พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568
เด็กฝรั่งคนหนึ่งวัยประมาณ 9 ขวบ ทุกเช้าจะขี่จักรยานไปโรงเรียน เมืองนอกหรือเมืองฝรั่งนี้เวลาลูกไปโรงเรียน ถ้าไม่นั่งรถโรงเรียนก็ไปเอง ประเภทว่าพ่อแม่ขับรถไปส่ง หายากมาก เพราะว่าพ่อแม่ต้องการให้ลูกพึ่งตนเอง
เด็กคนนี้ขี่จักรยานไปโรงเรียน เพราะว่าพ่อแม่ไว้วางใจ ไม่ต้องขึ้นรถโรงเรียนไปก็ได้ ขี่จักรยานไปเพราะโรงเรียนอยู่ไม่ไกล เป็นอย่างนี้ทุกวัน จนกระทั่งวันนี้เด็กก็ขี่จักรยานไปโรงเรียนเช่นเคย แต่สองชั่วโมงผ่านไปพ่อได้รับโทรศัพท์จากโรงเรียนว่า ลูกคุณไม่ได้มาโรงเรียน
พ่อก็ประหลาดใจ เริ่มเป็นห่วง ตอนเช้าก็เห็นลูกขี่จักรยานไปโรงเรียน แต่ทำไมยังไม่ถึง หรือเถลไถลไปที่ไหน หรือว่าไปเจออันตรายอะไรไหม
พ่อพาแม่แล้วขับรถไปตามลูก ขณะที่กำลังออกจากบ้านก็ได้รับโทรศัพท์อีกสายหนึ่ง เป็นคลีนิกรักษาสัตว์ บอกว่าตอนนี้ลูกชายคุณอยู่ที่นี่พร้อมกับแมวตัวหนึ่ง พ่อก็ขับรถไปเจอลูก
ในที่สุดก็พบความจริง ลูกเล่าให้ฟังว่า เมื่อเช้านี้ขี่จักรยาน พอใกล้จะถึงโรงเรียนปรากฏว่า ไปเจอเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง รุ่นพอๆกันพวกเขากำลังรังแกแมว เป็นแมวจรจัด เด็กกลุ่มนี้เห็นแมวไม่มีเจ้าของ ก็แกล้ง ทำร้ายด้วย
ลูกขี่จักรยานผ่านมาทนไม่ได้ก็เลยลงไปห้าม บอกว่าอย่าทำร้ายแมวเลย วัยรุ่นกลุ่มนั้นไม่ยอม บอกว่าเรื่องของฉัน ฉันเจอแมวตัวนี้ก่อนแกอย่ามายุ่ง เด็กชายก็ขอร้อง แต่พูดเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล ก็เลยบอกว่า เอาจักรยานไปเลย แลกเอาแมวตัวนี้มาให้ผม แล้วก็อย่ายุ่งกับแมวตัวนี้ได้ไหม
กลุ่มนั้นยอมได้จักรยานไป จักรยานใหม่ด้วย แล้วก็ทิ้งแมวให้เด็กชายคนนี้ เขาก็อุ้มแมวเดินไปที่คลีนิกรักษาสัตว์ซึ่งก็อยู่ไม่ไกล แล้วเลยนั่งแช่อยู่ตรงนั้น รอให้รักษาแมวให้เสร็จก่อน คือไม่ยอมวางมือ ไม่ยอมปล่อยก็เลยไม่ได้ไปโรงเรียน
พ่อพอรู้ความจริงก็อดภูมิใจในลูกไม่ได้ แต่ก็ตำหนิลูกนิดหน่อยว่าลูกไม่น่าโดดเรียนเลย แต่ในใจพ่อนี้ภูมิใจนะที่ลูกนี้มีเมตตากับสัตว์ ยอมที่จะสละจักรยานนี้เพื่อช่วยเหลือแมวตัวนี้
สุดท้ายพอแมวตัวนี้รักษาหาย เด็กก็เอาแมวไปเลี้ยงที่บ้านนะ กลายเป็นสมาชิกของครอบครัวนี้ไป
อันนี้ก็เป็นข่าวเหมือนกันนะเป็นข่าวท้องถิ่น หนังสือพิมพ์ไปถามผู้เป็นพ่อว่าคิดอย่างไรที่ลูกเขาทำอย่างนี้ แกบอกว่าก็ภูมิใจนะ แล้วก็บอกว่าหน้าที่ของพ่อแม่ก็คือสอนลูกให้มีเมตตา ให้มีน้ำใจ อันนี้ก็เป็นคำพูดของพ่อที่ภูมิใจในตัวลูกนะ
แต่ที่จริงเด็กคนนี้จะว่าไปแล้ว พ่อแม่ไม่ต้องสอนนะ ผู้ใหญ่ไม่ต้องสอนก็ได้นะ เพราะว่าเขาก็มีเมตตาอยู่แล้ว ขอเพียงแต่ว่าพ่อแม่หรือผู้ใหญ่อย่าไปขัดขวางหรือบั่นทอน เพราะเด็กนี้ถึงพ่อแม่ไม่สอนนี้ เด็กก็มีความเมตตาอยู่แล้ว
อย่างที่เมืองไทยมีเด็กชายคนหนึ่งชื่อแม็คอายุ 7 ขวบ ป. 1 ป. 2 นี่แหละ วันหนึ่งแม่ก็มารับแม็คกลับบ้าน แม็คพอเจอแม่ก็ขอเงินแม่เลย 20 บาท แม่ก็ถามว่า อ้าว! เมื่อเช้านี้แม่เพิ่งให้ไปแล้วทำไมจะเอาอีก แม็คก็ยืนกรานขอเงินจากแม่ให้ได้ วันนี้ให้ไม่ได้เพราะให้ไปแล้ว ถ้าจะให้ก็ให้พรุ่งนี้เป็นค่าขนม พอยืนกรานแบบนี้แม็คก็เลยบอกว่า งั้นแม่ให้ผมวันนี้ก็แล้วกันแล้วพรุ่งนี้แม่ไม่ต้องให้
แม่ก็เอะใจถามว่า จะเอาเงินไปทำอะไร ทีแรกสงสัยแม็คจะเอาไปซื้อขนมหรือไปเล่นเกมหรือเปล่า แม็คก็บอกความจริงว่าจะเอาไปให้ปูน
ปูนเป็นเพื่อนอยู่ชั้นเดียวกัน ปูนเป็นลูกของภารโรงในโรงเรียน ถ้างั้นเอาให้ปูนเขาทำไมล่ะ ปูนเขาทำเงินหายครับ และพ่อเขาดุมาก ถ้าพ่อรู้ว่าปูนทำเงินหายนี้ก็จะต้องลงโทษอาจจะถึงกับตี พ่อคงจะให้ปูนไปซื้ออะไรสักอย่างนะเงิน 20 บาทสำหรับครอบครัวนี้ก็ถือว่าเยอะ ถ้าหายนี่ก็จะเป็นเรื่องใหญ่นะ พ่อเขาจะต้องไม่พอใจปูนแน่นอน
อันนี้ก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้แม็คอยากจะช่วยปูน แม่ก็บอกว่าปูนเขาทำเงินหายเขาก็ต้องรับผิดชอบเองสิ จะให้หนูไปรับผิดชอบเงินที่เขาทำหายได้อย่างไร แต่แม็คก็ยืนกรานนะบอกว่าอยากจะช่วยปูนนะ เพราะมิฉะนั้น ปูนจะถูกพ่อตีแน่นอนเลย
สุดท้ายนี้แม่ก็ยอมนะ เพราะแม่ซาบซึ้งน้ำใจของแม็ค แม็คยอมที่จะอดค่าขนมวันรุ่งขึ้นเพื่อจะช่วยเพื่อน สุดท้ายนี้แม่ก็ให้เงินแม็คไปเพื่อไปช่วยปูน
แล้ววันรุ่งขึ้นแม่ก็ให้ค่าขนมเหมือนเดิมเพราะรู้ว่าแม็คนี้เขามีเมตตามาก ความมีน้ำใจของแม็คนี้นะจะว่าไปแม่ก็ไม่ได้สอนด้วยซ้ำ หรือจะสอนก็สอนกรณีอื่น
กรณีนี้ทีแรกแม่ก็ไม่เห็นด้วย แต่แม็คก็ยืนกรานที่จะอดค่าขนมวันรุ่งขึ้นเพื่อช่วยปูน อันนี้มันแสดงว่าเด็กเขาก็มีน้ำใจ มีความเมตตานะ โดยที่ผู้ใหญ่อาจไม่ต้องสอนก็ได้
ข้อสำคัญคือพ่อแม่หรือผู้ใหญ่นี้อย่าไปขัดขวาง เช่น อย่าไปบอกลูกว่ามันเป็นเรื่องของเขามัน ไม่ใช่เรื่องของเรา เขาทำหายก็รับผิดชอบไป หรือถ้าพ่อไปบอกลูกที่เจอแมวจรจัดนี้ว่าจะไปยุ่งกับแมวทำไม มันเป็นกรรมของสัตว์นะ รถจักรยานของเรามันเป็นของสำคัญอยู่แล้ว จะไปแลกกับแมวตัวนี้ทำไม
ถ้าพ่อพูดแบบนี้หรือผู้ใหญ่พูดแบบนี้มันจะทำให้เด็กค่อย ๆ ซึมซับรับเอาความเห็นแก่ตัวคิดถึงแต่ตัวเอง และจะรู้สึกว่าการมีน้ำใจนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดี มีน้ำใจแล้วโดนพ่อตำหนิ โดนแม่ตำหนิเด็กก็ค่อย ๆ เปลี่ยนทัศนคติไปนึกถึงแต่ตัวเอง
บางทีลูกจะไปเอาขวดน้ำพลาสติกที่กินแล้วนี้ไปทิ้งในถังขยะนะ แม่บางคนนี่บอกว่า จะไปทิ้งถังขยะทำไม ทิ้งตรงนี้เลยเพราะว่ามีพนักงานทำความสะอาดอยู่แล้ว มันเป็นหน้าที่ของเขา เขามีเงินเดือนเราจ่ายค่าเล่าเรียนแล้ว เขาก็ต้องมาช่วยเก็บขยะแทนเรา
คิดแบบนี้หรือสอนลูกแบบนี้ ก็ทำให้ลูกไม่มีความสำนึกต่อส่วนรวม ถึงแม้ว่าพนักงานเก็บขยะเขาจะมีเงินเดือน มีรายได้จากภาษีหรือจากค่าเล่าเรียน แต่ว่าเราก็ต้องมีหน้าที่ต่อส่วนรวมด้วย ไม่ใช่ทำให้โรงเรียนหรือถนนนี้มันสกปรกเกลื่อนไปด้วยขยะ มีขยะก็ต้องทิ้งให้เป็นที่เป็นทาง
เด็กนี้เขามีความสำนึกมีความรับผิดชอบ หรืออย่างน้อยมีน้ำใจมีเมตตาอยู่แล้ว ข้อสำคัญคือพ่อแม่หรือผู้ใหญ่อย่าไปบั่นทอน หรือไปสร้างทัศนคติที่สวนทางคือความเห็นแก่ตัว นึกถึงแต่ตัวเองนะ ที่ควรทำก็อย่างที่พ่อของเด็กชายคนนั้นพูด ว่าก็สมควร
ฉะนั้น หน้าที่ของพ่อแม่คือสอนให้ลูกมีเมตตามีน้ำใจ อันนี้เป็นพื้นฐานเลยนะของความเป็นมนุษย์.