พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 24 สิงหาคม 2568
เวลาเราไปทำงานที่ไหน เราก็คาดหวังผลตอบแทน เช่น รายได้ หรือเงินเดือนค่าจ้าง ถ้าเป็นจิตอาสาก็แล้วไป แต่ถ้าไปทำงานบริษัทแล้วไม่ได้อะไรเลย เราคงไม่อยากไปทำที่นั่น ยิ่งถ้าหากว่าไปทำงานแล้วต้องจ่ายเงินให้กับบริษัทนั้น ยิ่งแล้วใหญ่ ใครจะไปทำ
แต่ปรากฏว่าในจีนเวลานี้มีคนหนุ่มสาวจำนวนมากและมากขึ้นเรื่อย ๆ ยอมจ่ายเงินเพื่อที่จะได้ไปทำงานในบริษัท อันนี้เป็นเรื่องแปลก เสียเงิน เสียเวลา ไม่ได้เงินเดือน ไม่ได้ค่าจ้าง แถมต้องจ่ายเงินเสียอีก แต่นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศจีนปัจจุบัน ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะคนอยากจะมีงานทำ
ตอนนี้ในจีนมีคนว่างงานในแวดวงคนหนุ่มสาวสูงเกือบ 15 เปอร์เซ็นต์ จบมาแล้วไม่มีงานทำ ก็มีปัญหาจากพ่อแม่ เห็นลูกอยู่บ้าน ไม่ไปทำงาน เพราะไม่มีงานทำ พ่อแม่ก็บ่น ไปไหนมาไหนเขาถามว่าทำงานอะไร ก็ตอบว่าว่างงานอยู่ รู้สึกแย่ เสียหน้า ยังไม่นับประเภทว่าอยู่บ้านเปล่า ๆ ว่าง ๆ ความรู้มี แต่ไม่ได้ทำอะไร เสียความรู้สึกมาก
เพราะฉะนั้นคนจีนโดยเฉพาะที่เพิ่งจบใหม่ ๆ ขวนขวายมากในการหางานทำ ประเภทว่ายอมจ่ายเงินเพื่อที่จะได้ทำงานก็มี อันนี้เป็นเรื่องแปลก
ตอนนี้เลยมีนักธุรกิจหัวใสจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อให้คนได้มาทำงาน รายได้ของบริษัทได้มาจากคนที่สมัคร จะได้งาน ต้องจ่ายวันละ 150 บาท ถ้าเป็นเงินจีนก็ 30 หยวน
แต่บริษัทที่ว่านี้เป็นบริษัทที่ไม่มี CEO ไม่มีผู้จัดการอะไร มีแต่อาคาร มีแต่ห้อง มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีคอมพิวเตอร์ และไม่มีงานที่มอบหมายให้พนักงานมาทำ แต่คนที่มาทำงานได้ชื่อว่าเป็นพนักงานบริษัท
บริษัทที่ว่านี้จึงเป็นบริษัทเก๊ เป็นสำนักงานเก๊ แต่ว่ารายได้ดีมาก เพราะคนหนุ่มสาวที่ว่างงานแห่กันมาขอทำงานที่นี่ ถ้ามีเงินจ่ายวันละ 150 บาท ได้เป็นเจ้าหน้าที่เลย บริษัทเก๊ที่ว่านี้ก่อตั้งโดยบริษัทมีชื่อเท่มาก บริษัทแสร้งทำงาน (Pretend To Work) ตัวบริษัทหรือสำนักงานก็เก๊ คนที่ไปทำงานก็แกล้งทำ แต่ปรากฏว่ากลายเป็นที่นิยม
คนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยกำลังไปหาบริษัทเก๊เหล่านี้ ยอมจ่ายเงิน ปัจจุบันปรากฏว่าบริษัทเก๊ที่ว่านี้ ผุดขึ้นมาตามเมืองต่าง ๆ มากมาย เช่น เซี่ยงไฮ้ เฉิงตู อู่ฮั่น คุนหมิง นานกิง เสินเจิ้น ล้วนเป็นเมืองที่เศรษฐกิจเจริญมาก มีบริษัทห้างร้านต่าง ๆ มากมาย
มันเป็นความคิดที่ฉลาด ตอบสนองความต้องการของผู้คน ผู้คนอยากจะทำงาน เลยจัดตั้งบริษัทเก๊ ๆ ขึ้นมาให้คนได้มาทำงาน จ่ายเงินให้กับบริษัท บริษัทไม่ต้องจ่าย อาจจะจัดโต๊ะเก้าอี้ให้ ติดแอร์ให้ ที่เหลือก็เป็นเรื่องของคนที่แกล้งมาทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้คอมพิวเตอร์ในสำนักงานในการหางานทำ หรือไม่เช่นนั้นก็คิดค้นทำธุรกิจของตัวเอง เขาเรียกว่า Startup
เพราะว่าถ้าจะไปรับจ้างทำงานที่ไหน ตอนนี้โอกาสน้อยมาก เพราะเศรษฐกิจของจีนไม่ได้ดีเท่าไร แถมบัณฑิตจบมามากเกินไป ตกงานตั้ง 14 เปอร์เซ็นต์เวลานี้ แต่ว่าเป็นความต้องการของคนหนุ่มสาว อยากจะมีงานทำ เพื่อว่าจะได้ลดแรงกดดันจากพ่อแม่
พ่อแม่ถามว่าทำงานอะไร ลูกก็บอกว่าทำงานที่บริษัทนั้นบริษัทนี้ พ่อแม่ก็หายห่วง แต่ถ้าไม่ทำงาน ลูกอยู่บ้านให้พ่อแม่เลี้ยง พ่อแม่คงไม่พอใจ เพราะรู้สึกว่าเสียหน้าด้วย ลูกคนอื่นเขามีงานทำ ลูกเราไม่มีงานทำ
เพราะฉะนั้น ลูกเลยแก้ปัญหา ไปหางานทำ ถ้าไม่มีงานที่มีเงินเดือน ก็จ่ายเงินเพื่อให้ได้ชื่อว่ามีงานทำ เป็นเจ้าหน้าที่ ภาพลักษณ์ดูดี ใครมาถามว่าทำงานอะไร ก็ตอบว่าทำงานบริษัทนั้นบริษัทนี้ ดีกว่าบอกว่าว่างงาน ตกงาน
ขณะเดียวกันหลายคนบอกว่า ถึงแม้จ่ายเงินไปทำงานก็มีความสุข รู้สึกดี เพราะว่ามีอะไรให้ทำ ดีกว่าอยู่เปล่า ๆ เพราะว่าอะไรให้ทำ หมายความว่าสมัครงาน หรือว่าคิดค้นทำ Startup ทำธุรกิจของตัวเอง
ที่สำคัญคือมีเพื่อนด้วย เพราะว่าออฟฟิศหนึ่งมีประมาณ 30-40 คน เรียกว่าอยู่ในชะตากรรมเดียวกันคือ ไม่มีงานทำ เลยยอมจ่ายเงินมาทำงานบริษัทนี้ เรียกว่าหัวอกเดียวกัน มีเพื่อน สุขภาพจิตก็ดี แต่ว่าต้องมีรายจ่าย บางคนมาเป็นพนักงานเก๊มา 3-4 เดือนแล้ว ยังไม่มีงานทำ
และเดี๋ยวนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปเยอะ พนักงานเก๊ก็มี แต่ก่อนมีลูกเก๊ มีแฟนเก๊ บางทีก็มีภรรยาเก๊ ไม่ได้เกิดที่เมืองจีนอย่างเดียว เริ่มเกิดขึ้นที่เมืองไทยแล้ว เคยเล่าให้ฟังแล้วว่า มีการรับว่าจ้างเป็นลูกรายชั่วโมง พาพ่อแม่ไปโรงพยาบาล พาพ่อแม่ไปวัดรายชั่วโมง เป็นลูกชั่วคราว
โลกเปลี่ยนแปลงไปเยอะ ค่านิยมของคนอาจจะยังเหมือนเดิม เช่น คนเป็นพ่อเป็นแม่อยากจะให้ลูกมีงานทำ อยากให้ลูกแต่งงานไว ๆ มีแฟน มีครอบครัว แต่ลูกไม่มีปัญญาหางาน และยังไม่ชอบใครที่จะแต่งงาน เลยต้องแสร้งว่ามีงานทำ ไปว่าจ้างคนนั้นคนนี้มาเป็นแฟน เป็นภรรยา หรือบางทีเป็นสามีก็มี
นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่หลายคนต้องปรับตัว พวกเราแม้จะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ แต่ต้องปรับตัวเหมือนกัน ปรับตัวปรับใจคือต้องรู้จักแยกแยะว่า อะไรจริง อะไรเท็จ เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่ลูกเก๊ พนักงานเก๊อย่างเดียว ข้อมูลข่าวสารที่เราได้รับ ไม่ว่าใครจะแชร์มา ครูบาอาจารย์จะแชร์มา บางทีพระก็แชร์มา เชื่อทันทีไม่ได้ เพราะอาจจะเป็นข้อมูลเก๊เหมือนกัน
เล่าให้ฟังหลายครั้งแล้ว ข้อมูลหลายอย่างดี ๆ ทั้งนั้น เรื่องราวบางอย่างน่าประทับใจมาก อ่านแล้วร้องไห้ แต่ปรากฏว่าแต่งขึ้นมาเพื่อเอายอด Engagement คนแต่งเขาอยากจะมีรายได้จาก Engagement คำนี้เดี๋ยวนี้ต้องเข้าใจ ต้องรู้จัก พอ ๆ กับคำว่า Internet
Engagement คือ ยอดคนที่แชร์ ยอดคนกดไลค์ ยอดคนที่ดู ถ้ามีคนแชร์ มีคนกดไลค์ เจ้าของโพสต์ เจ้าของภาพ เจ้าของเรื่องก็ได้เงิน คนเลยพยายามหาเรื่องหาราวมา เพื่อให้คนได้ตื่นเต้น มี Engagement บางเรื่องหรือหลายเรื่องแต่งขึ้นมาเรียกร้องความเห็นใจ หรือเรียกร้องความโกรธ กระตุ้นให้เกิดความโกรธ ความเกลียด คนจะได้แชร์ คนจะได้มีคอมเมนต์ ทำให้ Engagement ของเจ้าของโพสต์เพิ่มขึ้น รายได้ก็จะตามมา
นี่เป็นวิธีการหาเงินของคนสมัยใหม่ ซึ่งเกิดจากการปรับตัวตามเทคโนโลยี เราต้องรู้ทัน เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้ทันแล้ว ก็อย่าไปหลงเชื่อ ต้องรู้จักแยกแยะว่า อะไรจริง อะไรเท็จ รวมทั้งรู้เท่าทันพวกมิจฉาชีพ ซึ่งเขาก็ปรับตัว วิธีการในการหลอกเราแนบเนียนขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะฉะนั้นนี่เป็นเรื่องหนึ่งที่เราต้องอาศัยวิจารณญาณมากขึ้น แต่จะทำอย่างนี้ได้ต้องมีสติมากขึ้น ยิ่งโลกพัฒนาไปแบบนี้ ยิ่งต้องมีสติมากขึ้น รู้จักทักท้วงความคิด อย่าด่วนสรุป ตั้งคำถามกับสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน หรือภาพที่ปรากฏ
ฉะนั้น ถ้าเราไม่หลงเชื่อง่าย มีวิจารณญาณจึงจะอยู่ได้ในโลกนี้อย่างสุขสบาย ไม่อย่างนั้นจะบ่นว่า อยู่ยาก ๆ
ที่อยู่ยากก็เพราะว่าเราไม่คิดจะปรับตัว เพราะเราไม่คิดที่จะรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของผู้คนที่เขาปรับตัวกันเยอะแล้ว การที่เรายอมปรับตัวไม่ใช่ว่าเราคล้อยตามเขา แต่ว่ารู้เท่าทันเขา
หากเราไม่ปรับตัว เราก็จะเดือดร้อน ถูกหลอกเป็นเหยื่อของพวกแก๊งมิจฉาชีพ และพวกที่สร้างภาพเท็จ เรื่องที่เก๊ขึ้นมา.