พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 29 ตุลาคม 2568
เมื่อ 17 ปีที่แล้ว ที่ประเทศจีนเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่หนักมากที่เสฉวน คนตายเกือบ 9 หมื่นคน และที่บาดเจ็บอีกเกือบ 4 แสนคน ในจำนวนนี้รวมไปถึงผู้หญิงคนหนึ่งชื่อเหลียงจือ อายุแค่ 23
วันที่เกิดเหตุ เธอกำลังอุ้มลูกอยู่บนห้องพักชั้น 10 แต่พอเกิดแผ่นดินไหว อาคารยุบเลย เหมือนกับที่เราเห็นที่จตุจักรเมื่อ 6-7 เดือนก่อน แต่ว่าตึก สตง.ที่ยุบตัวมีคนน้อยมาก แต่ว่าที่ตึกที่เสฉวน ที่เหลียงจือพักอาศัยมีคนเยอะมาก
ตอนที่ตึกถล่ม เธอถูกฝังอยู่ในซากอิฐซากปูนและเหล็กเส้น ถูกฝังอยู่นานถึง 30 ชั่วโมง นึกภาพถ้าหากคนเราติดอยู่ในกองอิฐกองปูน 30 ชั่วโมงจะรู้สึกอย่างไร แต่สุดท้ายมีคนช่วยชีวิตเอาเธอออกมาได้ แต่ว่าเธอต้องสูญเสียลูก และต่อมาก็พบว่าต้องตัดขา เพราะขาถูกหินทับ
เธอเป็นนักเต้นรำ ชอบเต้นรำมาก และคนที่จะเต้นรำได้ดีต้องมีขาที่ดี แต่ว่าเธอ
ยอมให้ตัดขา เพราะเป็นหนทางเดียวที่เธอจะมีชีวิตรอด
หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป 6 เดือน เธอกลายเป็นคนพิการไปแล้ว ขณะอยู่ที่โรงพยาบาล สามีส่งทนายมาขอหย่าโดยไม่เคยมาเยี่ยมเธอเลยสักครั้ง เธอก็ยอม กลายเป็นว่าเธอเสียทั้งลูก เสียทั้งสามี และเสียทั้งขา 2 ขา
แต่แทนที่เธอจะจมอยู่ในความทุกข์ เธอบอกว่า ถึงแม้ว่าฉันจะพิการ แต่ฉันจะไม่ยอมอยู่ในความทุกข์ เธอเลือกที่จะมีความสุข เลือกที่จะไม่ทุกข์
เธอเป็นคนที่รักการเต้นรำมากเป็นชีวิตจิตใจของเธอ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยจรรโลงใจเธอให้มีความสุขก็คือการเต้นรำ ขาพิการทั้ง 2 ข้างแต่ว่ายังมีใจรักที่จะเต้นรำ และเธอก็พยายามจนเต้นรำได้
ตอนที่เธออยู่โรงพยาบาล แม้จะเสียขาไป เธอก็พยายามฝึกเต้นรำอยู่ตรงทางเดินโรงพยาบาลและทำด้วยความรู้สึกสดชื่นเบิกบาน ในขณะที่คนในโรงพยาบาลหลายคน หรือว่าส่วนใหญ่ทุกข์ทรมาน แต่เธอสร้างบรรยากาศแห่งความเบิกบาน และการที่เธอยังเต้นรำอย่างมีความสุขในโรงพยาบาลก็เป็นกำลังใจให้กับคนป่วยหลายคน
พอออกจากโรงพยาบาลมา เธอยังไม่ทิ้งการเต้นรำ ซึ่งไม่ง่ายสำหรับคนพิการ แต่ว่าแม้เธอจะเสียขา เธอก็ไม่เสียกำลังใจ ใจไม่เสีย ทำได้ และเนื่องจากการเต้นรำเป็นชีวิตจิตใจของเธอ เธอเลยพยายามหาความสุขจากการที่ได้เต้นรำ
ตอนหลังไปออกรายการโทรทัศน์แค่เวลาผ่านไป 1 ปีหลังจากที่เสียขาไป เต้นรำอยู่บนกลอง คนชื่นชมมากว่า ขนาดเธอพิการ แต่ไม่เสียกำลังใจเลย ตอนหลังได้ขาเทียม สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้
ประมาณปี 56 เกิดแผ่นดินไหวอีกครั้งหนึ่งที่เมืองจีน เธอไปเป็นจิตอาสาช่วยคนที่ประสบเหตุจากแผ่นดินไหว มีเด็กชายคนหนึ่งอายุ 11 ขวบ ต้องตัดขา 1 ข้าง เสียขาไป 1 ข้าง รู้สึกท้อแท้มาก เหลียงจือไปให้กำลังใจเด็กคนนี้ว่า “เธอเสียขาแค่ข้างเดียว ฉันเสีย 2 ข้าง แต่ฉันยังมีชีวิตต่อไปได้ เธอก็จะทำได้เช่นเดียวกัน” เด็กมีกำลังใจมาก
และก็พบว่าเธอสามารถเป็นกำลังใจให้กับคนที่พิการเสียขาได้ โดยอาศัยการเต้นรำ ตอนหลังเธอไปเจอวิศวกรคนหนึ่งที่ผลิตขายเทียมอย่างดี เป็นชาวอเมริกัน แต่คงจะเชื้อสายจีนเพราะหน้าตาเหมือนจีน ปรากฏว่าได้พบรักกัน เลยแต่งงานกัน และได้ช่วยกันทำสิ่งที่มีประโยชน์
ทำอะไร คือสร้างบ้านสำหรับคนที่พิการ เรียกว่าบ้านดาวรุ่ง (Morning Star House) เป็นบ้านสำหรับคนพิการ คนพิการที่เสียขาซึ่งมีเยอะมากในจีน มีตั้ง 20 ล้านคน ถ้าจะรับคนพิการที่มาทำขาเทียมก็ไม่ได้หมด แต่ว่าที่สำคัญคือมาเติมกำลังใจ เพราะว่าเสียขาแต่ว่าถ้าใจไม่เสีย ก็อยู่ได้อย่างมีความสุข
เมื่อปีที่แล้ว บ้านพักของเธอสามารถที่จะจัดขาเทียมให้กับคนพิการได้ตั้ง 140 คน น่าทึ่งมากเพราะว่าคนพิการอย่างเธอน่าจะจมอยู่ในความท้อแท้ อยู่ในความทุกข์ คนที่เคยฝันว่าจะเป็นนักเต้นรำที่มีชื่อ ต้องมาเสียขา 2 ข้าง บั่นทอนกำลังใจมาก แต่เธอไม่ท้อ
นอกจากเธอยืนหยัดได้ด้วยความสุข ไม่ทุกข์ ด้วยใจที่มีกำลังใจแล้ว ยังช่วยให้คนอื่นพ้นจากความทุกข์ได้ด้วย พ้นจากความทุกข์คือ มีขาเทียมที่จะมาช่วยให้ใช้ชีวิตตามปกติได้ และเติมกำลังใจเข้าไป
เธอเป็นตัวอย่างที่ดีว่า คนเราแม้จะเสียอะไรก็ตาม ถ้าใจไม่เสียก็ยังสามารถอยู่ต่อไปได้ การมีความหวังกับชีวิต ตัวอย่างของเหลียงจือ ชี้ให้เห็นว่าสุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจเรา เสียขา 2 ข้าง แต่ถ้าเลือกที่จะมีความสุข เลือกที่จะไม่จมอยู่ในความทุกข์ก็ทำได้
หลายคนมีความทุกข์เพราะว่าไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน ไม่รวย หรือแฟนทิ้ง แต่ว่าจริง ๆ แล้ว แม้เราจะสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป แต่ถ้าเราวางใจได้ถูก วางใจเป็น เราสามารถจะมีความสุขได้
เหลียงจือมีทัศนคติที่ดี แม้รู้ว่าตัวเองต้องเสียขา แต่เธอบอกว่า ฉันโชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่ บางคนพอรู้ว่าต้องเสียขาบอกว่า ตายดีกว่า ทำไมต้องเป็นกับฉัน หรือ ทำไมฉันต้องเจอแบบนี้ ทำไมต้องเป็นฉัน แต่เธอกลับมองว่า ฉันโชคดีที่ยังมีชีวิตรอด
ที่จริงการที่เธอเสียลูก และเสียคนรัก ทำให้เธอทุกข์มาก แต่ว่าเธอไม่ท้อ สู้ต่อไป เรียกว่าจิตใจเข้มแข็งมาก เลยเป็นกำลังใจให้กับคนที่พิการเสียขา เสียแขน และเสียหลาย ๆ อย่าง เพราะถึงที่สุดแล้ว สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ.