แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 9 กรกฎาคม 2568
เดี๋ยวนี้เป็นที่รู้กันไปทั่วแล้วว่า AI คืออะไร AI คือปัญญาประดิษฐ์ เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของเรามากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งกว่านั้นก็คือว่า เราสามารถจะใช้งานมันได้สะดวกขึ้น แค่โทรศัพท์มือถือ หรือว่า iPad แท็บเล็ต ก็ช่วยเราเข้าถึงบริการของ AI ได้ และยังพัฒนาขึ้นมามาก จนทำอะไรได้มากมายเหมือนมนุษย์ หรืออาจจะยิ่งกว่ามนุษย์ จะสั่งให้มันทำภาพ ภาพนิ่งก็ได้ ภาพเคลื่อนไหวหรือคลิปวีดีโอก็ได้ เหมือนจริง ถึงแม้ว่าจะยังจับพิรุธได้แต่ว่ามันก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ ขนาดภาพเคลื่อนไหวมันก็ยังทำได้เลย แค่สั่งด้วยภาษาของเราเอง นับประสาอะไรกับการเขียนบทความ เรียงความ การเขียนรายงาน การเขียนข่าว ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ใช้ถ้อยคำ หรือที่เขาเรียกว่า Text ล้วน ๆ คนก็ใช้ AI
แล้วตอนหลังก็พัฒนาไปจนกระทั่งใช้ AI เขียนวิทยานิพนธ์ให้ มันก็ทำได้ดี เหมือนคนเลย หรือว่าดีกว่าคนเสียอีก ที่จีน นักศึกษาใช้ AI กันเยอะมากในการเขียนวิทยานิพนธ์ ก่อนหน้านั้นก็ใช้แค่วิกิพีเดีย Google เอามาตัดปะ ตัดแปะ นักเรียน นักศึกษาก็ใช้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องทำอย่างนั้นแล้ว ตัดแปะนี่มันยุ่งยาก สั่งให้ปัญญาประดิษฐ์มันเขียนวิทยานิพนธ์ให้เลยทั้งหมดจนเป็นเล่ม ปรากฏว่าอาจารย์ก็ให้ผ่าน บางทีให้คะแนนดีด้วย เพราะฉะนั้นนักศึกษาในเมืองจีนก็เลยใช้กันใหญ่เลย ตอนหลังอาจารย์หรือมหาวิทยาลัยตื่นตัวพัฒนาโปรแกรมตรวจจับ AI ตรวจจับ AI หมายความว่าตรวจจับว่าผลงานของนักศึกษานั้น AI ทำขึ้นมาหรือเปล่า
เขาสามารถจะตรวจจับได้ พบว่าผลงานของนักศึกษาจำนวนมากใช้ AI ซึ่งนโยบายของอาจารย์ ของมหาวิทยาลัย ไม่ส่งเสริมการใช้ AI ในลักษณะนั้น เพราะว่ามันทำให้นักศึกษาถดถอยทางสติปัญญา ขณะที่วิทยานิพนธ์มีขึ้นเพื่อให้นักศึกษาได้พัฒนาสติปัญญา ค้นคว้าหาข้อมูล วิเคราะห์ สังเคราะห์ให้เกิดองค์ความรู้เพิ่มมากขึ้น แต่เดี๋ยวนี้นักศึกษาหรือนักเรียน สติปัญญาถดถอยมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าไม่คิดเองแล้ว ให้ปัญญาประดิษฐ์ทำงานแทน แต่วิธีที่จะตรวจสอบว่าผลงานนักศึกษาใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือไม่ ลำพังอาจารย์เองก็อาจจะดูไม่ทั่วถึงหรือไม่ฉลาดพอ ก็เลยมีปัญญาประดิษฐ์อีกประเภทหนึ่งทำหน้าที่ตรวจจับผลงานที่ปัญญาประดิษฐ์สร้างขึ้นมา เรียกว่าระบบตรวจจับ AI
ระบบนี้ก็ใช้ AI นั่นแหละ หนามยอกเอาหนามบ่ง ก็ช่วยอาจารย์ได้เยอะเลย แต่คราวนี้มันมีปัญหา เพราะว่านักศึกษาบางคนบอกว่าตัวเองไม่ได้ใช้ AI เท่าไหร่เลย แค่ใช้ Chatbot Gpt ปรับปรุงบางย่อหน้า แต่พอส่งงานไป อาจารย์ตีกลับมา บอกว่าใช้ AI ในการเขียนวิทยานิพนธ์เกินครึ่ง แต่นักศึกษาโวยเลยว่า มันไม่เป็นธรรม เพราะว่าถ้าใช้ AI เกินครึ่ง ถือว่าไม่ผ่าน มหาวิทยาลัยในจีนกำหนดให้มีเนื้อหาที่ AI ทำขึ้นมาได้ตั้งแต่ 10% - 40% แต่นักศึกษารายนี้โดนไป ถูกเด้งกลับ ตีกลับ เพราะว่า AI บอกว่า มีการใช้ AI ผลิตเนื้อหา 50% หรือเกินครึ่ง นักศึกษาก็เลยโวย แต่ก็อาจจะเป็นไปได้เพราะว่า AI มันก็ยังมีความบกพร่องอยู่ แม้กระทั่งระบบตรวจจับ AI ก็บกพร่อง หมายความว่าเป็นผลงานของมนุษย์แต่ไปสรุปว่าเป็นผลงานของ AI
ก็ธรรมดาเพราะเดี๋ยวนี้ AI หรือทุกระบบมันก็ยังบกพร่องอยู่ รูปถ่ายบางรูปหรือหลายรูปที่เราเห็น เราก็จับได้ว่าเป็นฝีมือ AI ไม่ใช่คนถ่าย ฉะนั้นระบบตรวจจับ AI นี่ก็บกพร่องเหมือนกัน เกิดความเสียหายกับนักศึกษา นักศึกษาอุตส่าห์ทำงานเต็มที่แต่ถูกตีกลับ เพราะอาจารย์บอกว่าใช้ AI ผลิตวิทยานิพนธ์ เพราะว่าผลงานดีมาก นักศึกษาทำอย่างไร นักศึกษาก็เลยพยายามลดคุณภาพของงาน เพราะถ้าทำให้คุณภาพงานออกมาดี อาจจะถูกตีกลับได้ กลายเป็นปรากฏการณ์ที่แปลก แทนที่นักศึกษาจะพยายามทำผลงานให้ดี กลับลดคุณภาพผลงานลง อาจจะไม่ถึงกับลดเนื้อหาแต่ว่าลดวิธีการนำเสนอ ไวยากรณ์ การใช้ถ้อยคำ การเรียบเรียง ทำให้มันแย่ลงหน่อย เพราะถ้ามันดีก็อาจจะถูกอาจารย์ตีกลับ ข้อหาว่าใช้ AI ทำ
ตอนนี้ก็เลยเกิดแนวโน้มใหม่ นักศึกษาที่ฉลาด ๆ เขาจะพยายามทำให้ผลงานของเขาคุณภาพมันด้อยลง คือแทนที่จะทำเต็มที่ ทำเต็มร้อย ก็ทำสัก 80-90% หรือทำเสร็จแล้วก็มาปรับเปลี่ยนให้มันด้อยลง ทำภาษาให้มันแย่ลงบ้าง หรือเนื้อหาก็ทำให้มันแย่ลง ตอนหลังก็เลยมีโปรแกรมบางโปรแกรมจากบริษัทธุรกิจบอกว่า ไม่ต้องให้มันแย่ลงหรอก เรามีโปรแกรมทำให้มันแย่ได้ เรียกว่า โปรแกรมลดเนื้อหา AI ก็ปรากฏว่าเป็นที่นิยม เพราะว่าการที่จะลดคุณภาพงานวิทยานิพนธ์เพื่อให้มหาวิทยาลัยผ่านมันเสียเวลา ก็มีโปรแกรมที่ทำให้ลดเนื้อหาของ AI หรืออาจจะไม่ใช่เนื้อหาที่ AI ผลิต เป็นเนื้อหาที่นักศึกษาทำแต่ว่าลดคุณภาพให้ด้อยลง ให้มีพิรุธมีข้อบกพร่อง เช่น ไวยากรณ์ หรือ ภาษา การนำเสนอ หรือบางทีอาจจะรวมถึงทำให้เนื้อหามันด้อยลงไปด้วย
มันก็มีแบบนี้เป็นโปรแกรมระบบหลอกการตรวจจับ AI มันก็มีการพัฒนาแบบนี้ เขาเรียกว่า เอาเถิดเจ้าล่อ จากเดิมที่มี AI เพื่อพัฒนาผลงานให้ดีขึ้น ตอนหลังก็มีระบบตรวจจับ AI แต่ว่าฝ่ายที่ใช้ AI ก็ไม่ยอมแพ้ ในเมื่อมีระบบตรวจจับ AI เราก็สร้างระบบหลอกระบบตรวจจับ AI ขึ้นมา เรียกว่าเหมือน ๆ กับตำรวจจับขโมย ตำรวจก็พัฒนาฝีมือในการจับขโมย มีเทคโนโลยีมากขึ้น โจรมันก็ไม่ยอมแพ้ มันก็พยายามที่จะพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อที่จะหลอกตำรวจ ตำรวจพอรู้เข้าก็หาวิธีการแก้เกม ตอนนี้มันก็เกิดกระบวนการแบบนี้แหละ เป็นไปไม่จบไม่สิ้น สรุปก็คือว่า ตอนนี้ระบบที่เราเรียกว่าปัญญาประดิษฐ์มันก็ยังไว้ใจไม่ได้ ยังมีความผิดพลาด และที่สำคัญก็คือว่า เราพึ่งพามันล้วน ๆ ไม่ได้ ให้มันช่วยคิดได้แต่ว่าให้มันมาคิดแทนเรา
อาจจะประหยัดเวลา อาจจะเหนื่อยน้อยลง แต่ไม่ได้ทำให้เรามีสติปัญญามากขึ้น
คนเราควรใช้ AI เพื่อจะพัฒนาสติปัญญา พัฒนาความสามารถ แต่ทุกวันนี้เราใช้เพื่อทำให้สติปัญญาถดถอย อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง แล้วเดี๋ยวนี้คนก็หลงเชื่อ AI เยอะเพราะว่าไม่ได้ใช้สติปัญญาเท่าไหร่ เชื่อง่าย อันนี้เป็นภาพสะท้อนของการที่สติปัญญาของคนเราถดถอย เพราะเราไม่ค่อยได้ใช้ความคิดแล้ว เราก็เลยเชื่อข้อมูลข่าวสาร เชื่อมิจฉาชีพ เชื่อพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ง่าย ฉะนั้นยิ่ง AI พัฒนามากขึ้น เรายิ่งจำเป็นต้องพัฒนาสติปัญญาของเราไม่ให้ถดถอย อาจจะไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิมแต่ก็อย่าให้มันต่ำกว่าเดิม เพราะไม่อย่างนั้นเราก็จะถูก AI หลอก หรือคนที่ใช้ AI มันหลอกเราได้ ก็อาจจะเรียกว่าเสียผู้เสียคนหรือเสียหาย ยิ่งยุคนี้มีเครื่องช่วยการคิดมากเท่าไหร่ เรายิ่งต้องพัฒนาสติปัญญาของเราให้มากขึ้นด้วย เพราะไม่อย่างนั้นเราก็จะเรียกว่า สติปัญญาเป็นง่อย แล้วก็ถูกหลอกได้ง่าย.