พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 6 กันยายน 2568
ที่ประเทศญี่ปุ่นมีปรากฏการณ์หนึ่งซึ่งเริ่มแพร่หลายกันมากขึ้น ปรากฏการณ์นี้ญี่ปุ่นเขาเรียกว่า โจฮัทสึ (Johatsu)
โจฮัทสึ แปลว่า ระเหยหาย หมายถึงการที่คนญี่ปุ่นอยู่ดี ๆ ก็หายไปเลย เมื่อวานยังเห็นอยู่เลย วันนี้หายไปจากครอบครัว หายไปจากบ้าน หายไปจากที่ทำงาน หายไปจากโรงเรียน หายไปจากแวดวงแบบไม่มีร่องรอย และปัจจุบันคนที่หายแบบนี้มีเป็นแสน เขาคาดว่าประมาณ 70,000-100,000 คน และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น
คนเหล่านี้ไม่ได้ตาย ไม่ได้ถูกฆ่า ไม่ได้ถูกอำพรางศพ แต่เขาเลือกที่จะหายหน้าหายตาอย่างไร้ร่องรอย เพราะอะไร เพราะเขาต้องการหนี เช่น หนีเจ้าหนี้ อันนี้คนไทยเราเข้าใจดี
แต่มีมากกว่านั้น อาจจะหนีครอบครัว อยู่ในบ้านแล้วอึดอัด เมียมีปัญหากับผัว หรือว่าผัวมีปัญหากับเมีย ถูกทำร้าย ถูกด่าว่า หรือบางทีลูกมีปัญหากับพ่อแม่ หรืออาจจะมีปัญหากับญาติผู้ใหญ่ พ่อหรือแม่ หรือปู่ย่าป้าลุงมาขอเงิน มาขอแล้วขออีก แล้วเอาไปเล่นการพนัน เอาไปกินเหล้า เจ้าตัวอยู่ไม่ไหว เลยหายหน้าไปเลย หลบไปเลย
หรือบางคนต้องการหนีความอับอาย หนีแวดวงเพื่อนฝูง เพราะอับอายเรื่องการทำงาน หรือว่าเรื่องการใช้ชีวิตส่วนตัวถูกเปิดเผย อับอายขายหน้า หรือล้มเหลวกับเรื่องการเรียน อับอายเพื่อนฝูง อยู่ไม่ไหว ทนเห็นหน้าหรือทนสู้หน้าคนเหล่านั้นไม่ได้ ก็หนีไปเลย แบบนี้มีเยอะ
และเดี๋ยวนี้หนีง่าย เพราะมีบริษัทหรือมีธุรกิจช่วยให้การหนีแบบนี้สะดวก เป็นธุรกิจขนย้ายทรัพย์สมบัติข้าวของในเวลากลางคืน ทำงานเฉพาะกลางคืน ขนทรัพย์สมบัติแบบไม่ให้คนอื่นรู้ และหายวับไปเลย
พอมีธุรกิจอำนวยความสะดวกแบบนี้ คนเลยใช้วิธีนี้มากขึ้น เพราะคนญี่ปุ่นที่จริงก็คล้าย ๆ คนไทยคือว่า อยู่ได้เพราะความสัมพันธ์ แต่บางทีสายสัมพันธ์มันอึดอัด มันรัดแน่น อยู่ไม่ไหว ขอย้ายที่ดีกว่า ย้ายแวดวงไปเริ่มต้นชีวิตใหม่
แบบนี้ในเมืองนอกอย่างฝรั่งไม่ค่อยมี เพราะว่าต่างคนต่างอยู่ หรือไม่แคร์กัน แต่ว่าคนญี่ปุ่น ครอบครัวก็ดี เพื่อนฝูงก็ดี ยังมีความสำคัญ สายตาของเขา คำพูดของเขามีผลต่อผู้คน ถ้าเกิดมีปัญหาแบบนี้กับคนรอบข้าง สายตาเขาดูถูกเหยียดหยาม หรือว่ามารบกวน หรือว่ามาก่อกวน อยู่ไม่ได้
แต่ก่อนต้องทนอยู่ เมียก็ทนอยู่กับผัว แต่ตอนหลังไม่ต้องทนแล้ว หายหน้าหายตาไปเลย หรือบางทีผัวทนเมีย ตอนหลังไม่ต้องทนแล้ว หนีไปเลย ยิ่งไม่มีลูกด้วยแล้วยิ่งตัดสินใจง่าย เพราะว่าพอมีคนช่วยขนย้ายข้าวของ มันสะดวกมาก ไปแต่ตัว แล้วเดี๋ยวมีคนขนทรัพย์สมบัติมาให้ และวิธีแบบนี้ครอบครัวตามหาไม่เจอ เป็นการหนีแบบไร้ร่องรอย
เมืองไทยคนคงชอบแบบนี้มากทีเดียว เพราะว่าบางทีทนอยู่กับครอบครัวไม่ได้ พ่อแม่เอาแต่ขอเงิน บางทีขอเงินจากลูกสาวไปให้ลูกชาย ให้ลูกชายเล่นการพนัน กินเหล้า ลูกสาวก็คับแค้นใจ ไม่ให้ก็ไม่ได้ บางคนกดดันมากถึงกับฆ่าตัวตายก็มี
ผู้หญิงหลายคนทนอยู่กับผัวไม่ได้ ผัวเอาเปรียบ ผัวทำร้าย จะไปไหนก็ไปไม่ได้ จะหนีก็กลัวเขาจะตามล่า เลยฆ่าตัวตาย หรือมิฉะนั้นก็ฆ่าเขาตายแต่แทน เพราะว่าไม่มีทางไป
แต่ว่าการมีทางออกแบบนี้ก็ดี ทำให้คนไม่ต้องทำร้ายตัวเอง หรือว่าไม่ต้องทำร้ายคนอื่นเพราะคิดว่าเป็นทางเลือกสุดท้าย
แต่ว่าวิธีนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้ เพราะว่าคนเราหนีครอบครัว หนีพ่อแม่ หนีผัว หนีเมีย หนีเพื่อนร่วมงาน หนีโรงเรียน หนีได้ แต่หนีตัวเองหนีไม่ได้ บางอย่างมีความรู้สึกผิดติดค้างใจ แม้เราจะหนีแวดวง หนีวิถีชีวิตก็ไม่ได้ช่วยทำให้เราหนีไปจากความรู้สึกผิดติดค้างใจได้
เช่น บางคนเป็นลูกเศรษฐี นักธุรกิจใหญ่ ลูกชายคนโตด้วย ต้องทำงานเพื่อสืบทอดธุรกิจ ทำงานแบบเรียกว่าไม่สนใจครอบครัวเลย เมียป่วยก็ไม่สามารถไปเยี่ยมเมียได้ เพราะต้องทำงาน พ่อก็กดดันให้ต้องทำ เพราะว่ากิจการกำลังย่ำแย่ ลูกชายก็ภักดีต่อพ่อ ทำงานเรียกว่าเช้าจดค่ำ ไม่ได้หลับไม่ได้นอน เมียป่วยก็ไม่ได้ไปเยี่ยม จนเมียตายก็ไม่ได้เห็นใจเมียเลย
เสร็จแล้วก็รู้สึกผิด ทนไม่ได้กับชีวิตแบบนี้ เป็นเพราะชีวิตที่ต้องหาเงินหาทอง เป็นเพราะต้องอยู่ภายใต้การกดดันของพ่อ เป็นเพราะชีวิตของนักธุรกิจ หนีดีกว่า หนีไปเป็น Nobody ก็คงใช้ธุรกิจแบบที่ว่านี้ ขนข้าวขนของ
แต่แม้จะหนีได้ ไม่มีใครตามตัวเจอ แต่หนีความรู้สึกผิดไม่ได้ว่า เราทิ้งเมีย ไม่สนใจเมีย
เพราะฉะนั้น การที่จะหนีผู้คนเดี๋ยวนี้หนีไม่ยาก แต่หนีตัวเองหนียาก อยู่ที่ไหนความรู้สึกที่ติดค้างใจหรือหลอนก็คอยหลอก คอยรบกวนตัวเอง
บางคนรู้สึกแย่กับตัวเองว่า ฉันเป็นคนที่ล้มเหลว ไม่มีความสามารถ เป็นคนที่ไม่สามารถจะหวังอะไรได้ แบบนี้แม้จะหนีไปอย่างไรก็หนีไม่พ้น จนกว่าจะจัดการเยียวยากับจิตใจของตัวเอง ยอมรับตัวเองได้ ยอมรับตัวเองให้ได้
ตรงนี้แหละที่การที่เรารู้จักยอมรับตัวเอง รู้จักจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ ไม่ว่าจะเป็นความแค้น บางคนไม่ได้รู้สึกผิดอะไร แต่แค้น แค้นใครบางคน แค้นเพื่อน หรือว่าแค้นสามีภรรยา อุตส่าห์ช่วยเหลือเกื้อกูลเขา แต่ว่าเขายังทำกับเราแบบนี้ ความแค้นทำให้แม้จะหนีไปไกล แต่ยังเจ็บปวดว่า เป็นเพราะมัน ทำให้กูต้องมาระหกระเหินแบบนี้ แบบนี้เรียกว่าหนีไม่พ้น
เพราะฉะนั้น นอกจากจะคิดหนีจากคนอื่นแล้ว จะต้องรู้วิธีในการที่จะเป็นมิตรกับตัวเองให้ได้ เพราะถ้าไม่เป็นมิตรกับตัวเอง ไม่เป็นมิตรกับอารมณ์ ไม่ยอมรับอารมณ์ที่เกิดขึ้น ก็ยังหนีความทุกข์ไม่พ้น
และทุกข์อยู่นั่นแหละ ยิ่งรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง ไม่เป็นมิตรกับตัวเอง ไปไหนก็เป็นทุกข์อยู่นั่นแหละ จนกว่าจะเป็นมิตรกับตัวเองได้ ยอมรับตัวเองอย่างที่เป็น และเริ่มต้นใหม่
แต่ถึงจะหนีไม่ได้ อย่างน้อยการที่เราเลือกที่จะออกมาจากสิ่งแวดล้อมที่ภาษาสมัยนี้เขาเรียกว่า Toxic ก็ช่วยได้ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ใช้ทางเลือกสุดท้ายที่มีอยู่คือ ฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายคนอื่นจนตาย
การที่มีทางออกแบบนี้ก็ดีอยู่ แต่ว่ายังไม่ใช่เป็นทางออกที่จะทำให้หนีทุกข์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะถ้าหากว่าทุกข์ติดตามตัวเองไปเพราะยังมีความทรงจำที่เจ็บปวด ยังคาราคาซัง ติดค้างใจ
เพราะฉะนั้น การที่เรากลับมาดูแลใจของตัวเองสำคัญมาก ถ้าดูแลใจตัวเองไม่ได้ ความรู้สูงแค่ไหน เงินมากแค่ไหน จะหนีไปไกลแค่ไหนก็ยังทุกข์อยู่นั่นเอง.