พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 28 สิงหาคม 2568
กรุงเทพฯ มีโรงพยาบาลแห่งหนึ่งชื่อโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี อยู่แถวคันนายาว เป็นโรงพยาบาลใหญ่ ผู้ป่วยเยอะ คนที่ไปโรงพยาบาลนี้มักจะเจอคนกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ ไม่ใช่พยาบาล ไม่ใช่หมอ แต่เป็นจิตอาสามาจากหลายที่ พวกเขามาเป็นจิตอาสาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยและญาติ
เพราะผู้ป่วยและญาติจำนวนมากที่มาโรงพยาบาล มักจะงง ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะไปใช้บริการอย่างไร เริ่มต้นที่ไหน จะไปตรวจที่ไหน แล้วตอนจะไปรับยาอยู่ตรงไหน ก็มีจิตอาสาที่มาคอยอำนวยความสะดวกให้
จิตอาสาคนหนึ่งชื่อแอน เข้าวัยกลางคนแล้ว เรื่องราวเธอน่าสนใจเพราะว่าเธอทำมา 2 ปีแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดทำ ทั้ง ๆ ที่ทำแล้วก็ไม่ได้มีรายได้อะไร มีแต่รายจ่ายด้วยซ้ำ ค่าเดินทาง เป็นต้น แต่เธอก็ทำงานอย่างแข็งขัน กระตือรือร้น แล้วก็มีความสุขด้วย
ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้เป็นอย่างนี้ ตอนที่เธอตัดสินใจมาเป็นจิตอาสาก็เพราะว่าลูกสาวแนะนำ ที่ลูกสาวแนะนำก็เพราะเห็นแม่ถูกให้ออกจากงาน แล้วต่อมาแม่ก็เสียของตัวอีก ก็ทำใจได้ยาก หงอยเหงาเศร้าสร้อย เคว้งคว้าง
ลูกสาวบังเอิญได้เคยไปเป็นจิตอาสาอำนวยความสะดวกที่โรงพยาบาลราชวิถี ตอนที่ไปทำเพราะว่าต้องการมีประวัติ เขาเรียกว่าเป็น portfolio เป็นเงื่อนไขในการเข้าเรียนในคณะที่ต้องการ เดี๋ยวนี้วัยรุ่นไปเป็นจิตอาสาก็เพื่อทำ portfolio มีเยอะเลย บางคนที่มาวัดมาเป็นจิตอาสา จะได้มีบันทึกไว้เป็นประวัติ นำเสนอเพื่อการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในคณะที่ต้องการ
ลูกสาวมาเป็นจิตอาสาแล้วก็พบว่า เออ เป็นจิตอาสามันก็ดี พอเห็นแม่ซึม เหงาหงอย สร้อยเศร้าก็เลยชวนแม่ว่าไปเป็นจิตอาสา ทีแรกแม่ไปเป็นจิตอาสาที่โรงพยาบาลราชวิถี แต่ตอนหลังขอเปลี่ยนไปเป็นจิตอาสาที่โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานีเพราะใกล้บ้าน
แอนเล่าว่า ก่อนที่จะไปเป็นจิตอาสานี่เธอรู้สึกแย่ เพราะว่าแค่ออกจากงานก็ถือว่ากระทบกับจิตใจเธอมากเพราะว่าสิ่งที่เคยมีมันหายไป เคยมีการ มีงาน มีสังคม มีเพื่อนร่วมงาน ซึ่งก็ทำให้เธอมีความสุข แต่พอสิ่งเหล่านี้หายไปเธอก็ไม่มีความสุข แต่ปรากฏว่าพอไปเป็นจิตอาสาอำนวยความสะดวกก็พบความสุขอย่างใหม่มาแทนที่
เป็นความสุขที่ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งภายนอกเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีเพื่อนร่วมงานแต่เธอก็มีจิตอาสาที่เป็นเพื่อนทำงานด้วยกัน ในแง่หนึ่งก็ทดแทนสิ่งที่เธอขาดไป เธอมีงานเพียงแต่เป็นงานที่ไม่ได้เงินเดือน แล้วก็มีสังคมด้วย แต่ว่าที่สำคัญคือ เธอพบว่าความสุขมันไม่ได้เกิดจากสิ่งภายนอก
แต่ก่อนเธอก็มีความสุขจากการที่ได้ไปกิน ดื่ม เที่ยวเล่น มีเพื่อนกินเพื่อนเที่ยว พอออกจากงานแล้วแม้เพื่อนกินเพื่อนเที่ยวจะน้อยลง แต่เธอก็มีความสุขจากการที่ได้ทำสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่น ไปเป็นจิตอาสา ไม่ได้กิน ไม่ได้เที่ยว ไม่ได้สนุกสนานก็จริง แต่มันมีความสุขภายใน เธอเรียกว่าเป็นรอยยิ้มจากภายใน ก็เลยมีชีวิตชีวามากขึ้น
ปกติตามโครงการจิตอาสาจะให้ทำอย่างน้อย 3 เดือน แต่พอครบ 3 เดือนแล้วเธอก็ขอทำต่อ จนกระทั่งตอนนี้ 2 ปีแล้ว เธอพบว่าการเป็นจิตอาสานี่นอกจากให้ความสุขทดแทนแก่เธอ จากเดิม ๆ ที่เคยมีแล้วหายไป
เธอยังพบว่ามันเป็นโอกาสได้ฝึกฝนธรรมะด้วย นี่เป็นคำของเธอ ฝึกฝนธรรมะหรือฝึกธรรมะ ก็หมายความว่าได้โอกาสปฏิบัติธรรม เป็นการปฏิบัติธรรมหรือการฝึกฝนตนในตัว เพราะว่าอย่างหนึ่งที่เธอพบก็คือว่าได้มีโอกาสฝึกให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับคนที่อยู่ข้างหน้า แต่ก่อนใจลอย คิดโน่นคิดนี่ แต่พอเป็นจิตอาสาเราต้องใส่ใจกับคนที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งก็คือญาติหรือผู้ป่วย
และได้ฝึกรักษาใจให้ปกติ เวลาใครชมใครขอบคุณก็ไม่เหลิง เวลาคนต่อว่าก็ไม่หงุดหงิด เคยเจอผู้ป่วยบางคนนี่วีนใส่เธอ จิตอาสาบางคนเขาอาจจะโมโห มาว่าฉันได้อย่างไร ฉันอุตส่าห์มาช่วยเธอ พูดอย่างนี้กับฉันได้อย่างไร แต่เธอไม่ได้มีความคิดแบบนี้ เธอกลับมองว่า เออ เป็นเรื่องธรรมดา
แถมพอเจอแบบนี้เธอก็บอกกับผู้ป่วยว่า ขอโทษนะคะ พอผู้ป่วยที่วีนใส่เธอเจอคำพูดแบบนี้ก็ใจเย็นลง แล้วเธอพบว่าเธอหงุดหงิดกับคำต่อว่าของผู้คนน้อยลง เป็นจิตอาสานี่ก็ต้องเจอคำพูดแบบนี้บ้าง แล้วพอเธอใจสงบ นิ่งมากขึ้น มันไม่ได้เกิดขึ้นกับเธอที่โรงพยาบาล มันยังเกิดขึ้นกับเธอที่บ้านด้วย
เธอก็เอาธรรมะที่ใช้ไปปฏิบัติกับลูกสาว จนกระทั่งลูกสาวออกปากว่า เดี๋ยวนี้แม่ไม่บ่นเลย แปลว่าอะไร เพราะแม่ใจเย็น แม่ยอมรับความไม่ถูกใจได้ดีขึ้น แล้วเธอพบว่า พอไปเป็นจิตอาสาช่วยผู้ป่วยที่โรงพยาบาลแล้ว มันก็มีใจอยากจะไปช่วยคนใกล้ตัวมากขึ้น
แต่ก่อนคนใกล้ตัว แกไม่สนใจเลย แต่ตอนหลังนี้ก็ไปช่วยน้องสาว น้องสาวป่วย ก็ไปเป็นเพื่อน ดูแลน้องสาว ลูกของน้องสาวคือหลาน สมาธิสั้น เธอก็ไปช่วย ไปสอนเขา ไปเป็นเพื่อนเขา ตอนหลังน้าคือน้องของแม่ป่วย อายุ 88 เธอก็ไปดูแลให้ความใส่ใจเขาเต็มที่
เธอบอกว่าตอนที่แม่อยู่ เธอไม่ค่อยได้มีเวลาดูแลแม่ แม่ไม่ได้สอนให้เธอรู้จักวิธีการกอด เพราะแม่ก็ไม่เคยกอดเธอเลย พอแม่จากไป เธอก็เสียดายว่า เราไม่ได้ทำอะไรดี ๆ ให้กับแม่ ตอนหลังก็ไปทำดีกับน้องสาวของแม่หรือน้าสาวแทน พูดจาด้วยความอ่อนโยน ก็คืออะไรที่เธอควรทำกับแม่แต่ไม่ได้ทำ เธอก็ไปทำกับน้องสาวของแม่แทน เพราะว่าทำกับแม่ไม่ได้แล้ว แม่ไปแล้ว เธอรู้สึกมีความสุขมากขึ้น
อันนี้ก็เป็นเรื่องดี ๆ ว่าการไปเป็นจิตอาสา มันไม่ได้ทำให้เราเหนื่อย หรือทำให้เราทุกข์มากขึ้นเลย อาจจะเสียเวลาไม่ได้ไปเที่ยว แต่ว่าก็ได้ความสุขชดเชย เป็นความสุขที่ไม่ได้เกิดจากการกินการดื่มการเที่ยว แต่เป็นความสุขที่เกิดจากการได้ทำความดี รวมทั้งการฝึกจิตใจให้สงบมั่นคง
จิตอาสาเดี๋ยวนี้ก็มีหลายโรงพยาบาล ไม่ใช่แค่ รพ.นพรัตน์ราชธานีแห่งเดียว โรงพยาบาลราชวิถี สถาบันประสาทฯ สถาบันมะเร็งฯ ก็เป็นโครงการของมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา อยากจะชักชวนคนทำบุญด้วยการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น
แต่ว่าก็ให้รู้จักกลับมาดูแลใจของตัวด้วย ให้เกิดทั้งประโยชน์ท่านและประโยชน์ตน มันไปด้วยกันอยู่แล้วแต่ว่าถ้าวางใจไม่เป็น ได้ทำแต่ประโยชน์ท่านแต่ว่าประโยชน์ตนไม่ได้รับ แต่ถ้าวางใจเป็นนี่ประโยชน์ทั้งสองประการเกิดขึ้นพร้อมกันได้
อันนี้ก็เป็นเรื่องราวดี ๆ ที่ใครที่เคว้งคว้าง เบื่อ เซ็ง รู้สึกชีวิตไร้ความหมาย ลองไปทำสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่น เช่น ไปเป็นจิตอาสาดู ก็จะช่วยทำให้เราพบความสุขภายใน และทำให้เดิมทีที่รู้สึกว่าชีวิตว่างเปล่านี่มันเต็มเปี่ยมขึ้นมา เปี่ยมด้วยความสุขและความหมาย.