พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 13 กันยายน 2568
วันนี้เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงพ่อเทียน หลวงพ่อเทียนมรณภาพเมื่อวันที่ 13 กันยายน 37 ปีที่แล้ว ถ้าท่านมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ท่านก็จะมีอายุ 114 ปี แต่ท่านจากไปตั้งแต่อายุ 77
หลวงพ่อเทียนเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อคำเขียน หลวงพ่อเทียนจึงเรียกได้ว่าเป็นอาจารย์ของอาจารย์สำหรับพวกเรา มีคำบาลีอยู่คำหนึ่งว่า ปาจา หรือปาจาริยะ แปลว่าอาจารย์ของอาจารย์ หลวงพ่อเทียนนั้นจึงถือเป็นปาจาริยะของพวกเราซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเทียน ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อคำเขียน แต่บางคนก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเทียนโดยตรงก็มี
ชีวิตของหลวงพ่อเทียนน่าสนใจมากเพราะท่านเป็นพ่อค้าซึ่งประสบความสำเร็จ ที่ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งความนับถือตา ถือได้ว่าร่ำรวย เพราะเป็นพ่อค้า มีความซื่อสัตย์สุจริต ขยันหมั่นเพียรและฉลาดด้วย เพราะฉะนั้นท่านจึงร่ำรวยและได้รับการนับหน้าถือตา แต่แล้วท่านก็เลิกวิถีชีวิตแบบนั้น ละทิ้งเงินทอง อาชีพพ่อค้า ความนับถือตา เพื่ออุทิศตัวให้กับการปฎิบัติธรรม ทั้งที่ยังเป็นฆราวาส
ภายหลังก็ออกบวช สอนทั้งพระทั้งโยม ท่านสอนนั้นตั้งแต่ยังเป็นโยมแล้ว เพราะท่านปฎิบัติธรรมจนกระทั่งเข้าใจธรรมะ แล้วก็เลยออกสอนบำเพ็ญประโยชน์ท่าน จุดเปลี่ยนที่ทำให้ท่านทิ้งชีวิตที่มั่งคั่ง ร่ำรวย นับหน้าถือตา
น่าสนใจ ทำไมคนที่ร่ำรวย เป็นพ่อค้ามีชื่อเสียงจึงละทิ้งชีวิตที่ว่านี้ จุดเปลี่ยนสำคัญก็คือ เพราะท่านถูกต่อว่าอย่างแรง และคนที่ต่อว่าท่านไม่ใช่ใคร แต่คือภรรยาของท่าน หลายคนที่ถูกต่อว่าด่าทอ แต่กลับกลายเป็นดีสำหรับหลวงพ่อเทียน เพราะทำให้ชีวิตท่านเปลี่ยนไปในทางธรรมอย่างเต็มตัว
เรื่องของเรื่องก็คือว่า ตอนที่ท่านยังเป็นฆราวาสอายุ 40 ต้นๆท่านก็ชอบทำบุญ ทำบุญหนักด้วย คราวหนึ่งท่านได้เป็นเจ้าภาพทอดกฐินที่เมืองลาว เพราะท่านไปค้าขายที่นั่นเป็นประจำ ท่านก็มอบหมายให้ภรรยาทำหน้าที่ดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งค่าอาหารและค่ามหรสพ สมัยนั้นหรือสมัยนี้เองทอดกฐินก็ต้องมีมหรสพ เช่น หมอลำ ลูกทุ่ง เป็นต้น ท่านก็มอบหมายให้ภรรยาดูแลเรื่องการเงิน ส่วนท่านก็จะถืออุโบสถศีลและรับแขก
พอทอดกฐินเสร็จรุ่งเช้าภรรยาก็มาถามท่านว่า ค่ามหรสพจะต้องจ่ายเงินให้เขาเท่าไหร่ ปรากฏว่าท่านโกรธมาก เป็นความรู้สึกที่หนักมาก ท่านบอกว่ามันหนักจนแทบจะลุกไม่ไหว ตำเข้าไปในใจ อาจจะเป็นเพราะท่านรู้สึกว่าคุยกันแล้วทำไมต้องมารบกวน เหมือนกับคุยกันไม่รู้เรื่อง อาจจะมีอะไรที่มากกว่านั้นก่อนหน้านั้นแล้วก็ได้ เช้าวันนั้นท่านโกรธมาก แต่ท่านเก็บอารมณ์ความรู้สึก เก็บอาการไว้ได้
ความรู้สึกยังโกรธอยู่แต่เก็บอาการ ท่านก็บอกภรรยาว่าต้องจ่ายเท่านั้นเท่านี้ แต่ความโกรธยังสุมทรวงท่านตลอดทั้งวันเลย
จนกระทั่งตอนค่ำกินอาหารกัน สีหน้าท่านไม่ค่อยดี แถมยังพูดว่า คนที่ไม่รู้จักเคารพกันก็เป็นแบบนี้ พูดอย่างนี้หลายครั้ง ตั้งใจจะให้ภรรยาได้ยิน ภรรยาก็เอะใจ จึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
พอรู้สาเหตุภรรยาก็บอก โอ้ย เจ้าไม่พอใจล่ะสิ เจ้าตกนรกแล้ว ทำกฐินน่ะไม่ได้บุญหรอกเจ้า เป็นคำที่แรงเลยอุตส่าห์ทำบุญ อุตส่าห์ทอดกฐินมา บอกตกนรกแล้ว
หลายคนถ้าเจอคำพูดแบบนี้หรือคำตอบแบบนี้ก็ต้องไม่พอใจแน่ คงนึกขึ้นมาในใจว่า พูดกับกูแบบนี้ได้ยังไง มึงเป็นใคร มึงเป็นเมียทำไมพูดกับกูแบบนี้ แต่หลวงพ่อเทียนซึ่งตอนนั้นเป็นโยมชื่อพันไม่ได้คิดแบบนั้น กลับมองว่า เออ ที่เขาพูด จริงไหม ที่เขาพูดมาถูกต้องไหม ทำให้ท่านได้สติเลย
เพราะที่ภรรยาพูดมามันจริง ความโกรธที่สุมทรวงนั้น ก็หมายความว่าตกนรกแล้ว ท่านก็เอะใจว่า เราทำบุญมาตั้งนาน ทำบุญมาตั้งเยอะ ทำไมยังมีความโกรธอยู่ โกรธจนเหมือนกับตกนรก และท่านก็พบว่าทำบุญเท่านั้นไม่พอ ต้องไปทำความเพียรฝึกฝนจิตใจด้วย
ท่านก็เลยตั้งสัจจะหรือคำอธิษฐาน ว่าท่านจะหันเข้าสู่การฝึกจิต และตราบใดที่ยังไม่ค้นพบคำตอบก็จะไม่กลับมาใช้ชีวิตพ่อค้า
หลังจากนั้นท่านก็เลยสะสางอาชีพพ่อค้า ตั้งใจว่าจะเลิก ปฏิบัติธรรมอย่างเดียว ฝึกฝนจิตใจอย่างเดียว ที่เคยหาเงินมาทำบุญ ทำกุศล ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ไม่ใช่คำตอบแล้ว
สุดท้ายท่านจึงสะสางงานการ ใช้เวลา 2-3 ปี พอเสร็จแล้วท่านก็ทิ้งชีวิตเลย ชีวิตพ่อค้า ชีวิตครองเรือน เข้าสู่การปฎิบัติธรรมอย่างเข้มข้น แต่ยังเป็นโยม นุ่งกางเกงขาสั้นทำความเพียร จนกระทั่งท่านได้เข้าใจธรรมะ แล้วสอนผู้คน
แต่ตอนหลังพบว่าจะสอนได้ดีต้องเป็นพระด้วย เพราะโยมไปสอนพระก็คงไม่ถูก ท่านก็เลยบวชแล้วก็สอนพระ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิต 31 พรรษา
เรื่องราวของท่านน่าสนใจ ครูบาอาจารย์ของเราหรือปาจาริยะของเรา ชีวิตท่านเปลี่ยนเพราะโดนต่อว่าด่าทอ และไม่ใช่ใคร ก็คือภรรยา คนจำนวนมากพอเจอแบบนี้เข้ากลับตกนรกหนักกว่าเดิม ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ มึงเป็นใครมาพูดกับกูแบบนี้ แต่ท่านกลับได้สติ ฉุกคิดขึ้นมาว่าจริง และทำให้ท่านหันเหชีวิตเข้าสู่ทางธรรมอย่างเต็มที่ในที่สุด กลายเป็นครูบาอาจารย์ของพวกเรา และเป็นครูบาอาจารย์ของหลายคน
คำต่อว่าด่าทอนั้นก็มีประโยชน์ ไม่ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างเดียว แต่จะมีประโยชน์ได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักมอง เช่น พอเจอคำตอบว่าด่าทอแล้วถ้าไปเกิดปฏิกิริยาว่า ทำไมมาด่ากู พูดกับกูอย่างนี้ได้ยังไง มึงเป็นใคร แบบนี้ก็จะยิ่งจมดิ่งอยู่ในความทุกข์มากขึ้น
แต่ท่านรู้จักพิจารณา แทนที่จะถามแบบนั้น ก็ถามว่าที่เขาพูดมาแบบนั้นถูกไหม จริงไหม และท่านบอกว่าจริงทีเดียว ที่ภรรยาพูดมาจริงหมด เจ้าตกนรกแล้ว ตกนรกตั้งแต่ยังไม่ทันตาย เพราะอะไร เพราะโกรธ โกรธทั้งวันเลย
และที่พูดจริงอีกอย่างก็คือว่า ทำบุญกฐิน เป็นเจ้าภาพกฐินไม่ได้บุญหรอกเจ้า
เรื่องนี้ก็เป็นแง่คิดว่า แม้เราจะทำบุญอย่างไร โดยเฉพาะการบริจาคทาน การให้ทาน ถ้าเราไม่ฝึกจิตด้วย กองบุญที่ทำกลับกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดจิตอกุศล เป็นเจ้าภาพกฐินแต่ใจหม่นหมอง รุ่มร้อนเพราะวางใจไม่เป็น เพราะไม่มีสติ เป็นกันมาก ทอดกฐินทอดผ้าป่าแต่ใจตกนรกไปแล้ว เพราะอะไร
เพราะไม่มีความรู้สึกตัวไม่มีสติ ซึ่งกรณีของหลวงพ่อเทียนนั้นท่านก็ชี้ให้เห็นเลยว่าทำบุญอย่างเดียวไม่พอ ต้องมาฝึกจิตด้วย สุดท้ายท่านก็พบคำตอบว่า ใช่เลยเพราะพอมาฝึกจิต แล้วทำให้ออกจากทุกข์ได้
แต่ว่าก่อนที่เราจะเกิดความตั้งใจที่จะเห็นธรรมอย่างท่าน อย่างน้อยๆก็ได้ฝึกขั้นต้นก่อน เจอคำต่อว่า ด่าทอ ไม่โกรธ หลายคนตั้งใจจะปฏิบัติให้พ้นทุกข์ให้บรรลุธรรมอย่างหลวงพ่อเทียน แต่พอเจอคำต่อว่าด่าทอก็เสียศูนย์ไปเลย เรียกว่าสอบตกตั้งแต่ขั้นแรก แต่หลวงพ่อเทียนท่านสอบผ่าน ขนาดเมียด่าว่าท่านว่าตกนรก เหมือนกับแช่งแต่ไม่ใช่แช่ง มันคือความจริง และท่านก็อาศัยตรงนี้เป็นตัวกระตุ้นให้หันเหชีวิต หันเหการปฎิบัติจากการขยันทำบุญมาเป็นฝึกจิตเพื่อให้ลดกิเลส ให้เห็นสัจธรรมความจริง
เรื่องนี้ถือเป็นการบ้านที่หลวงพ่อเทียนได้มอบให้กับเรา ก่อนที่เราจะขยันยกมือสร้างจังหวะ ให้รู้จักรับมือกับคำต่อว่าด่าทอแบบนี้ให้ได้ และไม่ใช่แค่รับมือจนใจไม่ทุกข์ แต่ใช้ประโยชน์จนสามารถจะเปลี่ยนชีวิตของเราได้ ให้เข้าสู่วิถีธรรมอย่างแท้จริง.