PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
  • จะช่วยใคร ต้องเข้าใจเขาด้วย
จะช่วยใคร ต้องเข้าใจเขาด้วย รูปภาพ 1
  • Title
    จะช่วยใคร ต้องเข้าใจเขาด้วย
  • เสียง
  • 14088 จะช่วยใคร ต้องเข้าใจเขาด้วย /aj-visalo/2025-09-15-08-24-40.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันจันทร์, 15 กันยายน 2568
ชุด
ธรรมะสั้นๆ ก่อนอาหารเช้า 2568
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 10 กันยายน 2568
    มีเรื่องเล่าว่า หญิงท้องแก่คนหนึ่งขึ้นรถเมล์ พอขึ้นบันไดเธอก็เดินอุ้ยอ้ายเข้าไปในรถ ปรากฏว่ามีเด็กนักเรียนคนหนึ่งอายุ 7 ขวบลุกขึ้น หญิงท้องแก่คนนั้นเธอเห็นเด็กคนนี้ยังเด็กอยู่ แถมถือกระเป๋าใบใหญ่ เธอเลยสั่นหัวให้เด็ก แล้วยิ้ม พร้อมกับพูดว่าไม่ต้องหรอก นั่งลงเถอะ เด็กก็นั่งลง
    สักพักเด็กคนนี้ลุกขึ้นใหม่ หญิงท้องแก่เอ็นดูเด็ก ซาบซึ้งน้ำใจที่อุตส่าห์ลุกให้ที่นั่งเธอเลยพูดขึ้นว่า น้าบอกว่าไม่ต้อง น้ายืนได้ อีกสักพักน้าก็จะลง แล้วก็กดไหล่เด็กเบา ๆ เด็กก็ลงนั่ง
    ผ่านไปสักพักเด็กก็ลุกขึ้นมาอีก เธอเลยพูดขึ้นมาว่า หนูน่ารักจริง แต่ไม่ต้องลุกหรอก นั่งลงเถอะ กดไหล่เด็กลง เด็กก็ลงนั่ง
    สักพักเด็กลุกขึ้นมาใหม่พร้อมตาละห้อย บอกเธอคนนั้นว่า คุณน้าครับ ให้ผมลงจากรถเถอะครับ บ้านผมเลยมา 3 ป้ายแล้ว
    หญิงท้องแก่คนนั้นปรารถนาดี เห็นเด็กลุก ก็เกรงว่าเด็กจะต้องยืนถือกระเป๋า เด็กอุตส่าห์มีน้ำใจ เลยบอกให้เด็กนั่งลง แต่ไม่ใช่ให้นั่งเปล่า ๆ บางทีก็กดไหล่เด็กลงไปด้วย ทั้งที่เด็กตั้งใจจะลงจากรถเพราะว่าถึงบ้านแล้ว แต่กลายเป็นว่าความปรารถนาดีของหญิงท้องแก่ทำให้เด็กต้องเดินกลับบ้านตั้ง 3 ป้าย ความปรารถนาดีของหญิงคนนั้นไปสร้างภาระให้กับเด็กคนนั้น อันนี้เพราะอะไร
    เพราะว่าไปคิดเอาเองว่า เด็กเขาลุกเพราะว่าจะให้ที่นั่งกับเรา ถ้าถามสักหน่อยว่าลุกทำไม อาจจะรู้คำตอบเด็กว่ากำลังจะลงจากรถเพราะว่าถึงบ้านแล้ว ความปรารถนาดีของหญิงท้องแก่ก็จะไม่สร้างปัญหาให้กับเด็ก
    บ่อยครั้งความปรารถนาดีของเราแม้จะน่าชื่นชม แต่สร้างปัญหาให้กับคนที่เราอยากจะช่วย บางทีคนนั้นเป็นลูกของเรา พ่อแม่ปรารถนาดีกับลูก หยิบยื่นอะไรต่าง ๆ ให้ลูก บางทีไม่ใช่สิ่งที่ลูกต้องการ แต่ด้วยความปรารถนาดี เลยพยายามให้ กลายเป็นการยัดเยียด สร้างปัญหาให้กับลูก
    บางทีเราก็อาจจะทำอย่างนั้นกับเพื่อน อย่างเพื่อนที่กำลังเศร้าเพราะว่าสูญเสียพ่อ สูญเสียแม่ เราปรารถนาดี อยากจะให้เพื่อนได้เข้าใจธรรมะจะได้หายเศร้า เอาหนังสือธรรมะไปให้ เอาซีดี หรือว่าเทปธรรมะไปให้ถ้าเป็นสมัยก่อน แต่เดี๋ยวนี้คนไม่ฟังซีดีกัน ก็มีสื่อธรรมรูแแบบอื่นแทนไปให้
    บางทีก็ชวนไป พอไม่ไป ก็ลากไปเลยไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม จะได้หายโศกหายเศร้า แต่ว่าไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนต้องการ หรือเขาอาจจะยังไม่พร้อม พอเขาปฏิเสธ เราก็โกรธ หาว่าไม่รับเอาความปรารถนาดีของเรา หรือไม่เห็นแก่ความตั้งใจดีของเรา
    การที่เราอยากจะให้ แต่ไม่รู้ว่าเขาต้องการหรือเปล่า หรือเหมาะกับเขาไหม ไปยัดเยียด พอเขาขัดขืน เขาต่อต้าน หรือเขาไม่รับ ก็ไปโกรธเขา อันนี้เกิดขึ้นกับพ่อแม่กับลูกเหมือนกัน ไม่ใช่แค่เพื่อนกับเพื่อน
    ฉะนั้น ความปรารถนาดี แม้จะออกมาจากใจ แต่ว่าต้องใส่ใจกับอีกฝ่ายหนึ่งด้วยว่าเขาพร้อมไหม หรือเขาต้องการหรือเปล่า หรือว่าเขามีปัญหาอะไรแน่ เพราะไม่อย่างนั้น ความปรารถนาดีของเราไปสร้างปัญหาให้กับเขา
    บางทีเขาไม่ปฏิเสธ แต่เขากล้ำกลืน ทำด้วยความจำใจ เพราะเกรงใจเรา เห็นแก่ความปรารถนาดีของเรา กลายเป็นว่าแทนที่เราจะช่วยเขา กลับไปสร้างความกดดันให้กับเขา หรือสร้างปัญหาให้กับเขาก็ได้
    มีผู้ชายคนหนึ่ง ปู่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ พอเป็นอัลไซเมอร์ก็มีปัญหา ไปไหนมาไหนไม่ได้ หลงทาง บางทีหนีออกจากบ้านโดยที่ไม่บอกใคร แล้วกลับบ้านไม่ถูก
    วันหนึ่งเขาขับรถ เห็นคนแก่ยืนเงอะงะอยู่ตรงหัวมุมสี่แยก เขารีบจอดรถแล้วรีบพากึ่งลากคนแก่ขึ้นรถเลย ขับรถไปสักพักก็ถามว่าลุงจะไปไหน บ้านลุงอยู่ไหน เพราะเขาเข้าใจว่าลุงคนนี้ความจำคงเสื่อม กลับบ้านไม่ถูก ลุงคนนั้นก็เงอะงะ งงว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ทันจะตอบ ชายคนนั้นก็บอกว่า รีบ ๆ บอกมาเลย ไม่ต้องเกรงใจผม บ้านลุงอยู่ไหน ผมจะไปส่ง
    สุดท้ายลุงคนนั้นบอกว่า โน่น อยู่ตรงหัวมุม ตรงที่เธอรับฉันขึ้นมา ฉันกำลังจะเดินข้ามถนนกลับบ้าน กลายเป็นว่าเลยบ้านไปเป็นกิโล ๆ
    อย่างนี้ก็ปรารถนาดี แต่ว่าไม่รู้ความต้องการของคนที่เราอยากจะช่วย จะช่วยใครต้องรู้จักว่าเขาเป็นใคร เขาต้องการอะไร
    มีเรื่องเล่าของนัสรูดิน วันหนึ่งเห็นคนเอะอะโวยวายส่งเสียงอยู่แถวสระน้ำ เอะใจ เลยเดินไปที่นั่น ปรากฏว่าคนกำลังมุง มีชายคนหนึ่งกำลังดำผุดดำว่ายผลุบโผล่อยู่เหนือน้ำ และสำลักน้ำด้วย อยู่ไม่ไกลจากตลิ่ง ผู้คนพากันยื่นมือให้เขาจับ แต่ชายคนนั้นแม้ว่าจะแย่อย่างไร ไม่ยอมจับมือ ทำท่าจะจมน้ำตายแล้ว
    นัสรูดินเห็น เลยแหวกฝูงชนไปที่ริมตลิ่ง แล้วยื่นมือพร้อมพูดกับชายคนนั้นว่า คว้ามือฉันสิ ๆ ปรากฏว่าชายคนนั้นคว้ามือนัสรูดิน นัสรูดินช่วยดึงเขาขึ้นมาบนฝั่ง เป็นอันรอดตาย
    คนแปลกใจว่าทำไมเขาจึงคว้ามือนัสรูดิน แต่ทำไมคนอื่นยื่นมือให้เขา เขาไม่คว้าเลย นัสรูดินบอกว่า คนนี้เป็นพ่อค้า เขาหน้าเลือด ไม่เคยยื่นอะไรให้ใคร มีแต่จะคว้าจากคนอื่น ผมรู้อย่างนี้เลยรู้ว่า ถ้าบอกให้เขายื่นมือมา เขาไม่จับหรอก ต้องบอกว่า “คว้ามือฉันสิ ๆ” เขาจึงจับมือแน่นอน
    อันนี้เป็นความฉลาดของนัสรูดิน อยากจะช่วยคนที่จมน้ำ แต่ต้องรู้ว่าเขามีนิสัยอย่างไร คนที่กำลังจมน้ำเขาไม่ยอมยื่นมือเขาให้ใคร เพราะเขาไม่เคยยื่นอะไรให้ใครเลย แต่ถ้าบอกให้คว้า เขารีบคว้าทันที เพราะเขาชอบคว้าอะไรจากคนอื่นเยอะ ถึงเวลาแม้จะตายแล้ว ก็ยังไม่ยอมยื่นมือให้ใคร มีแต่จะคว้าจากคนอื่น
    นัสรูดินเข้าใจจิตวิทยาของคนที่ตัวเองต้องการช่วย ไม่ใช่ว่าอยากจะช่วยแล้วช่วยได้เลย ต้องเข้าใจว่าคนที่เราอยากจะช่วยเป็นใคร เขากำลังต้องการอะไร เขามีนิสัยอย่างไรด้วย
    ฉะนั้น เวลาเราปรารถนาจะช่วยใคร อย่าเอาความเห็น หรือความปรารถนาดีของตัวเองเป็นที่ตั้งอย่างเดียว ต้องดูอีกคนด้วยว่า เขากำลังต้องการความช่วยเหลือจากเราหรือไม่ หรือว่าเขากำลังมีปัญหาอะไร และต้องการความช่วยเหลือแบบไหน อันนี้คือสิ่งที่เราต้องใช้ปัญญาด้วย ไม่ใช่แค่ใช้ความปรารถนาเดียวอย่างเดียว.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service