พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมเช้าวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 วัดป่าสุคะโต
มีแม่ค้าคนหนึ่งที่หาดใหญ่ เธอขายเสื้อผ้าที่ตลาดกิมหยง ตลาดกิมหยงเป็นตลาดใหญ่ในหาดใหญ่ แต่ก่อนนี้ใครไปเที่ยวหาดใหญ่ก็ต้องแวะซื้อของที่ตลาดกิมหยง เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ถึงแม้อาจจะน้อยลงบ้าง ตลาดกิมหยงขายทุกอย่าง เสื้อผ้า ขนม ผลไม้ เครื่องไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ต่างๆ ราคาส่วนใหญ่ก็ถูกกว่าที่กรุงเทพฯ
แม่ค้าคนนี้พอเกิดน้ำท่วมใหญ่ สินค้าต่างๆ ที่เธอวางไว้ที่ร้าน หรือว่าเก็บเอาไว้ที่ร้านเสียหายหมด ซึ่งก็เป็นเสื้อผ้าทั้งนั้นถูกโคลนฉาบแปดเปื้อนไปมาก แต่เธอก็พยายามที่จะเอาเสื้อผ้าเหล่านี้มาล้างน้ำเพื่อขาย เสื้อผ้าบางตัวห่อไว้ในถุงพลาสติกก็ทำความสะอาดไม่ยาก แต่ว่าเสื้อผ้ากางเกงจำนวนมากก็เปื้อนโคลน ไม่มีห่อพลาสติกคลุม ก็ต้องล้าง
แล้วเอาอะไรล้าง ก็ต้องเอาน้ำ แต่ว่าน้ำไม่ได้มาง่ายๆ น้ำประปาตอนนี้พึ่งพาไม่ได้ ต้องไปซื้อน้ำจากอำเภออื่นมา ซื้อน้ำมาใช้ล้างเสื้อผ้าที่เปื้อนโคลน เธอยอมที่จะขายในราคาถูก ๆ ขายแบบขาดทุนเลย แต่เธอบอกว่าจำเป็นเพราะต้องการเอาเงินไปต่อชีวิต
เอาเงินไปต่อชีวิตหมายความว่าเอาเงินไปซื้อสินค้าเพื่อเอามาวางขาย เธอบอกว่าเดือนหน้าจะขายดีมาก แต่ก่อนหรือที่แล้วๆ มา เพราะว่าคนมาเลย์จะมาเที่ยวเยอะ เป็นโอกาสดีที่จะขายของ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่ามีสินค้ามาวางขาย ก็มีโอกาสที่จะได้กำรี้กำไรบ้าง แต่ว่าเธอคงจะไม่มีทุนแล้วก็ต้องอาศัยทุนจากเสื้อผ้าสินค้าที่เปื้อนโคลนนี้เอามาล้าง
ที่เธอพูดบอกว่าน้ำต้องซื้อมา ก็คงจะราคาแพง เธอก็พูดถึงว่าแต่ก่อนเวลาที่ไหนมีน้ำท่วม เธอก็ส่งเงินไปช่วย แต่วันนี้แม้กระทั่งข้าว เธอยังไม่มีกินเลย ไม่ใช่ไม่มีเงิน มีเงินแต่ว่าหาซื้อข้าวได้ยาก เธอพูดไปก็ร้องไห้ไป อันนี้ฟังแล้วก็น่าเห็นใจมาก
ชี้ให้เห็นเลยว่า สำหรับพวกเราที่ยังมีข้าวกิน ก็ถือว่าโชคดีมาก เมื่อเทียบกับคนอย่างแม่ค้าคนนี้ซึ่งก็คงมีแบบนี้เป็นหมื่นๆ หรือเป็นแสน มีเงินแต่ไม่มีข้าวกิน เพราะหายาก
แม้แต่น้ำก็ต้องไปซื้อมา สำหรับพวกเราน้ำหาง่ายมาก เปิดก๊อกปุ๊บก็มีน้ำใช้ แล้วบางทีเราก็ใช้น้ำอย่างฟุ่มเฟือย อาบน้ำก็ไม่บันยะบันยัง ข้าวที่เรากิน เราก็ไม่ค่อยเห็นคุณค่าเท่าไหร่ กินทิ้งกินขว้างก็มี หารู้ไม่ว่าข้าวแต่ละเม็ด สำหรับคนหาดใหญ่เวลานี้มีค่ามาก
แค่ข้าวกล่องหนึ่งก็กินกันหลายคนแล้ว เพราะว่าหายาก ทุกวันนี้ที่เรามีข้าวกิน มีน้ำใช้ มีไฟฟ้าใช้ หรือแม้แต่มีสัญญาณโทรศัพท์ที่ใช้ได้สะดวกสบาย ก็ถือว่าโชคดี เมื่อรู้เช่นนี้แล้วก็ควรจะใช้อย่างใส่ใจ อย่ากินทิ้งกินขว้าง นึกถึงคนที่เขาไม่มีอะไรจะกิน ซึ่งไม่ใช่มีแต่คนที่หาดใหญ่ มีอีกเยอะทั้งที่เจอน้ำท่วม ทั้งที่ประสบภัยธรรมชาติ หรือทั้งที่เกิดภัยสงคราม
แล้วเวลากินอาหาร หรือเวลาใช้ข้าวของ ก็ให้ระลึกถึงคนที่เขาเดือดร้อน แล้วก็ตระหนักว่าสิ่งที่เรามีตอนนี้มีค่ามาก มีความหมายต่อชีวิต แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ หรือเจอเข้ากับตัวเองบ้าง คนที่หาดใหญ่ก็คงไม่คิดว่า การที่ไม่มีข้าวกิน หรือแม้กระทั่งไม่มีน้ำใช้ สักวันหนึ่งจะเกิดขึ้นกับตัวเอง เราเองก็เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นก็ให้เห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี แม้กระทั่งอาหาร น้ำใช้ ไฟฟ้า ขณะเดียวกันเมื่อเรารับรู้ถึงความทุกข์ยากของคนเหล่านี้แล้ว ก็ควรที่จะหาทางช่วยเหลือ อย่านิ่งดูดาย รับรู้เรื่องราวเขาแล้วก็อย่าเอามาเป็นเรื่องที่เขาเรียกว่าดราม่า แต่ว่ารับรู้ รับฟัง ได้ยินแล้วก็เกิดความเห็นอกเห็นใจอยากจะช่วยเหลือ ตามกำลังของเรา
อย่างน้อยเราก็ไม่รู้ว่า สักวันหนึ่งอาจจะถึงคราวของเราก็ได้ ฉะนั้นถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ถึงตอนที่เราเดือดร้อน เราก็คงจะหวังความช่วยเหลือจากคนอื่นได้ยาก แต่ว่าก็อย่าช่วยคนเพียงเพราะว่าตัวเองจะได้ประโยชน์ในภายภาคหน้า เพราะแม้เราจะช่วยใคร บางทีคนที่เราช่วย หรือสิ่งที่เราทำ ก็อาจจะไม่ได้หมายความว่าเราจะได้รับการช่วยเหลืออย่างเดียวกันเสมอไป ทำความดีก็ทำเพราะเห็นแก่ผู้อื่น ไม่ได้หวังผลตอบแทนเข้าตัว
ใครเขาจะเห็นใจ หรือใครเขาจะรับรู้หรือไม่ เป็นเรื่องของเขา แต่เมื่อเรารู้ว่าคนเขาทุกข์ยากแล้ว เราก็พยายามช่วยเหลือ แล้วขณะเดียวกันก็ลองถามใจตัวเราเองด้วยว่า ถ้าเกิดว่าเราต้องอยู่ในเหตุการณ์แบบนั้น เราจะทำอย่างไร ภาวะที่ไม่ใช่แค่ทรัพย์สมบัติเสียหาย สูญหาย แต่แม้กระทั่งปัจจัย 4 ที่จำเป็นต่อชีวิต เช่น อาหาร น้ำ เครื่องนุ่มห่ม ยารักษาโรค หรือบ้านที่อยู่อาศัย ก็ไม่สามารถจะพึ่งพาอาศัยได้
หลายคนมีบ้านที่เรียกว่าระดับคฤหาสน์ แต่สุดท้ายก็อาศัยแค่หลังคาเพื่อเป็นที่หลับนอนเท่านั้น หรือบางทีก็ลอยคออยู่ในบ้าน เพราะว่าบ้านมีแค่ 2 ชั้น อยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น บางครั้งก็อาจจะพึ่งพาใครไม่ได้เลย เพราะว่าเหตุปัจจัยต่างๆ มากมาย คนที่จะมาช่วยเหลือเกื้อกูล เขาก็สาละวนกับการช่วยใครต่อใครมากมาย
ในยามนั้นเราต้องพึ่งตัวเอง ที่โบราณว่า หรือที่มีพุทธภาษิตว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ในยามนั้นเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนจริงๆ
แล้วที่พึ่งแห่งตน ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่รวมถึงจิตใจด้วย ในแง่หนึ่งร่างกายถ้ามีความแข็งแรง ก็ทนได้นาน มีความอึดสูง แต่ว่าจิตใจก็สำคัญ ถ้าจิตใจมีความตื่นตระหนก ก็เท่ากับบั่นทอนกำลังของกาย ทำให้แย่ลง เราไม่รู้เลยว่าต่อไปเราจะเจอเหตุการณ์อะไรบ้าง อาจจะไม่ใช่น้ำท่วม แต่อาจจะเป็นตึกถล่ม หรือแม้กระทั่งความเจ็บป่วยด้วยโรคร้าย
เวลาไปเยี่ยมคนป่วย ก็ลองนึกเสียบ้างว่า ถ้าเราเป็นอย่างเขา เราจะทำใจอย่างไร แม้เราจะไม่เจอภัยธรรมชาติ แต่ถ้านึกถึงบ้างก็ดี เพราะเดี๋ยวนี้ภัยธรรมชาติ ดินน้ำลมไฟแปรปรวน ดินถล่ม น้ำท่วม ไฟไหม้ หรือเกิดความแห้งแล้ง รวมทั้งพายุ ยังไม่นับความเจ็บความป่วย
ถ้าเราไม่คิดถึงสิ่งเหล่านี้เลย ถือว่าประมาท แต่ถ้าเราคิดเอาไว้ ก็ช่วยเตือนใจว่า เราต้องฝึกใจให้ดี อย่างน้อยคุมสติให้อยู่ ไม่ตื่นตระหนกตกใจ เพราะนั่นจะเป็นการซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง
ฉะนั้นถ้าเราเตรียมใจเอาไว้ ไม่ว่ายามเกิดภัยธรรมชาติ หรือยามเจ็บป่วย ก็ช่วยบรรเทาความทุกข์ได้ หรืออาจจะเปลี่ยนร้ายกลายเป็นดีได้ เหมือนกับที่บางคนเป็นมะเร็ง ผ่านไป 2 ปี เขาบอกว่าแม้จะย้อนเวลากลับไปได้ ก็ยังอยากเป็นมะเร็งเหมือนเดิม เพราะว่ามะเร็งได้ให้อะไรต่ออะไรหลายอย่าง จะเห็นประโยชน์ของมะเร็งได้ ก็ต้องฝึกใจ ถ้าไม่ฝึกใจก็มีแต่ตีอกชกหัว แล้วก็ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง
ฉะนั้นเวลาเรารับฟังข่าวคราว นอกจากเกิดความเมตตาอยากจะช่วยเหลือแล้ว ก็ลองย้อนกลับมาถามตัวเราว่า เราจะทำใจอย่างไร เมื่อเจอเหตุการณ์เหล่านี้ เพราะตอนนั้นแม้แต่จะพึ่งรัฐบาล ก็อาจจะพึ่งไม่ได้ พึ่งคนใกล้ตัวก็อาจจะพึ่งไม่ได้ เพราะเขาก็เดือดร้อนเหมือนกัน.