พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 9 กันยายน 2568
มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างคนหนึ่งหรือที่เดี๋ยวนี้เรียกว่าวินมอเตอร์ไซค์ แกเล่าว่าวันหนึ่งรับผู้โดยสารหรือว่าลูกค้าสองคน เป็นแม่ลูก ลูกเป็นนักเรียน แต่งชุดนักเรียน อายุก็ประมาณ 9 -10 ขวบคือประมาณ ป. 4 ป. 5
ระหว่างที่นั่งรถมอเตอร์ไซค์ลูกก็พูดกับแม่ พูดด้วยคำที่สุภาพมาก คุณแม่ครับพรุ่งนี้หนูจะไปเที่ยวทัศนศึกษา หนูขอเงินเพิ่ม 50 บาทได้ไหมครับ แม่ก็นิ่ง สักพัก ตอบว่า แม่ไม่ค่อยมีเลยจ้ะ เด็กก็ตอบว่า อย่างนั้นหนูไม่เอาก็ได้ครับ
วินมอเตอร์ไซค์ฟังแล้วก็เศร้า ใจหนึ่งแกก็นึกว่า 40-50 บาทจะพอหรือสำหรับการไปเที่ยวทัศนศึกษาในกรุงเทพฯ ทุกวันนี้ แล้วแกก็นึกถึงตอนที่แกยังเป็นเด็ก อายุประมาณเท่ากับเด็กนักเรียนคนนี้ เวลาไม่มีเงินซื้อขนมต้องดูเพื่อนกินขนม แล้วรู้สึกไม่ดีเลย รู้สึกทุกข์มาก ไม่สบายใจหรือน้อยเนื้อต่ำใจที่เราไม่มีกินเหมือนเพื่อน
พอนึกถึงเหตุการณ์นี้ทีไรแกก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พอวินมอเตอร์ไซค์พาลูกค้าไปถึงเป้าหมาย ถึงจุดหมาย ผู้เป็นแม่ก็ยื่นเงินให้แก 60 บาท แกรับเสร็จก็ยื่น 60 บาทให้นักเรียน บอกว่า พี่ให้หนูเอง เด็กดีใจมาก แต่คนที่ดีใจไม่น้อยไปกว่ากันก็คือวินมอเตอร์ไซค์คนนี้ รู้สึกมีความสุขมากที่ได้ช่วยเด็กคนนี้ให้ได้ไปเที่ยวทัศนศึกษา แล้วก็มีเงินซื้อขนมกิน ไม่น้อยหน้ากว่าเพื่อน
สำหรับวินมอเตอร์ไซค์คนนี้เช้าวันนั้นคงเป็นเช้าวันที่ดีมากเลย แม้ว่าจะไม่ได้ค่ามอเตอร์ไซค์ ที่จริงก็ได้แหละ แต่แกไม่รับ แกให้เด็ก และนั่นเป็นวิธีการเจอวันใหม่ที่ดีมาก
ไล่ ๆ กันนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งตื่นสายไปทำงานเกือบจะไม่ทันแล้ว ต้องรีบเพราะว่าตอนเช้ามีประชุมสำคัญ พอแกลงจากรถ BTS รถไฟฟ้าก็ลงมารอที่ริมถนนเพื่อที่จะเรียกรถ ในใจก็ภาวนาขอให้มีวินมอเตอร์ไซค์ผ่านมาเพราะว่ามันใกล้เวลาที่จะมีประชุมแล้ว
บังเอิญมีวินมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นมาแล้วก็ไม่มีลูกค้าด้วย แกก็เลยดีใจ แกก็เรียก โบกมือ มอเตอร์ไซค์คันนั้นก็มาจอด แล้วแกก็บอกมอเตอร์ไซค์คันนั้นว่าให้รีบไปส่งที่นั่นเลย ก็คงประมาณสี่แยกแถวสีลมประมาณนั้นซึ่งก็อยู่ห่างจากจุดที่แกเรียกรถประมาณ 5-6 กม. ไม่มีการต่อราคาเลย
พอมอเตอร์ไซค์จอดปุ๊บ บอกจุดหมายปลายทาง แกก็รีบขึ้นมอเตอร์ไซค์ มอเตอร์ไซค์คันนั้นก็ขับอย่างรวดเร็วเลย เรียกว่าเร่งสปีดเต็มที่ บางทีก็แซง แซงซ้ายบ้าง แซงขวาบ้าง ชายคนนั้นบางทีก็เสียวเลย ตื่นเต้นมากนั่งวินมอเตอร์ไซค์คันนี้ แต่คนขับนี่เต็มที่เลย บอกให้รีบ แกก็รีบ แล้วก็พยายามที่จะทำทุกอย่างเพื่อจะไปให้ถึงเป้าหมายให้ทัน ใช้เวลาไม่กี่นาที
พอถึงที่หมาย สำนักงานใหญ่ ชายคนนั้นก็ควักเงินให้ มอเตอร์ไซค์คันนั้นบอก ผมไม่รับครับ อ้าว ทำไมล่ะ ผมไม่ใช่วินมอเตอร์ไซค์ครับ ชายคนนั้นก็มองไปที่เสื้อกั๊กของหนุ่มคนนั้น มันเป็นเสื้อกั๊กของไซต์งานก่อสร้าง หนุ่มคนนั้นเป็นมอเตอร์ไซค์ที่จะไปทำงานก่อสร้าง บังเอิญแกเห็นชายคนนี้กำลังเร่งรีบ ท่าทางหน้าตาดูไม่สบายเลย แกก็เลยอาสารับไปส่งโดยไม่ได้คิดเงินอะไรเลย แล้วก็ไม่ได้หวังเงินจากชายคนนี้ แต่แกทำให้ด้วยน้ำใจแท้ ๆ
อันนี้ก็เรียกว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง วินมอเตอร์ไซค์คนแรกที่พูดถึง แล้วก็ชายหนุ่มที่ขี่มอเตอร์ไซค์ที่เป็นคนงานก่อสร้าง เรียกว่าสิ่งที่แกทำคือการทำบุญอย่างหนึ่ง การทำบุญมันไม่จำเป็นต้องมาทำที่วัดก็ได้ อยู่ที่ไหน ขณะที่กำลังทำงานอยู่ ขณะที่กำลังเดินทางอยู่ ก็ทำบุญได้ นั่นก็คือการช่วยเหลือเกื้อกูลคนที่เขากำลังเดือดร้อน
บางคนเขาเดือดร้อนเรื่องเงิน แต่บางคนเขาพอมีเงินแต่เขากำลังทุกข์ร้อนเพราะขาดพาหนะ การช่วยเหลือด้วยน้ำใจโดยไม่หวังผลตอบแทนอันนี้ก็เรียกว่าเป็นการทำบุญ เพราะมันออกมาจากใจที่คิดแต่จะให้อย่างเดียว
ตรงข้าม การมาทำบุญที่วัด ถวายผ้าป่า ถวายสังฆทาน สร้างศาลา อาจจะไม่ใช่เป็นการทำบุญที่แท้ในพุทธศาสนาก็ได้ อย่างคุณนายคนหนึ่งเจ้าของโรงเรียน แกชอบทำบุญมาก สร้างหอระฆังให้กับวัด แล้วก็สร้างศาลา แกไม่ได้สร้างคนเดียวแต่ว่าก็บริจาคเงินให้เยอะมาก
แต่ปรากฏว่า วันหนึ่งมีเด็กคนหนึ่งในโรงเรือนของแกไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน ติดมาหลายเดือนแล้วเพราะยากจน เป็นนักเรียนประถมด้วย แกให้ออกเลย ให้ออกเลยเพราะหาว่าไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน เหตุผลก็ดูดีแต่ว่ามันไม่มีน้ำใจ ตรงข้ามกับสิ่งที่แกทำกับวัดวาอาราม
แกไปคิดว่าการทำบุญก็หมายถึงการทำบุญกับพระ สร้างโบสถ์ สร้างวิหารให้กับวัด แต่แกไม่ตระหนักว่า การช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนมันก็เป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง ถ้าแกทำบุญด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่คิดจะเอา ไม่คิดจะหวังผลจากบุญที่ทำ เช่น หวังความร่ำรวย การที่แกจะมีน้ำใจช่วยเด็กที่ไม่มีเงินเรียนหนังสือมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่าถ้าทำบุญด้วยจิตที่คิดจะเอา มันก็ยากที่จะเป็นผู้ให้ แม้กระทั่งให้คนที่เดือดร้อน
ตรงข้ามกับวินมอเตอร์ไซค์กับหนุ่มก่อสร้าง อันนี้เรียกว่าแกทำบุญโดยไม่หวังผลตอบแทนอะไรเลย แล้วมันเป็นการทำให้เช้าวันนั้นเป็นเช้าที่ดีสำหรับสองคนนี้ อาจจะดีไม่น้อยไปกว่าคนที่ใส่บาตรพระยามเช้าตรู่
และนี่คือเรื่องที่เราสามารถจะเห็นหรือรับรู้ได้แม้อยู่ในกรุงเทพฯ เรื่องดี ๆ แบบนี้ ถ้าเราเปิดใจสักหน่อย มันไม่ใช่ว่าวันแต่ละวันมันจะมีแต่เรื่องแย่ ๆ โดยเฉพาะอยู่ในกรุงเทพฯ เห็นแต่เรื่องที่ไม่ค่อยจรรโลงใจ แต่สิ่งดี ๆ ที่คนมีน้ำใจต่อกันมันก็มีไม่น้อย อยู่ที่ว่าเราจะมองหรือเปล่า ถ้าเรามองเห็นเราก็เกิดกำลังใจ เกิดแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิต แล้วเกิดแรงบันดาลใจในการที่จะทำความดีให้กับผู้อื่น
เผลอ ๆ เราเองก็จะกลายเป็นผู้ที่ได้รับความเมตตากรุณาน้ำใจจากคนอื่น แล้วมันทำให้เราอยากจะเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น แล้วพอเราเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่นแม้เราจะเป็นผู้จ่าย ผู้ให้ แต่สุดท้ายเราก็ได้ความสุขกลับมา มันเป็นความสุขอย่างง่าย ๆ ที่ใช้เงินน้อยมาก แต่ว่าอาศัยใจที่คิดจะให้ ไม่ได้หวังผลตอบแทน.