ยงดูของพ่อแม่ด้วย
ฉะนั้น ถ้าเราเห็นปัญหานี้ และเราเป็นพ่อเป็นแม่ พยายามทำตัวให้เป็นแบบอย่างให้ลูก ๆ ได้รู้ว่า คนเราควรมีน้ำใจ ไม่ใช่แค่สอนด้วยการพูด แต่ว่าทำตัวให้เป็นแบบอย่าง อันนี้จะมีความหมาย มีอิทธิพลในการปลูกฝังนิสัยเห็นแก่ผู้อื่นมากขึ้น ไม่อย่างนั้นต่อไปคนรุ่นใหม่จะเห็นแก่ตัวหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ สุดท้ายสังคมนี้ก็จะเป็นสังคมที่ไม่ค่อยน่าอยู่แล้ว เพราะคนไม่มีน้ำใจต่อกัน.