พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 30 กรกฎาคม 2568
เมื่อร้อยปีก่อน อินเดียซึ่งเป็นประเทศใหญ่มาก อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ แต่มีหลายรัฐที่ปกครองโดยมหาราชา คือยังมีพระราชาปกครอง และมหาราชาหลายคนเร่ำรวยมาก
มีมหาราชาองค์หนึ่งชื่อ ชัยสิงห์ (Jai Singh) แห่งรัฐอัลวาร์ (Alwar) คราวหนึ่งไปเยี่ยมไปเยือนอังกฤษ และไปพักอยู่ที่กรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษ เช้าวันหนึ่งแต่งตัวตามสบาย เดินเล่นย่านธุรกิจ ไปเจอห้องแสดงสินค้าของโรลส์รอยซ์ โรลส์รอยซ์เป็นรถที่ราคาแพงมาก สำหรับมหาเศรษฐี มหาราชาก็สนใจ เข้าไปข้างใน เจอพนักงานขาย เลยถามราคา
พนักงานขายเป็นคนอังกฤษ เห็นมหาราชาคนนี้แต่งตัวธรรมดาแล้วรู้สึกดูแคลนอยู่ในใจว่า จะมีปัญญาซื้อรถโรลส์รอยซ์หรือ เลยพูดจาไม่ค่อยให้เกียรติเท่าไร และให้การต้อนรับไม่ค่อยดี เพราะเห็นว่าเป็นคนอินเดีย คนอินเดียเป็นพลเมืองชั้น 2 ของอังกฤษ คนอังกฤษดูถูกคนอินเดียอยู่แล้ว และยิ่งเห็นคนอินเดียคนนี้ คิดว่าคงไม่มีเงินมาซื้อโรลส์รอยซ์หรอก ก็พูดจาดูถูก
มหาราชาองค์นี้ไม่ว่าอะไร ท่านเดินกลับไปที่โรงแรม แล้วแต่งตัวเต็มยศ เรียกว่าเปลี่ยนฉลองพระองค์แบบมหาราชา และพาข้าราชบริพารจำนวนมากไปด้วย กลับเข้าไปที่ร้านเดิม
คราวนี้ทางร้านต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ เรียกว่าปูพรมแดง พูดจาเคารพนบนอบมาก มหาราชาองค์นี้ไปถึง ไม่ถามราคา ขอซื้อโรลส์รอยซ์ 6 คัน ไม่ได้ซื้อคันเดียว ซื้อ 6 คัน แถมจ่ายเงินสดด้วย ผู้จัดการตกตะลึงเลย
แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น เพราะพอโรลส์รอยซ์ถูกส่งไปที่อินเดีย ไปที่รัฐของมหาราชาองค์นี้ มหาราชาองค์นี้ไม่ได้เอารถโรลส์รอยซ์นี้มาขับ แต่มาทำเป็นรถขนขยะ ข้างหน้ามีไม้กวาด 2-3 อันคอยปัดฝุ่นบนถนน ใช้รถทั้ง 6 คันเป็นรถปัดขยะ ปัดฝุ่นบนถนนในรัฐอัลวาร์ เมืองอัลวาร์
คนอังกฤษเห็นก็ประหลาดใจ และนึกขำ นักข่าวก็ถ่ายรูปตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ในอังกฤษ คนสนใจกันใหญ่ เพราะเป็นเรื่องแปลก เอารถโรลส์รอยซ์ซึ่งเป็นรถของมหาเศรษฐี แพงมหาศาล มาทำเป็นรถปัดฝุ่น ขนขยะ คนก็กล่าวขานโจษจันกัน
ปรากฏว่าทำให้รถโรลส์รอยซ์เสียชื่อ ภาษาสมัยใหม่เขาเรียกว่า แบรนด์แย่เลย แบรนด์มัวหมอง จากรถของคนรวย กลายเป็นรถเก็บขยะไปแล้ว
พอภาพลักษณ์ของรถโรลส์รอยซ์ตกต่ำ คนก็ไม่ซื้อ คนรวยเขาจะซื้อ ไม่ได้ซื้อเพราะว่ามันดี ขับนุ่ม เพราะว่าภาพลักษณ์มันสวย พอภาพลักษณ์ตกแบบนี้ เขาก็ไม่ซื้อ พอไม่ซื้อ ยอดขายของโรลส์รอยซ์ก็ตก โรลส์รอยซ์เดือดร้อน
สุดท้ายต้องโทรเลขไปขอโทษมหาราชา และเสนอถวายรถโรลส์รอยซ์ให้ฟรี 6 คัน เพื่อขอให้ยกเลิกการเอารถโรลส์รอยซ์มากวาดฝุ่น เก็บขยะ เป็นอันว่าจบลงด้วยดี
เรื่องนี้ไม่ใช่นิทาน แต่เป็นเรื่องจริง ซึ่งสอนให้เรารู้ว่า ไม่ควรมองคนโดยดูแต่เปลือกนอก คนขายเห็นมหาราชาองค์นี้แต่งตัวธรรมดา ๆ แถมผิวคล้ำ เป็นคนอินเดีย ก็ดูถูกแล้วว่าเป็นคนชั้นต่ำ ชั้น 2 ไม่มีปัญญาจะซื้อโรลส์รอยซ์หรอก ไม่รู้หรือว่าโรลส์รอยซ์เป็นรถของคนชั้นสูง แกจะมีปัญญาซื้อหรือ คิดอย่างนี้ในใจ เพราะตัดสินคนแต่เปลือกนอก
เรื่องจริงอันนี้สอนเราอย่างหนึ่ง แต่ว่าที่สำคัญคือ มันสอนให้เห็นถึงวิธีการของมหาราชา
เวลามีใครมาดูถูกเรา หลายคนตอบโต้ด้วยการด่าทอ และเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน วิธีแบบนี้เปลืองตัว มหาราชาฉลาด ท่านไม่ลดตัวไปทะเลาะกับพนักงานที่ดูถูกตัวเอง แต่ว่าใช้วิธีการที่จะเรียกว่าสุภาพก็ได้ ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียง ไม่ได้ทะเลาะกับใคร ไม่ได้พ่นคำหยาบ แต่เอารถของโรลส์รอยซ์มากวาดขยะ เป็นวิธีการที่เรียกว่าสุภาพ แต่ว่าแรง โรลส์รอยซ์เจอแบบนี้เข้า เต้นเลย นี่เป็นวิธีการตอบโต้ที่ฉลาด คือสุภาพ ไม่เปลืองตัว แต่ว่าแรง
คนเดี๋ยวนี้คิดแต่จะใช้วิธีการที่แรง แต่ว่าไม่ได้ก่อประโยชน์เลย คือทะเลาะเบาะแว้งกัน ทำลายข้าวของ ด่าทอกัน วิธีแบบนี้เปลืองตัว และทำให้เกิดโทษ ทั้งกับตัวเองและกับผู้อื่นด้วย และไม่ค่อยได้ผลเท่าไร
แต่วิธีที่มหาราชาทำ นอกจากบริษัทโรลส์รอยซ์เดือดร้อนแล้ว พนักงานก็เดือดร้อนไปด้วย โดนไล่เบี้ยว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ก็จะได้บทเรียนว่า ต่อไปอย่ามองคนแค่เปลือกนอก อย่าตัดสินคนแค่สีผิว หรือว่าเสื้อผ้า
อันนี้เป็นเรื่องของการตอบโต้โดยไม่ใช้อารมณ์ เพื่อทำให้คนปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างถูกต้อง
แต่จะทำอย่างนี้ได้ ควรทำควบคู่ไปกับการทำใจด้วย ทำใจไม่ให้โกรธ เพราะคนเราต้องเจอใครที่มาดูถูกเราอยู่บ่อย ๆ มองเราด้วยสายตาที่เป็นลบ ถ้าเราโกรธ เราจะเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น เวลาตอบโต้ใคร อันนี้เรียกว่า ทำกิจ แต่อย่าลืม ทำจิต ด้วย คือรักษาใจไม่ให้โกรธ
ทำไมถึงโกรธ หลายคนบอกว่า โกรธเพราะว่าเขาเข้าใจเราผิด อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราโกรธใครเพราะเขาเข้าใจเราผิด เราจะไม่มีความสุขในชีวิตเลย เพราะจะเจอแต่คนที่เข้าใจเราไม่ถูกอยู่เสมอ
บางคนบอกว่า โกรธเพราะว่าเขาดูถูกว่าเราจน คนที่คิดแบบนี้แสดงว่าตัวเองเชิดชูความรวยและดูถูกความจน คนที่เชิดชูความร่ำรวยและดูถูกความยากจน พอใครมาบอกว่าเราจนหรือใครเขามามองว่าเราจน เราโกรธ แต่ที่จริงแล้วความรวยความจนไม่ใช่สาระของชีวิต ไม่ควรจะไปใส่ใจกับมันมาก ใครเขาจะมองว่าเราจนก็ช่างเขา มันไม่ใช่สาระของชีวิต
สาระของชีวิตคืออะไร คือความดี ความดีคือสิ่งที่เราต้องทำ เพราะเราทำดีแล้ว ใครเขาจะดูถูกว่าเราจนก็ช่างเขา หรือใครเขาจะดูถูกเราว่าความรู้น้อย ไม่จบปริญญาเอก ไม่จบปริญญาตรีก็ช่างเขา เพราะสาระสำคัญของชีวิตไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น ไม่ได้อยู่ที่ความร่ำรวย ไม่ได้อยู่ที่ปริญญาบัตร แต่อยู่ที่ความดี
แต่ความดี เราต้องวางใจให้ถูก ความดีเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่ทำแล้ว ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นว่า กูดี หรือ กูเป็นคนดี อันนี้ไม่ถูกต้อง เพราะว่าพอไปยึดมั่นสำคัญหมายว่า กูดี กูเป็นคนดี ใครเขาบอกว่าเราไม่ดี เราก็โกรธ แล้วพอเราโกรธ มันก็ฟ้องว่าเราเป็นคนไม่ดี เพราะถ้าเราดีจริง เราไม่โกรธ
เพราะฉะนั้น ความดี แม้จะเป็นสาระของชีวิต แต่ว่าต้องวางใจให้ถูก เกี่ยวข้องกับความดีให้เป็น คือว่า ความดีเป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ต้องยึดเอาไว้ว่าเป็นเรา เราดี กูดี กูเป็นคนดี
เพราะฉะนั้น ถ้าเราวางใจอย่างนี้ได้ถูก ใครเขาจะดูถูกเราอย่างไร เราก็ไม่โกรธ แต่ว่าอะไรที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเราสามารถจะทำอะไรเพื่อแก้ไขความไม่ถูกต้องนี้ได้ก็ทำ อย่างเช่น มหาราชาให้บทเรียนกับบริษัทโรลส์รอยซ์ และกับพนักงานขายว่า อย่าดูถูกคนว่าจน หรืออย่าไปมองคน ตัดสินคนเพียงแค่เปลือกนอก
แต่ทำอย่างนี้ไม่พอ ต้องทำใจด้วย ฝึกใจให้ไม่โกรธด้วย เพราะว่าถ้าเราโกรธเมื่อไร เราก็ทุกข์เมื่อนั้น แล้วเราจะหาความสงบไม่ได้เลย เพราะว่าคนที่เข้าใจเราผิด คนที่ดูถูกเรามีเสมอ แม้กระทั่งเป็นมหาราชายังมีคนดูถูก อันนี้ต้องวางใจให้เป็น.