PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
  • ฤทธิ์ของพระสารีบุตร
ฤทธิ์ของพระสารีบุตร รูปภาพ 1
  • Title
    ฤทธิ์ของพระสารีบุตร
  • เสียง
  • 14039 ฤทธิ์ของพระสารีบุตร /aj-visalo/2025-08-13-06-51-08.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันพุธ, 13 สิงหาคม 2568
ชุด
ธรรมะสั้นๆ ก่อนอาหารเช้า 2568
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 9 สิงหาคม 2568
    พวกเราที่เป็นชาวพุทธย่อมทราบดีว่าพระพุทธเจ้าทรงมีอัครสาวก 2 ท่าน อัครสาวกเบื้องขวาคือพระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องซ้ายคือพระโมคคัลลานะ
    พระสารีบุตรได้ชื่อว่าเป็นเอตทัคคะด้านปัญญา แต่แม้ท่านจะมีความฉลาดปราดเปรื่อง มีปัญญา เป็นรองก็แค่พระพุทธเจ้า แต่ท่านก็มีคุณธรรมหรือคุณสมบัติอย่างอื่นอีกที่น่าเคารพน่าศึกษา
    แม้ท่านจะมีฐานะเป็นเบอร์ 2 รองจากพระพุทธเจ้า แต่ว่าท่านมีความถ่อมตัวมาก ไม่ถือตัวเลย ไม่ถือตัวว่าเก่ง ใครแตะต้องไม่ได้ ไม่ใช่เช่นนั้น
    มีคราวหนึ่ง เณรตัวน้อย ๆ ทักพระสารีบุตรว่า จีวรของพระสารีบุตรหลุดลุ่ย ก็ไม่ถึงกับหลุดแต่ว่าลุ่ยแล้ว พระสารีบุตรก็รับฟังแล้วก็กลับไปห่มจีวรให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็มาถามเณรว่า เป็นอย่างไรบ้าง เณรก็บอกว่า พระสารีบุตรซึ่งเป็นอุปัชฌาย์ของเณร ห่มจีวรได้เรียบร้อยแล้ว
    นี่ขนาดเป็นพระอัครสาวก แม้กระทั่งเณรทัก ท่านก็ฟัง แสดงว่าท่านมีความถ่อมตัวมาก อันนี้เพราะว่าท่านไม่มีตัวตนแล้ว
    และนอกจากนั้นท่านก็ยังมีคุณธรรมอย่างอื่นอีก เช่น ความเมตตา
    คราวหนึ่งมีพราหมณ์คนหนึ่งได้ยินกิตติศัพท์ว่า พระสารีบุตรท่านไม่มีความโกรธ พราหมณ์นี้ก็ไม่ได้นับถือพระพุทธเจ้าหรือพระรัตนตรัย พอได้ฟังกิตติศัพท์ของพระสารีบุตรเช่นนี้ก็อยากจะลอง เรียกว่าลองของ ทดสอบ หรือท้าทาย
    เช้าวันหนึ่งพระสารีบุตรเดินบิณฑบาตอยู่ พราหมณ์คนนี้เห็น ก็เดินตามข้างหลัง และพอได้ที ก็เอาฝ่ามือฟาดกลางหลังพระสารีบุตรอย่างแรงเลย แต่พระสารีบุตรไม่รู้สึกอะไร ตรงข้ามพราหมณ์คนนั้นกลับรู้สึกตัวร้อน ร้อนอย่างแรงเลย ก็รู้แล้วว่าตัวเองทำผิด ก็เลยมาหมอบกราบแทบเท้าพระสารีบุตรเพื่อขอโทษ
    ทีแรกพระสารีบุตรท่านไม่ทราบ ท่านก็ถามว่า อะไรหรือ ทำไมถึงมาขอโทษ พราหมณ์ก็บอกว่า เมื่อสักครู่ข้าพเจ้าได้ฟาดกลางหลังพระคุณเจ้า พระสารีบุตรก็บอกว่า เหรอ อ๋อ ไม่เป็นไรหรอก อาตมาให้อภัย ไม่ถือโทษ
    ปรากฏว่าชนะใจพราหมณ์คนนั้นมาก เกิดศรัทธาขึ้นมา นิมนต์พระสารีบุตรไปฉันอาหาร ไปรับอาหารที่บ้านของเขา จากคนที่ต่อต้านกลายเป็นคนที่ศรัทธาเลย เพราะว่านับถือน้ำใจของพระสารีบุตร
    แต่ในขณะที่พระสารีบุตรให้อภัย ไม่ถือโทษพราหมณ์คนนี้ ปรากฏว่ามีคนที่เห็นเหตุการณ์หลายคนซึ่งนับถือพระสารีบุตรพอได้ยิน พอได้เห็น ก็โพนทะนากัน ข่าวลือก็แพร่ไปอย่างรวดเร็ว หลายคนก็โกรธ มารุมล้อมบ้านพราหมณ์คนนั้นพร้อมทั้งมีดทั้งไม้
    นี่ขนาดเป็นพุทธแต่ว่ายังคิดที่จะทำร้ายพราหมณ์ ข้อหาว่าไปฟาดหลังพระสารีบุตร
    พอพระสารีบุตรทราบก็เลยบอกญาติโยมเหล่านั้นว่า ท่านเองไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองแล้ว ให้อภัยแล้ว พวกท่านจะโกรธทำไม สุดท้ายพวกนั้นก็เลยยอม
    อีกคราวหนึ่งท่านก็ถูกทำร้าย แต่คราวนี้ไม่ได้ถูกตี ไม่ได้ถูกทุบหลังหรือฟาดหลัง เจอหนักกว่านั้น มียักษ์ตนหนึ่งชื่อ ยักษ์นันทก (นัน-ทะ-กะ) เป็นยักษ์มิจฉาทิฏฐิ คืนหนึ่งเห็นพระสารีบุตรนั่งสมาธิ คืนเดือนเพ็ญ อยู่ในที่โล่ง ใกล้ ๆ ก็มีพระโมคคัลลานะนั่งสมาธิอยู่ด้วย
    ยักษ์นันทกก็แปลก เลือกที่จะมาทำร้ายพระสารีบุตรแทนที่จะไปทำร้ายพระโมคคัลลานะ คงคิดว่าพระสารีบุตรไม่มีอะไร อาจจะรู้ว่าพระโมคคัลลานะนั้นมีฤทธิ์ เลยไม่กล้า ก็จะมาเล่นงานพระสารีบุตร เอากระบองคู่ใจฟาดศีรษะพระสารีบุตรอย่างแรง ในคัมภีร์ก็ว่า แรงขนาดที่ว่าช้างสูง 8 ศอกสามารถจะจมดินได้หรือภูเขาพังทลายได้ เป็นภูเขาลูกเล็ก ๆ
    แต่พระสารีบุตรไม่สะดุ้งสะเทือนเลย พระโมคคัลลานะเห็นเหตุการณ์ก็เลยถามพระสารีบุตรว่า ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า สบายดีไหม พระสารีบุตรถามว่า เกิดอะไรขึ้นเหรอ ผมก็ไม่มีอะไรมากแค่ปวดศีรษะเล็กน้อย พระโมคคัลลานะก็เลยเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า มียักษ์ตนหนึ่งเอากระบองฟาดศีรษะพระสารีบุตร
    เสร็จแล้วพระโมคคัลลานะก็บอกว่า พระสารีบุตรมีฤทธานุภาพมาก ขนาดยักษ์เอากระบองฟาดท่านยังไม่รู้สึกเลย แค่ปวดหัวเล็กน้อย ตรงข้ามกับยักษ์ ยักษ์นี่ตัวร้อนผ่าว เรียกว่าแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ และตามเรื่องก็ว่า ปรากฏว่าตัวระเบิด ลงไปจมอยู่ในนรกเลย แต่ทั้งหมดทั้งปวงนี้พระสารีบุตรไม่ทราบเลย
    พอพระโมคคัลลานะชมพระสารีบุตรว่า ท่านมีฤทธานุภาพมาก ขนาดถูกยักษ์ทำร้ายยังไม่รู้สึกเลย พระสารีบุตรก็ตอบว่า ที่จริงท่านต่างหากที่มีฤทธานุภาพมาก หาผู้ใดเสมอเหมือนไม่ได้ เพราะว่าสามารถจะมองเห็นยักษ์ ตัวผมเองแม้กระทั่งปีศาจเท่าฝุ่น ผมยังมองไม่เห็นเลย
    ท่านถ่อมตัว บอกว่า แม้กระทั่งผีหรือปีศาจตัวเล็ก ๆ ผมยังมองไม่เห็นเลย แต่ท่านมองเห็นยักษ์ ท่านมีฤทธิ์มากกว่าผมเยอะ แต่จะว่าไปแล้วพระสารีบุตรท่านมีฤทธิ์มาก ไม่ใช่มีฤทธิ์แบบเดินดินบินบน หรือว่าเสกอะไรเข้าท้องใครได้ แต่ว่ามีฤทธิ์ในความหมายที่ว่า แม้แต่ยักษ์มาทำร้ายก็ทำอะไรท่านไม่ได้ หรือที่จริงไม่ได้ทำให้ท่านเกิดความโกรธ เกิดความโมโหเลย
    แล้วพระสารีบุตรนี่โดนเยอะ นับว่าเป็นพระอรหันต์ไม่กี่รูปที่โดนทุบหลังบ้าง โดนยักษ์เอากระบองทุบหัวบ้าง แม้กระทั่งโยมมารดาท่านก็ด่า คราวหนึ่งท่านพาพระ 500 รูปไปบิณฑบาตในเมืองนาลันทา แล้วโยมมารดาก็นิมนต์ให้ไปรับบาตรที่บ้านท่าน
    แต่ไม่ได้รับเปล่า ๆ ด่าด้วย ด่าพระสารีบุตรว่า ท่านสละทิ้งทรัพย์สมบัติ 80 โกฏิ เพื่อไปบวชทำให้ตระกูลเราฉิบหายเลย เพราะว่าไม่มีใครสืบทอดวงศ์ตระกูล น้อง ๆ พระสารีบุตรก็บวชหมดแล้วก็เป็นพระอรหันต์ด้วย
    เท่านั้นไม่พอโยมมารดาก็ยังด่าพระที่มารับบาตรว่า เป็นเพราะพวกท่าน ทำให้ลูกของฉันไปเป็นข้ารับใช้ แต่พระท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร
    เมื่อพระราหุลซึ่งอยู่ในจำนวนพระ 500 นี้กลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็เล่าให้ฟังว่าได้เจออะไรบ้าง พระพุทธเจ้าก็เลยถามว่า แล้วโยมมารดาของพระสารีบุตรว่าอะไรพระสารีบุตรบ้างหรือเปล่า พระราหุลก็เล่ารายละเอียดให้ฟัง พระพุทธเจ้าก็เลยถามว่า แล้วพระสารีบุตรว่าอย่างไรไหม
    พระราหุลก็ตอบว่า พระสารีบุตรท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร คือท่านเฉยมาก ถูกแม่ด่าท่านก็เฉยเพราะว่าท่าน จิตใจนี้มั่นคงแน่วแน่ นอกจากมีความกตัญญูแล้ว ท่านก็ไม่หวั่นไหวต่อคำด่าว่า
    แม้กระทั่ง อย่าว่าแต่แม่เลย แม้กระทั่งลูกศิษย์ก็เคยกล่าวโจทก์ท่าน หาว่าท่านทำร้าย เพียงเพราะว่าปลายผ้าสังฆาฏิของท่านนี่ไปถูกตัวของพระรูปนี้ขณะที่ท่านเดินเพื่อที่จะเตรียมออกไปธุดงค์ แล้วก็มีพระเข้าแถวรอเพื่อกราบคารวะท่าน และท่านก็ทักทุกคนเลย บอกชื่อบอกฉายา จำได้หมด
    แต่บังเอิญ คงมองไม่เห็นกระมังก็เลยไม่ได้ทักพระรูปนี้ พระรูปนี้โกรธมาก พระสารีบุตรนี่ใหญ่มาจากไหน ทำไมไม่ทักเราเลย หาเรื่องโจทก์ฟ้องเลย ฟ้องพระพุทธเจ้า แต่สุดท้ายความจริงก็ปรากฏว่าพระสารีบุตรนี่ท่านไม่มีแม้กระทั่งความคิดจะทำร้ายใคร สุดท้ายพระรูปนั้นก็ยอมรับความผิด แล้วขอโทษพระสารีบุตร
    อันนี้ก็เป็นเกร็ดที่สะท้อนให้เห็นถึงธรรมะของพระสารีบุตร เวลาเรานับถือพระสารีบุตร อย่านับถือแต่เพียงแค่กราบไหว้ เอาบุญเท่านั้น แต่ว่าควรจะน้อมนำธรรมะของท่านนำไปปฏิบัติ และธรรมะที่ท่านสอนไม่ใช่สอนด้วยคำพูดอย่างเดียว สอนด้วยการปฏิบัติ
    ความถ่อมตัว ความเมตตา แล้วก็ความไม่โกรธ ใครทำร้ายท่าน ท่านก็ไม่ได้ตอบโต้ แต่ว่ากลับดีด้วย เรียกว่าเอาชนะความชั่วด้วยความดี อันนี้แหละก็เป็นธรรมะที่เราควรจะได้น้อมนำไปปฏิบัติ โดยเฉพาะวันนี้เป็นวันพระก็ให้ระลึกถึงธรรมะที่ว่านี้มาก ๆ แล้วก็นำไปปฏิบัติเพื่อความเจริญงอกงามสวัสดิมงคลแก่ตัวเอง.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service