พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 20 ตุลาคม 2568
เด็กชายคนหนึ่งวัย 5 ขวบ ชื่อปูน ปูนอยู่กับแม่และผู้ใหญ่อีก 2 คน คนหนึ่งปูนเรียกว่าป้าอิฐ อีกคนหนึ่งเรียกว่าน้าทัด ทั้ง 2 คนนี้มาช่วยทำงานบ้าน ทำสวน แล้วก็ช่วยทำอะไรอีกหลายอย่าง เรียกว่าคุ้นเคยสนิทสนมกับปูน แล้วก็แม่
ค่ำวันหนึ่งหลังจากกินอาหารเสร็จ ป้าอิฐกับน้าทัดก็ช่วยกันล้างจาน ที่ล้างจานมี 4 กะละมัง น้าทัดรับผิดชอบกะละมังที่ 1 และ 2 ส่วนป้าอิฐรับผิดชอบกะละมังที่ 3 ที่ 4
กะละมังที่ 1 เป็นกะละมังสำหรับขจัดเศษอาหารในจาน กะละมัง 2 ไว้ล้างสบู่ ออก กะละมังที่ 3 - 4 เป็นน้ำสะอาด ระหว่างที่ป้าอิฐกับน้าทัดล้างจานอยู่ ก็ร้องเพลงกันไปด้วย แล้วเพลงที่ร้องก็เป็นเพลงคู่ เป็นเพลงโต้กันระหว่างหญิงกับชาย เป็นเพลงสนุก
มีช่วงหนึ่งด้วยความเพลินหรืออินกับเพลง น้าทัดแกก็ทำเสียงกระชากกระชั้นตามเนื้อเพลง แล้วคงเพราะอินมากก็เลยหย่อนจานไปล้างน้ำสบู่ลงในกะละมังที่ 3 ทำแรงหน่อย น้ำก็กระเด็นมาถูกป้าอิฐ
ป้าอิฐก็ร้องขึ้นมาเลยว่า “ทัด เธอทำฉันเปียกแล้ว” เท่านั้นไม่พอก็มีการวักน้ำจากกะละมังที่ 4 ใส่ทัด ทัดก็ร้องขึ้นมาว่า “พี่อิฐ ทำหนูเปียกแล้ว สาดหนูทำไม” ป้าอิฐก็บอกว่า “ก็เธอทำฉันเปียก”
แล้วสองคนก็เลิก ชะงัก หยุดล้างจาน แล้วก็มาเถียงกันทีเล่นทีจริงว่าใครผิด ต่างโทษกันไปโทษกันมา ก็ไม่ได้เถียงกันจริงจังแต่ว่าส่งเสียงดัง ได้ยินไปถึงปูน แม่ซึ่งกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ จู่ ๆ ปูนก็พูดขึ้นมาว่า “ป้าอิฐนั่นแหละผิด” ถ้าเป็นเรา ใครกันแน่ที่ผิด เห็นด้วยกับปูนหรือเปล่า
ป้าอิฐก็ทำท่าน้อยใจ คล้ายว่าทำไมปูนมากล่าวหาป้า ปูนก็เลยบอกว่า “ของน้าทัดอุบัติเหตุ แต่ป้าอิฐนี่เจตนา” เงียบเลย สักพักป้าอิฐก็หัวเราะ ยอมรับว่า เออใช่ ฉันผิด เด็กอายุ 5 ขวบเท่านั้น แต่ว่าตัดสินคดีได้น่าสนใจมาก
ดูเผิน ๆ เหมือนกับผิดทั้งคู่เพราะว่าต่างสาดน้ำเข้าหากัน แต่ทำไมปูนจึงบอกว่าป้าอิฐผิด ก็เพราะป้าอิฐเจตนา ส่วนน้าทัดไม่ได้เจตนา เป็นอุบัติเหตุ
เด็กเขามีหลักคิด เวลาเจอเหตุการณ์นี้เขามีหลักคิดว่า อะไรเป็นตัวบ่งชี้ว่าคนนี้ผิด คนนี้ถูก ใช้เจตนา คนที่เจตนานี่ผิด คนที่ไม่เจตนาไม่ผิด อันนี้เป็นหลักคิดที่น่าสนใจ แล้วเด็กเขาสามารถคิดได้ บางทีผู้ใหญ่คิดไม่ได้ ตัดสินไม่ได้
หรือถึงตัดสินก็ไม่ได้ใช้เหตุผลที่ว่า จะตัดสินใจว่าผิดหรือถูกก็ดูที่ว่าคุ้นเคยกันหรือเปล่า หรือพวกเดียวกันไหม เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ แม้กระทั่งผู้ใหญ่ ถ้าเป็นพวกเดียวกันก็ถูกตลอด ถ้าเป็นคนละพวกก็ผิดตลอด วิธีการตัดสินนี่ง่ายมากแต่ไม่ใช่หลักการ
เดี๋ยวนี้เราเห็นได้เยอะ ใน Facebook เวลาจะวิจารณ์กัน ตัดสินว่าผิดว่าถูก ไม่ได้ดูที่เนื้อหา ไม่ได้ดูที่เจตนา แต่ดูที่ว่าเป็นพวกใคร ถ้าเป็นพวกฉัน อาจจะเป็นคนที่มีความคิดตรงกัน สวมเสื้อสีเดียวกัน ศาสนาเดียวกัน เชื้อชาติเดียวกัน จบสถาบันการศึกษาเดียวกัน หรือเป็นญาติพี่น้องทำอะไรก็ถูกหมด แต่ถ้าเป็นคนละพวกนี่ผิดหมด อันนี้เรียกว่าไม่มีหลัก
แต่เด็กอย่างปูน 5 ขวบเท่านั้น แกมีหลักแล้ว หลักในการตัดสินว่าผิดหรือถูก แน่นอนเจตนากับการไม่เจตนามันก็เป็นข้อพิจารณาหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงมันก็อาจจะมีข้อพินิจอีกหลายอย่าง แต่อย่างน้อยปูนก็มีวิธีคิด มีหลักคิด
พวกเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องมีหลักคิด รวมทั้งทุกวันนี้เวลาเราเลือกที่จะตัดสินว่า อะไรสำคัญ อะไรไม่สำคัญ ต้องมีหลัก เดี๋ยวนี้แยกไม่ออก อะไรสำคัญ อะไรไม่สำคัญ ทุกอย่างสำคัญหมด โทรศัพท์มือถือก็สำคัญ ดูหนังฟังเพลงก็สำคัญ สำคัญทุกอย่าง วัยรุ่นหนุ่มสาวเวลานี้แม้กระทั่งผู้ใหญ่ด้วย
ที่จริงสำคัญหรือไม่สำคัญมันก็มีหลักว่า ถ้ามีประโยชน์จำเป็น อันนี้ก็สำคัญ เช่น ข้าว น้ำ อากาศ อย่างนี้น่ะจำเป็น แม้กระทั่งธรรมะนี่ก็สำคัญเพราะว่ามันจำเป็น ส่วนโทรศัพท์มือถือหรือว่าคลื่นสัญญาณโทรศัพท์นี่มันไม่จำเป็นหรอก ไม่มีก็อยู่ได้ แต่เดี๋ยวนี้เราแยกกันไม่ออก รวมทั้งอะไรที่ถูกใจก็จำเป็นหรือว่าสำคัญหมด
แม้กระทั่งความถูกใจกับความถูกต้องก็แยกกันไม่ออกแล้ว เดี๋ยวนี้อะไรที่ถูกใจก็เรียกว่าถูกต้องกันหมด ทั้งที่มันต่างกันเยอะ ถูกใจ อาหารหลายอย่างมันถูกใจเรา หวาน มัน เค็ม ถูกใจเรา เนื้อถูกใจเรา แล้วก็เลยคิดว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ หรือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทั้ง ๆ ที่กินมาก ๆ ก็ทำให้เจ็บป่วย
อย่างคนทุกวันนี้เป็นเพราะแยกไม่ออกระหว่างความถูกใจกับความถูกต้อง อะไรที่ถูกใจนี่จำเป็นหมด สำคัญหมด ทั้งที่ไม่มีมันก็ได้ แถมยังทำให้สุขภาพเราหรือชีวิตเราดีขึ้นด้วย
ฉะนั้นต้องมีหลัก ต้องมีหลักในการตัดสิน เพราะถ้าไม่มีหลักในการตัดสินว่า สำคัญหรือไม่สำคัญ ถูกใจหรือถูกต้อง ทุกอย่างที่ถูกใจสำคัญหมด ทุกอย่างที่ไม่ถูกใจไม่สำคัญ โทรศัพท์มือถือที่ถูกใจก็เลยสำคัญ ขาดไม่ได้ ต้องหามา
หรือว่าเสื้อผ้าราคาแพงที่ทำให้ดูเท่ ดูทันสมัยนี่ถือว่าจำเป็น แล้วก็สำคัญ ที่จริงมันก็ไม่สำคัญแต่ว่ามันถูกใจ แล้วบางทีก็ไม่ถูกต้องด้วย เพราะว่ามันสิ้นเปลือง แพงเกินกว่ารายได้ที่มี แต่ก็ไปหามา เพราะไปคิดว่ามันจำเป็น
คนเราต้องแยกแยะได้ ระหว่างผิดกับถูก จำเป็นหรือไม่จำเป็น สำคัญหรือไม่สำคัญ ถูกใจหรือถูกต้อง ถ้าแยกไม่ได้ชีวิตเราก็ตกเป็นเหยื่อของอะไรต่ออะไรมากมาย โดยเฉพาะพวกที่เขาต้องการหาประโยชน์จากเรา ต้องการให้เราควักเงินเพื่อซื้อนั่นซื้อนี้ เขาก็ทำให้เราเข้าใจว่าของของเขานี่มันจำเป็น สำคัญ ขาดไม่ได้ แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นแค่ส่วนเกินเท่านั้นแหละ ไม่จำเป็นเลย.