PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
  • เรื่องดีเติมไฟ เรื่องจริงเตือนใจ
เรื่องดีเติมไฟ เรื่องจริงเตือนใจ รูปภาพ 1
  • Title
    เรื่องดีเติมไฟ เรื่องจริงเตือนใจ
  • เสียง
  • 14034 เรื่องดีเติมไฟ เรื่องจริงเตือนใจ /aj-visalo/2025-08-13-06-44-13.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันพุธ, 13 สิงหาคม 2568
ชุด
ธรรมะสั้นๆ ก่อนอาหารเช้า 2568
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 4 สิงหาคม 2568
    เมื่อไม่กี่ปีก่อน มีการแข่งขันโอลิมปิก และกีฬาชนิดหนึ่งซึ่งอยู่ในความสนใจผู้คนคือยิมนาสติก ปรากฏว่ามีนักยิมนาสติกชาวอเมริกันคนหนึ่งได้เหรียญทอง ชื่อ มายา เรเยส ตอนที่เธอไปรับเหรียญทองมีคนนับหลายหมื่นคน 80,000 คนได้ ตบมือชื่นชมความสามารถของเธอ
    พอเธอลงจากแป้นรับเหรียญทองเสร็จ มีนักข่าวมาสัมภาษณ์ว่า คุณอยากจะขอบคุณใครบ้างไหม มายาตอบว่า มีคนหนึ่งที่ฉันอยากจะไปพบ แล้วเธอก็เดินผ่านนักข่าวไป
    เธอเดินผ่านผู้คนมากมายจนไปหยุดที่หน้าผู้หญิงแก่คนหนึ่งซึ่งอยู่ในโซนผู้นั่งชม แล้วเธอก็ทรุดตัวลงคุกเข่าอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนั้น แล้วเรียกผู้หญิงคนนั้นว่า คุณคาร์เตอร์
    พูดเสร็จเธอก็เอาเหรียญทองที่คล้องคอมาวางไว้บนตักของหญิงชราคนนั้นอย่างอ่อนโยน แล้วมายาบอกว่า คุณคือคนแรกที่ให้เบาะแก่ฉัน เบาะนี้คือเบาะเล่นยิมนาสติก มายาบอกว่า ตอนที่เธอเป็นเด็กนักเรียน เธอยากจน ไม่มีอุปกรณ์การเรียน ไม่มีอุปกรณ์ซ้อม ไม่มีแม้กระทั่งเบาะเล่นยิมนาสติก แต่คุณได้ช่วยเหลือให้โอกาสฉันด้วยการเคลียร์ห้องเก็บของ
    คาร์เตอร์เป็นภารโรงโรงเรียนของมายา ซึ่งเกษียณไปนานแล้ว แต่ตอนนั้นพอคาร์เตอร์รู้ว่ามายามีความฝันอยากจะเล่นยิมนาสติก แต่ไม่มีห้อง ไม่มียิม เลยเคลียร์ห้องเก็บของเก่า ๆ ในโรงเรียนให้มีที่ว่างเพื่อให้มายาได้เล่น ทีแรกซ้อมยิมนาสติกบนเบาะเก่า ๆ เบาะมวยปล้ำ ตอนหลังคาร์เตอร์ไปหาซื้อเบาะมาให้มายาเล่น
    มายาสํานึกถึงบุญคุณของคาร์เตอร์ พอเธอได้เหรียญทองเลยมาหาคาร์เตอร์เป็นคนแรก ซึ่งบังเอิญมาชมการแข่งขันนัดนั้นด้วย
    คาร์เตอร์บอก ฉันแค่เห็นว่าหนูฝึกจนดึกจนดื่น เลยอยากจะช่วย ไม่คิดเลยว่าฉันจะช่วยสร้างแชมป์โลกขึ้นมา มายาบอก คุณไม่ได้สร้างแชมป์โลก คุณสร้างเด็กคนหนึ่งให้มีความเชื่อมั่นว่าตัวเองยังมีคุณค่า ยังมีใครบางคนที่ใส่ใจ
    ภาพที่เธอนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าคาร์เตอร์มีช่างภาพถ่ายและแพร่กระจายทั่วโลก
    ตอนหลังมีคนมาถามมายาว่า ให้เหรียญทองกับคาร์เตอร์ไป เสียดายไหม เธอบอก ไม่เสียดายเลย ว่าแล้วก็หยิบของบางอย่างขึ้นมาจากกระเป๋าของเธอ เป็นลูกกุญแจเก่า ๆ แล้วมายาบอกว่า นี่คือลูกกุญแจที่คาร์เตอร์มอบให้ฉัน มันเป็นกุญแจที่เปิดห้องเก็บของ แล้วตอนนั้นคาร์เตอร์บอกกับมายาว่า เก็บไว้ เพราะเธอจะต้องใช้มันเพื่อไขกุญแจเพื่อเปิดประตูสู่ความฝันของเธอ
    นักข่าวไปหาความจริงว่าคาร์เตอร์เป็นใคร สุดท้ายก็ทราบความว่า ตอนที่คาร์เตอร์เป็นภารโรง เธอยอมเสี่ยงถูกไล่ออกเพื่อที่จะเปิดห้องเก็บของเพื่อให้เด็กคนหนึ่งที่ยากจนได้มาเล่นยิมนาสติกในเวลาว่าง
    มันไม่ใช่เป็นหน้าที่ของภารโรง และภารโรงก็ไม่มีหน้าที่ที่จะเปิดห้องให้ใคร แต่ว่าคาร์เตอร์เห็นว่าเด็กคนนี้มีความใฝ่ฝัน เลยเปิดห้องให้ ตอนหลังก็มอบกุญแจให้ บอกว่าให้มาเปิดห้องซ้อมได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
    และมายาก็บอกคาร์เตอร์ในวันนั้นว่า กุญแจที่คุณให้ช่วยเปิดประตูให้ฉัน ฉันแค่เดินผ่านเข้าไปเท่านั้นเอง อันนี้หมายความว่า ถ้าหากว่าประตูนั้นปิดตาย มายาคงจะไม่สามารถจะเดินจนกระทั่งไปถึงความใฝ่ฝันได้ คือเป็นนักยิมนาสติกเหรียญทองของอเมริกา
    เรื่องนี้มีคนนำมาถ่ายทอดเป็นบทความ และมีภาพมายา เรเยส มานั่งคุกเข่าอยู่หน้าหญิงแก่คนหนึ่งด้วยความชื่นชมขอบคุณ ท่ามกลางผู้ชมหลายหมื่นคน มีคนแชร์ทางเฟซบุ๊กเมื่อหลายวันก่อน
    หลายคนอ่านแล้วรู้สึกชื่นชมซาบซึ้งประทับใจว่า ผู้หญิงคนหนึ่งมีความกตัญญูต่อผู้ที่ช่วยทำให้ความฝันของเธอเป็นจริง และชื่นชมภารโรงคนนี้ที่เห็นแววของเด็กคนหนึ่ง และช่วยให้เด็กคนนั้นได้บรรลุความใฝ่ฝัน แม้ว่าจะต้องเสี่ยงกับการถูกไล่ออก
    แต่ว่าทั้งหมดที่พูดมาไม่ใช่เรื่องจริง อาตมาทีแรกอ่านดูก็ เออ เข้าท่า แต่ว่าเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเชื่ออะไรง่าย ๆ ไปเช็กทางกูเกิลบ้าง ก็ได้ทราบว่ามันเป็นเรื่องเฟค ทั้งเรื่อง และภาพ ภาพนี้เอไอสร้างขึ้นมา เอไอบอกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ถูกสร้างขึ้นมาจากเอไอ
    และมีคนจับสังเกตได้ จับพิรุธได้ว่า เรเยสเป็นคนผิวดำ ทำไมตัวเรเยสในภาพเป็นหญิงผิวขาว และมิหนำซ้ำ สัญลักษณ์โอลิมปิก ซึ่งแทนที่จะเป็นห่วง 5 วง กลับเป็นห่วง 7 วง มีคนจับผิด เลยรู้ว่าเรื่องทั้งหมด ถ้าพูดภาษาชาวบ้านคือ เรื่องแหกตา แต่เป็นเรื่องที่ดี เป็นนิทานคุณธรรมที่จรรโลงใจ แต่ว่าไม่ใช่เรื่องจริง
    อันนี้เป็นข้อเตือนใจว่า สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราได้ยิน แม้จะดูน่าเชื่อถืออย่างไร แต่อาจจะเป็นเรื่องแต่งขึ้นมาก็ได้ โดยเฉพาะในยุคเอไอ ตอนนี้มีภาพ มีข่าวที่แต่งเติมขึ้นมาเยอะ และคนก็หลงเชื่อง่าย ตอนนี้ต้องใช้หลักกาลามสูตรมาก ภาพหลายภาพ เรื่องราวหลายเรื่องราวที่มีคนแชร์ เป็นคนที่เรารู้จัก เป็นครูบาอาจารย์ อย่าเพิ่งเชื่อเป็นความจริง
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า อย่าเชื่อเพียงเพราะผู้พูดเป็นครูของเรา อย่าเชื่อเพียงเพราะมันมีลักษณะน่าเชื่อถือ หรือเป็นไปได้
    ตอนนี้อะไรก็ตามที่ผ่านตาเรา ถ้าจะเชื่อ ต้องตั้งข้อสังเกตว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า ถ้าเราไม่ใช้หลักกาลามสูตร เราก็หลงเชื่อง่าย โดยเฉพาะในช่วงนี้มีการปล่อยข่าวลือเยอะมาก เฟคนิวส์ ข่าวลวง ว่อนไปหมด และเนื่องจากมันถูกใจเรา เราเลยเชื่อ หรือเป็นเพราะว่ามันถูกส่งมา มีคนที่เรารู้จักแชร์มา เราเลยเชื่อ ตอนนี้ต้องระวัง อย่าไปเชื่ออะไรง่าย ๆ
    ยุคเอไอ ในแง่หนึ่งก็ทุ่นเวลาเราในการค้นคว้าหาข้อมูล แต่ว่าบ่อยครั้งทำให้เราเสียเวลามากขึ้น เดี๋ยวนี้ต้องเสียเวลาในการเช็กว่ามันจริงหรือเปล่า แต่ก่อนไม่ต้องเช็ก เพราะว่ามีคนช่วยเช็กให้ กว่าจะปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ตามสื่อโทรทัศน์ มีการกรองมาก่อน แต่เดี๋ยวนี้เราใช้โซเชียลมีเดียกัน และเราก็เชื่อง่าย เดี๋ยวนี้ทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว ต้องยอมเสียเวลาเช็ก
    เอไอแทนที่จะทำให้เรามีเวลาว่างมากขึ้น กลับทำให้เราเสียเวลามากขึ้นในการเช็กข้อมูล
    เหมือนกับรถยนต์ รถยนต์สมัยหนึ่งทำให้เราทุ่นเวลาในการเดินทาง แต่ไป ๆ มา ๆ เราเสียเวลากับรถยนต์มาก เสียเวลาในการหาเงินเพื่อมาซื้อน้ำมัน เสียเวลาในการหาเงินเพื่อมาจ่ายค่าประกัน เสียเวลาในการดูแลรักษามัน เสียเวลาหาที่จอดรถ สิ่งที่ช่วยเราเพื่อประหยัดเวลา เดี๋ยวนี้กลายเป็นทำให้เราเสียเวลามากขึ้น
    โทรศัพท์มือถือก็เหมือนกัน แต่ก่อนทำให้เราเสียเวลาน้อยลง จะไปหาใคร ไม่ต้องหาหรอก แค่โทรศัพท์ แต่เดี๋ยวนี้ปรากฏว่าคนเสียเวลากับโทรศัพท์มากขึ้น หมดเวลาไปทั้งวันกับโทรศัพท์มือถือ ไม่ได้มีเวลาเพิ่มขึ้นเลย
    เอไอก็เหมือนกัน แต่ก่อนหรือทุกวันนี้เราเชื่อว่ามันทำให้เรามีเวลามากขึ้น เพราะมันช่วยทุ่นแรงเราในการค้นคว้าหาข้อมูล แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าเราต้องเสียเวลามากขึ้นในการเช็กว่า ที่เห็นจริงหรือเปล่า ภาพที่เห็นจริงไหม
    อาตมาก็เสียเวลาเช็ก เพราะว่าจะมาเล่าให้ฟังต้องแน่ใจว่าเป็นของจริง พอเช็กทางกูเกิล เช็กทาง ChatGPT ก็ได้ความว่า เรื่องที่พูดมาทั้งหมดเมื่อสักครู่นี้เป็นเฟคนิวส์ แหกตา แต่ว่าก็มีประโยชน์ ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์
    มันเตือนใจเราว่า ความกตัญญูเป็นสิ่งที่มีค่า และการที่เราเห็นแววของเด็กคนหนึ่ง สามารถจะเติมไฟความใฝ่ฝันให้กับชีวิตของเขา ทำให้เขาเกิดกําลังใจในการดำเนินชีวิต และได้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าในเรื่องของอาชีพการงาน หรือเรื่องการเรียน อันนี้ก็มีประโยชน์ แต่ต้องรู้ว่ามันเป็นนิทานคุณธรรม มันไม่ใช่เรื่องจริง.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service