PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
  • ตามรอยธรรมหลวงพ่อ
ตามรอยธรรมหลวงพ่อ รูปภาพ 1
  • Title
    ตามรอยธรรมหลวงพ่อ
  • เสียง
  • 14071 ตามรอยธรรมหลวงพ่อ /aj-visalo/2025-09-15-07-14-49.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันจันทร์, 15 กันยายน 2568
ชุด
ธรรมะสั้นๆ ก่อนอาหารเช้า 2568
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าในงานบูชาคุณหลวงพ่อคำเขียนวันที่ 23 สิงหาคม 2568
    เมื่อวานเช้า หลายคนได้ไปร่วมกิจกรรมตามรอยหลวงพ่อคำเขียน แต่เป็นการตามรอยเท้า เพราะว่าเดินไปตามทางที่หลวงพ่อเคยทิ้งรอยเอาไว้ หรือว่าประทับรอยเท้าเอาไว้ตามจุดต่าง ๆ ที่หลวงพ่อได้สร้างมากับมือ เส้นทางที่หลวงพ่อเดิน จากที่รกก็กลายเป็นทางเดินที่เห็นได้ชัด
    บางคนโชคดีกว่านั้น ตามรอยจริง ๆ หลวงพ่อเดินนำหน้า และเจ้าตัวซึ่งเป็นลูกศิษย์เดินตามหลวงพ่อ สมัยนั้นเส้นทางหลายเส้นทางเป็นดิน บางทีก็เป็นโคลนแฉะ ๆ รอยเท้าของหลวงพ่อก็ชัดเจน ลูกศิษย์ก็ได้เดินตามรอยเท้าหลวงพ่อ ลูกศิษย์แบบนี้ถือว่ามีน้อยกว่าปัจจุบัน เพราะว่าได้มาพบหลวงพ่อตอนที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ จึงได้เดินตามรอยเท้าหลวงพ่อจริง ๆ
    แต่ถึงแม้ใครที่ถือว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ แต่ไม่ได้เดินตามเส้นทางที่หลวงพ่อได้ทิ้งรอยเอาไว้ หรือไม่ได้เดินตามหลังท่าน ก็ไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจถ้าเกิดว่าเราเดินตามรอยธรรมของหลวงพ่อ เดินตามรอยเท้าไม่สำคัญเท่ากับเดินตามรอยธรรม
    ธรรมของหลวงพ่อในที่นี่หมายถึง สัจธรรมที่หลวงพ่อได้เข้าถึง จะเป็นเรื่องรูป นาม ไตรลักษณ์ หรือว่าสัจธรรมที่ทำให้ท่านหมดทุกข์ หรืออาจจะหมายถึงจริยธรรมที่หลวงพ่อท่านได้บำเพ็ญ รวมไปถึงคุณธรรมที่ท่านได้น้อมเข้ามา หรือสร้างให้เกิดขึ้นในใจ
    พูดง่าย ๆ คือว่า ตามรอยธรรมมีความหมายทั้งสิ่งที่เป็นผลและมรรค แม้ว่าเรายังไม่ถึงผลที่หลวงพ่อได้เข้าถึงสัจธรรม ที่ท่านได้บรรลุ แต่ว่าคุณธรรมหรือจริยธรรมที่ท่านได้บำเพ็ญก็สมควรที่เราจะได้น้อมนำมาปฏิบัติ
    แต่ก่อนอื่นเราต้องถามตัวเราเองก่อนว่า ตั้งแต่เราได้พบหลวงพ่อคำเขียน หรือว่าได้ยินเรื่องราวของท่าน คุณธรรมอันใดที่เราประทับใจ บางคนประทับใจความเมตตากรุณา บางคนประทับใจความเรียบง่ายของท่าน บางคนประทับใจความอ่อนน้อมถ่อมตนของท่าน บางคนก็ประทับใจความหนักแน่นมั่นคง ความเสียสละของท่าน มีอยู่เยอะ
    ให้ถามตัวเราเองว่า ในเมื่อเราเป็นลูกศิษย์ของท่าน เราได้น้อมนำธรรมะเหล่านั้นหรือธรรมะอันใดอันหนึ่งเข้ามาใส่ตัวหรือเปล่า และถ้าหากว่าเรายังไม่ได้ทำมากเพียงพอ ก็ต้องทำความเพียร พยายามเสริมสร้างคุณธรรมนั้นให้เกิดขึ้นในใจเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรู้สึกตัว ไม่ว่าจะเป็นความเมตตากรุณา ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเสียสละ
    แต่จะทำอย่างนั้นได้ต้องมีศรัทธา การที่เรามีศรัทธาในครูบาอาจารย์เป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้เรามีเรี่ยวแรง มีกำลังใจในการเดินตามท่านไป
    แต่ศรัทธาในครูบาอาจารย์ต้องมีให้ถูก เพราะถ้าเรามีศรัทธาไม่ถูกต้องจะเกิดความยึดมั่นว่า อาจารย์ของกู ๆ เกิดความยึดมั่นสำคัญหมายใน ตัวกู ของกู
    มันง่ายมากที่คนเราพอศรัทธาในบุคคลใด จะไปยึดมั่นว่าเป็นของกู เป็นอาจารย์ของกู ความยึดมั่นถือมั่นแบบนี้ถ้าทำถูกก็ดี เช่น ใครมาต่อว่าเรา เราโกรธ เราโมโห แต่เรานึกได้ว่า ทำอย่างนี้ก็ไม่สมกับที่เราเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อคำเขียน ไหนบอกว่าหลวงพ่อคำเขียนเป็นอาจารย์ของเรา แต่ทำไมแค่นี้เรายังโกรธ ความยึดมั่นสำคัญหมายในอาจารย์ว่าเป็นของกูแบบนี้ดี
    บางทีท้อแท้ ท้อถอย เกียจคร้าน มานึกได้ว่า ไหนว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อคำเขียน ทำไมทำตัวแบบนี้ ทำไมขี้เกียจ ไม่มีความเพียร ทำให้เกิดความขยันขึ้นมา
    หรือเวลาเกิดความเพลิดเพลินในความสุขสนุกสนาน สิ่งเสพ ติดเกม หรือว่าติดอาหารการกิน ติดหนังซีรีส์ แล้วมาได้สติว่า ไหนว่าเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อคำเขียน ทำไมทำตัวแบบนี้ แบบนี้ช่วยทำให้เรามีกำลังในการต้านทานอำนาจของกิเลส ทำให้เราเกิดความเพียร
    แต่ถ้าเกิดว่าเราไปยึดอาจารย์ในความหมายที่ไม่ถูกต้องก็เกิดผลเสีย ซึ่งเป็นเยอะ
    หลายคนพอนับถือหลวงพ่อคำเขียนว่าเป็นอาจารย์ของฉัน ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ก็พยายามเข้าไปหาท่าน ไปหาท่านไม่พอ ถ่ายรูป ขอถ่ายรูปกับหลวงพ่อหน่อย ถ่ายรูปทำไม เอาไปอวดว่าฉันเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อคำเขียน การทำแบบนี้เป็นการไปเสริมอัตตา ตัวกู
    หรือแม้จะไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูปกับหลวงพ่อคำเขียนเพราะท่านมรณภาพไปแล้ว แต่ยังไปถ่ายรูปหน้าภาพของท่านที่หอไตร เป็นต้น และส่งภาพไปบอกว่า วันนี้มากราบครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือ ลึก ๆ ก็เพื่อประกาศว่า หลวงพ่อคำเขียนเป็นอาจารย์ของกูโว้ย
    อันนี้เรียกว่าเป็นการเสริมอัตตา ทำให้ตัวกูฟูฟ่อง และเดี๋ยวนี้เราทำกับอาจารย์หลายท่านที่เรานับถือว่า เป็นของเรา และพอเราไปยึดมั่นแบบนี้ก็ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา
    เอาง่าย ๆ พอเรานับถือหลวงพ่อคำเขียนว่าเป็นอาจารย์ของฉัน พอเราไปพูด ไปแนะนำธรรมะของหลวงพ่อคำเขียนให้เพื่อน ๆ เพื่อนไม่สนใจ เพื่อนไปปฏิบัติสำนักอื่น เพื่อนไปปฏิบัติกับอาจารย์คนอื่น โมโหว่า ทำไม อาจารย์ของฉันไม่ดีตรงไหน ทำไมไม่มาปฏิบัติกับอาจารย์ของฉัน ทำไมไม่นับถือว่าหลวงพ่อคำเขียนเป็นอาจารย์ของเธอ ทำไมไปนับถืออาจารย์องค์นั้น เกิดความขุ่นมัวขึ้นมา เกิดความไม่พอใจขึ้นมา เดี๋ยวนี้เป็นกันเยอะ แต่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
    นี่ขนาดเขายังไม่ทำอะไรเลย ถ้าเกิดว่าเขาเกิดวิจารณ์ขึ้นมา ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ มาว่าอาจารย์ของกูได้อย่างไร อาจารย์ของมึงดีตรงไหน หรือว่า ตัวมึงดีตรงไหน เกิดการทะเลาะเบาะแว้งทุ่มเถียงกัน ถ้าทำแบบนี้เรียกว่านับถือหลวงพ่อคำเขียนเป็นอาจารย์ในทางที่ผิด เพราะว่านับถือแล้วไปเสริม ตัวกู ของกู ให้แน่นหนามากขึ้น
    ยังไม่นับประเภทว่า พอนับถือครูบาอาจารย์แล้ว เกิดท่านพูดไม่ถูกใจ พูดไม่ถูกหู หรือว่าเกิดมีอันเป็นไปขึ้นมาก็เสียใจ คับแค้น
    ความเสื่อมศรัทธาในพระสงฆ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับผู้คนจำนวนไม่น้อยส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากความยึดมั่นถือมั่นว่า อาจารย์ของกู ๆ หลวงพ่อของกู ตั้งความหวัง เกิดความยึดมั่นในตัวท่านมาก พอท่านไม่เป็นไปอย่างใจ สึกขาลาเพศไป ก็เกิดความคับแค้น เพราะตัวกูถูกกระทบ ไปต่อว่าครูบาอาจารย์ว่าอย่างโน้นอย่างนี้ แถมพาล เสื่อมศรัทธาในพระรัตนตรัย ต่อไปนี้ไม่นับถือพระทั้งประเทศแล้ว
    นี่เป็นเพราะความยึดมั่นถือมั่นในตัวกู หรือเพราะมีศรัทธาที่ผิด เพราะถ้ามีศรัทธาที่ถูกมีแต่ทำให้เราเจริญก้าวหน้า ลดละตัวกู เพราะว่านำเอาธรรมะของครูบาอาจารย์มาปฏิบัติเพื่อขัดเกลา ไม่ใช่เพื่อเสริมตัวกูให้เพิ่มพูนมากขึ้น
    เดี๋ยวนี้เพราะความยึดมั่นในตัวกู ของกู ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ของกู สำนักของกู ศาสนาของกู จึงทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง
    ที่จริงน่าจะระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสกับพระสาวกจำนวนหนึ่ง ตอนนั้นมีพระจำนวนไม่น้อยมีความไม่พอใจมากที่มีพวกปริพาชก เดียรถีย์ตำหนิพระพุทธเจ้า ลามไปถึงพระธรรม พระสงฆ์
    พอพระพุทธเจ้าทราบ เลยเตือนพระเหล่านี้ว่า ถ้าหากว่าผู้ใดตำหนิพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วท่านเกิดความขุ่นมัว เกิดความโกรธ เกิดความพยาบาท นั่นแสดงว่าอันตรายได้เกิดขึ้นกับท่านแล้ว
    อันตรายในที่นี้หมายถึง โทษ เพราะเมื่อท่านเกิดมีความโกรธ เกิดความขุ่นมัว เกิดความไม่พอใจ เกิดความพยาบาท ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าคำพูดเหล่านั้นดีหรือไม่ดี จริงหรือไม่จริง ถูกหรือไม่ถูก
    ทางที่ถูกคือ ควรพิจารณา และชี้แจงด้วยว่าที่เขาตำหนิพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตรงไหนที่ไม่จริง ชี้แจงว่า นี่เป็นเรื่องที่ไม่จริง นี่เป็นสิ่งที่ไม่ได้มีในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันนี้เรียกว่าเป็นท่าทีที่พึงกระทำ
    แต่ว่าถ้าเกิดว่าไปยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ว่า เป็นของกู ๆ ยิ่งทำให้ตัวกูฟูฟ่องมากขึ้น และทำให้เกิดความทุกข์
    ที่จริงหลวงพ่อคำเขียนแม้จะเป็นครูบาอาจารย์ที่มีคนกราบไหว้เยอะ แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่เราน่าจะเรียนรู้ได้จากท่านคือ ท่านมีความยึดมั่นในตัวกูน้อยมาก คำในภาษาสมัยใหม่คือ ตัวกูท่านเบาบางมาก
    สมัยที่ท่านยังไม่ดัง ท่านเคยถูกครู ถูกผู้อำนวยการที่โรงเรียนท่ามะไฟมาด่าว่าท่าน เพราะท่านขัดผลประโยชน์ของเขา หรือว่าเป็นเพราะเขาเข้าใจผิด ท่านไม่โกรธ ท่านยิ้ม
    ตอนหลังพอท่านมีชื่อเสียงเป็นที่ยกย่อง มีคราวหนึ่งท่านไปต่างประเทศ ไปอเมริกา พอไปถึงสำนักหนึ่งซึ่งเป็นสำนักของหลวงพ่อเทียน มีโยมคนหนึ่งเขามาต่อว่าหลวงพ่อว่า คำสอนของหลวงพ่อที่พิมพ์ในหนังสือไม่ถูก บอกให้หลวงพ่อแก้
    คนที่ต่อว่าก็ไม่ใช่เป็นคนสนใจธรรมะหรือปฏิบัติธรรมเท่าไร แถมเป็นฆราวาสอีก แต่หลวงพ่อท่านไม่มีความยึดว่า กูเป็นอาจารย์ กูเป็นพระ
    เขามาตำหนิท่าน ทั้งที่ที่ท่านพูดลึกซึ้งมาก เพียงแต่ว่ามันสวนทางกับความเข้าใจของคนทั่วไป คนไม่เข้าใจ คำพูดแบบนี้ แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้คนยังอาจจะรู้สึกขุ่นเคืองที่ท่านบอกว่า ธรรมชาติบางครั้งสอนธรรมได้ดีกว่าพระพุทธเจ้า หลายคนซึ่งศรัทธาในพระรัตนตรัยไม่พอใจ หาว่าหลวงพ่อจ้วงจาบพระรัตนตรัย
    ชายคนนั้นก็เหมือนกัน พูดแบบนั้น หลวงพ่อท่านไม่เถียงเลย และท่านก็ไม่ชี้แจง เพราะชี้แจงไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาไม่ฟังอยู่แล้ว ท่านบอก จะให้แก้อย่างไรก็แก้
    แต่ที่ท่านพูดมันจริงมากเลย ขอให้พิจารณาดี ๆ เพราะจะว่าไปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ก็เพราะเข้าถึงธรรมชาติ ธรรมชาติที่ว่านี้คือ กฎธรรมชาติ กฎไตรลักษณ์ ปฏิจจสมุปบาท คือ กฎที่พิจารณาหรือรับรู้ได้จากการเห็นธรรมชาติภายในใจ ยังไม่นับถึงพระสาวกจำนวนมากที่ได้บรรลุธรรม ทั้งที่ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าไม่บรรลุธรรม แต่พอเข้าป่า ไปเห็นธรรมชาติ ไปเห็นภูเขา เห็นหมู่เมฆ ปรากฏว่าเกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา เป็นพระอรหันต์ก็มี
    อันนี้เป็นตัวอย่างที่พูดย่อ ๆ เพื่อให้เห็นว่า จริง ๆ แล้ว ที่หลวงพ่อพูดลึกซึ้งมาก แต่เป็นสิ่งที่ก้าวล้ำเกินกว่าความเข้าใจของคนทั่วไป แต่ท่านก็ไม่ยืนยันว่าที่ท่านพูดนี้ถูก ใครจะว่าท่าน บอกให้ท่านแก้ไข ท่านก็ไม่ว่าอะไร จะให้แก้อย่างไรบอกมาเลย
    อันนี้คือสิ่งที่เราซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อควรจะน้อมนำพิจารณา เพราะว่าความทุกข์ ความโกรธแค้นของพวกเราจำนวนไม่น้อยเกิดจากความยึดมั่นในตัวกู ของกู ไม่ใช่แค่อาจารย์ของกูเท่านั้น แต่รวมถึงศาสนาของกู บางทีก็ประเทศของกูด้วย หรือว่าเพื่อนของกู พ่อของกู ลูกของกู ต้องเป็นไปอย่างที่กูปรารถนา พอไม่เป็นไปอย่างใจก็โกรธ
    ฉะนั้น ถ้าเราจะตามรอยธรรมหลวงพ่อคำเขียน ให้พิจารณาตรงนี้เอาไว้ ฝึกจิตเอาไว้ เพื่อจะได้มีความรู้สึกตัว ชนิดที่ถอนความยึดมั่นในตัวกู อย่างน้อยแม้จะนับถือหลวงพ่อว่าเป็นอาจารย์ของฉัน ก็นับถือในทางที่ถูก ยึดมั่นในทางที่ถูก เพราะไม่อย่างนั้นสามารถทำให้กิเลสในใจเราฟูฟ่อง และก่อทุกข์ สร้างปัญหาให้กับคนอื่นได้.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service