PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
  • ขุมทรัพย์ในกองขยะ
ขุมทรัพย์ในกองขยะ รูปภาพ 1
  • Title
    ขุมทรัพย์ในกองขยะ
  • เสียง
  • 14070 ขุมทรัพย์ในกองขยะ /aj-visalo/2025-09-15-04-36-27.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันจันทร์, 15 กันยายน 2568
ชุด
ธรรมะสั้นๆ ก่อนอาหารเช้า 2568
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 21 สิงหาคม 2568
    เวลาพูดถึงขยะหลายคนก็นึกถึงสิ่งที่น่ารังเกียจ อยากอยู่ห่างๆ ไกล ๆ อยากทิ้งน่ะพูดง่าย ๆ แต่ที่จริงแล้วขยะนี่มันก็มีคุณค่า อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือเปล่า
    คนไทยที่ไปเรียนหรือไปทำงานในอเมริกา หลายคนได้กองขยะช่วยเอาไว้ อยู่ได้แล้วก็อยู่สบาย ก็เพราะกองขยะในอเมริกา ในนั้นมีทั้งเฟอร์นิเจอร์ เก้าอี้ โซฟา โทรทัศน์ บางทีก็มีไมโครเวฟ ไม่ต้องพูดถึงรองเท้า เสื้อผ้า เสื้อหนาว คนไทยหลายคนรอดตายท่ามกลางอากาศหนาวก็เพราะเสื้อผ้าที่เก็บได้จากกองขยะในอเมริกา
    ที่ญี่ปุ่นก็เหมือนกัน เวลาเห็นกองขยะนี่เดินเข้าหาเลย ดูว่ามีอะไรบ้างหรือเปล่า มันไม่ใช่เฉพาะอเมริกา หรือว่าญี่ปุ่น หรือยุโรป เดี๋ยวนี้ขยะเมืองไทยมันก็มีค่าไม่น้อยเลย อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็น หรือรับรู้หรือเปล่า
    มีมูลนิธิหนึ่งชื่อมูลนิธิกระจกเงา กิจกรรมเขามีเยอะมาก ทั้งช่วยตามหาคนหาย ช่วยคนที่เดือดร้อนประสบภัยน้ำท่วม ภัยธรรมชาติ แต่โครงการหนึ่งที่เรียกว่าทำรายได้ให้กับมูลนิธิมากทีเดียว แล้วก็เป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญ ช่วยทำให้คนยากไร้ คนไร้บ้านมีงานทำ ก็คือโครงการขยะนี่แหละ
    วัน ๆ หนึ่งมีรถเอาขยะมาทิ้ง มาให้มูลนิธิกระจกเงานี่ 300 คัน วันหนึ่ง ขนขยะมา เพราะเดี๋ยวนี้คนในกรุงเทพฯหรือจังหวัดใกล้เคียงมีข้าวของเยอะ ตอนซื้อก็อาจจะซื้อแบบไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ซื้อไปแล้วก็ไม่ชอบ หรือว่าใช้แล้วก็เบื่อ หรือว่ารู้สึกเป็นภาระ แล้วก็มีปัญหาในการทิ้ง
    แต่ว่าตอนนี้มูลนิธิกระจกเงารับขยะทุกชนิด แล้วเขามีนโยบายไม่ปฏิเสธขยะหรือของใช้แล้วที่เอามาให้เขา ไม่ว่าอะไรก็ตาม เขาจะไม่ทิ้ง แต่เขารู้จักหาทางเอามาใช้ประโยชน์
    ในวันหนึ่งมีรถเก๋งเอาของใช้แล้วมามอบให้กับมูลนิธิ 300 คัน ปีหนึ่งก็เป็นแสน ยังไม่นับของที่ส่งมาทางพัสดุวันละ 200 กล่อง มีทุกอย่าง เสื้อผ้งสือ คอมพิวเตอร์ ไมโครเวฟ พัดลม รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้านี่เยอะสุดเลย
    เขารับไม่อั้น แล้วเขาทำอย่างไร เขาก็หาคนมาคัดเลือก จัดประเภท คนเหล่านี้มาจากไหน ก็เป็นคนไร้บ้าน คนยากจน มาทำงานได้เงิน อาหารฟรีแล้วก็ได้เงินวันละ 500 บาท วันหนึ่งก็มีคนมาประมาณ 200-300 คน มาช่วยแยกเสื้อผ้า จัดประเภท นอกจากเสื้อผ้าแล้วก็ยังมีหนังสือ หนังสือได้มาเป็นตัน ๆ เลย
    เขาก็มีวิธีจัดการ อย่างเสื้อผ้านี่ถ้าเกิดว่าชิ้นไหนที่พอจะขายได้ เขาขายเป็นลัง ลังละ 70 บาท ถูกมาก หนังสือเขาก็จะแยก อะไรที่เป็นตำราก็เอาไปให้โรงเรียน หรือมิฉะนั้นก็เอาไปขาย ก็มีร้าน มีร้านขายหนังสือราคาถูก ๆ หรือถ้าเกิดว่าใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลยก็ชั่งกิโล มีโรงงานมารับเพื่อไปรีไซเคิลใหม่
    วันหนึ่งก็ได้เงิน 40,000 บาท ได้มาแบบเปล่า ๆ เลยก็ว่าได้ เพราะว่าไม่ต้องแยกแยะอะไรเลย ชั่งกิโลกขาย มีโรงงานมารับทุกวันเสาร์ ส่วนเสื้อผ้าที่ขายได้เขาก็ไปวางไว้ในร้าน ชื่อว่า ร้านแบ่งปันกัน ร้านนี้มีขายทุกอย่าง ขายถูก ๆ
    ไม่ใช่เสื้อผ้ารองเท้าอย่างเดียว เครื่องไฟฟ้าก็เหมือนกัน แต่แน่นอนเครื่องไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่เอามาให้มูลนิธิก็ใช้ไม่ได้ บางอย่างอาจจะตกรุ่น โชคดีอาจจะตกรุ่นก็ใช้ได้ แต่ที่ใช้ไม่ได้นี่ก็ซ่อม เอาช่างมาจากไหน เอาช่างคนแก่ ๆ นี่แหละที่ว่างงาน
    เดี๋ยวนี้คนแก่ที่ไม่มีงานทำแต่มีฝีมือมีเยอะ บางคนก็ตกงาน บางคนก็ไร้บ้าน ก็เอามาเอามาซ่อม พัดลมไมโครเวฟนี่เครื่องละ 200 300 บาท ถูกมาก คอมพิวเตอร์ก็เหมือนกัน คนนำมาโละให้ เดือนหนึ่งเป็นพันเครื่อง ก็เอาช่างมาซ่อม ไม่มีการซื้ออะไหล่ เอาอะไหล่จากเครื่องที่คนมามอบให้นั่นแหละ เสร็จแล้วขายโรงเรียนเครื่องละ 1,000 บาท
    ที่สำคัญคือรับประกันตลอดชีวิต มันยิ่งกว่าร้านทั่วไป เพราะเขาเชื่อมั่นในฝีมือช่างที่เข้ามาซ่อม เดือนหนึ่งขายคอม Second Hand ได้เงิน 500,000 บาท อันนี้รวมถึงชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่เอามาขายเป็นเครื่องไม่ได้ก็เอามาแยกแยะออกมาเป็นชิ้นขาย เดือนละ 500,000 บาท ปีหนึ่งก็ 6 ล้านบาท
    เรียกว่าทุกอย่างที่ได้มานี่สามารถจะหมุนเวียนให้เป็นเงินเป็นทอง แล้วโครงการแบบนี้มันต้องใช้คนเยอะ ก็มีจิตอาสามาช่วย จิตอาสาที่ไม่มีอะไรทำก็มาช่วยแยกขยะ มาช่วยซ่อม ตอนนี้ก็มีจิตอาสา 15,000 คนต่อปี มาเรื่อย ๆ คนมาทำแล้วก็มีความสุข
    แต่บางคนก็ไม่ได้เป็นจิตอาสาเพราะเขาไม่มีงานทำ ก็ได้เงินเป็นค่าจ้าง อย่างที่ว่า วันละ 500 บาท แต่ถ้าเป็นช่างก็อาจจะได้ค่าจ้างมากหน่อย เพราะฉะนั้นโครงการนี้นอกจากลดขยะ ไม่สร้างภาระสิ่งแวดล้อม ก็ยังเปิดช่องให้จิตอาสาได้มาทำงาน และที่สำคัญก็คือว่าคนยากคนจน คนไร้บ้านมีงานทำ ไม่ได้ทำฟรี ๆ ได้วันละ 500 บาท
    ส่วนคนที่อยากจะเอาของไปขาย ก็มาที่ร้านแบ่งปัน ขายของถูก ๆ เสื้อผ้าตัวละไม่กี่บาท ถ้าขายเป็นลัง ลังละ 70 บาท หนังสือก็หนังสือราคาถูก ครึ่งราคาหรือ 1 ใน 3 หลายคนต้องการมีงานทำด้วยการขายของ แต่ไม่มีปัญญาที่จะไปซื้อ ที่จะไปหาของมาขายเพราะว่าไม่มีสินเชื่อ ไม่มีหลักประกัน ก็มารับจากร้านของมูลนิธิ ขายถูก ๆ เพื่อจะได้ไปขายต่ออย่างถูก ๆ ได้กำไร
    แบบนี้ก็เยอะ ก็ทำให้คนมีงานทำ แทนที่จะคอยแบมือขอ หรืออาจจะหนักกว่านั้นก็คือว่าเป็นภาระของสังคม บางคนก็หนักไปลักขโมย แต่นี่เขามีงานทำ มีของขาย ไม่ใช่ว่าได้มาฟรี ๆ ก็ทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจว่าตัวเองมีคุณค่า
    บางคนนี่ยากจน ไม่มีปัญญาจะซื้อแม้กระทั่งพัดลม ก็สามารถจะมาซื้อได้ 200 บาท ไมโครเวฟก็ 300 บาท บางคนเป็นนักศึกษาแต่ไม่ค่อยมีเงินก็มาซื้อคอมพิวเตอร์ เครื่องละถูก ๆ ก็เรียกว่าคนจนมีโอกาสใช้ของที่มีราคา แม้กระทั่งไม้กอล์ฟนี่ก็มีขายเหมือนกัน แต่ก็คงจะไม่ใช่คนจนที่จะมาซื้อไม้กอล์ฟ แต่คนที่อยากจะเล่นกอล์ฟแต่ก็ไม่ค่อยมีเงินก็มาซื้อได้
    มีทุกอย่าง เป็นแหล่งที่เรียกว่า ให้คนมาหิ้วของเอาไปขาย เอาไปใช้ ราคาถูก ๆ เขาบอกว่า ร้านแบ่งปันนี่มันเหมือนกับห้างย่อม ๆ เลยเพราะมีของหลากหลายชนิดมาก และรายได้เขาเอาไปทำอะไร รายได้ก็ไปจ้างคนไง เพราะว่าเขาไม่ได้ไปขอเงินจากองค์กรต่างประเทศ ไม่ได้ขอจาก สสส. เขาเลี้ยงตัวเองได้
    เขาเอาเงินที่ได้จากการขายของ จากห้างเล็ก ๆ ที่ว่าซึ่งเดือนหนึ่งได้เงินถึง 6 ล้านบาท ขายของอย่างเดียว ของขยะนี่ได้เดือนละ 6 ล้าน เอามาจ้างคน จ้างคนแยกขยะ จ้างคนซ่อมคอมพิวเตอร์ ซ่อมเครื่องไฟฟ้า
    ที่น่าสนใจคือว่า ช่างซ่อมหลายคนเก่งจนเป็นที่หมายตาของบริษัทห้างร้าน มาขอ มาจ้าง บางคนก็ไปแต่บางคนไม่ยอมไป แม้ว่าจะได้ค่าจ้างแพง ๆ เพราะว่าเขาบอกว่าเขารู้สึกผูกพันกับที่นี่ เพราะว่ามีญาติมิตร มีเพื่อนเหมือนกับเป็นญาติเป็นครอบครัว และมีความสุข
    แม้ว่าจะมีคนมาจ้างด้วยเงินเดือนแพง ๆ เขาก็ไม่ไป แต่ที่ไปก็มีเพราะว่าเขาก็มีความจำเป็น ก็กลายเป็นแหล่งจ้างงาน หลายคนไม่ได้มาซื้อของ แต่มาหาช่างเก่ง ๆ ช่างไฟฟ้า ก็ทำให้คนมีงานทำ และทำให้บริษัทร้านค้า รายย่อย มีช่างฝีมือที่จะไปทำอะไรได้
    โครงการนี้น่าสนใจมากที่มันชี้ให้เห็นว่า ขยะนี่มันมีคุณค่ามาก อะไรไม่สำคัญเท่ากับว่าอย่างไร ขยะถ้าเราจัดการเป็นมันก็มีคุณค่า เพิ่มรายได้ สร้างงาน ทำให้คนรู้สึกมีความภาคภูมิใจในตัวเอง เป็นโอกาสให้จิตอาสาได้ทำสิ่งที่มีคุณค่า
    แล้วมันไม่ใช่ขยะที่เป็นวัตถุสิ่งของ แม้กระทั่งขยะที่มันเป็นอารมณ์มันก็มีคุณค่าเหมือนกัน เราอย่าไปนึกว่าขยะนี่หมายถึงสิ่งของที่ไม่ใช้แล้ว แม้กระทั่งอารมณ์หลายอย่าง ประสบการณ์หลายอย่างที่เรามองว่าเป็นขยะ คำต่อว่าด่าทอพวกนี้ มีประโยชน์ทั้งนั้นแหละ อยู่ที่ว่าเราจะใช้มันอย่างไร เกี่ยวข้องกับมันอย่างไร จัดการกับมันอย่างไร
    อย่างที่บอกในทางพุทธศาสนา คำว่าอะไรไม่สำคัญเท่ากับว่าอย่างไร แม้กระทั่งทุกข์ถ้าเกี่ยวข้องกับมันให้เป็นก็ทำให้พ้นทุกข์ได้ เกิดปัญญา เพราะฉะนั้นสิ่งที่มูลนิธิกระจกเงาทำเรียกว่า น่าอนุโมทนามาก แล้วก็ให้ข้อคิดกับเราหลายอย่าง
    แล้วก็ถือโอกาสประชาสัมพันธ์เลย ใครมีของที่ใช้แล้วเป็นภาระก็เอาไปมอบให้กับมูลนิธิกระจกเงา เขามีนโยบายอย่างที่บอก ไม่มีการทิ้ง ของอะไรที่เอาไปขายไม่ได้จริง ๆ ก็เอาไปให้โรงไฟฟ้าผลิตพลังงานชีวภาพ ขายไป ก็ได้เงินมาเหมือนกัน เขาก็ได้เงินแบบนี้มาวันละ 40,000 บาท ขยะที่ใช้ไม่ได้ก็ยังสามารถจะขายให้กับโรงไฟฟ้า เพราะฉะนั้นเรียกว่าทุกชิ้นมีค่า
    ของบางอย่างเราไปให้ที่นู่นที่นี่ เป็นภาระกับผู้รับ แต่ว่ามูลนิธิกระจกเงาเขาต้อนรับเลยเพราะเขารู้จักจัดการ อันนี้เป็นเรื่องของการจัดการขยะ ซึ่งถ้าเราจัดการให้ดี ไม่ใช่เฉพาะขยะข้างนอก ขยะข้างใน หรือขยะชีวิตเราก็สามารถจะเอามาใช้ประโยชน์ได้.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service