พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 28 กรกฎาคม 2568
ที่ประเทศจีน 30 กว่าปีก่อน มีผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นคนเล็ก ๆ ธรรมดาสามัญ แถมยากจนด้วย อายุประมาณ 48 ปี อาชีพคือหาของเก่าที่เขาทิ้งแล้วตามขยะ เธออยู่คนเดียว ไม่มีครอบครัว ยังชีพด้วยการหาของใช้แล้วที่พอจะขายได้ตามกองขยะ
เช้าวันหนึ่งไปเจอเด็กทารกคนหนึ่งอยู่ในกล่องกระดาษเก่า ๆ กลางกองขยะ เด็กคนนี้แขนขาดข้างหนึ่ง แต่น่ารักมาก อาการแบบนี้แสดงว่าเด็กถูกทิ้ง เพิ่งคลอดออกมาใหม่ ๆ ก็ถูกทิ้งเสียแล้ว น่าสงสารมาก
ผู้หญิงคนนี้ชื่อ เกา เธอเห็นแล้วสงสาร ไม่เพียงแต่หยิบเด็กทารกคนนี้มาจากกองขยะเพื่อช่วยชีวิตเท่านั้น แต่ว่าเธอรับเอามาเลี้ยงเป็นลูก
ตัวเธอก็ยากจนอยู่แล้ว หาเช้ากินค่ำ ปากกัดตีนถีบ คนก็ท้วง เพื่อนบ้านก็ท้วงว่า อย่าไปเลี้ยงเลย เอาไปให้สถานสงเคราะห์เถอะ แต่เธอก็ยืนยันที่จะรับเด็กคนนี้ไปเลี้ยง อาจจะเป็นเพราะเธอเชื่อว่าเธอเลี้ยงได้ดีกว่า อีกอย่างหนึ่ง เธอเคยมีลูกแล้วสูญเสียลูกไป คงอยากจะรับเด็กคนนี้มาเป็นลูกเพื่อเยียวยาจิตใจด้วย
เธอไม่มีเงินซื้อนมให้ลูกคนนี้ ซึ่งเธอตั้งชื่อว่า เหลาอัน ก็ไปขอนมจากแม่ลูกอ่อนเพื่อนบ้านเอามาให้เหลาอัน เพื่อนบ้านก็ดี คนยากจนเขาจะเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน มีลูกแล้วก็แบ่งนมให้ลูกคนอื่นด้วย
เหลาอันเติบโตมาด้วยน้ำนมของเพื่อนบ้าน และด้วยความรักของแม่เกา พอเหลาอันโตขึ้น เธอเรียกเกาว่าแม่ แต่เกาบอกว่า เรียกฉันว่าย่าดีกว่า เพราะว่าฉันอายุมากกว่าเธอตั้ง 4 รอบ แต่เหลาอันยังยืนยันจะเรียกเกาว่าแม่ และเรียกแม่มาตลอดตั้งแต่เล็ก
เธอโชคดีหน่อยตรงที่ว่าเทศบาลเขามีทุนให้เด็กยากจน เด็กพิการได้เรียนฟรี แต่ไม่ใช่ว่าง่าย เพราะว่าโรงเรียนอยู่ไกล เธอไม่มีปัญญานั่งรถโดยสาร ไม่มีเงิน รถจักรยานก็ไม่มีเงินซื้อ ทำอย่างไร วิ่ง วิ่งไปโรงเรียน วิ่งทุกวัน และเธอใช้เท้าไม่ใช่เพื่อวิ่งไปโรงเรียนอย่างเดียว ใช้เท้าเขียนหนังสือด้วย เพราะว่าแขนเธอขาดไปข้างหนึ่ง ใช้เท้าเขียนหนังสือตั้งแต่เล็กจนคล่อง และสวยงามบรรจง
แม้ว่าเธอจะอยู่ท่ามกลางความอัตคัดขาดแคลน แต่สิ่งที่เธอมีเต็มเปี่ยมคือความรัก ความอบอุ่นจากแม่บุญธรรม ไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของเธอ ทำให้มีความอุตสาหะ มีความรักแม่ ตั้งแต่เล็กก็ช่วยแม่เก็บขยะ พอได้เรียนหนังสือก็ขยันเรียน ไม่มีมือ เขียนหนังสือก็ใช้เท้า และใช้เท้าพาตัวเองวิ่งไปโรงเรียนทุกวัน ๆ จนกระทั่งติดทีมกรีฑาของโรงเรียน จะหาคนที่วิ่งเร็ว วิ่งอึดอย่างเหลาอันในโรงเรียนนั้นยาก
ตอนหลังเธอติดทีมชาติ ทีมชาติที่ไปแข่งกีฬาคนพิการ ได้รางวัลมา แต่แม่บุญธรรมของเธอบอกเธอว่าอย่าทิ้งการเรียน เธอก็รับปาก และเธอขยันเรียนมาก แบ่งเวลาไปซ้อมวิ่ง และเวลาอีกส่วนหนึ่งก็เรียนหนังสือ ทำการบ้าน จนเรียนจบได้คะแนนดี
แล้วเธอมั่นใจมาก ไปสอบเข้าหมอ สอบได้ เรียนแพทย์ในเมืองจีนก็เหมือนกับเมืองไทย ไม่ใช่ว่าเรียนง่าย ๆ ขนาดคนที่มีอะไรพร้อมแล้วยังเรียนเข้าคณะแพทย์ของเมืองจีนไม่ได้ แต่เหลาอันเรียนได้ เรียนหนักด้วย และเธอยังอุตส่าห์หาเวลาไปทำงานพาร์ทไทม์เพื่อจะได้มีเงินมาส่งเสียจุนเจือตัวเองให้เรียนหนังสือต่อได้โดยที่ไม่ต้องรบกวนแม่
ไม่ใช่ง่ายเลย บ้านก็เป็นบ้านที่เป็นกระท่อมสับปะรังเค ต้องช่วยแม่ทำงานบ้าน และต้องเรียนหนังสือ และต้องไปทำงานพาร์ทไทม์ แต่เธอก็พากเพียรพยายามจนกระทั่งเรียนจบ และต่อปริญญาโท เรียนจบต่อปริญญาเอกจนได้เป็นด็อกเตอร์ด้านการแพทย์
น่าทึ่งมาก คนที่ยากจนไม่มีแขนข้างหนึ่ง นอกจากประสบความสำเร็จด้านวิชาชีพหรือด้านวิชาการแล้ว ยังได้เป็นแชมป์ในการแข่งขันกีฬาคนพิการด้วย เรียกว่าเป็นคนที่แม้จะลำบาก แม้จะอับโชคในตอนวัยเด็ก แต่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัว ถีบตัวขึ้นมาจนกระทั่งประสบความสำเร็จ
อันนี้ส่วนหนึ่งต้องถือว่าเป็นเพราะแม่ แม่เกา แม่บุญธรรมของเธอ เพราะถึงแม้ว่าจะยากจน แต่มีความรัก ให้ความรักกับเหลาอันเต็มที่ แต่ไม่ได้ให้ความรักแบบตามใจ ทุ่มเทเพื่อลูก และไม่รู้สึกว่าตัวเองมีลูกที่แขนขาดเลย
พ่อแม่บางคน พอลูกแขนขาด ลูกพิการ อับอาย พ่อแม่ที่แท้ของเหลาอันคงจะรู้สึกแบบนี้ อับอายว่าลูกแขนขาดเลยเอามาทิ้ง แต่ว่าแม่เกาเธอไม่อับอายเลยที่ลูกแขนขาด เธอเลี้ยงด้วยความรัก ทุ่มเท เสียสละ อดมื้อกินมื้อเพื่อลูก มองในแง่นี้ถือว่าการที่เหลาอันถูกทิ้งเป็นโชค คล้าย ๆ กับว่าเป็นเคราะห์ แต่เป็นโชค เพราะถ้าไม่ถูกทิ้งก็ไม่มีทางมาเจอแม่เกาซึ่งเปี่ยมไปด้วยความรัก
ถ้าอยู่กับพ่อแม่แท้ ๆ อาจจะลำบากก็ได้ ถึงแม้ว่าจะมีเงินมีทอง แต่ว่าขาดความรักความอบอุ่น บางทีพ่อแม่อาจจะดูถูกด้วยว่า ทำไมฉันมีลูกที่แขนขาด รู้สึกมีปมด้อยเพราะลูก อาจจะปฏิบัติกับลูกด้วยความรังเกียจ ซึ่งเกิดขึ้นเยอะ พ่อแม่หลายคนถือว่าลูกเป็นหน้าเป็นตา พอลูกพิการรู้สึกอับอาย แต่ว่าแม่เกาเธอไม่เลย
การที่เหลาอันถูกทิ้ง จะว่าไปแล้วไม่ใช่เคราะห์ มันคือโชค ทำให้ได้เจอคนที่รักและทุ่มเทเพื่อเธอจริง ๆ
แต่จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่เพราะมีแม่ที่ดีเท่านั้น หรือว่าเป็นเพราะมีโชคเท่านั้น ตัวเหลาอันเองก็ต้องน่านับถือด้วย เพราะว่าเธอเป็นคนคิดดี ถ้าเธอคิดไม่ดีจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่า ทำไมพ่อแม่ทิ้งฉัน ฉันไม่น่ารักหรืออย่างไร ฉันไม่ดีหรืออย่างไร
หลายคนรู้สึกทำร้ายตัวเอง โทษตัวเองว่าไม่ดี พ่อแม่จึงทิ้ง หรือบางทีก็โกรธโชคชะตา บางทีก็โกรธพ่อโกรธแม่ แต่เธอไม่มีตรงนี้เลย ไม่มีความรู้สึกลบ ไม่มีความรู้สึกร้าย กลับรู้สึกว่าโชคดีที่ได้มีแม่คนนี้
ตอนหลัง ตอนที่เธออายุ 29 เป็นด็อกเตอร์แล้ว และประสบความสำเร็จทางด้านกีฬา มีคนเชิญเธอกับแม่ไปออกรายการโทรทัศน์ และพิธีกรถามเธอว่า รู้จักแม่หรือพ่อแท้ ๆ ไหม เธอบอกว่า หนูไม่รู้จักพ่อแม่แท้ ๆ ของหนูหรอก และหนูก็ไม่สนใจด้วย เพราะหนูมีแม่ที่ดีที่สุดในโลกอยู่แล้ว แล้วเธอก็หันหน้าไปที่แม่เกาแล้วบอกว่า แม่เป็นแม่ที่ดีที่สุดในโลกของหนู หนูไม่ต้องการแม่คนไหนอีกแล้ว
เด็กที่คิดแบบนี้ได้จะมีแต่ประสบความสุขความเจริญ ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่า ทำไมแม่ทิ้ง ทำไมต้องมาอยู่กับคนยากคนจน และถ้าเธอสมเพชตัวเองว่าทำไมฉันแขนขาด เห็นคนอื่นเขามีแขน แถมมีชีวิตที่สะดวกสบาย มีรถจักรยานขับไปโรงเรียน มีโทรศัพท์มือถือ ถ้าคิดแบบนี้จะทุกข์ จะน้อยเนื้อต่ำใจตัวเอง แต่เธอไม่มีความรู้สึกแบบนี้เลย
อันนี้เรียกว่าการที่เธอคิดแบบนี้ได้ทำให้เธอประสบความสำเร็จ เพราะว่าไม่มีอะไรที่จะมาบั่นทอนจิตใจ แถมมีความกตัญญูด้วย
นี่เป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจมาก ชี้ให้เห็นว่า คนเราแม้จะยากจน แม้จะร่างกายไม่สมประกอบ แต่ก็ไม่สามารถจะเป็นอุปสรรคขัดขวางการประสบความสำเร็จในชีวิต ในอาชีพการงานได้
นี่เป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจที่ทำให้เห็นพลังของความรักของแม่ และความพากเพียรพยายามของผู้เป็นลูก ซึ่งรวมไปถึงการรู้จักคิดดี คิดบวกด้วย คิดในทางที่ส่งเสริมให้ตัวเองมีกำลังใจ ไม่ใช่บั่นทอนจิตใจตัวเอง รวมทั้งมีความกตัญญู คนแบบนี้จะมีแต่ความสุขความเจริญ แม้ชีวิตจะลำบากในปัจจุบัน แต่ว่าในวันหน้าจะเจริญรุ่งเรือง หรือมีความสุข ความงอกงามในชีวิตแน่นอน.