แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะความภาคเพียร ของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้า ในพระศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้ เห็นได้แล้วว่าเป็นธรรมเทศนาพิเศษ เนื่องในวันวิสาขบูชา เป็นอภิลักขิตสมัย เป็นวันที่กำหนดไว้ เป็นวันพิเศษสำหรับพุทธบริษัท ดังนั้นธรรมเทศนาในวันเช่นวันนี้ จึงเป็นธรรมเทศนาพิเศษ เมื่อเป็นธรรมเทศนาพิเศษในวันพิเศษเช่นนี้ ก็หวังว่าท่านทั้งหลาย จะได้กระทำในใจให้แยบคายเป็นพิเศษด้วย ให้สมกันกับที่ว่าวันนี้ เป็นวันวิสาขบูชา
คนส่วนมาก ยังไม่ได้เห็นความสำคัญของวันเช่นวันนี้ ไม่ได้เอาใจใส่ ในวันเช่นวันนี้ให้สมควร แก่กัน จึงได้รับประโยชน์จากวันเช่นวันนี้น้อยไป ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับประโยชน์ จากพระศาสนาน้อยไป คนบางคน อาจจะเถียงว่า ธรรมะไม่จำกัดเวลา วันไหนก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นวัน เอ่อ, นั้นวันนี้ที่กะกำหนดไว้ เป็นวันพิเศษ การกล่าวอย่างนั้นก็ถูกเหมือนกัน แต่ว่าไม่ถูกโดยสมบรูณ์ มันยังจะมีช่องทางให้เหลวไหลได้ ในการที่ไม่กำหนด วันใดวันหนึ่งไว้ เป็นวันสำคัญเป็นพิเศษนั้น ก็มีโอกาสให้คนเหลาะแหละ โลเล เหลวไหล ไม่จริง เหล่านั้น ทำอะไรไม่จริงไปตลอดทั้งปี ปีหนึ่งก็เลยไม่มีวันพิเศษเช่นวันนี้ แม้แต่สักวันเดียว แต่ถ้าเรามากำหนดวันใดวันหนึ่ง ให้เป็นวันพิเศษไว้แล้ว อย่างน้อยก็จะต้องมีบ้างเป็นบางวัน ที่ทำให้ดีเป็นพิเศษ บางคนอาจจะเถียงว่าเราจะต้องทำให้ดีเป็นพิเศษทุกวัน อย่างนี้ก็ถูกเหมือนกัน แต่ก็เป็นสิ่งที่ปฏิบัติไม่ได้ เพราะว่าคนเราไม่สามารถจะทำอะไรให้ดีเป็นพิเศษ ได้ทุกวันนั้นเอง ถ้าทำได้ดีเป็นพิเศษทุกวัน มันก็ไม่มีอะไรพิเศษ คำว่า เป็นพิเศษ เช่นนี้เป็นต้น ก็ไม่จำเป็นจะต้องมี นี่แหละเพื่อให้เป็นไป อย่างถูกต้อง ตามปกติวิสัยของคนธรรมดาทั่วไป จึงต้องมีวันที่กำหนดไว้เป็นวันพิเศษ สำหรับทำอะไรให้ดีไปกว่าวันธรรมดา จึงหวังว่าท่านทั้งหลายบางคน ที่ยังไม่เคยสนใจ ในวันเช่นวันนี้ ให้เป็นพิเศษนั้น จะได้คิดนึกในเรื่องนี้กันเสียใหม่ ให้ได้รับผลสมกันจริงๆ
บัณฑิตในกาลก่อน ได้กำหนดวันเช่นวันนี้ไว้ให้เป็นวันพิเศษ ก็เพราะเห็นประโยชน์ส่วนนี้เอง คือข้อที่ว่าเราไม่สามารถจะทำอะไร ให้ดีเป็นพิเศษเสมอไปทุกวันได้ จึงต้องมีวันที่กำหนดไว้เป็นวันพิเศษ ดังที่กล่าวแล้ว
ในพระพุทธศาสนานี้ ก็มีวันที่กำหนดไว้เป็นพิเศษอย่างน้อยก็ ๓ วันด้วยกัน คือ วันวิสาขบูชา มีเหตุการณ์เนื่องกันกับพระพุทธเจ้าโดยตรง คือวันเป็น อ่า, คือเป็น วันประสูติ วันตรัสรู้ และวันปรินิพพาน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง จะไม่มีเหตุการณ์ใดสำคัญไป กว่า วันเช่นวันนี้ ในวงการของ พุทธศาสนา วันที่ถัดไปคือวัน อาสาฬหบูชา ก่อนหน้าวันเข้าพรรษา มีความสำคัญในข้อที่พระองค์ทรงแสดง ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ซึ่งเป็น ตัวพุทธศาสนา เป็นตัวธรรมะในพระพุทธศาสนา ได้แก่เรื่อง อริยสัจ เพราะฉะนั้นควรจะถือว่าวันเช่นวันนี้ เอ่อ, วันอา...วันอาสาฬหนี้ เอ่อ, วันอาสาฬห นั้น เป็นวันของพระธรรม เป็นวันเป็นที่ระลึกแก่พระธรรม ต่อไป ออกพรรษาแล้ว ก็ถึง วันมาฆบูชา นี้เป็นวันที่พระสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูป ล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ประชุมกัน และพระพุทธองค์ได้ทรงแสดง ธรรมปาฏิโมกข์ ซึ่งเรียกว่า โอวาทปาฏิโมกข์ แสดงหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ที่เป็นหัวขอสำคัญ ในท่ามกลางสงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์นั้น ซึ่งเป็นการกล่าวได้ว่า พระสงฆ์ที่มั่นคง สมบูรณ์ เป็นคณะสงฆ์แห่ง พระพุทธศาสนา ได้เป็นไปถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นเราจะถือเอา วันมาฆบูชานั้น ว่าเป็นวันแห่งพระสงฆ์ จึงได้วันสำคัญ อยู่ ๓ วัน คือวันวิสาขบูชา สำหรับพระพุทธเจ้า วันอาสาฬหบูชา สำหรับพระธรรม และวันมาฆบูชาสำหรับ พระสงฆ์ ตามลำดับกันไป โดยลำดับ โดยลำดับดังนี้
คนเหล่าอื่นอาจจะเห็นเป็นอย่างอื่น และอธิบายเป็นอย่างอื่นก็ได้ เกี่ยวกับวัน ๓ วันนี้ แต่ในที่นี้มุ่งหมาย เจาะจงลงไปในเหตุผลที่ใครๆพอจะเห็นได้ ว่าวันวิสาขบูชานั้น เป็นวันสำหรับพระพุทธเจ้า โดยไม่มีปัญหาเลย แต่วันอาสาฬหบูชานั้น เป็นวันที่แสดง ธัมมจักกัปปวัตนสูตร จึงจัดเป็นวันของพระธรรม แม้ว่าพระสงฆ์ จะได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะการฟังธัมมจักกัปปวัตนสูตรนั้น แต่ก็ยังกระท่อนกระแท่นไม่สมบูรณ์ ครั้นล่วงไป ถึงวันวิสาข... เอ่อ, ถึงวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันที่แสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่ภิกษุสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูป และเป็น พระอรหันต์ล้วน นี้ถือว่าคณะสงฆ์เป็นปึกแผ่นโดยสมบูรณ์แล้ว จึงถือว่าเป็นวันพระสงฆ์ แต่แม้ว่า ผู้ใดจะถือ โดยเหตุผลอย่างอื่นกลับกันเสีย ก็ไม่เป็นไร เป็นเรื่องความคิดเห็นส่วนบุคคล เมื่อเราถืออย่างไรก็ทำในใจอย่างนั้น ถือความสำคัญอย่างนั้น แล้วระลึกนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในวันนั้นๆให้มากเป็นพิเศษก็แล้วกัน และชื่อว่าทำวันเช่นนี้ให้เป็นวันพิเศษ สำหรับวันนี้ อ่า, เป็นวันวิสาขบูชา เพราะว่าเป็นวันตรงกัน กับวันที่ กำหนด ไว้ว่าเป็นวันที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของสมเด็จพระบรมศาสดา ในวันเช่นวันนี้ เราประชุมกันกระทำพิธีวิสาขบูชา แต่ก่อนแต่ จะกระทำพิธีวิสาขบูชา ก็ได้ปรารภกัน ถึงเหตุการณ์นี้ เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ พอสมควร เป็นการเตรียมเนื้อเตรียมตัว เตรียมจิต เตรียมใจ ให้เหมาะสมที่จะทำ วิสาขบูชา เป็นต้นนี้ ให้ได้ผล เป็นอย่างดี ได้ประพฤติปฏิบัติกระทำกันอย่างนี้ สืบๆกันมาทุกปี สำหรับในวันนี้นั้น ก็จะได้กระทำอย่างเดียวกันอีก คือขอให้ท่านทั้งหลายระลึกนึกถึง สิ่งที่สำคัญสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเนื่องกันกับพระพุทธเจ้า กระทำในใจไว้ให้ดี ให้เกิดความรู้สึก ในพระพุทธคุณนั้นๆ ให้มากเป็นพิเศษ แล้วจะได้มีจิตใจหรือมีกำลังใจอันมากมาย ที่จะประกอบการกระทำวิสาขบูชาในวันนี้ ซึ่งจะต้องทำด้วยความ เสียสละ ความอดทน เป็นต้น อย่างสุดความสามารถทีเดียว ถ้าหากว่ามิได้มีกำลัง แห่งปิติ ปราโมทย์เป็นต้น หล่อเลี้ยงจิตใจไว้บ้างแล้ว ก็ยากที่จะมีความอดทน มากถึงเพียงนั้นได้ ในโอกาสแห่งวันนี้ นี้ จะได้กล่าวถึง เอ่อ, สิ่งที่เรียกกันทั่วๆไป ว่า คุณพระ คำว่า คุณพระ ในที่นี้หมายถึง คุณของพระ คุณของพระในที่นี้ก็หมายถึง คุณของพระพุทธเจ้า และหมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระบรมศาสดา
ท่านทั้งหลายทุกคน ได้ยินได้ฟังคำว่า คุณพระ มาแล้วทั้งนั้น และตัวเองก็เคยพูดถึงอยู่เสมอ ทุกคนจะพูดถึง คุณพระ บ้างนึกรำพึงถึงคุณพระบ้าง หรือว่านึกถึง เพื่อให้มาช่วยตัวบ้าง อย่างนี้กันอยู่ทั่วๆไป เป็นอันว่า คำว่า คุณพระ คำนี้เป็นที่รู้จักกันดี แต่ว่าทำไมจะต้องเอาสิ่งนี้มาพูดอีกเล่า ดูคล้ายๆกับว่า เป็นการ ดูหมิ่น ดูถูกท่านทั้งหลาย ว่ายังเป็นผู้ที่ไม่รู้จักคุณพระนั้นเอง ที่จริงก็ควรจะพูดอย่างนั้น คือพูดว่า มีคนเป็นอันมากรู้จักคุณพระ แต่เพียง สักว่าปากว่า ไม่ได้มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง หรือแม้บางคน จะมีความเข้าใจอย่างถูกต้อง แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นการที่จะพูดถึงคุณพระกัน ให้เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจน สักครั้งหนึ่งนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่มีเหตุผลอันสมควร หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้ตั้งใจฟัง ให้สำเร็จประโยชน์ ในโอกาสพิเศษเช่นโอกาสนี้
คำว่าคุณพระนี้ ก็ย่อมมีอยู่เป็นชั้นๆ ลึกตื้นกว่ากัน เป็นลำดับๆไป เช่นเดียวกับคำว่า พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าของเด็กๆก็เป็นอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าของคนโตแล้วก็เป็นอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าของคน ที่ไม่มีการศึกษา อย่างทั่วถึง ก็เป็นอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าของผู้ที่มีการศึกษาอย่างทั่วถึง ก็มีเป็นอีกอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าของคนปุถุชน ตามธรรมดา แม้จะมีการศึกษาอย่างทั่วถึง ก็เป็นไปอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าของ พระอริยบุคคล คือผู้บรรลุ มรรคผลนิพพาน เป็นต้นนั้น ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง มีอยู่เป็นหลายระดับอย่างนี้ นี้เรียกว่า แม้แต่สิ่งที่เรียกว่า พระพุทธเจ้า ก็ยังมีอยู่เป็นหลายชั้น และหลายระดับ เมื่อเป็นดังนี้สิ่งที่เรียกว่า คุณพระนี้ ก็มีอยู่เป็นหลายชั้นหลายระดับ บางคนอ้างคุณพระ มาเป็นที่พึ่ง แต่ที่จริงเป็นเรื่องอ้าง คุณผีสาง นางไม้ อะไร อย่างใดอย่างหนึ่ง มาเป็นที่พึ่งก็มี โดยเอาพระไปปนกับภูตผีปีศาจเหล่านั้นก็มี เซ่นสรวงพระพุทธเจ้า เซ่นสรวงพระพุทธรูป ก็มี พระพุทธรูปองค์นั้น ชอบกินของนี้ พระพุทธรูปองค์นี้ ชอบกินของนั้น อย่างนั้นก็ยังมีอยู่ทั่วไป ในหมู่พุทธบริษัท การอ้างคุณพระในทำนองอย่างนี้ แทนที่จะถูกคุณพระ ก็จะถูกคุณภูตผีปีศาจไปโดยไม่รู้สึกตัวก็ได้ หวังว่าท่านทั้งหลายควรจะได้พิจารณากันดูให้ดี ในเรื่องนี้เสียใหม่ ว่าสิ่งที่เรียกว่า คุณพระ อันแท้จริงนั้น จะเป็น เอ่อ, คืออะไร กันแน่ และที่มีอยู่อย่างต่ำๆ ก็ควรจะ เลื่อนขึ้นไปให้สูง มีความรู้มีความเข้าใจถูกต้อง ให้เป็นคุณพระจริง และสูงขึ้นไปตามลำดับจริง สิ่งที่เรียกว่า คุณพระ นั้น ก็จะมีประโยชน์ และจะช่วยพุทธบริษัทได้จริงเหมือนกัน
ถ้าว่าเอาตามชอบใจ ว่าคุณพระเป็นอะไรเป็นอย่างไร มันก็เป็นคุณพระสักว่าเดาเอาเองตามชอบใจ อาจจะไม่ตรงไม่ถูกตามความจริงก็ได้ คุณพระในที่นี้ เราต้องหมายถึง คุณ ของพระ ซึ่งมุ่งหมายถึง พระพุทธเจ้าเป็นหลัก และ และทุกสิ่งที่เนื่องกันอยู่กับพระพุทธเจ้า คนที่มีความรู้เล็กน้อย จะเห็นว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น แยกกันเป็นสามอย่างอยู่ แต่คนที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ดีแล้ว จะรู้สึกว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้นเป็นสิ่งเดียวกัน ไม่อาจจะแยกออกจากกันได้ ที่แยกแตกต่างกันออกไปนั้น เป็นเพียงภายนอก เป็นเพียงลักษณะภายนอก หรือจะเรียกว่า เปลือกนอก ก็จะถูกกว่า ถ้าเอาเนื้อใน เป็นหลักกันแล้ว สิ่งทั้ง ๓นี้ ก็จะต้องเหมือนเป็นอันเดียวกันด้วย คุณของพระพุทธเจ้า โดยสรุปแล้วก็คือ ความบริสุทธิ์ สะอาด สว่าง สงบ คุณของพระธรรมก็เหมือนกัน โดยเนื้อแท้แล้วก็เพื่อ ความสะอาด สว่าง สงบ หรือเป็นความสะอาด สว่าง สงบ เสร็จแล้ว คุณของพระสงฆ์ก็เหมือนกัน มีอยู่ในเนื้อตัวในจิตใจ เนื้อแท้ของท่านก็คือ ความสะอาด สว่าง สงบ จะเป็นความสะอาด สว่าง สงบ ของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความรู้ จึงได้กล่าวว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้ เป็นสิ่งเดียวกันโดยใจความ แตกต่างกันแต่ สักว่า วัตถุภายนอก และก็แบ่งหน้าที่ ให้แปลกออกไปว่า พระพุทธเจ้า มีหน้าที่ตรัสรู้ พระธรรมคือสิ่งที่ตรัสรู้ พระสงฆ์คือสิ่งที่ อ่า, คือผู้ที่รับเอาสิ่งที่ตรัสรู้นั้นมา อย่างนี้เรียกว่า พูดกันแต่เพียงข้างนอก อาการข้างนอก ซึ่งเป็นเหมือนกับเปลือก ถ้าถามว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร พระธรรมคือสิ่งไร และสิ่งไรที่พระสงฆ์รับเอามา อย่างนี้แล้วเรื่องก็กลายเป็น เรื่องเดียวกันอีก คือรับวิชาความรู้และการปฏิบัติ มาปฏิบัติให้เกิดผลเป็นความสะอาด สว่าง สงบ เหมือนกันกับ ที่พุทธเจ้าท่านตรัสรู้ และเหมือนกันกับที่พระธรรมท่านเป็น เพราะเหตุฉะนั้น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงเหมือนกันแท้ และเป็นสิ่งเดียวกันโดยใจความ ถ้าพูดว่าเหมือนกันหมายถึงของ ๓ สิ่ง เหมือนกัน ถ้าพูดว่า สิ่งเดียวกัน ก็หมายถึงของนั้น มีเพียงสิ่งเดียว การที่พูดว่าเหมือนกัน และมีของทั้ง ๓ สิ่งนั้น ก็เพราะยังมอง ไม่ลึกซึ้งพอ ถ้ามองลึกซึ้งพอก็จะเหลือเพียงสิ่งเดียว นี้เรียกว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยเนื้อแท้นั้น เป็นพียงสิ่งเดียว ไม่ได้แยกกันอยู่เป็น ๓ สิ่ง เมื่อเราเรียกว่า คุณพระ เราก็ต้องหมายถึงคุณของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมกัน แม้บางที่เราจะเรียกว่าคุณของพระพุทธเจ้า ก็ยังหมายความว่า เล็งถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วย ทั้งสามอย่าง ถ้าจะนึกดูให้กว้างออกไปอีกหน่อยหนึ่ง สิ่งที่เรียกว่า พระธรรมนั้น มีขอบเขตมีอานุภาพ เป็นต้น สูงยิ่งไปกว่าพระพุทธเจ้า ก็ปรากฏชัดอยู่แล้วว่า แม้พระพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ประกาศพระองค์เองว่า เป็นผู้เคารพธรรม มีธรรมเป็นที่เคารพ เอ่อ, พระพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์ล้วนแต่เคารพพระธรรมดังนี้ เมื่ออ้างถึงคุณพระธรรม เสียเลย ก็ยังจะกว้างขวางกว่า หรือครอบคลุมไปได้หมด นี้ก็เป็นอันแสดงว่า สิ่งที่เรียกว่า พระธรรมนั้น ตั้งอยู่ในฐานะเป็นประธาน ของสิ่งทุกสิ่ง แต่ยังจะมองเห็นได้ง่ายอีกว่า สิ่งที่เรียกว่าพระธรรมนี้ ไม่มีเกิดขึ้น ไม่มีดับไป ส่วนพระพุทธเจ้า ของคนธรรมดาสามัญนั้น มีเกิดขึ้น และมีปรินิพพาน เหมือนที่กำลังพูดอยู่ เมื่อตะกี้นี้หยกๆว่า วันประสูติ วันตรัสรู้ และวันปรินิพพาน ซึ่งหมายถึงการเกิด และการตาย พระพุทธเจ้าในลักษณะอย่างนี้ เป็นพระพุทธเจ้า ในภาษาคนธรรมดาพูด หมายถึงร่างกายของท่าน แต่ถ้าพระพุทธเจ้าของคนที่มีความรู้พูดแล้ว ย่อมหมายถึง พระธรรม แม้พระพุทธเจ้าเองท่านก็ตรัสอย่างนั้น ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม” ผู้ที่ไม่เห็นตะ เอ่อ, ผู้ที่ไม่เห็นธรรม แม้จะจับจีวรของตถาคตถืออยู่ ก็ไม่ชื่อว่าเห็นตถาคต ดังนี้ และยังตรัสในวาระสุดท้ายที่จะปรินิพพานว่า ธรรมะวินัยนั้น อยู่เป็นศาสดาของพวกเธอ ในเวลาที่ล่วงลับ ไปแล้วแห่งเรา นี้แหละฟังดูเถิดว่า แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า ธรรมะนั้นคือพระพุทธเจ้า
เมื่อเราพูดว่า คุณพระ เราควรจะหมายความกว้างครอบงำ ครอบคลุมไปหมด ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และถ้าจะ เรียกเพียงคำเดียว ก็ควรจะเล็งถึงพระธรรม เพราะว่าคำนี้รวม พระพุทธ และพระสงฆ์ เข้าไว้ด้วย อย่างเต็มท่ี ขอให้ เอ่อ, จำไว้อีกครั้งหนึ่งว่า เมื่อเราพูดถึงคำว่า พระธรรม ย่อมครอบคลุมความหมาย ของคำว่า พระพุทธ และพระสงฆ์ ไว้ด้วยอย่างเต็มที่ พระพุทธเจ้านั้นมีจิตใจเป็นธรรม มีอะไรเป็นธรรม และธรรมนั่นเอง ที่ทำให้บุคคลให้เป็นพระพุทธเจ้า และธรรมนั่นเองที่ทำบุคคล ให้เป็นพระสงฆ์ เพราะเหตุฉะนั้น พระพุทธ และพระสงฆ์ ที่แท้จริงก็คือพระธรรม เราพูดถึงพระธรรมคำเดียวก็พอแล้ว เมื่อเป็นดังนี้ อ่า, เราจะเห็นได้ทันทีว่า คำว่า คุณพระนี้ โดยแท้จริงนั้นเล็งถึง พระธรรม
ทีนี้เราจะดูถึงสิ่งที่เรียกว่า พระธรรม กันต่อไปอีก ว่าเล็งถึงอะไร สิ่งที่เรียกว่าพระธรรมนี้ ก็มีอยู่เป็นชั้นๆ ตามสติปัญญาของคน ผู้ที่จะดู หรือจะศึกษา อย่างเด็กๆลูกเล็กๆ ก็เอาหนังสือตำรับตำรา เป็นพระธรรม เพราะเค้าพูดว่าหีบพระธรรม หรือแสดงพระธรรมอย่างนี้ อยู่ทั่วๆไป เด็กๆจึงเข้าใจว่า พระคัมภีร์ หนังสือ หรือเสียงที่แสดงธรรมนี้ เป็นพระธรรม อย่างนี้ก็มี คนที่ได้รับการศึกษานิดหน่อย ได้ยินว่า พระธรรม คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี้ก็ดีขึ้นไปอีก บางคนได้ยินมากไปถึงว่า พระธรรม คือสิ่งที่คุ้มครองสัตว์ทั้งหลาย ให้พ้นจากความทุกข์ นี้ก็ลึกขึ้นไป แต่ถ้าถือตามเอาความหมายของคำว่า พระธรรม ตามหลักแห่งภาษาบาลีแล้ว มันยังกว้างกว่านั้นอีก เพราะว่าคำว่า พระธรรม หรือธรรม ตามภาษาบาลีนั้น หมายถึงทุกสิ่ง ไม่ยกเว้นอะไรเลย อะไรๆก็เรียกว่า ธรรม ทั้งนั้น ที่ฝ่าย ที่เป็นฝ่ายนำมาซึ่งความทุกข์ ก็เรียกว่า ธรรม ที่เป็นฝ่ายนำมาซึ่ง ความดับทุกข์ ก็เรียกว่า ธรรม ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรม จึงจัดเป็น ธรรมดำ ธรรมขาว และธรรมไม่ดำไม่ขาว ธรรมดำ คือฝ่ายชั่ว ธรรมขาว คือฝ่ายดี ธรรมไม่ดำไม่ขาว คืออยู่เหนือความดีและความชั่ว เป็นความหลุดพ้น ออกไปจากโลกนี้ ทีนี้สิ่งนั้นหมายถึงอะไร สิ่งนั้นยังหมายถึงทุกๆสิ่ง เมื่อจะพูด ให้เข้าใจกันได้ถึงคำว่า ทุกๆสิ่ง ก็ต้องนึกหาคำพูด หรือวิธีพูด ให้เข้าใจกันได้ ตามที่สังเกตเห็นแล้ว ว่าอาจจะเข้าใจกันได้นั้น ก็คือการ พิจารณา สิ่งที่เรียกว่า ธรรม กันใน ๔ ความหมาย
ความหมายที่ ๑ หมายถึงตัวธรรมชาติ ทุกอย่างทุกประการ เรียกว่า ธรรม
ความหมายที่ ๒ หมายถึงกฎของธรรมชาติ ที่มีประจำอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง เหล่านั้น ก็เรียกว่า ธรรม
ความหมายที่ ๓ หมายถึงหน้าที่ ที่มนุษย์จะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกตรงตามกฎของธรรมชาติเหล่านั้น แม้หน้าที่อันนี้ก็เรียกว่า ธรรม
ความหมายที่ ๔ หมายถึงผลที่มนุษย์ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่นั้นๆ ผลอันนี้ทั้งหมด ไม่ว่าชนิดไหน ก็ล้วนแต่เรียกว่า ธรรม
สรุปความแล้วก็หมายถึงตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ของมนุษย์ตามธรรมชาติ และผลของการปฏิบัติหน้าที่ตามธรรมชาตินี้ เรียกว่า ธรรม
เมื่อเป็นดังนี้ท่านจะเห็นได้ว่า สิ่งที่เรียกว่าธรรมนั้น มีความหมายมาก เหลือประมาณ เหลือที่จะกล่าวได้ ด้วยคำพูดของคนเรา จึงกล่าวได้แต่เพียง ประมวลมา เป็นพวกๆ เป็นหมวดๆ หรือเป็นประเภทๆไป และยิ่งกว่า นั้น ยังมีความยากลำบากอยู่อีกอย่างหนึ่ง คือในข้อที่ว่า สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ นั้น บางอย่างมองเห็นตัว บางอย่าง มองไม่เห็นตัว บางอย่างไม่อยู่ในวิสัยที่คนธรรมดาทั่วไปจะมองเห็น รู้จักได้ ก็มี และยิ่งไปกว่านั้นอีก ก็คือว่า ธรรมะในบางลักษณะนั้น อยู่ในวิสัยที่จะเอามาพูดด้วยคำพูด อ่า, ของมนุษย์ไม่ได้ คือว่าปากของมนุษย์ ไม่สามารถจะบรรยาย สิ่งที่เรียกว่าธรรมะในลักษณะนั้นได้ แม้ว่าจะเห็นอยู่ ประจักษ์อยู่ในใจ ก็ยังเอามา พูดด้วยปากไม่ได้ เพราะธรรมะประเภทนั้น ต้องพูดได้ด้วยการหุบปาก นิ่งเงียบไปทีเดียว มีอยู่ก็แต่ว่าทุกคน ที่สนใจก็ไปลองปฏิบัติดู ให้ได้รับผลอย่างนั้นขึ้นมาในจิตในใจ แล้วก็จะรู้จักสิ่งนั้นเองอีกว่า เป็นสิ่งที่ พูดด้วยปากไม่ได้ จึงต้องนิ่งต่อไปอีกตามเดิม สอนกันมาด้วยการหุบปากอย่างนี้ เรื่อยๆมา ตามลำดับ นี้หมายถึงสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ในประเภทที่บรรยาย ด้วยปากของคนไม่ได้ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ท่านทั้งหลาย ลองพิจารณาดูเถิดว่า สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้น คืออะไร
สำหรับประเภทที่เป็น รูปธรรม มีวัตถุเป็นของแข็ง เป็นของเห็นได้ด้วยตา เป็นของสัมผัสได้ ด้วย จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างนี้ มันก็มีอยู่พวกหนึ่ง แต่พวกที่อยู่เหนือวิสัยที่จะสัมผัสได้ ด้วย อายตนะ ตามปรกตินี้ ก็ยังมี อยู่อีกพวกหนึ่ง และมีอยู่อีกพวกหนึ่ง ซึ่ง เอ่อ, เป็นที่ไม่ปรากฏแก่คนทั้งหลายทั่วไป จนถึงกับต้องเรียกว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นกายสิทธิ์ หรือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มองไม่เห็นตัว แต่มีอำนาจยิ่งกว่าสิ่งใด ดังนี้ก็มี เมื่อเป็นดังนี้ สิ่งที่เรียกว่า คุณพระนั้น ก็มีความหมายกว้างขวางลึกซึ้ง รวมไปถึงสิ่งที่มองไม่เห็นตัว และสิ่งที่เอามาพูดด้วยปาก ไม่ได้นั้นด้วยเหมือนกัน
ดังนั้นถ้าจะถามว่า คุณพระ นั้นคืออะไร คำตอบไปในทางขลัง ทางศักดิ์สิทธิ์ กายสิทธิ์ ก็เป็นการถูกต้อง เหมือนกัน เพราะมันเหลือวิสัยที่จะเอามาพูดได้ จึงได้จัดไว้ในฐานะเป็นสิ่งที่เร้นลับ ที่สุด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด จนไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี นอกจากจะเรียกด้วยคำสั่นๆว่า ธรรมะ หรือธรรมธาตุ ธรรมะ-ธา-ตุ ธรรมธาตุ แปลว่า ธาตุแห่งธรรมะ สิ่งนี้มีธาตุแห่งธรรมะ แต่เป็นธรรมะในลักษณะที่พูดด้วยปากไม่ได้ เห็นด้วยตาไม่ได้ จับคลำด้วยมือไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่า พระ หรือ คุณพระ ก็ตาม ย่อมอยู่ในลักษณะที่ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เร้นลับ ต่อคนทั่วไป มองเห็นไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ อย่างนี้ก็มีอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ดี ถ้าบุคคล ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามวิธี ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ ตรัสสอนไว้เป็นต้นแล้ว ก็ยังจะถึง คุณพระได้
คนในสมัยนี้ ยังมีความโง่เขลามาก ถึงขนาดที่ไม่รู้จักสิ่งนั้นๆว่าเป็นอะไรกันแน่ แต่ก็สามารถเอาสิ่งนั้น มาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ก็มีอยู่มากมายหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของไฟฟ้า ซึ่งคนไม่รู้จักว่ามันเป็นอะไร โดยแน่นอน โดยแท้จริงถึงที่สุด รู้อย่างผิวเผิน ในข้อที่ว่าไฟฟ้าคืออะไร แต่รู้ละเอียดมากพอที่จะเอามันมาใช้ ให้เป็นประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้ได้ นี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สุดแล้ว ในเรื่องที่เกี่ยวกับ พระ หรือคุณพระนี้ ก็เหมือนกัน ถ้ายังไม่อยู่ในวิสัยที่จะเข้าถึงพระ หรือตัวคุณพระได้ถึงที่สุด เป็นคนธรรมดาสามัญ ก็จงประพฤติ ปฏิบัติตามวิธีที่ท่านได้สั่งสอนไว้อย่างถูกต้องนั้น ให้ครบให้บริบูรณ์เถิด เพราะสามารถจะได้รับประโยชน์ จาก คุณของพระ ที่จะคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานได้
เราไม่ควรจะมีปัญหาให้มากมาย ให้ยุ่งยาก ลำบาก ในข้อที่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่เราควรจะมี เอ่อ, การ เอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ ในข้อที่ว่า เราจะได้รับประโยชน์จากสิ่งนั้นได้อย่างไร เรื่องของคุณพระนี้ก็เหมือนกัน ขอให้สนใจในข้อที่ว่า คุณพระคืออะไรนั้น แต่พอสถานประมาณเถิด แต่แล้วให้สนใจในข้อที่ว่า เอ่อ, เราจะเอาคุณพระนั้น มาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่เรา ให้ได้มากอย่างเดียว เอ่อ, ให้ได้มากที่สุด อย่างเดียวก็พอแล้ว ศาสนาที่ถือพระเจ้า ก็ไม่มีความเข้าใจในเรื่องพระเจ้า แต่ก็ใช้สิ่งที่เรียกว่า พระเจ้า ให้เป็นประโยชน์แก่ตนได้ ระงับความทุกข์ร้อนในใจได้ สิ่งที่เรียกว่า พระ หรือ คุณพระ ก็มีความที่ลึกลับ เช่นเดียวกับ คำว่าพระเจ้า เหมือนกัน และถ้ากล่าวโดยที่ถูกแล้ว เป็นสิ่งเดียวกันด้วยซ้ำไป แต่ใครจะเรียกชื่อว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น สำคัญอยู่ เอ่อ, สำคัญที่สุด อยู่ที่ว่า จะเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร นี้มากกว่า ถ้าจะถือไปในทางเป็นสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์เร้นลับ ก็จงถือแต่เพียงว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์เร้นลับ แต่การที่จะไปเข้า ไปเกี่ยวข้องได้ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนั้น ต้องไม่ใช่เป็นไปในลักษณะที่ศักดิ์สิทธิ์หรือเร้นลับ แต่เป็นไปในลักษณะที่ มองเห็นอยู่ เอ่อ, ว่าเป็นสิ่งที่มี อยู่ในลักษณะอย่างนั้น อย่างนั้น และได้ปรากฏแก่ ใจของบุคคล ผู้เข้าไปเกี่ยวข้องได้ สิ่งที่เรียกว่า พระ นี้ เรามีไว้สำหรับปราบมาร เป็นคู่ปรปักษ์กันกับสิ่งที่เรียกว่า มาร สิ่งที่เรียกว่า มาร ก็เป็นฝ่ายความทุกข์ สิ่งที่เรียกว่า พระ ก็เป็นฝ่ายความดับทุกข์ ถ้ามันดับทุกข์ได้ เราก็เรียกว่า อยู่กับพระ ถ้ามีความทุกข์ก็เรียกว่า อยู่กับมาร นี้ก็เป็น พยานหลักฐาน พิสูจน์ที่เพียงพอแล้วว่า อะไรเป็นพระ หรืออะไรเป็นมาร ถ้ายังมีความเดือดร้อนใจ หม่นหมองใจ ทนทรมานใจอยู่ ก็พึงรู้เถิดว่า อยู่กับมาร ไม่ได้อยู่กับพระ แม้จะตะโกนอยู่ว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ เหมือนเมื่อ ตะกี้นี้ ให้ดังลั่นไปทั้งวันทั้งคืน มันก็อยู่กับพระไม่ได้ คงอยู่กับมารอยู่นั้นเอง
ฉะนั้นทุกคนจงรู้จักปรับปรุงจิตใจของตน ให้มีความสะอาด สว่าง สงบ จึงจะชื่อว่า อยู่กับพระ แม้ว่า เอ่อ, จะมีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะศักดิ์สิทธิ์ตรงที่ว่าจะดับทุกข์ได้ แต่จะดับทุกข์ได้นี้ มันแน่นอน อยู่ตรงที่ ปฏิบัติให้ตรง ตามที่พระท่านสอน หรือพระท่านต้องการ พวกที่ถือพระเจ้า เค้าก็ถือว่าพระเจ้าต้องการให้คนเรา รับใช้ผู้อื่น ต้องการให้คนเราเห็นแก่ผู้อื่นยิ่งกว่าตัวเอง ให้ลืมตัวเองเสีย เมื่อใครเชื่อพระเจ้า และไปปฏิบัติในลักษณะที่ รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัว มันก็ทำลายกิเลสที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว มีความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นต้น เสียได้ เขาก็มีความผาสุกได้ โดยที่ไม่รู้จักพระเจ้า โดยที่พระเจ้าก็ยังคงเป็นของศักดิ์สิทธิ์ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ รูปร่างหน้าตา อย่างไรก็ไม่รู้ อะไรก็ล้วนแต่ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่า พระเจ้าท่านต้องการให้คน ทุกคน ไม่มีความเห็นแก่ตัว ให้รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัว ให้รับใช้ผู้อื่น การรับใช้ผู้อื่นนั้น คือการรับใช้พระเจ้า นี่ เป็นหลักทั่วไป ในศาสนาที่ถือพระเจ้า
ในพุทธศาสนาเรามีคำว่า พระธรรม แทนคำว่า พระเจ้า เราจะต้องรับใช้พระธรรม โดยวิธีเดียวกัน คือว่าธรรมะมีหลักเกณฑ์อยู่อย่างไร ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร จะต้องประพฤติปฏิบัติตามนั้น ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ธรรมะ ในความหมายที่ ๓ คือหน้าที่ตามกฎธรรมชาตินั้นแหละ เป็นธรรมะในที่นี้ เราจะต้องรับใช้ธรรมะข้อนี้ ด้วยการประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามหน้าที่ของมนุษย์ ตามที่กฎธรรมชาติได้กำหนดไว้อย่างไร กฎของ ธรรมชาติได้กำหนดไว้ ว่าทำไปอย่างนี้ ก็จะมีผลอย่างนี้เกิดขึ้น ทำไปอย่างโน้นก็จะมีผลอย่างโน้นเกิดขึ้น ดังนี้เป็นต้น เราจะต้องเลือกกระทำไป แต่ในทางที่เราต้องการ เพื่อให้เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ดับความโลภ ความโกรธ ความหลง ดับความเห็นแก่ตัว ดับความรู้สึกที่เป็นตัวกู เป็นของกู ซึ่งเป็นฝ่ายพญามาร ซึ่งจะต้องยกหูชูหาง ตามธรรมดา อืม, ของพญามาร เป็นการ อ่า, เห็นแก่ตัว ทำให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ขึ้นมาตามลำดับดังนี้ เมื่อเรารู้จักว่า พระธรรม หรือพระเจ้าที่แท้จริงนั้น คือการประพฤติกระทำ เอ่อ, คือกฎ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ สำหรับให้มนุษย์ประพฤติหรือกระทำ ให้เป็นไปในลักษณะ ที่จะทำให้เกิด ความทุกข์ขึ้น เราก็นับถืออย่างเคร่งครัด ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ก็ได้ผลเป็นความสงบสุขขึ้นมา นี่แหละเรียกว่าได้ถึงพระเจ้า หรือได้ถึงพระธรรม จะได้รับประโยชน์จากการมีพระเจ้า หรือการมีพระธรรม และนั้นแหละ คือการที่มี คุณพระ อยู่กับเนื้อกับตัว เป็นเครื่องคุ้มครองตัว ไม่ให้มี ความทุกข์ หรือพูดอย่าง บุคลาธิษฐาน ก็คือว่า ไม่ให้พญามาร มาเบียดเบียนได้
ท่านทั้งหลายรู้จักคุณพระกันในลักษณะเช่นนี้แล้วหรือยัง ก็ลองพิจารณาดูด้วยตนเอง จงทุกๆคนเถิด ที่ต้องเอามาพูดนี้ เพราะเข้าใจว่าบางคนยังไม่รู้ บางคนยังรู้อย่างเด็กๆ บางคนรู้อย่างผู้ใหญ่แต่ว่าน้อยเกินไป คนชนิดนี้ล้วนแต่ว่าเสียชาติที่เกิดมา เป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา ยังไม่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะ ได้รับ จึงเห็นว่า อ่า, เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่ต้องเอามาพูดจากันในโอกาสที่สำคัญเช่นวันนี้ สิ่งที่เรียกว่าคุณพระนี้ เราต้องมีอยู่ประจำตัว สำหรับเป็นเครื่องคุ้มครองเราให้พ้นจากการเบียดเบียนของพญามาร นั้นแหละจึงจะเรียก ว่าเป็นผู้ที่มี คุณพระ โดยแท้จริง
ทีนี้จะพูดถึงคุณพระ ในลัก..อ่า, ในลักษณะบางลักษณะ เพื่อความเข้าใจต่อไปอีก ว่าเราต้องอาศัยคุณพระ แล้วจึงจะดำเนินไปได้ถูกทาง ก็จะช่วยคุ้มครองได้ทุกสิ่งทุกอย่าง และยิ่งกว่านั้นก็คือว่าไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย คนโง่ๆเท่านั้น ที่จะลงทุนมากมาย เพื่อจะให้ได้มาซึ่งคุณพระ หรือพระธรรม ลงทุนถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัวก็มี แล้วผลสุดท้ายก็ไม่ได้อะไร นอกจากความโง่ แล้วก็มาอ้างว่า เป็นผู้ทำไป เพื่อคุณของพระ เพื่อบูชาคุณของพระ เพื่อได้มาซึ่งคุณของพระ แต่ที่แท้แล้ว มันได้มาแต่ความโง่ ได้มาแต่คุณของความโง่ เป็นภูตผีปีศาจชนิดที่ล่อลวง อย่างใดอย่างหนึ่ง ชนิดใดชนิดหนึ่ง อยู่เท่านั้นเอง คุณพระของพระพุทธเจ้านั้น ให้ฟรี คือว่าให้เปล่า ไม่ต้องเสียสตางค์ ไม่ต้องลงทุนเป็นเงินเป็นทอง เป็นข้าวเป็นของ มากมายอะไรเลย หรือถ้าฉลาด ทำเป็น ก็จะไม่ต้องใช้เงินใช้ทองอะไรด้วย ขอแต่ให้รู้จักทำ กาย วาจา ใจ นี้ให้ถูกต้องเท่านั้น ฉะนั้นคุณพระที่แท้จริงนั้น ไม่ต้องซื้อไม่ต้องหา ถ้าต้องลงทุนซื้อหาแล้วระวังให้ดี จะกลาย..จะกลายเป็นคุณของภูตผีปีศาจไป โดยไม่รู้สึกตัว อย่างน้อยก็ภูตผีปีศาจคือความโง่ของตัวเอง ความโลภของตัวเอง คนพวกที่ทำบุญ ชนิดที่เป็นการค้ากำไรเกินควร ลงทุนไปนิดหนึ่ง จะเอาผลอย่างนั้นอย่างนี้มากมายมโหฬาร ทำบุญสักบาทหนึ่ง ก็ยกขึ้นท่วมหัวแล้ว ท่วมหัวอีก ส่งกันต่อๆไป ไม่มีที่สิ้นสุด อย่างนี้เพื่อจะเอาอะไร เพื่อจะเอาคุณพระ หรือเพื่อจะเอาอะไร ลองคิดดู คุณพระในลักษณะอย่างนั้น เป็นเรื่องของคนโลภมาก เป็นเรื่องของคนค้ากำไรเกินควร ถ้าได้มาจะเป็นอย่างไร ก็คงจะเป็นคนที่ค้ากำไรเกินควรยิ่งขึ้นไป มีนิสัยที่ โลภ ละโมบ โลภลาภ มากขึ้นไป คุณพระอย่างนั้น จะดีหรือไม่ดี ก็ลองไปคิดดูเอง
นี่แหละเป็นข้อที่ว่า เอ่อ, แม้พูดถึงกันอยู่เสมอ แต่ก็ยังไม่แน่ ว่าได้มีอยู่จริง และมีอยู่อย่างถูกต้อง ที่นี้ก็มาถึงปัญหาอีกบางอย่าง คือปัญหาในข้อที่ว่า มักจะเอามาปนๆกันเสีย ในระหว่างสองฝ่ายนี้ คือเรื่องทำบาป ทำบุญ นี่เรื่องพระกับมาร นี้ เอามาปนกันจนไม่รู้อะไรเป็นพระเป็นมาร ไม่รู้ว่าอะไรเป็นบาป หรืออะไรเป็นบุญ บางคน เคร่งมาก ก็ถือจนกระทั่งว่า ทำอะไรไม่ได้ อย่างนี้ก็มีอยู่ พวกเคร่งๆนั้นลองคิดดูว่าเขาทำอะไร เขามีคำพูด อย่างเคร่งครัด มีการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จนกระทั่งกระดุกกระดิกก็ไม่ได้ แล้วก็อ้างว่า นี่เป็นการปฏิบัติที่เต็มที่ เพื่อมีพระ หรือมีคุณพระอย่างเต็มที่ นี่ก็เรียกว่า มากเกินไป หรือกลับกันอยู่ ถ้าคนเคร่งครัด มากเกินไป ในลักษณะนี้แล้ว เรื่องก็จะโกลาหลวุ่นวายเหลือประมาณ เช่นว่า คนจะทำนากิน ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าการทำนา นั้น ต้องไถนา ต้องคราดนา ต้อง ทำหลายๆอย่าง หลายๆประการชนิดที่ว่า สัตว์มีชีวิตในท้องนานั้น จะต้องตายไป เพราะการทำนา ทีนี้คนนั้นจะทำอย่างไร เมื่อนาก็จะต้องทำ เมื่อสัตว์ก็จะไม่ต้องฆ่า นี่มันก็อยู่ตรงที่ว่า เค้ารู้จักพระ อย่างถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง อีกนั้นเอง พระที่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านก็สอน ถึงเรื่องเจตนา มีเจตนาที่ถูกต้อง นั้นแหละมีพระอยู่ในใจ เจตนาที่ถูกต้องนั้นแหละ ช่วยทำให้ไม่เป็นบาป สมมุติว่าชาวนาสักคนหนึ่ง จะต้องไถนา ถ้าเค้ามีความรู้ถูกต้อง ตามคำสอนในพระพุทธศาสนา ก็รู้จักตั้งใจ ดำรงใจไว้ในลักษณะที่ถูกต้อง คือไม่ใช่เจตนาที่จะฆ่าสัตว์ในท้องนานั้น แต่ว่าเจตนานั้น มีเพียงกระทำตามหน้าที่ ที่มนุษย์จะต้องทำตามกฎของธรรมชาติ ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า หน้าที่ของมนุษย์ตามกฎของธรรมชาตินั้น คือ ธรรมะ เราจะต้องทำนากิน อย่างนี้ก็เรียกว่า เป็นการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ฉะนั้น เจตนาบริสุทธิ์ผุดผ่องในการที่จะทำนาเท่านั้น ไม่ใช่เจตนาจะฆ่าสัตว์ เช่น ปู และหอย เป็นต้น ในท้องนานั้น เมื่อมีเจตนาอย่างนี้ก็เป็นเจตนาที่ประกอบไปด้วยธรรมะ แล้วธรรมะนั้นเองก็จะเป็นพระ แล้วพระนั้นเอง ก็จะคุ้มครองให้ไม่ต้องบาป นี้แหละลองคิดดูเถิดว่า แม้แต่คนจะทำนากิน เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ก็ยังต้องมีคุณพระ แล้วก็จะคุ้มครองเขา ไม่ให้ต้องเป็นบาปเพราะการทำนา ที่แม้ที่สุดแต่ว่า งานที่ยากยิ่งขึ้นไปกว่านั้น เช่นว่า เราจะต้องกินยาถ่าย ถ่ายตัวพยาธิในท้องออกไป ถ้าเราจะทำด้วยความโกรธ คิดว่าจะฆ่ามันเสีย อย่างนี้ก็จะ ต้องเป็นบาป ถ้ามาตั้งอกตั้งใจให้ดี สำรวมจิตสำรวมใจให้ดี ให้ถูกต้องตามวิธีของธรรมะ ไม่มีเจตนาที่จะ ฆ่าสัตว์เหล่านั้น แต่มีเจตนาที่จะกินยาเพื่อความรอดอยู่แห่งชีวิตของตน แล้วก็กินยานั้น อย่างนี้ก็เรียกว่าธรรมะ คือความเข้าใจที่ถูกต้องนั้น ย่อมคุ้มครองบุคคลนั้น ไว้ไม่ให้ต้องเป็นบาป เพราะการกินยาถ่ายตัวพยาธิเป็นต้น นี้ก็เรียกว่ามีคุณพระคุ้มครอง เราจึงไม่ต้องเป็นบาป หรือว่าคนที่จะทำงาน เช่นว่าจะต้อง ตัดคอคนเพราะเป็น เพชฌฆาต ถ้าเค้ามีธรรมะ มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง มีอุดมคติถูกต้องในเรื่องนี้แล้ว การที่เพชฌฆาตคนนั้น จะตัดคอใครลงไปสักคนหนึ่ง ก็หาได้เป็นบาปไม่ เพราะว่าเค้ากระทำไป ในฐานะที่ร่วมมือกันกับธรรมะ หรือพระธรรม เพื่อจะรักษาไว้ซึ่งความเป็นธรรม หรือความยุติธรรมในโลกนี้ เค้าจึงปฏิบัติหน้าที่นี้ ตามกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นเพชฌฆาตที่ดีนั้น จึงไม่มีบาป เว้นไว้แต่เพชฌฆาตขี้เมา รับจ้างเขาในหน้าที่ อันนั้นด้วยความโง่ ด้วยความหลง ด้วยความโลภ ด้วยความเห็นแก่ตัว เป็นต้น มันจึงจะเป็นบาป ถึงแม้ว่าทหาร ที่จะต้องรบกัน ยิงกัน ทำลายกัน คราวละมากๆ สูญเสียชีวิตไป นี้ ถ้าเป็นทหารที่ดี ก็มีคุณพระคุ้มครอง ไม่ให้ต้องเป็นบาป ทหารทุกคนจะต้องศึกษาจนรู้จัก พระ และมีคุณพระ คุ้มครอง แล้วก็ทำไปด้วยจิตใจ ที่ประกอบไปด้วยธรรมะ ไม่ใช่ฆ่าคน ทำไปด้วยอุดมคติที่จะรักษาไว้ซึ่งความเป็นธรรม ในโลก อย่างนี้เรียกว่า เขาไม่ได้ฆ่าคน เขาไม่ได้เป็นบาป เพราะการยิงปืนออกไป หรือปล่อยระเบิดออกไปให้คนตาย คุณพระเป็น ผู้คุ้มครอง เขาเหล่านั้นไม่ให้ต้องเป็นบาป แต่ว่า ถ้าเป็นทหาร รับจ้างเอาเงิน หรือมุ่งหมายประโยชน์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยอำนาจความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้นแล้ว ยิงปืนออกไปอย่างเดียวกัน หรือใช้อาวุธอะไรออกไปอย่างเดียวกัน มันก็ต้องเป็นบาป และเป็นบาปอย่างยิ่ง แม้จะมีพระแขวนคออยู่ เป็นพวงๆ มันก็ไม่พ้นจากบาปอันนี้ไปได้เลย เพราะว่านั้นยังไม่ใช่พระ ยังไม่ใช่คุณพระ เป็นเพียงวัตถุที่ มนุษย์สร้างขึ้น ด้วยความขี้ขลาด หรือความ อ่า, เข้าใจอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วมาเรียกเอาเองว่า พระ พระไม่ได้อยู่ที่พระเครื่องที่แขวนคอนั่น แต่อยู่ที่จิตใจ ที่ได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจอย่างถูกต้อง ว่าอะไรเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าพระเครื่องที่แขวนอยู่ที่คอได้ช่วยให้มีความเข้าใจ ที่ถูกต้องอย่างนี้ ก็ดีอยู่ และเป็นพระจริง หรือว่าเป็น เอ่อ, นิมิต เป็นเครื่องหมาย เป็นสัญลักษณ์ของพระได้ แต่ถ้าว่า แขวนพระเครื่องอยู่ที่คอแล้ว มีจิตใจประกอบ ไปด้วย ความโลภเป็นต้นแล้ว ฆ่าเขาเพื่อจะเอาประโยชน์ส่วนตนอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว คนเหล่านี้ก็ต้องเป็นบาป เหมือนกับคนที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตามธรรมดา นี่แหละเรียก ว่า มันสำคัญมากอยู่ตรงที่ว่า มีคุณพระช่วยคุ้มครอง หรือไม่ ถ้าทหารเหล่าใด มี เอ่อ, คุณพระจริงคุ้มครองใจจริง ก็ไม่มีทางที่จะเป็นบาป ในการที่ใช้อาวุธออก ไปครั้งหนึ่ง ทำให้คนตายตั้งหมื่นตั้งแสนตั้งล้านหรือหมดโลก แต่ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว แม้ทำให้เขา ขาหักไปซักข้างหนึ่งเท่านั้น มันก็จะต้องมีบาป อย่างมากมาย คุ้มกันที่เดียว
นี้เป็นเพียงตัวอย่าง ที่นำมาแสดงให้เห็นว่า อะไรๆที่เกี่ยวกับมนุษย์เรานี้ ต้องเกี่ยวเนื่องกันอยู่กับ คุณพระ จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า คุณพระนี้ กำกับอยู่ด้วยเสมอไป จึงจะพ้นจากมาร คือจะพ้นจากกิเลสหรือความทุกข์ได้ เราจะต้องรู้จักใช้คุณพระ สำหรับทำให้มี อ่า, ความผาสุก ความสะอาด ความสว่าง ความสงบเย็น เป็นต้น อยู่ตลอดเวลา และในที่สุด ให้ได้ช่วยให้เรา ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ด้วยมีคุณพระกันในชั้นที่ สูงสุดจริงๆ คือพ้นจากกิเลสโดยประการทั้งปวง เป็นพระกันจริงๆ มีคุณพระมากพอ จนทำให้ตัวเองเป็น พระเสียเอง ดังนี้ ที่เราเรียกกันว่า เป็นพระอริยบุคคล อย่างนี้ก็เรียกว่าเขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับ เพราะอำนาจของสิ่งที่เรียกว่า คุณพระนั้น
ทีนี้ เหนือไปกว่านั้นก็คือว่า ยังจะต้องช่วยผู้อื่น ให้ได้รับประโยชน์ทำนองนี้อีกด้วย หมายความว่่า มีคุณพระมาก และกว้างขวางพอ ที่จะเผื่อแผ่แก่ผู้อื่นด้วย เราจงทำความดี หรือการประพฤติธรรมะ ในลักษณะ ที่เป็นพระ ให้กว้างขวาง ให้มีมากพอที่จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่บุคคลอื่นด้วย แม้ว่าเราจะได้ทำเพื่อตัวเรา สำเร็จ เสร็จสิ้น ไปแล้วก็ตาม
ทีนี้ เราจะมาพิจารณาดูกันต่อไป ถึงการประพฤติปฏิบัติ หรือการกระทำ ที่จะทำให้มีคุณพระขึ้นมา ในชั้นแรกนี้อยากจะกล่าวถึงส่วนที่ เอ่อ, จะต้องเว้นกันเสียก่อน คนที่จะมีพระ หรือมีคุณพระนั้น ต้องไม่นับถือ อะไรๆยิ่งไปกว่าพระ อย่านับถืออะไรให้ยิ่งไปกว่าพระ ข้อนี้ไปคิดดูเอง ก็แล้วกัน นับถือเงิน ยิ่งกว่าพระหรือไม่ ลองไปคิดดูเองก็แล้วกัน รักลูกรักหลาน ยิ่งกว่าพระหรือไม่ ไปคิดดูเองก็แล้วกัน รักหน้ารักตายิ่งกว่าพระหรือไม่ ก็ไปคิดดูเองก็แล้วกัน ถ้าจะมีพระกันจริงๆมีคุณพระกันจริงๆ ก็จงอย่านับถืออะไร ให้ยิ่งไปกว่าพระ มองอีกที หนึ่งก็คือว่า อย่ามีตัว เป็นของตัว อย่ามีตัวเป็นของตัวเสียเลย นั่นแหละเป็นการดี แต่ถ้าจะมีตัวเป็นของอะไรบ้าง ก็ต้องมีตัวเป็นของพระ อย่าได้มีตัวเป็นของตัว ถ้าจะพูดว่ามีตัวเป็นของตัว ก็ให้ตัวหลังนี้เป็นพระ อาศัยหลัก อ่า, ของพระธรรม มาเป็นหลัก สำหรับที่จะเป็นตัว ถ้าจะมีตัว ก็ต้องมีตัวเป็นของพระหรือของพระธรรม คือเป็นตัว ที่ประพฤติปฏิบัติอยู่ด้วย ความซื่อตรงจงรักภักดี ต่อสิ่งที่เรียกว่าพระธรรม นี้เรียกว่า อย่ามีตัวเป็นของตัว แต่มีตัวเป็นของพระ ทีนี้ถ้าหากว่ามีอะไรๆ มีทรัพย์สมบัติอะไร มีอะไรก็ตามเถอะ ก็อย่ามีในฐานะเป็นของตัว ให้เป็นของพระ เช่นว่า มีเงินทองข้าวของ เรือกสวนไร่นา อ่า, อะไรมากมายอย่างนี้ ก็อย่าได้กล้ามีเป็นของตัว จงให้มีเป็นของพระ คือของธรรม ของพระธรรม ของธรรมชาติของกฎของธรรมชาติ เราจะต้องรู้ว่าสิ่งต่างๆนี้ เป็นธรรมชาติ และเป็นของธรรมชาติ อยู่ใต้กฎของธรรมชาติ ไม่ใช่ของเรา เราจะต้องรับความจริงข้อนี้ ยอมรับความจริงข้อนี้ มีอะไรก็มีได้แต่ให้เป็นของพระ หรือของธรรมะ หรือของธรรมชาติ อย่าไปกล้ายึดมั่นถือมั่นว่าของตัว ทีนี้ถ้าเราจะทำอะไรกันบ้าง จะทำอะไรๆก็ตาม อย่าทำเพื่อตัว จงทำเพื่อพระอย่างเดียวกันอีก จะทำที่วัดหรือจะทำที่บ้านหรือจะทำที่ไหนก็ตาม ที่ทำอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อย เหงื่อไหลไคลย้อยทั้งกลางวันกลางคืนนั้น อย่าได้ทำเพื่อตัว แต่จงทำเพื่อพระ เพื่อธรรม เพื่อธรรมะ หรือเพื่อกฎของธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ ที่ทำแล้วมันจะขูดเกลาความเห็นแก่ตัว ให้เป็นผู้หมด ความเห็นแก่ตัว ไม่มีความคิดว่าตัว เหลือแต่ธรรมชาติ ก็พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ แต่ในที่สุด แม้แต่จะกิน ก็อยากกิน ตามอำนาจของกิเลส อยากกิน ตามความต้องการของพญามาร คนเดี๋ยวนี้กินตามความต้องการ ของพญามาร เพราะว่าเขาเป็นขี้ข้าเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร เห็นแก่ปาก เห็นแก่ท้อง ต้องกินอย่างนั้น ต้องกินอย่างนี้ แม้แต่เป็นพระเป็นเณร แล้วก็ยังจะกินอย่างนั้น ยังจะกินอย่างนี้ ตามอำนาจของกิเลส หรือพญามาร ฉะนั้นของกินที่เหลือเฟือ มันจึงมีมากทั่วไปหมด แล้วยังอุตริกินของที่ไม่น่ากิน ไม่ควรกิน อุตริกินโดยวิธีที่ไม่สมควรจะใช้วิธีเช่นนั้นในการกิน อย่างนี้เป็นต้น แล้วโฆษณาชักชวนกันให้ลุ่มหลง แต่ในเรื่องกิน โดยตรงบ้างโดยอ้อมบ้าง ดูเถิดว่า การโฆษณาชักชวนในเรื่องอย่างนี้ มีมากเท่าไร ถ้าเอามาเทียบกัน กับการโฆษณาชักชวน เพื่อมาศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะแล้ว มันต่างกันไกลอย่างน่าใจหาย ในพวกโฆษณาต่างๆนั้น ทางหนังสือพิมพ์ก็ดี ทางวิทยุก็ดี ทางอะไรทุกอย่างก็ดี ไปดูเถิดว่า เขาชักชวนกัน เพื่ออะไร โฆษณากันเพื่ออะไร ในที่สุดก็เพื่อกินทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางอะไรก็ตาม กินเพื่อให้ สมกับความอยากของกิเลสตัณหาหรือพญามาร คนที่มีนิสัยสันดานอย่างนี้ เป็นขี้ข้าของพญามาร ไม่ใช่เป็นคนของพระ จึงกินอะไรตามที่กิเลสหรือพญามารต้องการจะกิน ถ้าเราเป็นพุทธบริษัท ต้องการจะมีพระ มีคุณของพระ ก็ต้องกินเท่าที่พระแนะนำให้กิน พระแนะนำให้กินอะไร ให้กินอย่างไร ให้กินเท่าไร กินเมื่อไร ก็ไปคิดดูเอง ก็พอจะเข้าใจได้ว่าพระแนะนำให้กินอย่างไร เป็นต้น แล้วก็กินอย่างนั้น อย่าเห็นแก่กิน จนกินเพื่อกิเลส เพื่อพญามาร แต่จงกินตามที่พระแนะนำ อีกอย่างหนึ่งจะมองดูให้ลึกซึ้งลงไปอีกก็คือว่า อย่ากินอะไรที่เป็นของตัว อย่ากินอะไรที่เป็นของตัว แต่จงกินเท่าที่เป็นของพระ กินอะไรที่เป็นของตัวนั้น หมายความว่า มันกินสิ่งที่หามาได้ด้วยกิเลส ด้วยความหมายมั่นว่าของกูว่าตัวกู อะไรที่ได้มาด้วยอำนาจของกิเลส อย่างนี้อย่ากินเข้าไป จงกินแต่สิ่งที่ได้มา โดยวิธีที่ไม่เกี่ยวกับกิเลส หรือเกี่ยวกับธรรมะ เช่นหาเงินได้มาโดย วิธีที่สุจริต อย่างนี้เรียกว่าเป็นของที่พระให้มาสำหรับกินก็กินได้ แต่ถ้า มีของกินที่ได้มาโดยทุจริต อย่างนี้มันเป็นทรัพย์สมบัติของพญามาร หรือเป็นของตัวกูของกู ที่ยกหูชูหางเป็นพญามาร อย่ากินของที่ได้มา ในลักษณะอย่างนี้ นี้เรียกว่า อย่ากินอะไรที่เป็นของตัว แต่ให้กินอะไรๆที่เป็นของพระ เท่าที่พระอำนวยให้ อนุญาตให้ เพียงเท่านี้ก็ดูเหมือนจะพอแล้ว ที่ว่าเราจะเว้น ขาด เอ่อ, ห่างออกไปเสีย จากสิ่งที่จะทำให้ไม่มีพระ ให้มีแต่มาร อย่านับถืออะไรยิ่งกว่าพระ อย่ามีตัวเป็นของตัว อย่ามีทรัพย์สมบัติเป็นของตัว อย่าทำอะไรเพื่อตัว อย่ากินอะไรตามใจตัว และอย่ากินอะไรที่ไม่ใช่ของพระ คืออย่ากินอะไรที่เป็นของตัว ที่ได้มาเพราะอำนาจกิเลส อ่า, มีความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือได้มาในทางที่ไม่ถูกไม่ควร เรื่องนี้พระพุทธเจ้า ท่านสอนนักสอนหนา และท่านกำชับนักกำชับหนาว่า ภิกษุทั้งหลายจะไม่บริโภคสิ่งที่ได้มาด้วยการกระทำ อเนสนา หน้าที่ที่ไม่ใช่ของพระไปทำเข้า แล้วเขาให้เงินให้ของให้อะไรมากิน ท่านห้ามไม่ให้กิน แม้แต่การแสดงธรรมะ ในบนธรรมาสน์ นี้ ถ้าแสดงไปเพื่อให้ประโยชน์เป็นที่ชอบใจแก่ท่านทั้งหลาย แล้วเอาอะไรมาให้กิน พระก็ไม่ควรจะกิน เพราะเป็นอเนสนา เพราะเป็นสิ่งที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้อง ขืนกินเข้าไปก็เรียกว่า เป็นลูกจ้าง ของกิเลส กินค่าจ้างของกิเลส ไม่ได้กินอาหารของพระเลย ทั้งพระทั้งฆราวาส ก็ควรจะนึกอย่างเดียวกันหมด ว่าเราจะหลีกเลี่ยงอย่างไร ที่จะให้คลาดแคล้วพ้นภัยจากสิ่งที่เรียกว่ามาร จะทำอย่างไรจึงจะถึง สิ่งที่เรียกว่าพระ หรือคุณพระ
ต่อนี้ไป ก็จะได้พูดถึงวิธี ที่ว่าทำอย่างไร จึงจะได้ อ่า, ถึงคุณพระต่อไป เราได้เว้นสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่การถึง คุณพระแล้ว แล้วเราจะได้เดินต่อไปอย่างไร จึงจะถึงซึ่งคุณพระนั้น เรื่องนี้มันพูดไม่รู้จบ เป็นเรื่องละเอียดพิสดาร มีนัยยะมาก แต่ถ้าจะกล่าวโดยสรุป เป็นประเภทก็พอจะกล่าวได้ ว่ามีอยู่สัก ๓ ประเภท คือเราจะต้องถึงคุณพระ โดยวิธีที่ มีการกระทำแต่ที่ดีงาม เป็นชีวิตประจำวัน เราจะต้องมีกำลังจิตเพียงพอ และถูกต้อง เราจะต้องมีกำลัง ปัญญาเพียงพอและถูกต้อง และเราจะต้องมีความเชื่อที่ถูกต้อง เป็นรากฐานหรือพื้นฐาน ถ้าพูดกลับกันขึ้นไป จากทางนี้ก็ว่า เราจะต้องมีความเชื่อที่ถูกต้อง ในเรื่องที่เกี่ยวกับพระนั้น เป็นพื้นฐาน และเราจะต้องมีปัญญา คือความรู้ความแน่ใจที่ถูกต้อง และเพียงพอ และเราต้องมีกำลังจิต กำลังใจที่มาก และเพียงพอ และเราต้องมีการ ประพฤติกระทำ ทางกาย ทางวาจา ที่ดีงาม อยู่ในชีวิตประจำวัน พูดกลับมาแต่ต้นอีกทีหนึ่งก็ว่า จะต้องมีการ กระทำที่ดีงามในชีวิตประจำวัน จะต้องมีกำลังจิตที่เพียงพอ จะต้องมีกำลังใจที่เพียงพอ แต่ทั้งหมดนั้น จะต้องมีความเชื่อหรือศรัทธา ที่ถูกต้องอยู่เป็นพื้นฐาน ศรัทธาความเชื่อนี้จะต้องมีอยู่เป็นพื้นฐานของทุกๆสิ่ง และทุก ตลอดเวลา เราจะต้องเชื่อพระ ไม่ใช่เชื่อตัวเอง เชื่อตัวเองนั้นหมายถึงเชื่อกิเลสตัณหา เชื่อพญามาร เชื่อพระนั้นไม่เอาตามกิเลส แต่เอาตามวิธีของพระ ตามกฎของพระ ตามแบบของพระ อย่างนี้เรียกว่าเชื่อพระ ไม่ใช่เชื่อตัวเอง เชื่อตัวเอง คือเชื่อตัวกูของกู ที่ยกหูชูหางอยู่ตามปกตินั้น นั่นไม่ใช่พระ นั้นแหละคือตัวเอง ที่มาจากความยึดมั่นถือมั่น ว่าเราว่าของเรา เป็นเรื่องของกิเลสตัณหาไปทั้งนั้น ที่เราเชื่อพระ ก็ต้องเชื่อพระที่ถูก อย่าให้ อย่าให้ผิด ถ้าเชื่อผิด มันก็ถูกพระปลอม ถ้าเชื่อผิดก็ถูกพระปลอม ถ้าเชื่อถูกก็ถูกพระจริง เมื่อต้องการ จะมีพระจริงก็ต้องเชื่อให้ถูก จะต้องสังคายนากันเสียใหม่ ในเรื่องความเชื่อ ที่มีอยู่เดียวนี้ ว่าความเชื่อของเรานั้น ถูกต้องจริง ทนต่อการพิสูจน์ทุกอย่างทุกทางหรือหาไม่ เมื่อความเชื่อมีถูกแล้ว ความรู้นั้นก็ต้องถูกต้องแน่นอน เช่นว่ามีปัญญาถูกต้อง แล้วก็เพิ่มกำลังจิตให้มาก ด้วยการทำสมาธิ หรือด้วยการรวบรวมกำลังจิต โดยวิธีทางใด ทางหนึ่ง ให้มีกำลังจิตที่มั่นคงมากมาย เพื่อให้สามารถดำเนินไป อ่า, ตามแนว ของพระ และตลอดทั้งวันทั้งคืน ต้องเป็นอยู่ด้วยการกระทำที่ถูกต้องไปหมด เรื่องกิน เรื่องปาก เรื่องท้อง เรื่องชีวิตประจำวัน เรื่องการพูดจา เรื่องสามัญธรรมดาทั้งหมดนี้ก็ต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไปเป็นชีวิตประจำวันอยู่เสมอ
นี่แหละจึงกล่าวว่า เราจะมีพระหรือมีคุณพระได้ ก็ต้องมีการกระทำ ทางกาย ทางวาจา ที่ดีที่งาม ในชีวิตประจำวัน ทุกวันไปจนตลอดชีวิต หรือต้องอบรมจิตใจให้มีสมาธิ มีความบริสุทธิ์มีความตั้งมั่น มีความแคล่วคล่องว่องไวในการคิดการนึก นี้เรียกว่ามีกำลังจิตมาก และเพียงพอ และถูกต้อง และต้องมีปัญญารู้ ข้อที่ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตน เป็นธรรมชาติ เป็นกฎของธรรมชาติ เป็นหน้าที่ตามธรรมชาติ เป็นผลที่เกิด มาตามธรรมชาติไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา นี้เป็นปัญญา ที่จะต้องทำให้แจ่มแจ้งอยู่เสมอ รวมกันแล้ว มันก็ เป็นความรู้ เป็นการกระทำ เป็นผลของการกระทำ ที่ถูกต้องไปหมด นั่นแหละคือตัวพระ นั่นแหละคือคุณพระ ที่จะช่วยได้ทุกเมื่อ
ทีนี้ปัญหาเหลืออยู่ว่า ไอ้ที่ว่าคุณพระนี้จะช่วยจริงหรือไม่จริง จะมีเล่นตลก ไม่ช่วย เอ่อ, เหมือนกับคนบาง เอ่อ, เหมือนกับคน คนเราที่เห็นๆกันอยู่ทั่วๆไปนี้ อารมณ์ดีก็ช่วยอารมณ์ไม่ดีก็ไม่ช่วย อย่างนี้จะเป็นได้หรือไม่ ความลุ่มๆดอนๆอย่างนั้นมันเป็นเรื่องของคน แต่สำหรับพระ หรือคุณของพระนั้น จะต้องจริงเสมอไป พระจะช่วยหรือจะไม่ช่วยนี้ มันไม่สำคัญอยู่ที่พระ มันสำคัญอยู่ที่เรา ว่าเรามีคุณพระหรือไม่มี ว่าเรามีคุณพระ ที่แท้จริงหรือไม่มี ถ้าเรามีคุณพระที่แท้จริงแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลย เป็นการช่วยอยู่แล้วตลอดเวลา การปฏิบัติตาม คำระบุของพระนั้น เป็นการช่วยตัวเองอยู่แล้วตลอดเวลา พระจึงช่วยคนอยู่แล้วตลอดเวลา ที่คนปฏิบัติตามพระ และเมื่อเราปฏิบัติตามพระอยู่ก็เรียกว่า เรามีคุณพระอยู่กับเนื้อกับตัวเรา เมื่อมีคุณพระ ก็ช่วยแน่ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า เรามีคุณพระหรือไม่มี ดังจะได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า คุณพระนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ เร้นลับ เราได้ทำให้ออกมา ให้ปรากฏออกมาแก่เราได้หรือไม่ ถ้าเราทำให้ปรากฏแก่เราได้ก็หมายความว่า เราเอามาใช้ได้ คุณพระนี้อยู่ใน อำนาจเรา เหมือนกัน อยู่ตรงที่ว่าเราเอามาใช้ได้ ไม่ใช่ว่าเราจะบังคับพระไม่ได้ เราบังคับพระได้ด้วยการประพฤติ ปฏิบัติให้ดี ให้ถูก ให้ตรง ให้บริสุทธิ์ยุติธรรม ให้มีความงดงามทั้งเบื้องต้น ทามกลาง และเบื้องปลาย ถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ได้ พระจะช่วยเราเป็นแน่นอน จะเรียกว่าเราบังคับพระก็ได้ จะเรียกว่าพระสงสารเราก็ได้ นั่นไม่สำคัญ แต่มันแน่นอนอยู่ตรงที่ว่า ได้รับการช่วยจากพระแล้ว นี้เรียกว่าเราเอา คุณพระมาใช้ได้ ด้วยการกระทำของเราเอง ช่วยได้แน่ๆเหมือนกับที่ว่ากินเข้าไปเถิด แล้วมันก็จะอิ่มเอง ไม่ใช่ว่าเรากินแล้ว เราจะต้องขอร้องว่าจงอิ่มจงอิ่มขึ้นมาอีก ถ้าเรากินเข้าไปมันก็จะอิ่มเอง ฉันใด เรามีคุณพระแล้ว คุณพระก็จะ คุ้มครองเอง ฉันนั้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงกลัวว่าพระจะไม่ช่วย ความเหลวแหลกมันอยู่ที่เจ้าตัว ไม่ประพฤติปฏิบัติให้ถูกให้ตรง ตามที่พระต้องการ แล้วก็มัวโทษว่าพระไม่ช่วย นั้นคือคนโกหก มดเท็จ ตลบตะแลง แสนที่จะกล่าวได้ว่าเป็นคนโกหกขนาดไหนกัน ต้องการจะให้พระช่วย แต่แล้วก็เล่นตลกกับพระ หันหลังให้พระ หน้าไหว้หลังหลอกกับพระ แล้วก็โทษว่าพระไม่ช่วย อย่างนี้มีอยู่ทั่วๆไป การกระทำอย่างนั้นไม่สมควรเลย ถ้าเป็นการกระทำด้วยเจตนาแล้ว ก็ยิ่งไม่สมควรใหญ่ แม้กระทำไปโดยไม่เจตนา คือไม่รู้สึก ไม่เข้าใจ มันก็ยังเป็นการเล่นตลกอยู่กับพระอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นจึงต้องได้รับทุกข์ได้รับโทษ ได้รับความทรมานไป ตามประสาของคนที่ไม่รู้ ไม่รู้ทั้งข้างบน ทั้งตรงกลาง ทั้งข้างล่าง ไม่รู้ทั้งเหนือ ทั้งใต้ ไม่รู้อะไรหมด เป็นการกระทำที่เลื่อยลอยไป ตามความไม่รู้ เพราะการศึกษาไม่เพียงพอ เพราะว่าตนนั่นแหละ ไม่สนใจในเรื่องนี้ สนใจแต่จะค้ากำไรเกินควรท่าเดียว สนใจแต่จะทำบุญในลักษณะที่ค้ากำไรเกินควรท่าเดียว คนอย่างนี้พระท่านไม่ชอบ ท่านเกลียดขี้หน้าคนชนิดนี้ ท่านจึงไม่ช่วย ฉะนั้นคนทำบุญชนิดค้ากำไรเกินควรนี้ จะต้องประสบกับความยุ่งยากลำบาก แม้จะร่ำรวย ก็รวยสำหรับเป็นทุกข์ แม้จะมีอะไรมากก็จะมีสำหรับเป็นทุกข์ แม้จะมีชีวิตอยู่ก็สำหรับจะเป็นทุกข์ ไปตามแบบ ของคนร่ำรวย คนที่มีพระเ ป็นพระนั้น จะไม่มีอาการอย่างนี้ จะมีแต่ความสะอาด สว่าง สงบ มากขึ้น มากขึ้น
นี่แหละขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาดูให้ดี ว่าสิ่งที่เรียกว่าคุณพระ คุณพระนี้ ท่านมีกันแล้วหรือยัง ที่เอามาพูดนี้จะถือว่าดูถูกดูหมิ่นท่านทั้งหลายก็ได้ เพราะยังมีความเชื่ออยู่ว่า บางคนยังไม่มีคุณพระ บางคนยังมีคุณพระน้อยเกินไป บางคนก็มีคุณพระมากแต่เป็นพระปลอม มันยังจะต้องพูดกันต่อไปในลักษณะ ที่เป็นการชำระสะสาง ให้พระก็เป็นพระจริง และให้มีกันให้มากๆ พอสมควรแก่อัตภาพของตัวของตน
ในที่สุดนี้อยากจะสรุปความว่า สิ่งที่เรียกว่าพระนั้น รวมกันอยู่ไม่ได้กับตัวกูหรือของกู เพราะตัวกูของกูนั้น มันยกหูชูหางเรื่อย สิ่งที่เรียกว่าพระ หรือคุณพระนี้ มันรวมกันอยู่ไม่ได้กับตัวกูหรือของกู จงมีความแน่ใจในข้อนี้เถิด คุณพระจะปรากฏแต่ในเวลาที่มีจิตว่างจากตัวกูหรือของกู ถ้าจิตว่างจาก ตัวกูของกูเด็ดขาด พระก็มีอย่างเด็ดขาดอยู่กับเนื้อกับตัวอย่างเด็ดขาด ถ้าจิตว่างจากตัวกูของกูแต่เพียงครั้งคราว พระก็มีเพียงครั้งคราว แต่ก็ยังเป็นพระที่ช่วยได้ ตลอดเวลาหรือทุกครั้งที่มีจิตว่างจากตัวกูของกู ไม่ยกหูชูหางเหมือนที่เป็นๆมาแล้ว ผู้ใดมีความเชื่อพระ แทนเชื่อตัวกูเมื่อใด ก็จะมีคุณพระ อ่า, ที่แท้จริงเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นจงมีความเชื่อพระ อย่าได้เชื่อกิเลสตัณหา หรือเชื่อตัวเอง อย่ามีตัวเป็นของตัว แต่มีตัวเป็นของพระ อย่ามีอะไรๆเป็นทรัพย์สมบัติของตัว แต่ให้เป็นทรัพย์สมบัติของพระ อย่าทำอะไรเพื่อตัว แต่ทำเพื่อพระ อย่ากินอะไรตามใจตัว ต้องกินตามใจพระ และอย่ากินอะไรที่เป็นของตัว แต่กินอะไรที่เป็นของพระ ตามที่พระโปรดประทานมา ก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพระ และมีคุณพระได้ สมตามความปรารถนา
วันนี้เป็นวันที่ระลึกแห่ง อ่า, วิสาขบูชา เป็นวันที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ พระพุทธเจ้านั้น คือพระ คุณของท่าน คือคุณพระ เรามาพูดเรื่องนี้กันในวันนี้ ก็นับว่าเหมาะสมแก่กาลเทศะ หวังว่า ท่านทั้งหลายจะเอาไปคิดดูให้ดี ให้มีความเข้าใจในเรื่องนี้ และต้องการจะชำระสะสางปัญหาเรื่องนี้ ให้มี อ่า, พระ หรือมีคุณพระยิ่งๆขึ้น ไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเช่นวันนี้ ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา เป็นการเตรียมเนื้อเตรียมตัว ไว้ให้ดี สำหรับจะทำวิสาขบูชาในค่ำคืนนี้ ให้เป็นไปในลักษณะที่ มีพระและมีคุณพระ เจริญงอกงามก้าวหน้า ตามความประสงค์จงทุกประการเทอญ ธรรมะเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้.
เอ้า, ไป เวลาเหลือสำหรับฉันท์เพล คุณก็ฉันท์เพล พระไม่ฉันท์วันนี้ พระอุทิศให้พระพุทธเจ้า ไม่ฉันท์เพล ใครจะฉันท์เพล ไป เวลามีพอ