พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 4 กันยายน 2568
มีนิทานเรื่องหนึ่ง เล่าขานกันในเมืองจีนเมื่อหลายร้อยปีก่อน ที่จริงเป็นนิทานที่อิงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
จางหย่ง เป็นเศรษฐีในเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่ง วันหนึ่งจัดงานเลี้ยง เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ ที่บ้านในหมู่เพื่อนฝูง เชิญเพื่อนคนหนึ่งชื่อ อี้เฟย มาร่วมกินอาหารด้วย บนโต๊ะมีสำรับอาหารพร้อมพรั่ง และมีน้ำเก๊กฮวย น้ำชา และเหล้าให้กับผู้ที่มาร่วมงาน แต่อี้เฟยเลีอกกินน้ำเก๊กฮวย
ระหว่างที่อี้เฟยยกจอกน้ำเตรียมจะมาดื่ม ปรากฏว่าเห็นคล้าย ๆ งูอยู่ในถ้วย เป็นงูตัวเล็ก ๆ ทีแรกคิดว่า คงเป็นไส้เดือนกระมัง ตอนแรกคิดจะยั้งเอาไว้ แต่มาได้คิดว่าคงไม่สุภาพ เลยดื่มน้ำเก๊กฮวยนั้นไปหมดจอก
สักพักรู้สึกไม่ค่อยดี เกิดท้องไส้ปั่นป่วน และเริ่มมีไข้ ก็ขอตัวกลับบ้าน กลับไปบ้านก็ไข้ขึ้น และอาการรุนแรงมากขึ้น อี้เฟยรู้เลยว่าเป็นเพราะพิษของงูที่ดื่มเข้าไป แม้จะเป็นลูกงู แต่ว่ามันคงจะมีพิษพอสมควร เป็นไข้ ไม่ค่อยมีเรี่ยวไม่มีแรง ภรรยาต้มสมุนไพรให้ก็ไม่หาย อาการมีแต่ทรงกับทรุด
พอเศรษฐีหนุ่มทราบข่าวว่าเพื่อนไม่สบาย ป่วยหนัก ก็ไปเยี่ยม ซักถามไปซักถามมา อี้เฟยก็เล่าว่า คืนนั้นที่ไปกินข้าวที่บ้านจางหย่ง ได้เผลอดื่มน้ำเก๊กฮวยซึ่งมีงูอยู่ในถ้วยด้วย คงเป็นเพราะพิษงูนี้ที่ทำให้ไม่สบายหนัก
จางหย่งแปลกใจ เป็นไปได้อย่างไร เลยชวนอี้เฟย บอกว่า ช่วยไปที่บ้านผมได้ไหม
ทีแรกอี้เฟยไม่อยากไป แต่ว่าพอจางหย่งเพื่อนรักรบเร้าก็ยอม จางหย่งจัดหารถ เป็นเกวียน พร้อมดูแลเต็มที่ เดินเองไม่ได้ก็นั่งเกวียนไป
พอไปถึงบ้านจางหย่ง จางหย่งก็พาอี้เฟยไปนั่งอยู่บนโต๊ะเดิมที่เคยนั่งเมื่อ 2-3 วันก่อน สภาพก็คล้ายเดิม อาหาร และจอกใส่น้ำเก๊กฮวย และจางหย่งบอกให้อี้เฟยนั่งตรงเก้าอี้ตัวเดิมที่เคยนั่ง อี้เฟยงง ๆ มันอะไรนี่ ใจจริงไม่อยากไปเลย แต่ขัดใจเพื่อนไม่ได้ จางหย่งคะยั้นคะยอให้อี้เฟยดื่มน้ำเก๊กฮวย
พออี้เฟยยกจอกขึ้นมาจะดื่ม ตกใจ เพราะเห็นงูอยู่ในจอก คราวนี้บอกเพื่อนเลยว่า นี่ไง ๆ งูพิษที่อยู่ในจอกฉัน
จางหย่งพอได้ยินก็เดินไปที่ฝาผนัง ตรงนั้นแขวนคันธนูเอาไว้ แล้วดึงคันธนูออกจากฝาผนัง เสร็จแล้วบอกอี้เฟยว่า ไหน ลองยกจอกถ้วยนั้นมาดื่มสิ อี้เฟยก็ยกมาดื่ม คราวนี้งูหายไปแล้ว งูหายไปไหน เมื่อสักครู่นี้ยังไม่ได้ทำอะไรกับมันเลย งูหายได้อย่างไร
จางหย่งบอกว่า มันไม่ใช่งู ที่จริงมันคือเงาสะท้อนของคันธนูที่แขวนไว้ที่ข้างฝา ไม่มีงูอะไรอยู่ในจอกที่ท่านดื่มเลย มันเป็นแค่เงาสะท้อนของคันธนูที่ข้างฝา
พออี้เฟยรู้ว่า จริง ๆ แล้วที่เห็นไม่ใช่งู มันคือเงาของคันธนู หายป่วยเลย กลับมาเป็นปกติ
เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า ความคิดหรือความเชื่อของคนเรา บางครั้งน่ากลัว และทำร้ายเรายิ่งกว่างูพิษเสียอีก
เรื่องนี้ฟังดูเป็นนิทาน แต่จริง ๆ แล้ว ในความเป็นจริงมีเรื่องราวแบบนี้ และบางทีลงเอยรุนแรงกว่านี้อีก
ที่อินเดีย เมื่อสัก 40-50 ปีก่อน มีพ่อค้าคนหนึ่ง ร้านเขาค่อนข้างรกหน่อย เช้าวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังจัดของอยู่ ปรากฏว่าโดนงูกัด แต่หางูไม่เจอ งูหนีไปเสียก่อน งูกัดที่แขน เขาไม่รู้สึกอะไร คนอินเดียกับงู ธรรมดาอยู่แล้ว เหมือนกับที่นี่กับงูเป็นเรื่องธรรมดา เขาก็ค้าขาย ทำงานต่อไปเรื่อย ๆ
พอถึงเที่ยงก็กลับบ้าน กินอาหาร คุยกับลูก ดีใจที่ลูกสอบเข้าโรงเรียนมัธยมชื่อดังได้ วันรุ่งขึ้นจะไปมอบตัว คุยกันเรื่องมอบตัว ยิ้มแย้มแจ่มใส ดีใจที่ลูกจะได้เรียนต่อโรงเรียนชื่อดังของจังหวัด
สักพัก เพื่อนบ้านมา 2-3 คน มือของเพื่อนบ้านคนหนึ่งถือซากงู และเพื่อนบ้านบอกว่า นี่คืองูที่กัดคุณเมื่อเช้า เพื่อนบ้านช่วยกันตามจับงูจนเจอ
พอเจ้าของร้านเห็นงู ตกใจ เพราะนั่นคืองูเห่า ถ้างูเห่ากัดฉัน อย่างนั้นก็แย่สิ
กำลังคุยกับลูกอยู่ดี ๆ ชะงักเลย และเริ่มทรุด สักพักหนึ่งก็ล้ม ไม่มีแรง ปรากฎว่ารีบพาส่งโรงพยาบาล ไปไม่ทัน ตาย
ตายเพราะอะไร ไม่ใช่เพราะพิษงู ตายเพราะหัวใจหยุดเต้น หัวใจหยุดเต้นเป็นเพราะอะไร เพราะตกใจ จะเป็นงูเห่าหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ทีแรก พอไม่คิดว่าเป็นงูเห่า เขาทำงานต่อได้แม้จะโดนงูกัด แต่ขณะที่กำลังสบาย ๆ พอรู้ว่าเป็นงูเห่า หรือเชื่อว่าเป็นงูเห่า ทรุดเลย และตายเลย จริง ๆ แล้ว งูที่กัดอาจจะไม่ใช่งูเห่าก็ได้ แต่เพราะเชื่อว่าเป็นงูเห่า
ความเชื่อของคนเรามีอิทธิพลมาก บางทีสิ่งที่เราเชื่อไม่ตรงกับความจริง แต่ความจริงจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ไม่สำคัญเท่าความเชื่อ
แม้แต่เงาสะท้อนในถ้วยน้ำเก๊กฮวยก็สามารถทำให้คนคนหนึ่งป่วยหนักได้ เพราะเชื่อว่ามีงูอยู่ในนั้น แม้จะเป็นลูกงูก็ตาม
ความเชื่อของคนเราบางครั้งก็สวนทางกับความจริง แต่ถ้าหากว่าไปหลงเชื่อความคิดนี้มาก มันก็สามารถจะทำร้ายเรายิ่งกว่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็ได้ ฉะนั้น ความคิดของคนเราน่ากลัว
อย่างคนที่เล่านิทานเรื่องนี้เขาบอกว่า สิ่งที่ทำอันตรายเราหรือน่ากลัวที่สุดไม่ใช่งูพิษ แต่คือความคิดของเรา หรือความเชื่อของคนเรา ความเชื่อหลายอย่างไม่ตรงกับความจริง แต่พอเชื่อไปแล้วก็มีผล
อย่างข้าวของเงินทอง รถยนต์ พอเราเชื่อว่า เป็นของเรา ๆ มันไม่ใช่แค่ความเชื่อ มันเป็นความเชื่อที่ฝังใจจนกระทั่งกลายเป็นความหลงไปเลยก็ว่าได้ พอใครมาทำอะไรกับของนั้นก็ทำให้เราเป็นทุกข์ได้
แต่ความเชื่อแพ้สิ่งหนึ่งคือ แพ้ความรู้ ถ้าเรารู้ว่าความจริงคืออะไร ความเชื่อก็หายไป
อย่างอี้เฟยพอรู้ว่าที่เห็นเป็นเงาของคันธนู ความเชื่อว่าตัวเองกำลังป่วยเพราะพิษร้ายของงูหายไปเลย สิ่งที่เกิดคือ ความปกติกลับคืนมา
ฉะนั้น คนเราเชื่ออะไรก็ตาม ถ้าเชื่อแล้ว แม้จะสวนทางกับความจริง แต่มันทำร้ายเราได้จนกว่าจะมีความรู้เกิดขึ้น
ฉะนั้น ถ้ารู้ว่าของทั้งหลายไม่ใช่ของเรา ทรัพย์สินเงินทอง บ้านเรือนสูญหายไป ใจก็ไม่ทุกข์ แต่เพราะเชื่อฝังใจว่า มันคือของเรา ๆ แม้จะไม่ใช่ความจริง แต่มันทำร้ายเราได้ จนกว่าความรู้จะเกิดขึ้น คือรู้ว่า มันไม่ใช่ของเรา ถ้ารู้ไปถึงว่า ตัวกูไม่มี ด้วย ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
ฉะนั้น สิ่งที่เราควรใส่ใจคือ การที่รู้ทันความเชื่อที่อยู่ในหัว และพยายามที่จะเปิดใจรับความจริง จนเกิดเป็นความรู้ขึ้นมา รู้ความจริง หรือรู้ตัวเมื่อไร ความเชื่อก็ทำร้ายเราได้ยาก หรือทำร้ายเราไม่ได้เลย.